ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : I : อัตตา unknown%
I : อัตตา
'สับสน' คงเป็นคำๆเดียวที่สามารถนิยามจิตใจของ'นันตา'ได้ขณะนี้
'อัตตา' คือหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาเรียวเฉียบคมสีเปลือกไม้ทอประกายอ่อนๆดูทรงเสน่ห์อย่างประหลาบนใบหน้าเรียว
เล็กรูปไข่ของเจ้าตัวมีเส้นผมยาวสลวยดุจเส้นไหมคลอเคลีย ริมฝีปากสีหวานบางเป็นกระจับ จมูกที่โด่งเป็นสันพองามเพิ่ม
ความหวานแก่เจ้าตัว รูปทรงองเอวก็ไม่มากไม่น้อยดูเหมาะกับวัยแรกแย้มของหญิงสาว แต่คงเป็นนัยน์ตาที่ฉายแววสับสน
และว่างเปล่ากระมังที่ทำให้เจ้าหล่อนไม่ดูงดงามและอ่อนหวานตามรูปลักษณ์ของตนเท่าไรนัก แต่กลับกลายเป็นเพียงหญิง
สาวที่สับสนเอามากๆก็เท่านั้น ขาเรียวสองข้างของนันตาถูกยกขึ้นมานั่งขัดสมาธิเอาไว้ ศีรษะพิงกับผนังสีขาวสะอาดตา
ตรงหน้ามีกองหนังสือกองใหญ่ตั้งอยู่ มีหลายเล่มทีเดียวที่วางกระจัดกระจายเปิดค้างเอาไว้แบบนั้น โดยหนังสือสิบกว่าเล่ม
เหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือจำพวกเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั้งนั้น เพราะตอนนี้นันตากำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 5 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ใครๆก็รู้กันว่าเด็กสมัยนี้เรียนหนักกันแค่ไหน ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนในสถาบัน
กวดวิชาต่างๆก็เยอะไม่แพ้กัน แถมการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆก็กดดันและบีบเส้นทางฝันสู่อนาคตตนให้แคบลงและหนทาง
บากบั่นขึ้นเรื่อยๆ แม้เด็กหลายคนจะมีความใฝ่ฝันในวิชาชีพที่แน่วแน่สามารถเดินไปตามเส้นทางความฝันตนได้อย่าง
มั่นคง อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานไปบ้างก็ตามแต่ด้วยความมุ่งมานะในเป้าหมายของตนก็สามารถลุกขึ้นยืนไม่ยากนัก แต่ก็
ไม่ใช่กับเด็กทุกคนแน่นอนอย่างน้อยอัตตาก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้น ใช่แล้วหากถามใจอัตตาจริงๆว่าอยากเรียนอะไร อัตตาก็คง
ตอบว่าไม่รู้ถึงแม้ว่าอัตตาจะใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากเอาตามที่บอกชาวบ้านหรือกรอกลงใบอนาคต
ต่างๆ เจ้าตัวคงเลือกแพทย์ศาสตร์ตามความต้องการของครอบครัวไปกระมัง หากถามอัตตาว่าเวลามีเยอะแยะทำไมจะคิด
ไม่ออก บางทีคณะและสาขาที่ใช่สำหรับอัตตาอาจจะหลบอยู่ในมุมหนึ่งรออัตตาค้นหาก็เป็นได้ ถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามอัตตาก็
ไม่พยายามไขว้คว้าตามหาสิ่งที่ใช่สำหรับตน ตัวอัตตาเองก็มองว่าเป็นแบบนี้ก็โอเคแล้วที่ไม่รู้ความฝันของตัวเองจริงๆ
เพราะถึงรู้ความฝันของตัวเองก็ใช่จะสามารถเดินตามทางนั้นได้ อัตตาเป็นคนที่ไม่ชอบความยุ่งยาก หากความฝันของตน
เป็นสิ่งที่จะต้องยุ่งยาก เธอก็ขอไม่รับรู้มันเสียดีกว่า อีกเหตุผลที่อัตตาไม่ปฏิเสธในเส้นทางสู่กาาเป็นแพทย์นั้นคงจะเป็น
พ่อแม่กระมัง.... พอถึงจุดนี้ขอบตาของอัตตาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ อัตตาส่ายหัวเบาๆก่อนจะหยุดคิดในประเด็นนี้ และขอ
พักผ่อนสมองและร่างกายก่อนละกัน ที่ผ่านมาเธอเหนื่อยมามากพอแล้ว ถึงส่วนมากจะเป็นในเรื่องไร้สาระก็ตามที แต่เหนื่อ
ยก็คือเหนื่อย หากเหนื่อยก็ต้องพัก...และก็ต้องหยุดสาเหตุก่อเกิดความเหนื่อยนั้น ว่าแต่คราวนี้มันรวมกันเป็นก้อนใหญ่แถม
จะระเบิดแล้วด้วย อัตตากำลังคิดว่าจะหยุดเพียงชั่วคราวแล้วกลับมาต่อ หรือจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไปเลยดีนะ ก็น่าจะเป็น
แบบนั้น...
