ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความสำเร็จในอดีตของสโมสรลิเวอร์พูล
ความสำเร็จในอดีตของสโมสรลิเวอร์พูล...
ลิเวอร์พูลยอดทีมของเกาะอังกฤษที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ทีมซึ่งเป็นแชมป์สูงสุดของประเทศมากเป็นประวัติการณ์ถึง 18 ครั้ง ...
ลิเวอร์พูลยอดทีมของเกาะอังกฤษที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ทีมซึ่งเป็นแชมป์สูงสุดของประเทศมากเป็นประวัติการณ์ถึง 18 ครั้ง ชนะเลิศ FA Cup และ League Cup อีกอย่างละ 5 สมัย ถ้วย UEFA Cup อีก 2 ใบ และโลดแล่นในแชมป์สูงสุดของยุโรป European Cup ถึง 4 ครั้ง เท่านั้นยังไม่พอ เป็นแชมป์ European Super Cup อีก 1 สมัยและรองแชมป์สโมสรโลกหนึ่งครั้งในปี 1981
ตำนานของยอดทีมลิเวอร์พูลเริ่มต้นในถิ่นของคู่ปรับเก่าเอฟเวอร์ตัน ทีมซึ่งมีสนามเหย้าเป็นของตัวเองที่ชื่อ "Anfield" แต่ด้วยข้อขัดแย้งบางอย่างทำให้เอฟเวอร์ตันต้องลาจากถิ่นเดิมของตัวเองไปใช้สนามใหม่ที่ชื่อว่า "Goodison" และหลังจากนั้นเอง จอห์น ฮูลดิ้ง ผู้เป็นเจ้าของสนาม Anfield ก็ได้ก่อตั้งสโมสรแห่งใหม่ขึ้น โดยให้ชื่อว่า Liverpool Association Football Club
ด้วยการเพิ่มจำนวนของทีมฟุตบอลในลีก ทำให้เกิดดิวิชั่น 2 ขึ้นในปี 1893 ซึ่งเป็นปีเดียวกับสโมสรที่ชื่อว่าลิเวอร์พูลได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกโดยเริ่มต้นในดิวิชั่น 2 โดยนัดแรกของสโมสรแห่งนี้ สามารถเอาชนะทีม Middlesbrough Ironopolis ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 แชมป์แรกของยอดทีมในตำนานอย่างลิเวอร์พูลเกิดขึ้นในฤดูกาลแข่งขันปี 1900-01 สามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกของสโมสร สถิติอันน่าอัศจรรย์คือไม่แพ้ใครเลยใน 12 เกมส์ท้ายสุดของการแข่งขัน และจบด้วยจำนวน 45 แต้ม ห่างจากทีม Sunderland ซึ่งตามมาในอันดับ 2 เพียง 2 แต้มเท่านั้น
ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษใหม่ แชมป์ตกอยู่ในมือของลิเวอร์พูลอีกครั้งในฤดูกาล 1905-06 ซึ่งเป็นเพียงฤดูกาลแรกหลังจากขึ้นชั้นมาจากดิวิชั่น 2 แต่กระนั้นลิเวอร์พูลก็ยังไม่หยุดที่จะกอบโกยความสำเร็จ โดยคว้าแชมป์ลีกอีก 2 ครั้งในปี 1922 และปี 1923 และเป็นรองแชมป์ FA Cup ในปี 1914 จากการแพ้ต่อ Burnley ไปอย่างฉิวเฉียด 1 ประตูต่อ 0
ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ได้อีกครั้ง แต่ไม่เท่าไร ก็ต้องตกลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 1954 อย่างไรก็ดี การเข้ามากุมบังเหียนของยอดกุนซือชาวสก๊อตอย่าง บิล แชงค์ลีย์ (Bill Shankly) ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1959 กำลังจะทำให้บางสิ่งบางอย่างในสโมสรแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยทุกคนไม่ทันได้รู้สึกตัว
ในปี 1962 คะแนนเพียง 8 แต้มก็เพียงพอจะทำให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ดิวิชั่น 2 และผงาดขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งดังเช่นที่เคยเป็นมา ในปีแรกที่กลับเข้าสู่ตารางของดิวิชั่น 1 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ได้ทันที ด้วยการทิ้งห่างตำแหน่งที่สองซึ่งเป็นคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Manchester United ถึง 4 แต้ม
แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ตำนานความสำเร็จที่แท้จริงของลิเวอร์พูลกำลังจะปรากฏให้เห็น ลิเวอร์พูลเถลิงความสำเร็จแรกของแชมป์ FA Cup ด้วยการเอาชนะ Leeds United ในการต่อเวลาไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1 ความสำเร็จของถ้วยนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลมีที่นั่งในการชิงชัย European Cup-Winners' Cup ในปี 1965-66 และเอาชนะยอดทีมในขณะนั้นอย่าง Celtic และ Juventus กลุยทางไปสู่ แฮมป์เด้น ปาร์ค ในรอบชิงชนะเลิศ แต่น่าเสียดายที่ลิเวอร์พูลทำได้แค่รองแชมป์เมื่อแพ้ต่อทีม Borussia Dortmund หลังจากต่อเวลาไปเพียง 2 ประตูต่อ 1
