คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [SF] What is... (Kai x Suho) - Chapter 8 END
Title: What is…
Couple: Kai x Suho
Rate: PG-13
Author: LL1990Chapter 8 END
2 สัปดาห์แล้วที่จุนมยอนไม่ได้เห็นหน้าของเซฮุนอีกเลยจนเขานึกอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ แม้จะเรียนที่เดียวกันก็ตามที เขารู้ดีว่าเซฮุนกำลังทำอย่างที่ตนเองพูดเอาไว้ หากแต่อย่างน้อยบอร์ดประกาศผลคะแนนเรียนปลายเทอมก็ยังมีชื่อของโอเซฮุนร่วมอยู่บนนั้น มันบ่งบอกว่าเจ้าตัวยังคงมาสอบในครั้งสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียนในสัปดาห์หน้า และถึงแม้คะแนนจะไม่ดีนักแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนน่าเป็นห่วง ซึ่งนั่นก็ทำให้จุนมยอนคลายกังวงไปได้บ้าง
“เดี๋ยวตอนเย็นผมมารับนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำเอาจุนมยอนที่กำลังยืนมองบอร์ดคะแนนพร้อมกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ได้สติ เขากันกลับไปพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับทราบ
ตอนนี้เขากับจงอินเราคบกันอย่างเปิดเผยแล้วและพี่ซีวอนเองก็รับรู้ ตอนเช้าจงอินจะมารับเขาที่บ้านเพื่อมามหาลัยด้วยกันส่วนตอนเย็นเองก็เช่นกัน จนบางครั้งจุนมยอนรู้สึกเกรงใจอีกคนไม่น้อยที่ต้องปลีกตัวเองออกมาจากหมู่เพื่อนๆเพื่อเขาขนาดนี้
แม้จะมีความสุขในทุกวินาทีที่จับมือกัน แต่จุนมยอนไม่ต้องการให้ความรักของเขากับจงอินต้องทำร้ายหรือทำให้ใครรู้สึกแย่กับการที่เขาคบกัน..
“ไค..” มือบางรั้งแขนแกร่งของเอาไว้เมื่ออีกคนกำลังจะเดินจากไป
“หืม”
“ถ้าเซฮุนกลับมา...”จุนมยอนเอ่ยเว้นวรรคเอาไว้ “ไคกับเซฮุนจะพอเป็นเพื่อนกันได้ไหม”
เขาลอบมองดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า อย่างเกรงว่าอีกคนจะไม่พอใจที่เอ่ยถึงอริ ทว่าในดวงตาคมกริบของจงอินกลับไม่ได้ฉายแววความโกรธแม้แต่น้อย
แต่มันก็นิ่งเงียบราวกับทะเลสาบในหน้าหนาว...จนเขารู้สึกกลัว
“แล้วพี่คิดว่ายังไงล่ะ” เสียงทุ้มถามกลับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจุนมยอนคงได้ก้มหน้ามองพื้นเงียบๆ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เขามีความกล้ามากขึ้นเยอะ อีกอย่างเขาไม่ควรปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของเขากับจงอิน เพราะมันจะไม่ส่งผลดีกับใครเลย...
ใบหน้าหวานมองอีกคนแล้วตอบออกไปเสียงแผ่วเบา
“มันคงจะดี...ถ้าเป็นอย่างนั้น”
“ผมไม่รับปากหรอกนะ” คำตอบนั้นทำเอาจุนมยอนหน้าเสียทันที แล้วจงอินก็ดูออกเสียด้วยสิ ใบหน้าหล่อจุดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเอ่ยต่อ
“ถ้ามันไม่มาหาเรื่องผมก่อน...ก็อาจจะเป็นไปได้”
เขาว่าทิ้งท้ายพลางเอื้อมมือไปยีหัวอีกคนอย่างมั่นเขี้ยวระคนเอ็นดูก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้คนตัวเล็กต้องคลี่ยิ้มกว้างออกมาจนตาปิดอย่างช่วยไม่ได้ อย่างนึกขอบคุณในความใจดีของคนรักที่เข้าใจเขาเสมอ
หากแต่ยังไม่ทันได้ลอยไปไหน ลูกโป่งความสุขของจุนมยอนก็ต้องแตกดังโพล๊ะ เมื่อคนที่เดินจากไปได้เพียง 1 เมตรหันมาตะโกนบอกอะไรบางอย่าง...
