----ต้นไม้แห่งชีวิต-----
ออกแนววิทยาศาสตร์นิดๆ ปรัชญาหน่อยๆ แอบซึ้งเล็กๆ ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ครับ เข้ามาอ่านกันหน่อยนะ
ผู้เข้าชมรวม
384
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เขาก้มลงเหนือร่างเล็กๆบนเตียงในห้องทดลอง มองแววตาที่แสดงความอ้อนวอนอย่างเฉยเมยและเอื้อมมือไปหยิบมีดผ่าตัดกรีดลงบนร่างนั้น เลือดสีแดงสดไหลออกมาตามคมมีด ร่างนั้นส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดแล้วเงียบนิ่งไป มือของเขาล้วงเข้าไปในร่างเล็กจ้อยนั้นเพื่อหาบางอย่าง และเขาก็พบ
เขาหยิบก้อนเนื้อก้อนเล็กๆที่อยู่บริเวณตับของหนูขาวตัวที่เขาผ่าออกมา เลือดสีแดงติดมือ เขาเอามันมามองใกล้ๆเพื่อพิจารณา มันมีขนาดเล็กลงจากเดิมมาก
ใจของเขาเต้นแรง การทดลองครั้งล่าสุดนี้ได้ผล ถึงแม้จะยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ขนาดของก้อนเนื้อร้ายนั้นได้เล็กลงแล้ว นับว่าการทดลองนี้สำเร็จได้ไปขั้นหนึ่ง
"เรามาถูกทางแล้ว" เขาพูดกับตัวเองด้วยความดีใจ
๏๏๏๏๏
เขาเดินเข้ามาในห้องที่มีม่านสีขาวปิดไว้ แสงจากภายนอกสาดมากระทบผ้าม่านทำให้เกิดความสว่างที่นวลตาภายในห้อง เขาเดินไปหาผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงนอน เธอนอนหันหน้าไปทางหน้าต่างที่มีม่านปิดไว้
"เรเชล ผมมีข่าวดีมาบอกคุณนะ" เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียงและพูดกับเธอ เรเชลพลิกตัวหันมาหาเขาในท่านอนและยิ้มตอบกลับมาด้วยความอ่อนโยน
"ข่าวอะไรเหรอทิม ช่วงนี้ฉันเห็นแต่คุณเข้าไปในห้องทดลองทุกวันเลย"
"ข่าวดีของผมก็คือ ผมทดลองขั้นแรกสำเร็จแล้วนะ ยารักษามะเร็งตัวนี้จะทำให้คุณหายได้ยังไงล่ะ คุณจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม เหมือนทีเราเจอกันในตอนแรกยังไงล่ะ" เขาพูดโดยที่อดยิ้มไม่ได้ ใบหน้าของทิมเต็มไปด้วยความสดใสเมื่อพูดถึงการทดลองหายารักษาโรคมะเร็งที่กำลังจะสำเร็จในไม่ช้า แต่เรเชลกลับยิ้มเพียงแค่เล็กน้อยกับข่าวดีที่ทิมนำมาบอก ราวกับว่ามันไม่สำคัญมากมายนัก ทิมหุบยิ้มลงในทันที
"คุณไม่ดีใจเหรอเรเชล คุณกำลังจะหายนะ" ทิมจับมือเธอขึ้นมากุมไว้ เรเชลยิ้มตอบกลับมาให้กับเขา ดูตลกกับใบหน้าของเขาในตอนนี้ เธอหัวเราะน้อยๆ
"เปล่าหรอก ฉันดีใจสิ แต่ฉันกลัวว่าคุณจะเหนื่อยมากเกินไปนะ ฉันไม่เห็นคุณออกไปไหนเลย" เธอดึงมือของเธอออกมาจากมือของทิม แล้วดันตัวลุกขึ้นนั่ง หันหน้าไปทางชายที่เขารัก
"พรุ่งนี้เราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันดีไหม" เรเชลถามทิมที่ยังคงทำหน้าสงสัย "เราไม่ได้ออกไปไหนด้วยกันหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ฉันอยากไปเดินเล่นบ้าง เผื่อว่ามันจะหายโดยที่ไม่ต้องใช้ยาของคุณไง" เธอยิ้มให้ทิมที่กำลังตัดสินใจ
"ได้สิ" ทิมตอบกลับมา เรเชลยิ้มรับคำตอบนั้นอย่างยินดี "แต่ผมอยากทดลองต่อเร็วๆน่ะ ต้องกลับกันก่อนเที่ยง ได้หรือเปล่า" ทิมถามกลับมาอย่างไม่แน่ใจ
"ได้อยู่แล้ว แค่คุณออกจากบ้านฉันก็ดีใจแล้ว" เรเชลยิ้มอย่างร่าเริง แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ทิมลุกยืนและดึงผ้าห่มมาคลุมให้เธอ เขาก้มลงจูบที่แก้มเธอแล้วเดินออกไปจากห้อง
๏๏๏๏๏
กระต่ายตัวสีขาวหลายตัวขังอยู่ในกรงภายในห้องทดลอง มันนอนเบียดกันอยู่ในกรงอย่างเกียจคร้าน ทิมเปิดกรงออกหยิบกระต่ายออกมาตัวหนึ่งก่อนหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาดูดสารเคมีจากหลอดทดลองแล้วบรรจงฉีดสารนั้นเข้าไปในตัวกระต่ายอย่างใจเย็น