แต่แชมป์ลีกสูงสุดในปี 1965-66 ก็ทำให้ลิเวอร์พูลกลับสู่เส้นทางยุโรปอีกครั้งใน European Cup ถึงแม้ว่าใน 2 ปีก่อนหน้านั้น ลิเวอร์พูลจะทำได้ดีถึงรอบรองชนะเลิศ แต่ในคราวนี้ การแพ้ต่อ Ajax ทำให้ลิเวอร์พูลจบเส้นทางเพียงรอบสองเท่านั้น
เป็นเวลาถึง 6 ปีที่ลิเวอร์พูลไม่ได้สัมผัสแชมป์ใดๆ อีกเลย จนกระทั่งฤดูกาล 1972-73 ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้งโดยทิ้งห่างตำแหน่งรองแชมป์อย่าง Arsenal อยู่ 3 แต้ม และเข้าสู่ทำเนียบแชมป์ของยุโรปในเวลาต่อมา โดยสร้างความเจ็บปวดให้กับแฟน Borussia Munchengladbach ถึงถิ่นด้วยการชนะ 3 ประตูต่อ 0 แต่ก็กลับมาเล่นพลาดกันเองในถิ่น ถูก Munchengladbach ลบรอยแค้นไปได้ด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 0 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งลิเวอร์พูลไม่ให้เป็นแชมป์ UEFA Cup เป็นครั้งแรกได้ ผลประตูรวม 3 ประตูต่อ 2 ทำให้โทรฟี่ UEFA Cup ในครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของถ้วยยุโรปอื่นๆ อีกมากมายในเวลาต่อมา
แชงค์ลีย์ ยังพาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ FA Cup ในปี 1971 และกลับเข้าสู่สนามเวมบลีย์อีกครั้งในปี 1974 และเอาชนะ Nescastle ไปได้ถึง 3 ประตูต่อ 0 ปิดท้ายตำนานอันยิ่งใหญ่ของเขาด้วยการพาลิเวอร์พูลเป็นรองแชมป์ลีกในปีสุดท้ายที่เขาคุมทีม
บ๊อบ เพรียสลี่ย์ (Bob Paisley) รับช่วงการคุมทีมต่อจากแชงค์ลีย์ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ในปีแรกที่เข้าคุมทีม แต่ในปี 1975-76 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ UEFA Cup มาครองได้เป็นครั้งที่สอง ด้วยการชนะ Bruges สกอร์รวม 4 ประตูต่อ 3 และแชมป์ลีกก็กลับมาเป็นของลิเวอร์พูลอีกครั้งโดยทิ้งรองแชมป์อย่าง Queens Park Rangers เพียงแต้มเดียว
ฤดูกาล 1976-77 ลิเวอร์พูลเกือบเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือ แชมป์ลีกสูงสุด แชมป์ FA Cup และแชมป์ European Cup แม้จะเรียกได้ว่าเป็นแชมป์ลีกสูงสุดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเขี่ยบอล แต่ก็พลาดท่าพ่ายต่อคู่ปรับอย่าง Manchester United ใน FA Cup รอบชิงชนะเลิศ ไป 2 ประตูต่อ 1 แต่อย่างไรก็ดี อีก 4 วันต่อมา ลิเวอร์พูลก็บุกไปคว้าถ้วย European Cup มาจากกรุงโรม ด้วยการชนะ Borussia Munchengladbach 3 ประตูต่อ 1 และไม่หยุดแค่นั้น ยังคว้าแชมป์ European Super Cup ด้วยการเอาชนะ SV Hamburg สกอร์มโหฬารถึง 7 ประตูต่อ 1
แต่แมตซ์ชิงชนะเลิศ European Cup ก็กลายเป็นแมตซ์สุดท้ายของเควิน คีแกน (Kevin Keegan) และย้ายจะไปเล่นให้กับ SV Hamburg ในฤดูกาลหน้า แต่โชคยังเข้าข้างลิเวอร์พูล เพราะผู้เล่นที่เข้ามาแทนที่คีแกน ก็คือ อดีตผู้เล่นของ Celtic ที่ชื่อว่า เคนนี่ ดัลกลิช (Kenny Delglish) นั่นเอง
ในฤดูกาลต่อมาปี 1977-78 ลิเวอร์พูลก็ประกาศศักดาด้วยการป้องกันแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ และผู้ที่มีส่วนในชัยชนะ 1 ประตูต่อ 0 เหนือทีมเบลเยี่ยมอย่าง Bruges ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เคนนี่ ดักลิช นั่นเอง
Nottingham Forest เป็นแชมป์ลีกสูงสุดในปีเดียวกันกับที่ลิเวอร์พูลป้องกันแชมป์ European Cup ไว้ได้ ทำให้มีทีมจากอังกฤษถึง 2 ทีมในถ้วย European Cup ในฤดูกาลถัดมา และด้วยความบังเอิญ รอบแรกลิเวอร์พูลต้องโคจรมาพบกับ Nottingham Forest และเป็น Forest ที่เอาชนะลิเวอร์พูลจนก้าวไปคว้าถ้วย European Cup ได้สำเร็จ
ในปี 1978-79 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ลีกสูงสุดไว้ได้อีกครั้ง และก็ป้องกันแชมป์ได้อีกในฤดูกาล 1979-80 ต่อมา และในฤดูกาลนี้เองเป็นการปรากฏตัวของยอดกองหน้าที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน ชื่อของเขาก็คือ เอียน รัช (Ian Rush) เขาย้ายมาจาก Chester City และเริ่มเป็นที่รู้จักในเวทียุโรปเมื่อสโมสรลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ European Cup เป็นครั้งที่สาม ด้วยการเอาชนะยอดทีมอย่าง Real Madrid ด้วยประตู 1 ต่อ 0 และทำให้ เพรียสลี่ย์ เป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์สูงสุดของยุโรปได้ถึง 3 ครั้ง ช่วงฤดูร้อนในปี 1981 ที่ลิเวอร์พูลกำลังชื่นชมกับความสำเร็จ แต่แล้วในวันที่ 28 กันยายน ปี 1981 ลิเวอร์พูลต้องโศกเศร้ากับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของผู้สร้างรากฐานความสำเร็จของทีมอย่าง บิล แชงค์ลีย์ มีผู้ศรัทธาหลายพันคนร่วมงานไว้อาลัยต่อการจากไปของผู้ชุบชีวิตสโมสรที่วนเวียนอยู่ในดิวิชั่น 2 สู่ยอดทีมในระดับยุโรป.....บิล แชงค์ลีย์