“อ่อ ผมลืมบอก เย็นนี้ไอ้ชานยอลกับแบคฮยอนชวนไปกินข้าวที่คอนโด พี่โทรบอกพี่ซีวอนด้วยล่ะ” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง แล้วเดินจากไปทันที วูบหนึ่งจุนมยอนแอบเห็นแววตะทะเล้นบนใบหน้านั้นด้วย ! จงอินตั้งใจจะแกล้งเขาแน่ๆ
อีกออย่างจุนมยอนไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมที่บอกว่าแบคฮยอนชวนเขาด้วยน่ะ....นึกถึงดวงตาเฉียวๆนั้นทีไร จุนมยอนก็นึกกลัวขึ้นมาทุกที
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะเจอหน้าแบคฮยอนหรอกนะ แต่ดูท่าเจ้าตัวจะไม่ยอมรับเขาง่ายๆซะด้วยซิ จุนมยอนเลยไม่อยากให้เพื่อนของจงอินเกลียดขี้หน้าเขามากไปกว่านี้...
แล้วเขาจะต้องทำยังไง...
+++++++++
“พี่อยู่เฉยๆก็พอ”
“ให้พี่ช่วยเถอะน่า” มือเรียวเอื้อมไปแย่งถุงผักจากมืออีกคนมาทันทีแต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จตรงที่ อีกคนแกล้งเขาโดยการชูมันสูงขึ้นจนสุดมือ ตอนนี้เขากับจงอินอยู่ที่ห้องของชานยอลกับแบคฮยอนแล้ว แต่ทั้งสองคนเหมือนจะลืมซื้ออะไรบางอย่างเลยออกไปซื้ออีกรอบ จงอินเลยอาสาเตรียมของที่ซื้อมาเพราะวันนี้เราจะทำหม้อไฟกินกันที่ระเบียง
“งั้นพี่ช่วยล้างก็พอ เดี๋ยวผมหั่นเอง” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วบอกเสียงเข็มอีกที “เข้าใจไหม” จุนมยอนรีบพยักหน้างึกงั่กเป็นคำตอบ จงอินจึงยอมปล่อยถุงผักลงมาให้เขาแต่โดยดี ก่อนจะรับมันเอาไว้แล้วเดินไปที่ซิงค์ทันที แล้วจัดการเอาผักทั้งหมดออกมาล้างอย่างเบามือ แต่ก็ไม่วายบ่นอย่างตั้งใจให้อีกคนได้ยิน
“พี่ไม่ใช่เด็กแล้วน่า”
“ก็ผมไม่อยากให้พี่ลำบาก” จงอินว่าโดยไม่หันไปมองพลางหยิบชื้นเนื้อมาหั่น เลยกลายเป็นว่าทั้งคู่หันหลังคุยกันอย่างไม่มีใครสนใจใคร แต่คนที่ล้างผักอยู่ก็อดที่จะระบายยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“ไม่รู้ว่าแบคฮยอนออกไปอีกรอบเพราะพี่รึเปล่า”
“คิดมากอีกแล้ว”
“ก็ไม่อยากให้หมดสนุกกัน” เขาไม่อยากให้เป็นอย่างครั้งที่แล้วที่แบคฮยอนต้องมาหมดอารมณ์กินกลางคันแล้วลุกหนีออกไปดื้อๆ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นอีกครั้งจุนมยอนก็รู้สึกไม่ดี ถ้าเจ้าของห้องต้องมาหนีไปที่อื่นเพราะไม่อยากเห็นหน้าเขา
จงอินส่ายหัวน้อยๆอย่างระอาระคนเอ็นดู จุนมยอนของเขามักจะแคร์ความรู้สึกคนรอบข้างเสมอ จนบางครั้งเขาคิดว่ามันมากเกินไป ที่บางทีเราก็ไม่จำเป็นมานั่งใส่ใจคนอื่นให้รู้สึกไม่ดี แต่โอเคจงอินเข้าใจว่าอีกคนคงไม่อยากให้เขาลำบากใจ รวมถึงคนอื่นๆ
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขารักคนคนนี้มากขึ้นได้อย่างไร...