ทิมฉีดสารเคมีเข้าไปกับกระต่ายครบทุกตัวแล้วนำพวกมันไปขังไว้เช่นเดิม เขาบันทึกวันและเวลาในกระดาษ คงต้องรออีกสักประมาณหนึ่งอาทิตย์กว่ามะเร็งจะก่อตัวเป็นก้อน จากนั้นค่อยทดลองฉีดยารักษาโรคมะเร็งที่เขาพยายามคิดค้นมานาน มันได้ผลกับหนูมาแล้ว เมื่อนำมาทดลองกับสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมันก็คงได้ผลเช่นกัน ทิมยิ้มด้วยความดีใจ เขาทุ่มเทชีวิตเพื่อคิดค้นยารักษาโรคมะเร็งนี้เพื่อเรเชล คนรักของเขา เพื่อที่เธอจะได้หายเป็นปกติและอยู่กับเขาไปได้นานๆ
เมื่อเรเชลเริ่มแสดงอาการเมื่อหลายเดือนก่อนนั้น เขาได้ส่งเธอไปที่โรงพยาบาล ข่าวที่ได้รับจากหมอนับว่าเป็นข่าวร้ายที่สุดที่เคยเจอมา เรเชลเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาและคงต้องตายภายในเวลาไม่นาน ความเศร้าโศกเสียใจเริ่มเกาะกุมใจของทิม เมื่อเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว การพยายามหายารักษาโรคร้ายนี้คงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นนัก หลังจากนั้นทิมพาเรเชลมารักษาตัวที่บ้านแทนการอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อที่เขาจะได้ใกล้ชิดกับเธอแม้กระทั่งในยามทดลอง
ทิมมองไปรอบห้องทดลอง กรงหนูขาวหายไปแล้วเพราะการทดลองขั้นแรกได้ผล ตอนนี้มีกรงกระต่ายมาแทนที่ เขามองเข้าไปในกรง มองกระต่ายที่กำลังหลับไม่รู้ถึงการทดลองที่จะทำลายชีวิตพวกมันที่กำลังจะมาถึง ความสงสารสัตว์เหล่านี้เกิดขึ้นภายในใจของทิมในทันที แต่เขาพยายามสะบัดหัวเพื่อขับไล่ความคิดที่อ่อนแอนี้ออกไป
๏๏๏๏๏
เท้าที่เปลือยเปล่าของทิมย่ำลงไปบนหญ้าฉ่ำน้ำค้างในยามเช้า เขาโอบกอดเรเชลที่เดินอยู่ข้างๆ เท้าของเรเชลเปลือยเปล่าเช่นกัน เขาถือรองเท้าให้เธอ ทั้งสองมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน รอบข้างยังไม่ค่อยมีคนมากนัก ทุกคนเตรียมตัวที่จะไปทำงานในวันที่เร่งรีบ
อากาศในยามเช้ายังคงเย็นอยู่ ทิมและเรเชลสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปจนเต็มปอด นานแล้วที่ทั้งสองไม่ได้มาเดินข้างนอกด้วยกันอย่างนี้ ทิมอยู่ในห้องทดลองเกือบทั้งวัน ส่วนเรเชลออกไปข้างนอกเพียงลำพังไม่ได้ เพราะจะไม่มีคนคอยดูแลเมื่อเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา
ทั้งสองเดินไปนั่งที่ม้านั่งที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสวนสาธารณะ มองไปรอบๆสวนที่ไม่เคยได้มานานแล้วแม้จะอยู่ไม่ไกลนัก อากาศเย็นจนแสบจมูกแต่ก็ทำให้รู้สึกดีจนบอกไม่ถูก ทิมเริ่มรู้สึกตัวว่าอยู่ในห้องทดลองนานจนเกินไปแล้ว และอดคิดถึงเรเชลไม่ได้ที่ต้องอยู่ในห้องนอนเพียงลำพังเป็นเวลานาน ทิมรู้สึกผิดนิดๆที่ไม่ได้พาเธอออกไปไหนเลย
เรเชลเขี่ยเท้าไปบนพื้นหญ้าที่ยังเปียกอยู่และมองตรงไปข้างหน้า ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่ดูมีความสุข ทิมมองดูเธอจากข้างๆ เขาไม่มีรอยยิ้ม ความทุกข์เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เจอเธอยังคงอยู่ ถึงเขาจะมีความหวังจากยาที่อาจจะได้ผลแล้วก็ตาม
"คุณเคยได้ยินนิทานเรื่องต้นไม้แห่งชีวิตรึเปล่า ทิม" เรเชลพูดขึ้นโดยไม่ได้หันมามองทิม ทิมส่ายหัวนิดๆแล้วตอบปฏิเสธ