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ลิเวอร์พูลยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องดังเช่นในช่วงปีที่ผ่านๆ มา แชมป์ League Cup ในปี 1981 และในปี 1982 แชมป์ลีกสูงสุดในปี 1982 และปี 1983 แทบจะทำให้ยอดทีมอย่างลิเวอร์พูลไร้เทียมทานในยุคนั้น ตอนปลายของฤดูกาล 1983 บ๊อบ เพรียสลี่ย์ก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจากพาทีมลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่ถึง 9 ปี และผู้ที่รับช่วงต่อก็คือ โจ เฟอร์แกน (Joe Fagan) ตำนานอีกบทหนึ่งของระบบบูทรูมสตาฟ (Boot Room Staff) และเฟอร์แกน ก็พาลิเวอร์พูลเป็นทั้งแชมป์ลีกและแชมป์ยุโรปในปีแรกที่เขาเข้ามาคุมทีม
คู่ต่อกรทีมลิเวอร์พูลในปีนั้นก็คือ โรม่า หลังต่อเวลาพิเศษออกไปแล้วยังเสมอกัน 1 ประตูต่อ 1 จนต้องตัดสินชี้ชะตาแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษ สตีฟ นิโคล (Steve Nicol) รับอาสายิงเป็นคนแรก แต่แล้วก็พลาด แม้ลิเวอร์พูลจะตกเป็นรอง แต่โชคก็ยังเข้าข้าง เมื่อโรม่าพลาดการยิงจุดโทษในลูกสุดท้าย ทำให้ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายกำชัยไปด้วยสกอร์ 4 ประตูต่อ 2 หงส์แดงยังแรงฤทธิ์ต่อมาอีกในฤดูกาลถัดมาด้วยการเข้าชิงชนะเลิศในถ้วย European Cup แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สนามเฮสเซล (Heysel Stadium) ก็สร้างบทเรียนหลายอย่างให้กับวงการฟุตบอล รวมถึงการห้ามเข้าร่วมแข่งขันบอลถ้วยยุโรปของทีมจากอังกฤษเป็นเวลาหลายปี
ช่วงเวลาไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไป โจ เฟอร์แกน ก็ก้าวลงจากตำแหน่ง และเคนนี่ ดัลกลิช (Kenny Dalglish) ก็รับหน้าที่ผู้เล่น ผู้จัดการทีมต่อจากโจ เฟอร์แกน แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันในถ้วยยุโรปได้ ก่อนสิ้นทศวรรษที่ 80ลิเวอร์พูลก็กวาดแชมป์ลีกสูงสุดต่อมาอีก 3 ครั้ง และเป็นแชมป์ FA Cup อีกครั้งในปี 1986 และปี 1989 รองแชมป์ League Cup ในปี 1987 และรองแชมป์ FA Cup ในปี 1988 หลังจากแพ้ทีม Wimbledon
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1991 ดัลกลิชลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อาจทนแรงกดดันจากการเป็นยอดทีมของลิเวอร์พูลได้ รอนนี่ มอแรน (Ronnie Moran) เข้ามารับหน้าที่จัดการทีมในช่วงสั้นๆ เพื่อไม่ให้แฟนทีมเกิดความวิตก ในช่วงเดือนเมษายน เกรแฮมม์ ซูเนส (Graeme Souness) ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนต่อมาของลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ และในปีถัดมาคว้าแชมป์ FA Cup ด้วยการเอาชนะทีมในดิวิชั่น 2 อย่าง Sunderland ในนัดชิงชนะเลิศพร้อมกับการแจ้งเกิดของปีกดาวรุ่งอย่างสตีฟ แม็คมานามาน
ซูเนสยังคงอยู่ในตำแหน่ง จนกระทั่งเดือนมกราคม ปี 1994 เขาก็รอดตัวจากทั้งการผ่าตัดหัวใจและกระแสข่าวในแง่ร้ายหลังจากเรื่องราวบางส่วนของเขาได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ แต่แล้วหลังจากที่เขาพาทีมลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ต่อทีม Bristol City เขาก็ลาออกจากตำแหน่ง และมอบภาระอันหนักอึ้งในฐานะผู้จัดการทีมให้กับรอย อีแวนส์ (Roy Evan) เป็นผู้สานต่อ