มือแกร่งวางมืดลงบนโต๊ะ หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือสองสามทีก่อนจะเดินไปหาคนตัวเล็กที่กำลังขะมักเขม้นกับการล้างผัก แล้ววาดวงแขนกอดที่เอวบางหลวมๆ
“แบคฮยอนไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกน่า”
“พี่รู้ พี่รู้”
ใบหน้าคมวางคางกายไปที่ไหล่บางใช้ปลายจมูกคลอเคลียแก้มใสเบาๆ แต่ดูท่าว่าอีกคนจะไม่ได้สนใจการคุกคามนั้นแม้แต่น้อย ใบหน้าหวานยังคงก้มหน้าก้มตาล้างผักในมือ จงอินจุดยิ้มขึ้นบนมุมบางก่อนจะละมือจากเอวบางไปกุมมืออีกคนให้รู้ตัวแล้วก็ได้ผลเมื่อ จุนมยอนชะงักกึกหันกลับมาจนปลายจมูกชนกันพอดี
“ห้องกูยังว่างนะ”เสียงทุ้มของชานยอลเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ ทำเอาจุนมยอนเบิกตากว้างอย่างตกใจ รีบเอามือยกขึ้นดันอกอีกคนออกไปทันที
“อย่าเข้าใจผิดนะ”
“ฮ่าๆ ตามสบายครับ” ยิ่งแก้ตัวก็เหมือนยิ่งมัดตัวเองเพราะชานยอลยังคงยิ้มกรุ่มกริ่มให้กับเขาสองคนอย่างแปลกๆ
เขากับจงอินไม่ได้...ไม่ได้....จะทำอะไรสักหน่อย
ส่วนชานยอลที่เหมือนจะเข้ามาบอกอะไรเลยไม่ได้บอกเพราะร่างสูงหายนั้นว๊าบกลับไปที่ห้องนั่งเล่น ส่วน จงอินก็หัวเราะร่วนก่อนจะหันมาใช้มือยีหัวอีกคนเล่นแล้วเดินตามชานยอลไป เขาเลยได้ยินแว่วๆว่าชานยอลให้จงอินลงไปช่วยยกลังเบียร์ข้างล่าง
+++++++++
....เสียงประตูถูกปิดลง
สงสัยจะลงไปข้างล่างกันหมดแล้ว
งั้นเขาก็จะจัดการของที่เหลือละนะ...เขาพึมพำกับตนเองเบาๆ ทว่ายังไม่ทันได้เดินกลับไปที่ซิงค์ เสียงฝีเท้าของคนที่เดินเข้ามาในครัวก็ทำให้จุนมยอนต้องหันกลับไปมอง
เขาลืมไปสนิทเลยว่ายังมีแบคฮยอนอีกคน!
ใบหน้าหวานซีดเผือดทำอะไรไม่ถูก มือบางเผลอจับโต๊ะข้างๆยืดไว้เป็นหลักอย่างกลัวๆ
“พี่มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่า”
“เอ่อ..คือ” แล้วจะให้จุนมยอนตอบยังไงดีล่ะ ถ้าเขาบอกว่ามี แบคฮยอนจะหาว่าเขาใช้รึเปล่านะ และดูเหมือนจุนมยอนจะใช้เวลานานในการไตร่ตรองนานจนเกินไป แบคฮยอนเลยหันหลังเตรียมจะเดินกลับ แต่เขาก็เอ่ยทักขึ้นไว้ได้ทัน
“ชะ ช่วยหั่นเนื้อก็ได้” ใบหน้าซุกซนของแบคฮยอนหันกลับมาพร้อมกับแววตาตั้งคำถาม“ไคทำคาเอาไว้น่ะ” จุนมยอนเสหน้าไปมองที่ของบนโต๊ะเป็นเชิงบอก แล้วก็ได้ผลเมื่อแบคฮยอนพยักหน้าเบาๆแล้วเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์เตรียมของ
“อ่า หะ” มือบางเอื้อมไปหยิบมีดข้างๆมาแล้วหันเนื้อที่เหลือที่จงอินหั่นคาเอาไว้ โดยมีจุนมยอนที่ยังไม่ได้เดินไปไหนยืนมองดูอยู่ข้างๆ ตาแป๋วทุกครั้งเมื่อชิ้นเนื้อถูกหั่นออกจากกัน จนกระทั่งแบคฮยอนหยุดมือแล้วหันไปมองอีกคนข้างๆ
“พี่จะหั่นเองไหม”