"มันเป็นเรื่องของอัศวินหนุ่มที่พยายามตามหาต้นไม้แห่งชีวิตเพื่อที่จะเอาน้ำยางจากต้นมาให้สาวคนรักที่กำลังเจ็บป่วยได้ดื่ม เพราะมีความเชื่อว่า หากได้ดื่มน้ำยางนั้นแล้ว ชีวิตจะเป็นอมตะ" เรเชลขยับเข้ามาเบียดทิมแล้วซบหัวลงกับไหล่ของเขา ทิมเอื้อมมือไปโอบไหล่ของเธอไว้ "แล้วอัศวินคนนั้นเจอต้นไม้หรือเปล่า" ทิมถามเรเชล
"เมื่ออัศวินหนุ่มรู้ข่าวว่ามีต้นไม้นั้นอยู่ เขาจึงออกเดินทางเพื่อตามหาต้นไม้นั้น เบาะแสเดียวที่เขาจะหาต้นไม้นั้นเจอคือตำแหน่งของดวงดาวที่ชี้ไปยังที่ตั้งของต้นไม้ เขาออกเดินทางไปตามทิศทางของดวงดาว ระหว่างทางก็เจอสัตว์ประหลาดของขัดขวางเขาไว้ เขาได้ฆ่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นเพียงเพื่อการตามหาต้นไม้" เรเชลถอนหายใจ "การตายของสัตว์ประหลาดนั้นเป็นเพียงทางผ่านเพื่อให้เขาได้ค้นพบต้นไม้เท่านั้นเอง เขาเฝ้ามองท้องฟ้าในทุกๆคืนเพื่อที่จะได้ไม่หลงทาง แต่เมื่อวันที่อัศวินมองไม่เห็นแสงดาว เขาจะกระวนกระวายใจและคุ้มคลั่ง เพราะเขาไม่ยอมเสียเวลาเพียงแค่คืนเดียวในการตามหาต้นไม้ เมื่อเขากระวนกระวายใจในการเดินทางที่ไปไม่ถึงไหน เขาก็จะออกไล่ฆ่าสัตว์ประหลาดในบริเวณนั้นเพื่อระบายความอึดอัดใจ จนเขาเป็นที่กล่าวถึงกันในหมู่สัตว์ประหลาดว่าผู้ทำลายล้าง"
"เมื่ออัศวินหนุ่มเดินทางไปพบต้นไม้แห่งชีวิตแล้ว เขาก็พบว่าต้นไม้นั้นได้แห้งตายลงมาเป็นเวลานานแล้ว อัศวินหนุ่มใจสลาย แต่เขาก็ยังพยายามใช้มีดที่ได้มาจากหญิงคนรักกรีดลงไปที่ต้นไม้เพื่อหาน้ำยางจากต้น แต่ถึงแม้เขาจะพยายามมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีน้ำยางออกมาจากต้นไม้เลย"
"แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น" ทิมกระซิบที่หูของเธอ อากาศรอบๆตัวเริ่มอบอุ่นขึ้นมาแล้ว แสงแดดยามเช้าส่องลงมาจากผืนฟ้ากระทบกับพื้นหญ้าที่ยังคงชื้นอยู่ "อัศวินได้กลับเมืองไปหาหญิงคนรักของเขาหรือเปล่า"
เรเชลขยับตัวลุกนั่งอย่างเดิม ทิมปล่อยมือที่โอบไหล่เธอไว้ เรเชลมองไปข้างหน้า "ระหว่างการเดินทางกลับเมือง เขาได้ระบายความกราดเกรี้ยวกับเหล่าสัตว์ประหลาดระหว่างทางเช่นที่เขาทำเมื่อตามหาต้นไม้ การเดินทางของเขาได้สร้างความเจ็บปวดและความตายไว้รอบตัว และเมื่อเขากลับไปถึงเมืองที่เขาจากมาก็พบว่า หญิงคนรักได้จากไปแล้ว" เรเชลหันมามองหน้าของทิม "อัศวินหนุ่มยังไม่ทันได้ทำอะไรให้สาวคนรักได้มีความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เมื่ออัศวินหนุ่มคิดได้ นั่นก็ยิ่งทำให้เขาเศร้าเสียใจอย่างมาก อัศวินหนุ่มติดอยู่ในความทุกข์ที่ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย เพราะความรักที่เขามีต่อหญิงคนรัก ความรักและความผูกพันทำให้คนเกิดทุกข์"
"ฉันไม่อยากให้คุณต้องเจ็บปวดเพราะคุณ
๏๏๏๏๏
กระต่ายสีขาวสะอาดถูกเอาออกมาจากกรงขัง ทิมใช้มือคลำไปที่ท้องของมัน ก้อนแข็งๆของมะเร็งขดตัวอยู่บริเวณที่เป็นตับ หลอดฉีดยาถูกเอาออกมาจากลิ้นชักเพื่อดูดยาที่เขาคิดค้นมานานเข้าไปจนเต็มหลอด เข็มถูกแทงเข้าไปในเนื้อของกระต่ายตัวนั้น มันกระตุกเล็กๆเมื่อเข็มแทงเข้าไป ทิมกดหลอดฉีดยาเข้าไปจนหมดแล้วดึงเข็มออก และยัดกระต่ายไปที่กรงแยกต่างหาก เวลาและวันที่ในการฉีดยาถูกบันทึกลงในกระดาษอีกครั้ง
เขามองดูกระต่ายที่เพิ่งฉีดยาเข้าไปผ่านกรงขัง ตาของมันใสแจ๋วดูไร้เดียงสาไม่รับรู้ถึงการตายที่กำลังจะมาถึง เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ ทิมต้องเอากระต่ายตัวนี้มาผ่าเพื่อสังเกตก้อนมะเร็งว่ามีขนาดลดลงหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นก็หมายความว่า เขาได้ทำลายชีวิตลงไปอีกหนึ่งแล้ว