ฤดูกาล 1993-94 ลิเวอร์พูลจบด้วยการคว้าเพียงตำแหน่งอันดับที่ 8 ของตารางพรีเมียร์ชิพ ถือเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดนับแต่ปี 1962 ที่ลิเวอร์พูลได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดของประเทศ เรื่องน่าเศร้าก็ยังไม่หมดแค่นั้น อัฒจรรย์ฝั่ง Kop ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Anfield ต้องถูกปรับปรุงใหม่หมดตามความต้องการในรายงานของเทเลอร์ (Taylor Report) ที่อยากให้อัฒจรรย์ของทีมในพรีเมียร์ชิพเป็นที่นั่งทั้งหมด ฉะนั้น Kop Terrace จึงถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นที่นั่งทั้งหมดและมีชื่อว่า Art stand
ชัยชนะเหนือ Bolton Wanderers ในปี 1995 ทำให้ลิเวอร์พูลก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์อีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงแชมป์ League Cup ก็ตาม แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดที่สุดแก่ทีม Manchester United ในรอบชิงชนะเลิศ FA Cup เมื่อปี 1996 ทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จที่ดีที่สุดเท่าที่ลิเวอร์พูลจะไขว่คว้าได้ในรอบ 3 ปีหลังสุด แต่ด้วยนักเตะรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง รอบบี้ ฟาวเลอร์ หรือสตีฟ แม็กมานามาน แม้กระทั่งเจมี่ เรดแนปป์ ซึ่งต่างกระหากในชัยชนะ ลิเวอร์พูลจึงยังคงเป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์อยู่ตลอดเวลาในหลายฤดูกาลถัดมา
ทีมที่ยิ่งใหญ่อย่าง Burnley และ Peston North End ต่างก็กลายเป็นทีมที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ และลิเวอร์พูลก็ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในยอดทีมของอังกฤษที่กำลังประสบภาวะการณ์เช่นนั้น แต่สโมสรก็ยังสามารถผลิตนักเตะชั้นแนวหน้าอนาคตไกลได้อย่างต่อเนื่อง นักเตะรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์อย่างไมเคิล โอเว่น อาจเป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อพิสูจน์คำกล่าวข้างต้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามความสามารถอย่างล้นเหลือของผู้เล่นเพียงคนเดียวก็ไม่อาจพาทีมลิเวอร์พูลกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้ ลิเวอร์พูลยังคงต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จในลีกสูงสุดของประเทศและเส้นทางของถ้วยยุโรป
ในฤดูกาล 1997-98 ลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ดีที่สุดเพียงแค่อันดับ 3 แต่สำหรับลิเวอร์พูลแล้วอันดับที่ 3 ยังไม่ใช่หนทางแห่งความสำเร็จที่ทุกคนต้องการ เดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ลิเวอร์พูลพบกับความปราชัยครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อระยะเวลาเพียงแค่ 7 วัน ลิเวอร์พูลต้องพบกับความพ่ายแพ้ติดต่อกันถึง 3 นัดในถิ่น Anfield ของตัวเอง
รอย อีแวนส์ ต้องจากสโมสรไปด้วยความขมขื่น ทิ้งให้เป็นภาระหน้าที่ของกุนซือชาวฝรั่งเศสอย่าง เชราร์ด ฮูลิเยร์ (Gerard Houllier) ทำหน้าที่ต่อไปเพียงผู้เดียว หลังจากทั้งสองคนใช้เวลา 3 เดือนก่อนหน้านี้ในการร่วมกันคุมทีมลิเวอร์พูล
ฮูลิเยร์เริ่มต้นปรับเปลี่ยนทีมอย่างมโหฬารในช่วงฤดูร้อนของปี 1998 ด้วยการปล่อยนักเตะอย่าง สตีฟ แม็กมานามาน, เดวิด เจมส์, พอล อินซ์ และร็อบ โจนส์ ออกจากทีม และคว้าตัวนักเตะ ซึ่งเป็นชาวต่างชาติเข้าสู่ทีม
ฮูลิเยร์ปรับเปลี่ยนทีมเพื่อให้พร้อมที่จะก้าวสู่ความสำเร็จดังเช่นในอดีตอีกครั้ง แต่ความสำเร็จนั้นไม่อาจเป็นจริงได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่ต้องรอถึง 2 ฤดูกาลถัดมา ลิเวอร์พูลจึงคว้าถ้วยแชมป์ถึง 3 ใบเข้าสู่สโมสรในเวลาเดียวกัน ถ้วย League Cup เป็นผลมาจากชัยชนะเหนือ Birmingham และถือเป็นแชมป์แรกในรอบ 6 ปีของทีมอย่างลิเวอร์พูล และตามมาติดๆ ด้วยแชมป์ FA Cup ตบท้ายในอีก 2 เดือนถัดมาด้วยถ้วย UEFA Cup จากการชนะทีมจากสเปนสกอร์ 5 ประตูต่อ 4 หลังจากต่อเวลาพิเศษ (และหลังจากนั้นก็คว้า Super Cup มาครองได้อีกหนึ่งใบ ผู้แปล)
แปลและเรียบเรียงโดย เอเธนส์
ที่มา : http://www.walkonlfc.com/history.htm
Credits: www.liverpoolthailand.com * *
ลิเวอร์พูลยอดทีมของเกาะอังกฤษที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ทีมซึ่งเป็นแชมป์สูงสุดของประเทศมากเป็นประวัติการณ์ถึง 18 ครั้ง ...