“ไม่ๆ นายหั่นเถอะ”เขาเผลอพูดออกไปอย่างไม่รู้ตัว กว่าจะรู้อีกทีก็ตอนที่แบคฮยอนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่นั่นแหละ จุนมยอนถึงรู้ว่าสึกได้ว่าอีกคนกำลังไม่พอใจ
“นายเกลียด....พี่ มากเลยหรือ”
“ไม่รู้สิ” แบคฮยอนตอบเสียงเรียบ ทำเอาจุนมยอนรู้สึกชาไปทั้งตัว แบคฮยอนไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้ตอบรับคำถามของเขา หรืออาจจะเกลียดเขาแต่ไม่อยากพูดตรงๆกันนะ
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ แบคฮยอนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาก้มลงหั่นของในมือต่อ โดยไม่ได้สนใจอีกคนที่ยืนอยู่แม้แต่น้อย ทว่าจุนมยอนกลับยังคงยืนมองแบคฮยอนอยู่อย่างนั้น
และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ภาพของแบคฮยอนค่อยๆพล่าเลือนเพราะม่านอะไรบางอย่างค่อยๆมาบังตาเขาเอาไว้ ริมฝีบางเม้มเข้าห้ากันแน่น คลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะค่อยๆถอดผ้ากันเปื้อนของตนเองออก วางมันไว้ลงบนกับโต๊ะ
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองทันที...
“พี่ขอโทษนะ” จุนมยอนไม่รู้ว่าตอนที่เขาพูดออกไปนั้นน้ำเสียงเป็นอย่างไร แต่เขารู้สึกว่าคอของเขาเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างติดอยู่ เขาไม่รู้ว่าแบคฮยอนจะยกโทษให้เขาได้รู้เปล่าแต่นั่นเป็นเสียงเดียวที่จุนมยอนจะสามารถทำได้
และพอเอ่ยจบร่างโปร่งนั้นก็เดินออกไปจากห้องครัวทันที
“แล้วนั่นพี่จะไปไหน”
“พี่ว่าพี่กลับดีกว่า” จุนมยอนว่าพลางหยิบเสื้อคลุมของตนเองบนโซฟามาพาดแขนไว้ “ฝากบอกไคด้วยว่าพี่ซีวอนโทรมานะ” ชื่อของซีวอนคงจะพอทำให้จงอินเชื่อได้โดยไม่ต้องสงสัย เขาคลี่ยิ้มให้กับแบคฮยอนเพื่อขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังบานประตูแล้วเปิดมันออก แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากห้อง เสียงของแบคฮยอนที่เอ่ยขึ้นก็ทำให้จุนมยอนต้องหันหลังกลับไปฟัง...
“มันไม่ใช่ว่าผมเกลียดพี่หรอก...แต่ไม่รู้สิ คือ มันอาจจะอยู่ในช่วงกำลังปรับตัวน่ะ ผมก็แค่รู้สึกไม่ดีในตอนแรกที่รู้ว่าคนที่ไครักคือคนเดียวกับคนที่มีส่วนให้ลู่หานเสียใจ ...พวกเราสนิทกันมากผมเลยทนไม่ได้ถ้าใครจะมาทำให้เพื่อนผมเสียน้ำตา... แต่ว่า...ผมจะพยายาม เพราะพี่คือคนที่เพื่อนผมรัก...อีกอย่างพี่เองก็ไม่ได้ผิดนี่นะ ...ไอ้หมาเซฮุนนั่นตั้งหาก” พูดจบเจ้าตัวก็หอบแหกเป็นลูกหมา “อ่า...เหนื่อยชะมัด”
แต่กับอีกคนที่ยินฟังอยู่นั้นได้แต่กระพริบตาปริบๆ รู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆแบคฮยอนก็พูดออกมา ทุกคำพูดทุกประโยคยังก้องอยู่ในหัวของจุนมยอน แบคฮยอนไม่ได้เกลียดเขาอย่างที่บอกจริงๆใช่ไหม...
“แบคฮยอน...”