ทิมคิดถึงเรื่องของอัศวินหนุ่มที่เรเชลเล่าให้เขาฟัง เขาสร้างความเจ็บปวดและความตายให้กับทางเดินที่เขาต้องการ
๏๏๏๏๏
เรเชลลุกจากเตียงนอนเดินไปที่ระเบียงแล้วเปิดม่านออก ท้องฟ้าเป็นสีดำแต่ยังพอมองเห็นแสงดาวที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า วันนี้ไม่มีดวงจันทร์ เธอได้ข่าวจากโทรทัศน์ว่าจะมีแสงเนบิวล่าจากการระเบิดของดวงดาวในหมู่ดาวบนฟ้า เรเชลเปิดประตูระเบียงออกและเดินมานั่งที่เก้าอี้ยาวนอกระเบียงมองไปบนท้องฟ้า ยังไม่มีแสงอะไรให้เห็น มีเพียงแสงดาวเท่านั้น
เสียงประตูห้องนอนเปิดออก ทิมถือช็อกโกแลตของโปรดของเรเชลมาให้เธอด้วย เขามองหาเธอแต่ไม่เห็นเธออยู่บนเตียงจึงเดินมาที่ระเบียงที่เปิดอยู่ เขามองเรเชลที่แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าแล้วนั่งลงข้างๆ
"กำลังดูอะไรเหรอ" ทิมถามเธอ พลางหยิบช็อกโกแลตแท่งออกมาหักแบ่งให้เธอซึ่งรับมันไว้แต่ยังไม่กิน ทิมมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน
"ฉันดูข่าวมา เห็นว่าคืนนี้จะมีแสงเนบิวล่าจากการที่ดาวแตกดับไป" เธอหักช็อกโกแลตออกนิดกนึ่งแล้วหยิบเข้าปากเคี้ยวช้าๆ "มันคงจะสวยน่าดู"
ทิมมองหน้าเธอแล้วก็บรรจงจูบเธอที่แก้ม "ช่วงนี้อาการคุณเป็นยังไงบ้างเรเชล"
เรเชลหักช็อกโกแลตเข้าปากและเคี้ยวอีกชิ้น เธอยังคงมองไปบนท้องฟ้า "ฉันสบายดี" เธอหันมามองหน้าเขาแล้วยิ้ม "ฉันก็ยังดูดีอยู่ไม่ใช่เหรอ" แล้วเธอก็จูบที่แก้มเขาบ้าง
ทิมรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่าคำตอบของเธอไม่ตรงตามความเป็นจริงนักแต่เขาไม่พูดอะไรอีก ได้แต่มองไปบนท้องฟ้าเหมือนกับเธอ
ท้องฟ้าสีดำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินในบางจุดและกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ตรงกลางวงของแสงนั้นมีสีส้ม สีชมพูสลับกันกระจายแสงออกมาและสลับสีกันไปราวกับดอกไม้กำลังเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ เรเชลยิ้ม เธอจับมือของทิมมากุมไว้เบาๆ
"สวยจังเลย" เธอยิ้ม "โชคดีจังที่ได้เห็นก่อนตาย" ทิมโกรธขึ้นในทันที คำไม่ชอบใจที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้
"คุณต้องไม่ตาย ยาที่ผมกำลังคิดค้นใกล้ที่จะสำเร็จแล้ว ผมจะเป็นคนที่รักษาให้คุณเอง คุณต้องไม่พูดคำว่าคุณจะต้องตายต่อหน้าผมสิ" เสียงของทิมแข็งกระด้าง เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พูดรุนแรงออกไปกับเธอแม้ว่าตอนนี้เขาจะโกรธมากก็ตาม
"ดวงดาวยังแตกดับ แล้วนับประสาอะไรกับชีวิตคนเพียงคนเดียว" เรเชลมองแสงเนบิวล่าแสงสุดท้ายบนท้องฟ้าก่อนที่จะกลับมามีเพียงแสงดาวดังเดิม เธอหันมามองทิมที่ยังคงมีสีหน้าไม่พอใจ "ฉันอยากให้คุณยอมรับได้เสียทีว่าฉันจะไม่ได้อยู่ข้างๆคุณอีกแล้ว คุณจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะฉันแบบนี้อีก" เรเชลเบือนหน้าหนีจากทิม พยายามปกปิดน้ำตาที่ไหลออกมาช้าๆ "คุณทำให้ฉันลำบากใจนะทิม"
ทิมนิ่งเงียบ เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไร ได้แต่ปล่อยให้เรเชลร้องให้เงียบๆ นั่นก็ทำให้เขาต้องปวดใจเช่นกัน
๏๏๏๏๏
ไฟห้องทดลองเปิดออกอีกครั้ง กระต่ายที่กำลังหลับอยู่ในกรงตื่นขึ้นมาจากเสียงประตูที่ปิดตามหลังทิม เขาเดินไปที่กระต่ายตัวที่ฉีดยารักษาโรคมะเร็งเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มันมองมาที่เขาราวกับจะอ้อนวอน ทิมเปิดกรงออกเอากระต่ายขาวนั้นออกมาจับมัดขาทั้งสี่ไว้บนเตียงทดลองด้วยเชือกแล้วหันไปเตรียมมีดผ่าตัด กระต่ายขาวพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากเชือกสุดชีวิต
ทิมจุ่มมีดผ่าตัดลงไปในแอลกอฮอล์แล้วลนไฟอีกครั้ง ก่อนที่มีดจะกรีดลงบนร่างของกระต่ายขาว เลือดพุ่งออกมาจากบาดแผลตามแนวมีดเปรอะขนของมันจนกลายเป็นสีแดงไป กระต่ายดิ้นรนขัดขืนครั้งสุดท้ายแล้วนิ่งไป ทิมล้วงมือเข้าไปในแผลที่เปิดอยู่ ควานหาก้อนมะเร็งที่ตับเล็กๆของกระต่ายตัวนั้น แต่เขากลับไม่เจอ
ความตื่นเต้นดีใจไหลปรี่เข้ามาภายในตัวของทิม การที่ไม่เจอก้อนมะเร็งหมายความว่า ยานี้สามารถสลายก้อนมะเร็งได้แน่นอนโดยไม่เหลือร่องรอยไว้เลย การทดลองขั้นที่สองของเขาได้ผลที่น่าพอใจเกินคาด การสลายก้อนมะเร็งเป็นไปภายในเวลาแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น กระต่ายที่ยังคงขังอยู่ในกรงที่ยังไม่ได้ทำการทดลองก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เขาคงต้องปล่อยให้มันตายเพราะสารก่อมะเร็งที่เขาฉีดเข้าไปให้กับมัน
๏๏๏๏๏
"เรเชล ผมมีข่าวดีมาบอกคุณ" ทิมวิ่งเข้ามาในห้องนอนที่มีเพียงแสงดาวจากภายนอกสาดเข้ามา ทำให้มองเห็นเพียงเลือนราง เขาเดินไปบนเตียงแต่มองไม่เห็นเรเชลบนเตียง ประตูระเบียงเปิดแง้มไว้ เรเชลนอนอยู่บนพื้นข้างนอกนั้น
"เรเชล" ทิมร้องลั่น เขาวิ่งไปเปิดประตูระเบียงออกแล้วพยุงตัวเธอไว้ ดูเหมือนเธอหมดสติไป เขาอุ้มเธอขึ้นมาแล้ววางลงบนเตียงนอน เธอลืมตาขึ้นมองไปรอบๆนิดหนึ่งแล้วมองมาที่ทิม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเธออีกครั้งราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอล้มลงไปกองกับพื้น
ทิมมองดูเธอด้วยความเป็นห่วง "เป็นยังไงบ้าง"
"เวียนหัวนิดหน่อย" เธอยังคงยิ้มและมองมาที่หน้าของทิมตลอดเวลา "แต่ตอนนี้ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก"
"จะไม่ให้ผมห่วงได้ยังไง อาการคุณหนักขึ้นเรื่อยๆนะ ผมต้องดูแลคุณให้ดีสิ คุณจะได้ไม่เป็นอะไรไปก่อนที่ยาของผมจะเสร็จ"
เรเชลได้แค่ยิ้ม เธอหลับตาลง ทิมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเขาไว้
"การทดลองของผมสำเร็จอีกขั้นแล้วนะเรเชล กระต่ายตัวนั้นไม่มีก้อนมะเร็งเหลืออยู่เลย" ทิมยิ้มให้กับเธอ "หากการทดลองขั้นสุดท้ายสำเร็จก็หมายความว่ายาตัวนี้ได้ผล มันรักษาโรคนี้ได้ คุณจะหายรู้หรือเปล่า คุณจะต้องหาย"
"คุณทำลายชีวิตอื่นเพราะฉัน" เรเชลพูดเสียงเบา "เมื่อไหร่คุณจะเชื่อฉันสักที ฉันยอมรับได้แล้วว่าฉันจะต้องตาย แต่ความต้องการที่จะให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปของคุณมันทำให้ฉันสับสนว่าหากฉันยังอยู่ต่อไปเราจะมีความสุขด้วยกันเหรอทิม ความสุขที่คุณสร้างมันขึ้นมาจากการทำลายชีวิตคนอื่นเพื่อเบิกทางให้กับวันข้างหน้าของเราสองคน เหมือนกับอัศวินหนุ่มที่ฉันเล่าให้คุณฟัง การที่คุณยังยึดติดทำให้คุณเป็นทุกข์ และหากฉันมีชีวิตอยู่ด้วยทางที่คุณสร้างด้วยเลือดเพื่อฉันล่ะก็ ฉันคงไม่มีความสุขแน่" เธอพลิกตัวหลบหน้าจากทิม "ฉันขอนอนก่อนนะ เวียนหัวน่ะ"
ทิมลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปจากห้องนอนช้าๆ เขาไม่เข้าใจในตัวเธอเลย ทั้งที่เขาอยากให้เธอหายเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ แต่เธอกลับปฏิเสธความคิดของเขาทิ้ง ราวกับว่าไม่ต้องการที่จะอยู่ด้วยกันอีกแล้ว
๏๏๏๏๏