ลิเวอร์พูลยอดทีมของเกาะอังกฤษที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล ทีมซึ่งเป็นแชมป์สูงสุดของประเทศมากเป็นประวัติการณ์ถึง 18 ครั้ง ชนะเลิศ FA Cup และ League Cup อีกอย่างละ 5 สมัย ถ้วย UEFA Cup อีก 2 ใบ และโลดแล่นในแชมป์สูงสุดของยุโรป European Cup ถึง 4 ครั้ง เท่านั้นยังไม่พอ เป็นแชมป์ European Super Cup อีก 1 สมัยและรองแชมป์สโมสรโลกหนึ่งครั้งในปี 1981
ตำนานของยอดทีมลิเวอร์พูลเริ่มต้นในถิ่นของคู่ปรับเก่าเอฟเวอร์ตัน ทีมซึ่งมีสนามเหย้าเป็นของตัวเองที่ชื่อ "Anfield" แต่ด้วยข้อขัดแย้งบางอย่างทำให้เอฟเวอร์ตันต้องลาจากถิ่นเดิมของตัวเองไปใช้สนามใหม่ที่ชื่อว่า "Goodison" และหลังจากนั้นเอง จอห์น ฮูลดิ้ง ผู้เป็นเจ้าของสนาม Anfield ก็ได้ก่อตั้งสโมสรแห่งใหม่ขึ้น โดยให้ชื่อว่า Liverpool Association Football Club
ด้วยการเพิ่มจำนวนของทีมฟุตบอลในลีก ทำให้เกิดดิวิชั่น 2 ขึ้นในปี 1893 ซึ่งเป็นปีเดียวกับสโมสรที่ชื่อว่าลิเวอร์พูลได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกโดยเริ่มต้นในดิวิชั่น 2 โดยนัดแรกของสโมสรแห่งนี้ สามารถเอาชนะทีม Middlesbrough Ironopolis ไปได้ 2 ประตูต่อ 0 แชมป์แรกของยอดทีมในตำนานอย่างลิเวอร์พูลเกิดขึ้นในฤดูกาลแข่งขันปี 1900-01 สามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นครั้งแรกของสโมสร สถิติอันน่าอัศจรรย์คือไม่แพ้ใครเลยใน 12 เกมส์ท้ายสุดของการแข่งขัน และจบด้วยจำนวน 45 แต้ม ห่างจากทีม Sunderland ซึ่งตามมาในอันดับ 2 เพียง 2 แต้มเท่านั้น
ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษใหม่ แชมป์ตกอยู่ในมือของลิเวอร์พูลอีกครั้งในฤดูกาล 1905-06 ซึ่งเป็นเพียงฤดูกาลแรกหลังจากขึ้นชั้นมาจากดิวิชั่น 2 แต่กระนั้นลิเวอร์พูลก็ยังไม่หยุดที่จะกอบโกยความสำเร็จ โดยคว้าแชมป์ลีกอีก 2 ครั้งในปี 1922 และปี 1923 และเป็นรองแชมป์ FA Cup ในปี 1914 จากการแพ้ต่อ Burnley ไปอย่างฉิวเฉียด 1 ประตูต่อ 0
ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ได้อีกครั้ง แต่ไม่เท่าไร ก็ต้องตกลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 1954 อย่างไรก็ดี การเข้ามากุมบังเหียนของยอดกุนซือชาวสก๊อตอย่าง บิล แชงค์ลีย์ (Bill Shankly) ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1959 กำลังจะทำให้บางสิ่งบางอย่างในสโมสรแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปโดยทุกคนไม่ทันได้รู้สึกตัว
ในปี 1962 คะแนนเพียง 8 แต้มก็เพียงพอจะทำให้ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ดิวิชั่น 2 และผงาดขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งดังเช่นที่เคยเป็นมา ในปีแรกที่กลับเข้าสู่ตารางของดิวิชั่น 1 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ได้ทันที ด้วยการทิ้งห่างตำแหน่งที่สองซึ่งเป็นคู่ปรับตลอดกาลอย่าง Manchester United ถึง 4 แต้ม
แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ตำนานความสำเร็จที่แท้จริงของลิเวอร์พูลกำลังจะปรากฏให้เห็น ลิเวอร์พูลเถลิงความสำเร็จแรกของแชมป์ FA Cup ด้วยการเอาชนะ Leeds United ในการต่อเวลาไปด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 1 ความสำเร็จของถ้วยนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลมีที่นั่งในการชิงชัย European Cup-Winners' Cup ในปี 1965-66 และเอาชนะยอดทีมในขณะนั้นอย่าง Celtic และ Juventus กลุยทางไปสู่ แฮมป์เด้น ปาร์ค ในรอบชิงชนะเลิศ แต่น่าเสียดายที่ลิเวอร์พูลทำได้แค่รองแชมป์เมื่อแพ้ต่อทีม Borussia Dortmund หลังจากต่อเวลาไปเพียง 2 ประตูต่อ 1
แต่แชมป์ลีกสูงสุดในปี 1965-66 ก็ทำให้ลิเวอร์พูลกลับสู่เส้นทางยุโรปอีกครั้งใน European Cup ถึงแม้ว่าใน 2 ปีก่อนหน้านั้น ลิเวอร์พูลจะทำได้ดีถึงรอบรองชนะเลิศ แต่ในคราวนี้ การแพ้ต่อ Ajax ทำให้ลิเวอร์พูลจบเส้นทางเพียงรอบสองเท่านั้น