“ผมไม่ได้เกลียดพี่จริงๆนะ” คนตัวเท่าๆกันบอกย้ำอีกรอบด้วยท่าทางนิ่งๆ ดูเหมือนจะเขินเล็กน้อยที่จะพูดออกมา เสี้ยววินาทีหนึ่งเขาเห็นแบคฮยอนคลี่ยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินหนีกลับเข้าไปในครัว ทิ้งให้จุนมยอนเผลอระบายยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เรียวเท้าที่คิดจะก้าวออกจากห้องเปลี่ยนใจเดินตรงไปยังโซฟารีบวางเสื้อคลุมเอาไว้แล้ววิ่งเข้าไปหาอีกคนในครัวทันที
“แบคฮยอนอ่า..” เสียงใสเอ่ยเรียกเรียกเบาๆยืนมองแบคฮยอนหยิบนั่นจับนู่น แต่เมื่อเห็นอีกคนไม่ได้พูดอะไร ใบหน้าหวานๆเลยยื่นเข้าไปหาใกล้ๆ “พี่เรียกนายอย่างนี้ได้ใช่ไหม” แบคอยอนเลยหน้าขึ้นจากของตรงหน้าขึ้นมองอีกคนแล้วยิ้มให้บางๆทำเอาจุนมยอนใจเต้นตึกตักอย่างลุ้นๆ
“ได้สิ ...ได้อยู่แล้ว” คนได้รับอนุญาตยิ้มตาแทบปิดด้วยความดีใจ จนนึกอย่างจะกระโดดถ้าไม่ติดว่าแบคฮยอนอยู่ด้วย เขาเลยได้แต่เดินกลับไปที่ซิงค์ล้างผักแก้เขินเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังล้างไม่เสร็จ
“แบคฮยอนอ่า...แบคฮยอนอ่า” และก็ไม่วายจะพึมพำชื่อของอีกคนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มไปตลอดเวลาที่ล้างผักโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว....
ถึงแม้นะ ..แบคฮยอนจะไม่ได้แสดงอะไรออกมากมายต่อเขาก็ตามที แต่แค่นี้ก็เป็นอะไรที่ดีมากๆแล้วสำหรับจุนมยอน และเขาก็หวังว่าต่อไปในอนาคตเราจะสนิทกันมากขึ้น
+++++++++
แบคฮยอนจะบีบคอไอ้ชานยอล! มันเป็นประโยคที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขามาตลอดตั้งแต่อยู่ในครัว ตอนนี้ของทุกอย่างเตรียมเสร็จหมดแล้ว และรุ่นพี่จุนมยอนกำลังยกไปไว้ที่โต๊ะตรงระเบียงห้อง แบคฮยอนเลยรีบปลีกตัวมาหาไอ้สองตัวที่ยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น
อย่าคิดว่าแบคฮยอนจะไม่รู้ทัน เพราะแค่เห็นรอยยิ้มมุมปากของพวกมันตอนเดินเข้ามาเห็นเขากับรุ่นพี่ช่วยกันจัดผักใส่ถาด เขาก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้มันต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน ก็มันเล่นออกไปเอาเบียร์ภาษาอะไรตั้งครั้งชั่วโมง!
“มึงใช่ไหม ต้นคิดน่ะ”
“เออ” ชานยอลเปิดกระป๋องเบียร์ก่อนจะตอบหน้าตาเฉย แล้วมันก็เหมือนจะได้ผลดีซะด้วยซิ เพราะตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องเขายังเห็นรุ่นพี่จุนมยอนยิ้มไม่หุบเลย ไอ้ลูกหมาของเขาเองก็เหมือนทำหน้าเก็กไปงั้นแหละ
“เลว” แบคฮยอนยู่หน้าค้อนใส่ แต่เพื่อนตัวสูงกลับหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ จนเขานึกอยากจะเอามือตบไปที่แก้มป่องๆนั่นให้มันแตกโผละด้วยความหมั่นไส้
“รุ่นพี่ครับมานี่ดีกว่า เดี๋ยวผมช่วยถือ” เสียงชานยอลพูดโพล่งขึ้นก่อนจะวางกระป๋องเบียร์ไว้ที่โต๊ะแล้วเดินไปช่วยจุนมยอนที่กำลังถือเตาไฟฟ้าออกมาจากครัว แบคฮยอนเลยหมดโอกาสที่จะโวยวายต่อ ตอนนี้เลยเหลือแค่เขากับจงอินยืนอยู่
ต่างคนต่างมองหน้าอย่างไม่รู้จะพูดอะไร จนกระทั่งจงอินเอื้อมมือมายีผมของแบคฮยอนไปมาแล้วยิ้มให้อย่างใจดี
...แต่ว่าทำไมทำอย่างกับเขาเป็นลูกหมาเลยวะ
“ปะ ..เป็นอะไร” เขาถามขึ้นอย่างรู้สึกแปลกๆ...ใช่แปลกๆยังไงก็ไม่รู้ หากแต่จงอินยังคงเพียงระบายยิ้มบางให้กับเพื่อนตัวเล็ก ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงมาแล้วกระซิบบอกอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา...