เสียงดังเอะอะดังมาจากกรงลิงที่ตั้งไว้ที่มุมห้องทดลองอยู่ตลอดเวลา มันส่งเสียงร้องและเขย่าลูกกรงเกิดเสียงดัง เขาฉีดยาสลบไปที่ลิงตัวหนึ่งก่อนนำมันออกมาจากกรงวางลงบนเตียงทดลองซึ่งเป็นที่สังเวยชีวิตสัตว์มานับไม่ถ้วนก่อนที่จะถึงวันนี้ที่ต้องฆ่าสัตว์ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยลงมือมา ลิงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงทดลองโดยที่ทิมไม่ต้องจับมัดเลย เขาหยิบมีดผ่าตัดแล้วฆ่าเชื้ออย่างที่เขาเคยทำ มีดที่กรีดลงไปทำให้เกิดแนวแผลยาว เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างช้าๆ ทิมคลำมือเข้าไปในท้องของลิงตัวนั้นแล้วดึงตับออกมาผ่าหาก้อนมะเร็งแทนการคลำหาเหมือนกับกระต่ายเพราะลิงมีขนาดใหญ่กว่า
มีดกรีดลงไปบนตับของลิงแบ่งออกเป็นสองส่วน ก้อนมะเร็งขดตัวอยู่ภายในนั้น ไม่มีร่องรอยการกัดกินจากยารักษาโรคมะเร็งที่ทิมได้ฉีดไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
ทิมทิ้งมีดผ่าตัดลงพื้น ความสิ้นหวังเกิดขึ้นภายในใจเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอมานาน และความกราดเกรี้ยวก็เข้ามาแทนความสิ้นหวังนั้น มือของทิมเหวี่ยงไปที่หลอดทดลอง มันตกกระทบพื้นแตกกระจาย หลอดฉีดยา มีดผ่าตัดหล่นลงไปกอง สารเคมีหลากสีไหลรวมกันบนพื้น แล้วทิมจึงยืนน้ำตาอาบแก้มภายในห้องทดลองนั้น เขาไม่ได้เตรียมใจยอมรับความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นเลย
ซากลิงยังคงอยู่บนเตียงทดลอง ทิมเหลือบมองเข้าไปในรอยแผลที่เขากรีดนั้น มันเต็มไปด้วยเลือด และภายในนั้นมีลูกลิงตัวน้อยติดท้องมาด้วย เขาได้ทำลายชีวิตถึงสองชีวิตในการฆ่าเพียงครั้งเดียว
น้ำตายังคงไหลอาบใบหน้าของทิมอย่างไม่ขาดสาย
จบแล้วการทดลอง ทิมคิด เขาพรากชีวิตของคนอื่นมามากพอแล้ว เขาตั้งใจจะใช้เวลาที่เหลือหลังจากนี้กับเรเชลให้มากที่สุด ทดแทนที่เขาหายไป ทดแทนที่เขาทำให้เธอต้องทนอยู่แต่ในห้องเพียงคนเดียวเพราะเขา บัดนี้เขาเข้าใจแล้ว นิทานอัศวินหนุ่มที่ตามหาต้นไม้แห่งชีวิตนั้น เปรียบกับเขาที่ตามหายารักษาโรคมะเร็งเพื่อให้เรเชลได้อยู่เคียงข้างกับเขาไปอีกนานๆ อัศวินหนุ่มฆ่าสัตว์ประหลาดที่เข้ามาขวางการตามหาต้นไม้แห่งชีวิต แต่ทิมฆ่าสัตว์ที่เขาทดลองเพื่อความก้าวหน้าของงานที่เขาทุ่มเททั้งชีวิต เรเชลต้องการให้ชีวิตช่วงสุดท้ายของเธอได้อยู่เคียงข้างกับเขา เธอพยายามเตือนเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เขาไม่เคยฟังเธอเลย
๏๏๏๏๏
"เรเชล พรุ่งนี้เราไปเที่ยวด้วยกันนะ" ทิมเข้ามาในห้องนอนและกระซิบที่หูของเธอ เรเชลนอนอยู่บนเตียงเช่นเคย
เรเชลหันมามองหน้าทิม "แล้วงานทดลองของคุณล่ะทิม" เธอถามด้วยความสงสัย "งานทดลองของคุณสำเร็จแล้วเหรอ"
ใบหน้าที่อาบด้วยน้ำตาของทิม บอกแทนคำตอบของคำถามจนหมดสิ้น
๏๏๏๏๏
ย่านการค้าของเมืองมักเต็มไปด้วยเสียงจอแจเสมอ ผู้คนจำนวนมากเดินสวนกันไปมาโดยไม่มีใครสนใจใครผ่านร้านที่ตั้งเรียงรายอยู่สองฟากทางเดิน ทิมและเรเชลเดินกุมมือกันพลางแวะบางร้านเพื่อหยุดดูสินค้าที่ทั้งสองสนใจ ทิมตามใจเรเชลโดยที่ไม่สนเรื่องอื่น เขาซื้อทุกอย่างที่เห็นว่าเรเชลน่าจะชอบมาให้เธอ เขาซื้อเสื้อผ้ามาให้เธอสวมใส่ เครื่องประดับทั้งหลายที่เขาไม่เคยมีโอกาสได้ซื้อเมื่อตอนที่เรเชลยังคงเป็นปกติ ช็อกโกแลตที่เธอชอบ อาหารที่เธออยากกิน ที่ๆเธออยากไป ทั้งสองได้ใช้เวลาทั้งวันด้วยกันสองคน ทิมมองเห็นรอยยิ้มของเรเชลตลอดทั้งวัน
ทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ข้าวของที่ทั้งสองซื้อด้วยกันวางกองอยู่บนโต๊ะในครัว เรเชลหยิบถุงที่เป็นผักและเนื้อสัตว์แยกออกมา
"ฉันจะทำอาหารให้คุณกินนะ รับรองว่าต้องอร่อยแน่" เรเชลหันมาพูดกับทิมที่กำลังยุ่งอยู่กับกองข้าวของที่ซื้อมา ทิมหันมายิ้มตอบอย่างยินดี หลายเดือนมานี้เขาไม่ได้กินอาหารที่เรเชลทำเลยเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทดลอง การทดลองที่ล้มเหลว
"ผมจะเอาของไปเก็บนะ เดี๋ยวผมมา" ทิมเดินเข้าไปในห้องนอน วางกองข้าวของลงบนเตียงแล้วมองไปรอบๆห้อง ผนังข้างหนึ่งของห้องยังว่างอยู่ เขาเอากรอบรูปที่ซื้อมาแวนไปที่ผนัง มันเป็นรูปเหมือนของเรเชลและทิมที่ทั้งสองไปนั่งเป็นแบบวาด ในรูปทั้งสองมีรอยยิ้มที่ดูดี ทิมมองดูรูปนั้นอย่างมีความสุข เขาเอาเสื้อผ้าที่ซื้อให้เรเชลออกมากางบนเตียงแล้วแขวนเข้ากับไม้ที่ข้างตู้เสื้อผ้า เครื่องประดับวางไว้บนเตียงนอน
ทิมเดินออกมาจากห้องนอนแล้วปิดประตูเบาๆ เสียงฮัมเพลงของเรเชลดังออกมาจากห้องครัว ทิมเดินไปหาเสียงนั้น เธอกำลังหั่นผักอย่างมีความสุข กระทะตั้งอยู่บนเตาไฟมีควันสีอ่อนลอยขึ้นช้าๆ
ทิมเดินเข้าไปที่ข้างหลังเธอแล้วโอบเธอไว้ในอ้อมแขน เขาจูบเธอที่แก้มเบาๆ เรเชลหยุดหั่นผักและวางมีดลง เธอหันมาจูบทิมที่แก้มเช่นกัน
"ผมรักคุณ เรเชล"
"ฉันก็รักคุณ ทิม"
๏๏๏๏๏
เรเชลนอนอยู่บนเตียงนอนที่เธอนอนเป็นประจำ ห้องนอนปิดม่านไว้ มีเพียงแสงสลัวที่ส่องผ่านผ้าม่านมาเท่านั้น ทิมนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปลายเตียง อ่านหนังสือนิยายเรื่องต้นไม้แห่งชีวิต เรื่องที่เรเชลเล่าให้เขาได้ฟังนั่นเอง เรเชลนั่งมองเขาอ่านอย่างมีความสุข
"ทิม" เรเชลเรียก ทิมหันหน้ามามองเธอ
"มีอะไรเหรอ" ทิมวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วปีนขึ้นเตียงนอนมานอนอยู่ข้างๆเธอแล้วจูบที่แก้มเธอครั้งหนึ่ง
"ฉันอยากให้คุณอยู่กับฉัน อยู่ใกล้ๆฉันได้ไหม แค่ตอนนี้เท่านั้น" เรเชลมองหน้าทิมอย่างขอร้อง ทิมจับมือเธอไว้แล้วก้มลงนอนบนหมอนใบเดียวกับเธอ เรเชลหลับตาลง เธอจับมือทิมไว้แน่นแล้วก็หลับลง ทิมดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเธอไว้แล้วก็หลับเช่นกัน
ทิมลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ เป็นเวลากลางคืนแล้ว เรเชลยังคงหลับอยู่ ทิมลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่ระเบียง เขาดึงผ้าม่านเปิดออก แสงดาวส่องอยู่บนท้องฟ้าอย่างเช่นทุกๆคืน ทิมเลื่อนประตูระเบียงออก อากาศเย็นๆสดชื่นเข้ามาภายในห้อง เขาหายใจเอามันเข้าไปในปอดอย่างมีความสุข ทิมคิดว่าน่าจะให้เรเชลมานั่งดูดาวกับเขาที่นอกระเบียงนี้ เขาเดินไปหาเธอที่เตียง
"เรเชล" ทิมกระซิบที่หูเธอ "ลุกขึ้นมาดูดาวด้วยกันสิ สวยมากเลยนะ" ทิมจูบเธอที่แก้ม แก้มของเธอเย็นเฉียบ
แสงของดาวข้างนอกนั้นดูเหมือนจะหายไปในทันที เรเชลไม่ขยับตัว เธอยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปากของเธอซีดขาว มือของเธอเย็นเหมือนน้ำแข็ง เธอจากทิมไปแล้ว
ทิมปล่อยเธอไว้บนเตียง เขาเดินไปที่ครัว ชงช็อกโกแลตร้อน เครื่องดื่มที่เรเชลชอบสองแก้ว เขาเดินถือมันเข้ามาในห้องนอนแล้วไปวางที่ม้านั่งนอกระเบียง ทิมกลับมาที่เตียงนอน อุ้มเรเชลจากเตียงนอนแล้วพาเธอมานั่งข้างนอกระเบียงกับเขา ทิมห่มผ้าให้เธอ ช็อกโกแลตร้อนถูกหยิบขึ้นมาหนึ่งแก้ว ทิมยัดมันเข้าไปที่มือเธอเพื่อพยายามทำให้มือเธออุ่นขึ้น เขามองขึ้นไปบนฟ้า ดวงดาวยังคงส่องแสงอยู่อย่างนั้น เหมือนอย่างที่เขามองมันในทุกๆคืน เหมือนที่เรเชลมองดูมันในทุกๆคืน