"ว่าไง รู้สึกยังไงบ้าง กลัวรึเปล่า หรือตั้งสติเตรียมสูดเอาแบคทีเรียเชื้อโรคเข้าปอดได้แล้ว"
เสียงกวนๆของคนที่ทั้งปองร้ายและหวังดีต่อเธอดังขึ้น อัตตาที่จับความขี้เล่นที่มากเกินไปของเจ้าของได้และบ่งชี้ว่าเจ้า
ตัวเป็นประเภทตัวน่ารำคาญชั้นยอดแน่ๆ อัตตากรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆ ก่อนพูดอย่างหอบนิดๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอา
เสียงเธอหอบนิดๆ
"นายทำบ้าอะไร"
"ฮะๆ นี่เธอพูดกับคนที่ช่วยเธอไว้แบบนี้เสมอรึเปล่าเนี่ย"
เสียงตอบยังความกวนไว้อยู่ แต่ชายหนุ่มกลับทำให้อัตตาตกใจอีกครั้ง เมื่อเขาหมุนมือที่จับกระเป๋าที่ห้อยตัวเธอเอาไว้ให้
หันไปหาตน ก่อนเขาจะย่อตัวเล็กน้อยให้อัตตาเห็นใบหน้า นัยน์ตาสีดำสนิทเปล่งประกายเจิดจ้า ฉายแววขี้เล่นอย่าง
ชัดเจน เส้นผมสีดำไฮไลต์สีส้มเล็กน้อยดูกระเซอะกระเซิง จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า ริมฝีปากที่ขยับยิ้มกวนประสาท
ตลอดเวลา อัตตาค่อยๆหันหน้ามาดูชายหนุ่มช้าๆ เพราะกลัวหล่นไม่น้อย แต่ก็ยังแปลกใจในกำลังของคนตรงหน้าที่ยก
เธอและกระเป๋าที่น่าจะมีย่ำหนักรวมกันราวๆเกือบ 50 กิโลได้ด้วยมือข้างเดียวแถมมือยังไม่สั่นซักนิด ก่อนอัตตาจะตอบ
เสียงแข็งเพราะถูกยิ้มล้อเลียนที่เธอเผลอไปจ้องใบหน้าชายหนุ่มเข้า
'สับสน' คงเป็นคำๆเดียวที่สามารถนิยามจิตใจของ'นันตา'ได้ขณะนี้
'อัตตา' คือหญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาเรียวเฉียบคมสีเปลือกไม้ทอประกายอ่อนๆดูทรงเสน่ห์อย่างประหลาบนใบหน้าเรียว
เล็กรูปไข่ของเจ้าตัวมีเส้นผมยาวสลวยดุจเส้นไหมคลอเคลีย ริมฝีปากสีหวานบางเป็นกระจับ จมูกที่โด่งเป็นสันพองามเพิ่ม
ความหวานแก่เจ้าตัว รูปทรงองเอวก็ไม่มากไม่น้อยดูเหมาะกับวัยแรกแย้มของหญิงสาว แต่คงเป็นนัยน์ตาที่ฉายแววสับสน
และว่างเปล่ากระมังที่ทำให้เจ้าหล่อนไม่ดูงดงามและอ่อนหวานตามรูปลักษณ์ของตนเท่าไรนัก แต่กลับกลายเป็นเพียงหญิง
สาวที่สับสนเอามากๆก็เท่านั้น ขาเรียวสองข้างของนันตาถูกยกขึ้นมานั่งขัดสมาธิเอาไว้ ศีรษะพิงกับผนังสีขาวสะอาดตา
ตรงหน้ามีกองหนังสือกองใหญ่ตั้งอยู่ มีหลายเล่มทีเดียวที่วางกระจัดกระจายเปิดค้างเอาไว้แบบนั้น โดยหนังสือสิบกว่าเล่ม
เหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือจำพวกเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั้งนั้น เพราะตอนนี้นันตากำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 5 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ใครๆก็รู้กันว่าเด็กสมัยนี้เรียนหนักกันแค่ไหน ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนในสถาบัน
กวดวิชาต่างๆก็เยอะไม่แพ้กัน แถมการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆก็กดดันและบีบเส้นทางฝันสู่อนาคตตนให้แคบลงและหนทาง
บากบั่นขึ้นเรื่อยๆ แม้เด็กหลายคนจะมีความใฝ่ฝันในวิชาชีพที่แน่วแน่สามารถเดินไปตามเส้นทางความฝันตนได้อย่าง
มั่นคง อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานไปบ้างก็ตามแต่ด้วยความมุ่งมานะในเป้าหมายของตนก็สามารถลุกขึ้นยืนไม่ยากนัก แต่ก็
ไม่ใช่กับเด็กทุกคนแน่นอนอย่างน้อยอัตตาก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้น ใช่แล้วหากถามใจอัตตาจริงๆว่าอยากเรียนอะไร อัตตาก็คง
ตอบว่าไม่รู้ถึงแม้ว่าอัตตาจะใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากเอาตามที่บอกชาวบ้านหรือกรอกลงใบอนาคต
ต่างๆ เจ้าตัวคงเลือกแพทย์ศาสตร์ตามความต้องการของครอบครัวไปกระมัง หากถามอัตตาว่าเวลามีเยอะแยะทำไมจะคิด
ไม่ออก บางทีคณะและสาขาที่ใช่สำหรับอัตตาอาจจะหลบอยู่ในมุมหนึ่งรออัตตาค้นหาก็เป็นได้ ถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามอัตตาก็
ไม่พยายามไขว้คว้าตามหาสิ่งที่ใช่สำหรับตน ตัวอัตตาเองก็มองว่าเป็นแบบนี้ก็โอเคแล้วที่ไม่รู้ความฝันของตัวเองจริงๆ
เพราะถึงรู้ความฝันของตัวเองก็ใช่จะสามารถเดินตามทางนั้นได้ อัตตาเป็นคนที่ไม่ชอบความยุ่งยาก หากความฝันของตน
เป็นสิ่งที่จะต้องยุ่งยาก เธอก็ขอไม่รับรู้มันเสียดีกว่า อีกเหตุผลที่อัตตาไม่ปฏิเสธในเส้นทางสู่กาาเป็นแพทย์นั้นคงจะเป็น
พ่อแม่กระมัง.... พอถึงจุดนี้ขอบตาของอัตตาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ อัตตาส่ายหัวเบาๆก่อนจะหยุดคิดในประเด็นนี้ และขอ
พักผ่อนสมองและร่างกายก่อนละกัน ที่ผ่านมาเธอเหนื่อยมามากพอแล้ว ถึงส่วนมากจะเป็นในเรื่องไร้สาระก็ตามที แต่เหนื่อ
ยก็คือเหนื่อย หากเหนื่อยก็ต้องพัก...และก็ต้องหยุดสาเหตุก่อเกิดความเหนื่อยนั้น ว่าแต่คราวนี้มันรวมกันเป็นก้อนใหญ่แถม
จะระเบิดแล้วด้วย อัตตากำลังคิดว่าจะหยุดเพียงชั่วคราวแล้วกลับมาต่อ หรือจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไปเลยดีนะ ก็น่าจะเป็น
แบบนั้น...