“ขอบใจ”
“อือ” แบคฮยอนรู้สึกเหมือนโดนสะกดจิต เลยได้แต่พยักหน้าตอบไปอย่างงงๆ เหมือนกับหน้ามันจะร้อนผ่าวๆชอบกลแหะ เพราะหลังจากที่เขาเหวี่ยงที่ร้านอาหารวันนั้น เขากับจงอินก็ยังไม่ได้พูดกันน่ะซิ แม้จะไม่ได้โกรธกันแต่อะไรบางอย่างมันก็ทำให้แบคฮยอนไม่กล้าที่จะคุยกับอีกคน และคำพูดอ่อนโยนเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้ว่าอย่างน้อยเขาจงอินไม่ได้โกรธเขา...
++++++++++
เมื่ออาหารเย็นวันนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ แบคฮยอนเพิ่งรู้ว่ารุ่นพี่จุนมยอนที่ดูเงียบๆขี้อายนั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย รุ่นพี่พูดเก่งมาก รอยยิ้มที่ระบายออกมายามเล่าเรื่องนั้นทำเอาแบคฮยอนอดที่จะอิจฉา ร้อยยิ้มอันไร้เดียงสานั้นเสียไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่แปลกใจสักนิดที่จงอินจะตกหลุมรักรุ่นพี่จุนมยอน
ว่าแต่..พอให้ไปมองไอ้คนข้างๆนี่สิ....
“น้ำลายยืดแล้วมึงอ่ะ”
“ก็รุ่นพี่น่ารักเกินห้ามใจนี่หว่า” คำตอบของชานยอลทำเอาแบคฮยอนนึกอยากจะเอาตะเกียบกระแทกปากมันแรงๆอย่างมั่นไส้ ทีเขาล่ะไม่เห็นจะชม เห่อะ! เล่นจ้องรุ่นพี่ไม่วางตาเลย แล้วจงอินมันไม่หึงบ้างรึไงที่อยู่ก็มีไอ้ปากมอมที่ไหนไม่รู้มาชมแฟนตัวเองเนี่ย ถ้าเป็นเขานะชกปากไอ้ชานยอลไปนานแล้ว
“อยากให้ชมบ้างก็บอกมาเถอะ” ชานยอลกระซิบไปที่ใบหูของแบคฮยอนให้ได้ยินกันแค่สองคน
“อะไรใครอยาก? ไม่เห็นอยาก กูรู้อยู่แล้วว่ากูน่ารัก ไม่ต้องชม”
“มึงก็น่ารัก...แต่แค่ในสายตากูนะ” เสียงทุ้มนุ่มกระซิบบอกอีกประโยค ก่อนจะผละออกมาทิ้งให้ใบหูบางนั้นแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แบคฮยอนรู้สึกรู้สึกร้อนๆที่ใบหูชอบกล จนต้องยกมือขึ้นมาลูบให้มันเย็นลง
แล้วไอ้บ้าชานยอลจู่ๆมาชมเขาทำไมกันเนี่ย!