เป็นเวลาถึง 6 ปีที่ลิเวอร์พูลไม่ได้สัมผัสแชมป์ใดๆ อีกเลย จนกระทั่งฤดูกาล 1972-73 ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ลีกสูงสุดอีกครั้งโดยทิ้งห่างตำแหน่งรองแชมป์อย่าง Arsenal อยู่ 3 แต้ม และเข้าสู่ทำเนียบแชมป์ของยุโรปในเวลาต่อมา โดยสร้างความเจ็บปวดให้กับแฟน Borussia Munchengladbach ถึงถิ่นด้วยการชนะ 3 ประตูต่อ 0 แต่ก็กลับมาเล่นพลาดกันเองในถิ่น ถูก Munchengladbach ลบรอยแค้นไปได้ด้วยสกอร์ 2 ประตูต่อ 0 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งลิเวอร์พูลไม่ให้เป็นแชมป์ UEFA Cup เป็นครั้งแรกได้ ผลประตูรวม 3 ประตูต่อ 2 ทำให้โทรฟี่ UEFA Cup ในครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของถ้วยยุโรปอื่นๆ อีกมากมายในเวลาต่อมา
แชงค์ลีย์ ยังพาลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ FA Cup ในปี 1971 และกลับเข้าสู่สนามเวมบลีย์อีกครั้งในปี 1974 และเอาชนะ Nescastle ไปได้ถึง 3 ประตูต่อ 0 ปิดท้ายตำนานอันยิ่งใหญ่ของเขาด้วยการพาลิเวอร์พูลเป็นรองแชมป์ลีกในปีสุดท้ายที่เขาคุมทีม
บ๊อบ เพรียสลี่ย์ (Bob Paisley) รับช่วงการคุมทีมต่อจากแชงค์ลีย์ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ในปีแรกที่เข้าคุมทีม แต่ในปี 1975-76 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ UEFA Cup มาครองได้เป็นครั้งที่สอง ด้วยการชนะ Bruges สกอร์รวม 4 ประตูต่อ 3 และแชมป์ลีกก็กลับมาเป็นของลิเวอร์พูลอีกครั้งโดยทิ้งรองแชมป์อย่าง Queens Park Rangers เพียงแต้มเดียว
ฤดูกาล 1976-77 ลิเวอร์พูลเกือบเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือ แชมป์ลีกสูงสุด แชมป์ FA Cup และแชมป์ European Cup แม้จะเรียกได้ว่าเป็นแชมป์ลีกสูงสุดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเขี่ยบอล แต่ก็พลาดท่าพ่ายต่อคู่ปรับอย่าง Manchester United ใน FA Cup รอบชิงชนะเลิศ ไป 2 ประตูต่อ 1 แต่อย่างไรก็ดี อีก 4 วันต่อมา ลิเวอร์พูลก็บุกไปคว้าถ้วย European Cup มาจากกรุงโรม ด้วยการชนะ Borussia Munchengladbach 3 ประตูต่อ 1 และไม่หยุดแค่นั้น ยังคว้าแชมป์ European Super Cup ด้วยการเอาชนะ SV Hamburg สกอร์มโหฬารถึง 7 ประตูต่อ 1
แต่แมตซ์ชิงชนะเลิศ European Cup ก็กลายเป็นแมตซ์สุดท้ายของเควิน คีแกน (Kevin Keegan) และย้ายจะไปเล่นให้กับ SV Hamburg ในฤดูกาลหน้า แต่โชคยังเข้าข้างลิเวอร์พูล เพราะผู้เล่นที่เข้ามาแทนที่คีแกน ก็คือ อดีตผู้เล่นของ Celtic ที่ชื่อว่า เคนนี่ ดัลกลิช (Kenny Delglish) นั่นเอง
ในฤดูกาลต่อมาปี 1977-78 ลิเวอร์พูลก็ประกาศศักดาด้วยการป้องกันแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ และผู้ที่มีส่วนในชัยชนะ 1 ประตูต่อ 0 เหนือทีมเบลเยี่ยมอย่าง Bruges ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เคนนี่ ดักลิช นั่นเอง
Nottingham Forest เป็นแชมป์ลีกสูงสุดในปีเดียวกันกับที่ลิเวอร์พูลป้องกันแชมป์ European Cup ไว้ได้ ทำให้มีทีมจากอังกฤษถึง 2 ทีมในถ้วย European Cup ในฤดูกาลถัดมา และด้วยความบังเอิญ รอบแรกลิเวอร์พูลต้องโคจรมาพบกับ Nottingham Forest และเป็น Forest ที่เอาชนะลิเวอร์พูลจนก้าวไปคว้าถ้วย European Cup ได้สำเร็จ
ในปี 1978-79 ลิเวอร์พูลก็คว้าแชมป์ลีกสูงสุดไว้ได้อีกครั้ง และก็ป้องกันแชมป์ได้อีกในฤดูกาล 1979-80 ต่อมา และในฤดูกาลนี้เองเป็นการปรากฏตัวของยอดกองหน้าที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน ชื่อของเขาก็คือ เอียน รัช (Ian Rush) เขาย้ายมาจาก Chester City และเริ่มเป็นที่รู้จักในเวทียุโรปเมื่อสโมสรลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ European Cup เป็นครั้งที่สาม ด้วยการเอาชนะยอดทีมอย่าง Real Madrid ด้วยประตู 1 ต่อ 0 และทำให้ เพรียสลี่ย์ เป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์สูงสุดของยุโรปได้ถึง 3 ครั้ง ช่วงฤดูร้อนในปี 1981 ที่ลิเวอร์พูลกำลังชื่นชมกับความสำเร็จ แต่แล้วในวันที่ 28 กันยายน ปี 1981 ลิเวอร์พูลต้องโศกเศร้ากับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของผู้สร้างรากฐานความสำเร็จของทีมอย่าง บิล แชงค์ลีย์ มีผู้ศรัทธาหลายพันคนร่วมงานไว้อาลัยต่อการจากไปของผู้ชุบชีวิตสโมสรที่วนเวียนอยู่ในดิวิชั่น 2 สู่ยอดทีมในระดับยุโรป.....บิล แชงค์ลีย์