อัตตาที่ยืนสบายๆในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาริมคลอง นัยน์ตาสีเปลือกไม้ทอดยาวไปตามกระแสน้ำที่ควรจะสะอาด
แต่กลับขุ่นมั่วแถมยังมีเศษขยะที่มากเกินควรลอยละล่องไหลไปเรื่อยๆ แสงสว่างพระจันทร์อันน้อยนิดของพระจันทร์กระทบ
ลงผิวน้ำสะท้อนภาพให้นันตาเห็นว่าตนกำลังอยู่ในอากับกิริยาแบบไหน แสดงสีหน้าแบบไหน ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะ 'หึ' ในลำ
คอพลางสมเพชตัวเองไปในตัว กับเหตุผลของการมาชมลำคลองแสนสกปรกในยามค่ำคืนแบบนี้พร้อมกับกระเป๋าเป้และ
กระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ ใช่แล้ว เธอหนีออกจากบ้านมา หากถามว่าพ่อแม่เธอไม่รู้งั้นหรือ ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นวันครอบครัวแท้และพ่อแม่ของเธอก็ได้หยุดวันนี้เสียด้วย ขอตอบเพียงว่าเธอสามารถทำได้ก็พอ อัตตารี่
นัยน์ตาสีเปลือกไม้เล็กน้อยพลางมองกระแสน้ำขุ่นๆนั่นอีกครั้งและหันมองรอบข้างที่เป็นพื้นหญ้าบริเวณไม่กว้างมาก หาก
มองเลยไปก็จะเห็นวินมอเตอร์ไซด์ที่สุงสิงกินเหล้าเล่นไพ่กันอยู่ นันตามองสองบริเวณสลับไปมาราวกับจะเลือกทางที่ตน
จะไปต่อเสียอย่างนั้นระหว่างหันหลังกลับไปจ้างวินมอเตอร์ไซด์ไปที่ไหนซักที่ที่อาจต้องเสียเงินมากกว่าปกติเล็กน้อยกับ
ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกนิดเดียวเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นแถมไม่เสียเงินซักบาทซักสตางค์ เธอก็จะสุขสบายอย่างหาที่ใด
เปรียบไม่ได้จากร่างเนื้อนี่ แต่ในร่างจิตคงจะทรมานอย่างถึงที่สุดในข้อหาที่ร้ายแรงโดยฆ่าตัวตายน่ะนะ แถมบาปที่ทำให้
พ่อแม่ทุกข์ใจก็หนักไม่แพ้กัน แต่นั่นหมายถึงในกรณีที่เธอสูดลมหายใจนำน้ำคลองดำๆที่ไม่รู้มีอะไรต่อมิอะไรในนั้นเข้าไป
เต็มปอดแล้วปอดเล่าน่ะนะ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ว่าหากไม่ใจกล้าพอที่จะตั้งสติอย่างแน่วแน่ในการสูดน้ำคลองเน่าเหม็นเข้า
ลึกสุดปอดแล้วล่ะก็เธอคงต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหรือผักตายๆนอนที่โรงพยาบาลรอคนมารดน้ำทุกวันๆคงไม่ใช่เรื่อง
ดีแน่นอน หากทำอะไรแล้วก็ทำให้สุด หรือไม่ก็วางมือไปซะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม..สิ่งที่นันตายึดมั่นมาตลอดแค่ยึดมั่นไม่ได้
ยึดถือมาปฏิบัติงมงายหรอกนะ
แต่กลับขุ่นมั่วแถมยังมีเศษขยะที่มากเกินควรลอยละล่องไหลไปเรื่อยๆ แสงสว่างพระจันทร์อันน้อยนิดของพระจันทร์กระทบ
ลงผิวน้ำสะท้อนภาพให้นันตาเห็นว่าตนกำลังอยู่ในอากับกิริยาแบบไหน แสดงสีหน้าแบบไหน ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะ 'หึ' ในลำ
คอพลางสมเพชตัวเองไปในตัว กับเหตุผลของการมาชมลำคลองแสนสกปรกในยามค่ำคืนแบบนี้พร้อมกับกระเป๋าเป้และ
กระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ ใช่แล้ว เธอหนีออกจากบ้านมา หากถามว่าพ่อแม่เธอไม่รู้งั้นหรือ ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นวันครอบครัวแท้และพ่อแม่ของเธอก็ได้หยุดวันนี้เสียด้วย ขอตอบเพียงว่าเธอสามารถทำได้ก็พอ อัตตารี่
นัยน์ตาสีเปลือกไม้เล็กน้อยพลางมองกระแสน้ำขุ่นๆนั่นอีกครั้งและหันมองรอบข้างที่เป็นพื้นหญ้าบริเวณไม่กว้างมาก หาก
มองเลยไปก็จะเห็นวินมอเตอร์ไซด์ที่สุงสิงกินเหล้าเล่นไพ่กันอยู่ นันตามองสองบริเวณสลับไปมาราวกับจะเลือกทางที่ตน
จะไปต่อเสียอย่างนั้นระหว่างหันหลังกลับไปจ้างวินมอเตอร์ไซด์ไปที่ไหนซักที่ที่อาจต้องเสียเงินมากกว่าปกติเล็กน้อยกับ
ก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกนิดเดียวเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นแถมไม่เสียเงินซักบาทซักสตางค์ เธอก็จะสุขสบายอย่างหาที่ใด
เปรียบไม่ได้จากร่างเนื้อนี่ แต่ในร่างจิตคงจะทรมานอย่างถึงที่สุดในข้อหาที่ร้ายแรงโดยฆ่าตัวตายน่ะนะ แถมบาปที่ทำให้
พ่อแม่ทุกข์ใจก็หนักไม่แพ้กัน แต่นั่นหมายถึงในกรณีที่เธอสูดลมหายใจนำน้ำคลองดำๆที่ไม่รู้มีอะไรต่อมิอะไรในนั้นเข้าไป
เต็มปอดแล้วปอดเล่าน่ะนะ แต่ก็มีความเสี่ยงที่ว่าหากไม่ใจกล้าพอที่จะตั้งสติอย่างแน่วแน่ในการสูดน้ำคลองเน่าเหม็นเข้า
ลึกสุดปอดแล้วล่ะก็เธอคงต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหรือผักตายๆนอนที่โรงพยาบาลรอคนมารดน้ำทุกวันๆคงไม่ใช่เรื่อง
ดีแน่นอน หากทำอะไรแล้วก็ทำให้สุด หรือไม่ก็วางมือไปซะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม..สิ่งที่นันตายึดมั่นมาตลอดแค่ยึดมั่นไม่ได้
ยึดถือมาปฏิบัติงมงายหรอกนะ
พลั่ก! กรี๊ด!
ดูเหมือนนันตาจะตัดสินใจนานเกินไป จนใครก็ไม่รู้จู่ๆก็ผลักเธอหน้าตาเฉย เธอคงจะโอเคและไม่ถือสาอะไรมากถ้า
ข้างหน้าเป็นพื้นดินแต่ในเวลานี้ข้างหน้าเธอมันเป็นพื้นน้ำน่ะสิ พื้นผิวน้ำใสๆไหลเย็นแบบทะเลยังพอว่า แต่นี่น้ำดำๆแบบ
นี้แถมยังไม่ได้ตั้งสติอีก...ฆ่ากันดีกว่า! อัตตาเผลอกรี๊ดและหลับตาด้วยความตกใจ อย่างน้อยก็ไม่ขอแสบตาแค่แสบ
จมูกน่าจะทรมานเกินพอแล้ว ร่างกายที่แบกเป้ใบใหญ่ไว้บนหลังหากถอยหลังเดินกลับของในนี้จะเป็นทางรอดของเธอ
แท้ๆ แต่ขณะนี้กลับเป็นตัวถ่วงร่างกายเธอให้ดิ่งลงสู่ผืนน้ำเร็วขึ้นและเร่งเวลาชีวิตของเธอด้วยซ้ำไป แต่ก่อนที่อัตตา
พยามทำใจกับชะตาตนและคิดในทางที่ดีอย่างน้อยโทษในนรกก็คงหนักน้อยลงเพราะเธอไม่ได้ฆ่าตัวตายซะหน่อยมีคน
ผลักเธอต่างหาก แต่บรรยากาศตอนนี้กลับสบายกว่าที่คิดไว้ ไม่ทรมานเพราะหายใจนำน้ำเข้าไป หรือเธอจะตายไปแล้ว
ความรู้สึกแรกที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทคือความกลัว...กลัวจนสุดหัวใจ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเบาโหยงๆ เท้าลอยๆยังไง