แก้วในมือของทิมสั่นเบาๆ เขากอดเรเชลที่ไม่รับรู้อะไรอีกแล้วในตอนนี้ไว้แน่น ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนได้ใช้เวลาและอยู่ด้วยกันจนเพียงพอแล้ว ความสุขทั้งหมดอยู่ในใจของทั้งสอง ไม่มีความทุกข์ที่เรเชลได้ไปจากทิมอยู่ในใจของทิมเลย ถึงแม้จะมีน้ำตาไหลออกมาจากตาของทิมก็ตาม
๏๏๏๏๏
ลมพัดผ่านทุ่งหญ้าบนยอดเขา หญ้าเอนไปตามแนวลมเบาๆ ใบไม้ที่เหี่ยวแห้งหลุดออกจากต้นปลิวไปตามแรงพัดหล่นจากยอดเขาลอยหายลับไป ทิมยืนต้านลมอยู่เหนือป้ายหลุมศพของเรเชลตามลำพัง เสื้อคลุมถูกลมพัดกระพือเบาๆ กลิ่นหญ้าเปียกๆยามเช้าลอยเข้ามาในจมูกทิม ทำให้คิดถึงครั้งก่อนเมื่อเขาและทิมเคยไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะด้วยกัน
ดอกไม้หลากสีช่อใหญ่ในมือทิมถูกวางลงที่ป้ายของเรเชลนั้น ทิมหยิบช็อกโกแลตแท่งหนึ่งออกมาแล้ววางมันลงเช่นกัน เขายืนนิ่ง ถือหนังสือที่เธอมอบให้เขา ต้นไม้แห่งชีวิตที่เรเชลเล่าให้ฟัง เขาอ่านมันจบแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนอย่างที่เธอต้องการให้เขาอ่านมันให้จบ
"คุณชอบที่จะมองดวงดาวในตอนกลางคืน ผมเลยพาคุณมาที่นี่เรเชล ที่ๆคุณจะมองเห็นดวงดาวได้ชัดๆไง ตอนกลางคืนดาวจะส่องมาที่นี่จนสว่างไปเลย ผมคิดว่าคุณคงจะชอบมัน" ทิมเปิดหนังสือที่อยู่ในมือออก "ผมตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือเรื่องนี้ให้คุณฟังนะเรเชล ถ้าอย่างนั้นผมอ่านให้คุณได้ฟังตรงนี้เลยละกัน" ทิมพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ อ่านไปทีละหน้าจนจบ ซึ่งทิมคิดว่าส่วนที่เขาอ่านนี้ เรเชลยังคงไม่ได้อ่าน
"ตัวตนของเรา ความรัก ความผูกพัน คนที่เรารัก มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเองทั้งนั้น โดยมนุษย์อาศัยเอาคำสอนทางศาสนา นิยาย ความเชื่อ แม้กระทั่งวิทยาศาสตร์มาอธิบายเอง" ทิมอ่านจบ เขายิ้มแล้วมองหลุมศพของเรเชล
"ผมไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นนิยายที่สอนเรื่องเกี่ยวกับศาสนานะเนี่ยเรเชล คุณต้องการให้ผมปล่อยวางจากคุณเหมือนที่หนังสือได้พูดไว้สินะ" ทิมวางหนังสือลงบนหลุมศพเธอ
"ถ้าผมเปรียบเทียบเหมือนชาวคริสต์ การที่ผมปล่อยวางจากคุณได้ เหมือนกับผมได้ปล่อยให้คุณไปสู่อาณาจักรของพระเจ้าอย่างที่คุณต้องการ คุณให้ผมยอมรับความจริงว่าคุณได้เดินทางไปหาพระองค์ที่ดินแดนใหม่"
น้ำตาของทิมไหลออกมาช้าๆ
"แล้วถ้าผมเปรียบเทียบกับชาวพุทธ คุณต้องการให้ผมหาต้นเหตุของทุกข์ที่ผมมี เพื่อที่ผมจะได้หาทางดับทุกข์ลงไปได้หลังจากที่ผมพบมัน คุณต้องการให้ผมหาวิธีจัดการกับปัจจุบันเพื่อปล่อยวางจากอนาคตที่ผมคิดว่าจะได้เห็นมัน" ทิมปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
"คุณทำสำเร็จเรเชล ตอนนี้ผมเป็นอย่างที่คุณต้องการแล้ว ผมไม่ได้มีความทุกข์เลยที่คุณจากผมไป แต่ผมก็ไม่ได้มีความสุขเช่นกัน อย่างที่อัศวินหนุ่มในหนังสือค้นพบ หนังสือที่คุณให้ผมมาสอนผมถึงความว่างเรเชล ไม่มีอะไรมาทำให้ผมสุขและทุกข์ได้อีกแล้ว ผมมีปัจจุบัน ที่จะไม่เจ็บปวดเพราะคุณอีกแล้ว ขอบคุณ เรเชล"
ลมพัดผ่านที่ๆทิมยืนอยู่อีกครั้ง เสื้อคลุมสะบัดช้าๆ ทิมเดินห่างออกมาจากหลุมศพของเรเชลช้าๆโดยที่ไม่ได้หันไปมองอีกเลย
ผลงานอื่นๆ ของ A Few Good Man ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ A Few Good Man
ความคิดเห็น