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ลิเวอร์พูลยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องดังเช่นในช่วงปีที่ผ่านๆ มา แชมป์ League Cup ในปี 1981 และในปี 1982 แชมป์ลีกสูงสุดในปี 1982 และปี 1983 แทบจะทำให้ยอดทีมอย่างลิเวอร์พูลไร้เทียมทานในยุคนั้น ตอนปลายของฤดูกาล 1983 บ๊อบ เพรียสลี่ย์ก้าวลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังจากพาทีมลิเวอร์พูลยิ่งใหญ่ถึง 9 ปี และผู้ที่รับช่วงต่อก็คือ โจ เฟอร์แกน (Joe Fagan) ตำนานอีกบทหนึ่งของระบบบูทรูมสตาฟ (Boot Room Staff) และเฟอร์แกน ก็พาลิเวอร์พูลเป็นทั้งแชมป์ลีกและแชมป์ยุโรปในปีแรกที่เขาเข้ามาคุมทีม
คู่ต่อกรทีมลิเวอร์พูลในปีนั้นก็คือ โรม่า หลังต่อเวลาพิเศษออกไปแล้วยังเสมอกัน 1 ประตูต่อ 1 จนต้องตัดสินชี้ชะตาแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษ สตีฟ นิโคล (Steve Nicol) รับอาสายิงเป็นคนแรก แต่แล้วก็พลาด แม้ลิเวอร์พูลจะตกเป็นรอง แต่โชคก็ยังเข้าข้าง เมื่อโรม่าพลาดการยิงจุดโทษในลูกสุดท้าย ทำให้ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายกำชัยไปด้วยสกอร์ 4 ประตูต่อ 2 หงส์แดงยังแรงฤทธิ์ต่อมาอีกในฤดูกาลถัดมาด้วยการเข้าชิงชนะเลิศในถ้วย European Cup แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สนามเฮสเซล (Heysel Stadium) ก็สร้างบทเรียนหลายอย่างให้กับวงการฟุตบอล รวมถึงการห้ามเข้าร่วมแข่งขันบอลถ้วยยุโรปของทีมจากอังกฤษเป็นเวลาหลายปี
ช่วงเวลาไม่นานหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไป โจ เฟอร์แกน ก็ก้าวลงจากตำแหน่ง และเคนนี่ ดัลกลิช (Kenny Dalglish) ก็รับหน้าที่ผู้เล่น ผู้จัดการทีมต่อจากโจ เฟอร์แกน แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันในถ้วยยุโรปได้ ก่อนสิ้นทศวรรษที่ 80ลิเวอร์พูลก็กวาดแชมป์ลีกสูงสุดต่อมาอีก 3 ครั้ง และเป็นแชมป์ FA Cup อีกครั้งในปี 1986 และปี 1989 รองแชมป์ League Cup ในปี 1987 และรองแชมป์ FA Cup ในปี 1988 หลังจากแพ้ทีม Wimbledon
ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1991 ดัลกลิชลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อาจทนแรงกดดันจากการเป็นยอดทีมของลิเวอร์พูลได้ รอนนี่ มอแรน (Ronnie Moran) เข้ามารับหน้าที่จัดการทีมในช่วงสั้นๆ เพื่อไม่ให้แฟนทีมเกิดความวิตก ในช่วงเดือนเมษายน เกรแฮมม์ ซูเนส (Graeme Souness) ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนต่อมาของลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งรองแชมป์ และในปีถัดมาคว้าแชมป์ FA Cup ด้วยการเอาชนะทีมในดิวิชั่น 2 อย่าง Sunderland ในนัดชิงชนะเลิศพร้อมกับการแจ้งเกิดของปีกดาวรุ่งอย่างสตีฟ แม็คมานามาน
ซูเนสยังคงอยู่ในตำแหน่ง จนกระทั่งเดือนมกราคม ปี 1994 เขาก็รอดตัวจากทั้งการผ่าตัดหัวใจและกระแสข่าวในแง่ร้ายหลังจากเรื่องราวบางส่วนของเขาได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ แต่แล้วหลังจากที่เขาพาทีมลิเวอร์พูลพ่ายแพ้ต่อทีม Bristol City เขาก็ลาออกจากตำแหน่ง และมอบภาระอันหนักอึ้งในฐานะผู้จัดการทีมให้กับรอย อีแวนส์ (Roy Evan) เป็นผู้สานต่อ