“แบคฮยอนเป็นอะไรรึเปล่า” จุนมยอนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางของแบคฮยอนลุกลี้ลุกลนแปลกๆ
“อากาศมันร้อนๆยังไงไม่รู้ ” เขาตอบออกไปส่งๆ วันนี้มันวันอะไรกัน ? ทำไมเขาถึงเซนซิทีพกับคำพูดของแต่ละคนจังเลยวะ “ผมไม่เป็นไรหรอก” และพอไม่รู้จะทำอย่างไงเขาก็เลยได้แต่หยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาจิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อ่า....แบคฮยอน แกต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
“ว่าแต่ ไอ้เซฮุนช่วงนี้หายไปเลยนะฮะ” ชานยอลเอ่ยขึ้นคล้ายจะเป็นประโยคบอกเล่า แต่ใบหน้าที่มองมาทางจุนมยอนนั้นก็รู้ทันทีว่ามันคือประโยคคำถาม...ที่แม้กระทั่งจุนมยอนก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกันนี่ซิ
“เออใช่ ธรรมดาต้องเห็นมันที่หน้าคณะเกือบทุกเช้า นี่หายต๋อมไปเลย” แบคฮยอนเสริม “หรือมันจะคิดสั้น”
“พูดอะไรเลอะเทอะ” จงอินว่าขึ้นปรามเพื่อนตัวเล็ก ก่อนจะยืนห่อผักไปจ่อที่ปากยู่ๆนั่น ซึ่งแบคฮยอนก็รับเข้าปากไปแต่โดยดี เขาเห็นจุนมยอนหน้าแทบจะเปลี่ยนสีทันทีที่แบคฮยอนพูด มองดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกผิด ทั้งๆที่เจ้าตัวนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อย..
“ก็ใครจะไปรู้” แต่ก็ยังไม่วายพูดต่อทั้งที่ปากยังเคี้ยวไม่หยุด
“ชานยอลกับแบคฮยอนอย่าโกรธเซฮุนเลยนะ” ประโยคของจุนมยอนที่พูดออกมาทำเอาทั้งโต๊ะเงียบกริบราวกับสวิทช์ไฟถูกปิดชั่วขณะ ชานยอลที่กำลังจะคีบเนื้อเข้าปากเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าจะเอาจริงๆเขาก็ไม่ได้อะไรกับไอ้เซฮุนนักหรอก ถ้ามันไม่มาหาเรื่องพวกเขาก่อนอ่ะนะ ส่วนเรื่องลู่หานมันก็ผ่านไปแล้ว...
“ผมว่าพี่ขอมากไป” แบคฮยอนเอ่ยเสียงเรียบ
“แบคฮยอนน่า”
“แต่เอาเป็นว่าถ้ามันไม่มายุ่งกับพวกผมก่อน ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เขาต่อขึ้นอย่างใจแข็งเพราะถ้าขืนรุ่นพี่จุนมยอนยังคงทำเสียงอ้อนๆอย่างนั้นต่ออีกนิดล่ะก็เขาอาจจะใจอ่อนก็เป็นได้ ...ใช้ แบคฮยอนแพ้ ดวงตาเศร้าๆนั้น ของรุ่นพี่ชะมัด!
“จะว่าไปก็น่าสงสารเหมือนกันนะ หมอนั่นน่ะ” ชานยอลเอ่ยขึ้น ดวงตาเฉียวของแบคฮยอนหันควับ!
“ตรงไหน!”
“ก็ตรงที่...”
“สมน้ำหน้า คนอย่างหมอนั่นชาตินี้หาคนรักจริงไม่ได้หรอก!” และก็ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจบประโยคแบคฮยอนก็เอ่ยแทรกขึ้นทันที ก็มันจริงๆนี่ อย่างหมอนั่นน่ะ ที่มาหักอกเพื่อนเขาเอาไว้ ไหนจะยังมาชกเพื่อนเขาอีก ...จนถึงตอนนี้แบคฮยอนยังหาข้อดีของไอ้หมาเซฮุนนั่นไม่เจอสักนิด
++++++++++++
มื้ออาหารที่ผ่านไปอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าผ่านไปด้วยดี ตอนนี้ชานยอลกับแบคฮยอนอาสาไปล้างจานในครัว แม้ว่าเขาจะอาสาแต่สองคนนั้นก็ปฏิเสธเสียงแข็ง ตอนนี้เขากับจงอินเลยมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่นแทน
สำหรับจุนมยอนแล้วแบคฮยอนเป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง จะว่าไปเขาก็ชักอยากได้น้องชายเซี้ยวๆอย่างแบคฮยอนสักคนแล้วสิ ชีวิตนี้คงมีแต่เรื่องไม่น่าเบื่อ
แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ กรอบรูปบนโต๊ะข้างๆทีวีก็สะดุดตาจุนมยอนเข้าเสียก่อน เขาลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินตรงไปที่ชั้นวางกรอบรูปก่อนจะค่อยๆยกขึ้นมาดูอย่างเบามือ รูปของเด็กผู้ชายสี่คนที่ยืนเรียงกัน คนตัวสูงๆ นี่คงไม่พ้นชานยอล ถัดมาก็คงจะเป็นแบคฮยอนที่ยิ้มตาหยีเลย แล้วก็.....