ชอบกล แถมรู้สึกเหมือนถูกหิ้วอยู่... อัตตาค่อยๆลืมตาขึ้นมาทีละนิดๆ พบว่าเท้าของตนเฉียดผิวน้ำคลองเพียงไม่กี่คืบ
เท่านั้น อัตตาก็รู้ได้ทันทีว่าไอ้คนที่ผลักเธอนั่นแหละเป็นคนดึงเธอเอาไว้ ก่อนที่อัตตาจะได้ลงเล่นน้ำในคลอง
ข้างหน้าเป็นพื้นดินแต่ในเวลานี้ข้างหน้าเธอมันเป็นพื้นน้ำน่ะสิ พื้นผิวน้ำใสๆไหลเย็นแบบทะเลยังพอว่า แต่นี่น้ำดำๆแบบ
นี้แถมยังไม่ได้ตั้งสติอีก...ฆ่ากันดีกว่า! อัตตาเผลอกรี๊ดและหลับตาด้วยความตกใจ อย่างน้อยก็ไม่ขอแสบตาแค่แสบ
จมูกน่าจะทรมานเกินพอแล้ว ร่างกายที่แบกเป้ใบใหญ่ไว้บนหลังหากถอยหลังเดินกลับของในนี้จะเป็นทางรอดของเธอ
แท้ๆ แต่ขณะนี้กลับเป็นตัวถ่วงร่างกายเธอให้ดิ่งลงสู่ผืนน้ำเร็วขึ้นและเร่งเวลาชีวิตของเธอด้วยซ้ำไป แต่ก่อนที่อัตตา
พยามทำใจกับชะตาตนและคิดในทางที่ดีอย่างน้อยโทษในนรกก็คงหนักน้อยลงเพราะเธอไม่ได้ฆ่าตัวตายซะหน่อยมีคน
ผลักเธอต่างหาก แต่บรรยากาศตอนนี้กลับสบายกว่าที่คิดไว้ ไม่ทรมานเพราะหายใจนำน้ำเข้าไป หรือเธอจะตายไปแล้ว
ความรู้สึกแรกที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทคือความกลัว...กลัวจนสุดหัวใจ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเบาโหยงๆ เท้าลอยๆยังไง
ชอบกล แถมรู้สึกเหมือนถูกหิ้วอยู่... อัตตาค่อยๆลืมตาขึ้นมาทีละนิดๆ พบว่าเท้าของตนเฉียดผิวน้ำคลองเพียงไม่กี่คืบ
เท่านั้น อัตตาก็รู้ได้ทันทีว่าไอ้คนที่ผลักเธอนั่นแหละเป็นคนดึงเธอเอาไว้ ก่อนที่อัตตาจะได้ลงเล่นน้ำในคลอง
"ว่าไง รู้สึกยังไงบ้าง กลัวรึเปล่า หรือตั้งสติเตรียมสูดเอาแบคทีเรียเชื้อโรคเข้าปอดได้แล้ว"
เสียงกวนๆของคนที่ทั้งปองร้ายและหวังดีต่อเธอดังขึ้น อัตตาที่จับความขี้เล่นที่มากเกินไปของเจ้าของได้และบ่งชี้ว่าเจ้า
ตัวเป็นประเภทตัวน่ารำคาญชั้นยอดแน่ๆ อัตตากรอกตาขึ้นฟ้าอย่างเซ็งๆ ก่อนพูดอย่างหอบนิดๆ เหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอา
เสียงเธอหอบนิดๆ
"นายทำบ้าอะไร"
"ฮะๆ นี่เธอพูดกับคนที่ช่วยเธอไว้แบบนี้เสมอรึเปล่าเนี่ย"
เสียงตอบยังความกวนไว้อยู่ แต่ชายหนุ่มกลับทำให้อัตตาตกใจอีกครั้ง เมื่อเขาหมุนมือที่จับกระเป๋าที่ห้อยตัวเธอเอาไว้ให้
หันไปหาตน ก่อนเขาจะย่อตัวเล็กน้อยให้อัตตาเห็นใบหน้า นัยน์ตาสีดำสนิทเปล่งประกายเจิดจ้า ฉายแววขี้เล่นอย่าง
ชัดเจน เส้นผมสีดำไฮไลต์สีส้มเล็กน้อยดูกระเซอะกระเซิง จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้า ริมฝีปากที่ขยับยิ้มกวนประสาท
ตลอดเวลา อัตตาค่อยๆหันหน้ามาดูชายหนุ่มช้าๆ เพราะกลัวหล่นไม่น้อย แต่ก็ยังแปลกใจในกำลังของคนตรงหน้าที่ยก
เธอและกระเป๋าที่น่าจะมีย่ำหนักรวมกันราวๆเกือบ 50 กิโลได้ด้วยมือข้างเดียวแถมมือยังไม่สั่นซักนิด ก่อนอัตตาจะตอบ
เสียงแข็งเพราะถูกยิ้มล้อเลียนที่เธอเผลอไปจ้องใบหน้าชายหนุ่มเข้า
-- TBC --
ฝากติชมหน่อยน้าาาาา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น