ฤดูกาล 1993-94 ลิเวอร์พูลจบด้วยการคว้าเพียงตำแหน่งอันดับที่ 8 ของตารางพรีเมียร์ชิพ ถือเป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดนับแต่ปี 1962 ที่ลิเวอร์พูลได้เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดของประเทศ เรื่องน่าเศร้าก็ยังไม่หมดแค่นั้น อัฒจรรย์ฝั่ง Kop ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Anfield ต้องถูกปรับปรุงใหม่หมดตามความต้องการในรายงานของเทเลอร์ (Taylor Report) ที่อยากให้อัฒจรรย์ของทีมในพรีเมียร์ชิพเป็นที่นั่งทั้งหมด ฉะนั้น Kop Terrace จึงถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นที่นั่งทั้งหมดและมีชื่อว่า Art stand
ชัยชนะเหนือ Bolton Wanderers ในปี 1995 ทำให้ลิเวอร์พูลก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์อีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงแชมป์ League Cup ก็ตาม แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดที่สุดแก่ทีม Manchester United ในรอบชิงชนะเลิศ FA Cup เมื่อปี 1996 ทั้งหมดนี้เป็นความสำเร็จที่ดีที่สุดเท่าที่ลิเวอร์พูลจะไขว่คว้าได้ในรอบ 3 ปีหลังสุด แต่ด้วยนักเตะรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง รอบบี้ ฟาวเลอร์ หรือสตีฟ แม็กมานามาน แม้กระทั่งเจมี่ เรดแนปป์ ซึ่งต่างกระหากในชัยชนะ ลิเวอร์พูลจึงยังคงเป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์อยู่ตลอดเวลาในหลายฤดูกาลถัดมา
ทีมที่ยิ่งใหญ่อย่าง Burnley และ Peston North End ต่างก็กลายเป็นทีมที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ และลิเวอร์พูลก็ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในยอดทีมของอังกฤษที่กำลังประสบภาวะการณ์เช่นนั้น แต่สโมสรก็ยังสามารถผลิตนักเตะชั้นแนวหน้าอนาคตไกลได้อย่างต่อเนื่อง นักเตะรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์อย่างไมเคิล โอเว่น อาจเป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อพิสูจน์คำกล่าวข้างต้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามความสามารถอย่างล้นเหลือของผู้เล่นเพียงคนเดียวก็ไม่อาจพาทีมลิเวอร์พูลกลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้ ลิเวอร์พูลยังคงต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จในลีกสูงสุดของประเทศและเส้นทางของถ้วยยุโรป
ในฤดูกาล 1997-98 ลิเวอร์พูลจบด้วยอันดับที่ดีที่สุดเพียงแค่อันดับ 3 แต่สำหรับลิเวอร์พูลแล้วอันดับที่ 3 ยังไม่ใช่หนทางแห่งความสำเร็จที่ทุกคนต้องการ เดือนพฤศจิกายน ปี 1998 ลิเวอร์พูลพบกับความปราชัยครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อระยะเวลาเพียงแค่ 7 วัน ลิเวอร์พูลต้องพบกับความพ่ายแพ้ติดต่อกันถึง 3 นัดในถิ่น Anfield ของตัวเอง
รอย อีแวนส์ ต้องจากสโมสรไปด้วยความขมขื่น ทิ้งให้เป็นภาระหน้าที่ของกุนซือชาวฝรั่งเศสอย่าง เชราร์ด ฮูลิเยร์ (Gerard Houllier) ทำหน้าที่ต่อไปเพียงผู้เดียว หลังจากทั้งสองคนใช้เวลา 3 เดือนก่อนหน้านี้ในการร่วมกันคุมทีมลิเวอร์พูล
ฮูลิเยร์เริ่มต้นปรับเปลี่ยนทีมอย่างมโหฬารในช่วงฤดูร้อนของปี 1998 ด้วยการปล่อยนักเตะอย่าง สตีฟ แม็กมานามาน, เดวิด เจมส์, พอล อินซ์ และร็อบ โจนส์ ออกจากทีม และคว้าตัวนักเตะ ซึ่งเป็นชาวต่างชาติเข้าสู่ทีม
ฮูลิเยร์ปรับเปลี่ยนทีมเพื่อให้พร้อมที่จะก้าวสู่ความสำเร็จดังเช่นในอดีตอีกครั้ง แต่ความสำเร็จนั้นไม่อาจเป็นจริงได้เพียงชั่วข้ามคืนแต่ต้องรอถึง 2 ฤดูกาลถัดมา ลิเวอร์พูลจึงคว้าถ้วยแชมป์ถึง 3 ใบเข้าสู่สโมสรในเวลาเดียวกัน ถ้วย League Cup เป็นผลมาจากชัยชนะเหนือ Birmingham และถือเป็นแชมป์แรกในรอบ 6 ปีของทีมอย่างลิเวอร์พูล และตามมาติดๆ ด้วยแชมป์ FA Cup ตบท้ายในอีก 2 เดือนถัดมาด้วยถ้วย UEFA Cup จากการชนะทีมจากสเปนสกอร์ 5 ประตูต่อ 4 หลังจากต่อเวลาพิเศษ (และหลังจากนั้นก็คว้า Super Cup มาครองได้อีกหนึ่งใบ ผู้แปล)
แปลและเรียบเรียงโดย เอเธนส์
ที่มา : http://www.walkonlfc.com/history.htm
Credits: www.liverpoolthailand.com * *
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น