“นี่น่ะ ลู่หานใช่ไหม” เสียงใสถามขึ้นโดยไม่หันไปมองจงอินที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง
“อือ น่ารักใช่ไหมล่ะ”
“เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเลย...” จุนมยอนอดที่จะเอ่ยชมคนในรูปเสียไม่ได้ รอยยิ้มที่อ่อนหวาน พร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย แต่ก็ดูบอบบางจนดูเหมือนจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ เขาไม่แปลกใจเลยที่ดูอีกสามคนที่เหลือนั้นดูจะหวงแหนลู่หานมากเป็นพิเศษ
“แต่เซี้ยวอย่าบอกใครเชียว พี่เห็นแบคฮยอนเป็นไงล่ะก็ ลู่หานคูณไปอีก2”
“หรอ..” เขาหัวเราะน้อยๆ ถ้าเซี้ยวกว่าแบคฮยอนอีกละก็ จุนมยอนจะรับมือไหวไหมหนอ...ถ้าได้เจอตัวจริงน่ะ
“ว่าแต่...ไคน่ะ ชอบลู่หานใช่ไหมล่ะ” จุนมยอนถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ใบหน้าหวานละสายตาจากรูปภาพตรงหน้าไปมองคนรักทางด้านหลัง ที่ดูจะอึ้งๆอยู่ไม่น้อยกับคำถามของเขา
“ผมเคยแอบชอบลู่หาน...” จุนมยอนชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย...เป็นอย่างที่จุนมยอนคิดจริงๆด้วย
“แต่มันไม่ใช่ความรัก ผมรู้ดี...สำหรับเราคงไม่มีอะไรดีกว่าความเพื่อน” จงอินเอ่ยต่อ และเลือกที่จะพูดออกไปตรงๆมากกว่าการโกหก เขาอยากเริ่มต้นความรักของเขากับจุนมยอนด้วยความซื่อสัตย์ แม้อาจจะดูทำร้ายไปบ้าง แต่เขาหวังว่าจุนมยอนจะเข้าใจและยอมรับได้
“อือ”
“พี่เสียใจรึเปล่า”ใบหน้าหวานส่ายน้อยๆแทนคำตอบ ก่อนจะถามคำถามที่ติดอยู่ในใจมานานแสนนานออกไป
“ที่ปฏิเสธพี่ก็เพราะในใจตอนนั้นน่ะ มีลู่หานอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”
“ผม..ไม่รู้สิ ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่รู้จักว่าความรักมันคืออะไร...” เขาว่าพลางดึงกรอบรูปออกจากมือจุนมยอนไปวางไว้ยังตำแหน่งเดิมแล้วกุมมือบางนั้นเอาไว้หลวมๆให้พออบอุ่น “แต่ตอนนี้ พี่ทำให้ผมรู้จักมัน...”
มือแกร่งยกขึ้นเกลี่ยที่พวงแก้มใสเบาๆอย่างเบามือ พร้อมกับรอยยิ้มของจุนมยอนที่ระบายออกมาบางๆ จุนมยอนไม่นึกโกรธหรือน้อยใจคนตรงหน้าแม้แต่น้อย ทั้งที่เมื่อก่อนเขามักจะน้อยใจกับกับการกระทำของจงอินที่มักจะนึกถึงลู่หานมาก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกดีใจที่จงอินเลือกที่จะพูดมันออกมาตรงๆโดยไม่ปิดบัง....แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับจุนมยอน
“แล้วไม่คิดจะคบกับพี่ประชดลู่หานหน่อยรึไง หืม” มือบางเอื้อมไปบีบจมูกได้ลูปของจงอินเบาๆ
“ถ้าผมจะคบกับใครสักคน นั่นก็เป็นเพราะผมรักเขา ... “
“..................”
“รักโดยไม่ต้องประชดเพื่อใคร”
-END-
จบแว้วววววว จ้าาาาาาา
ความคิดเห็น