ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ระทึกขวัญ! ชมรมวิจัยวิญญาณ! (ตอนต้น)
รถตู้สีขาววิ่งฝ่าความมืดไปอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่ดูรกร้างวังเวงทั้งสองข้างทาง
ในรถยังมีเพื่อนร่วมทางอีกสี่ชีวิต ประกอบด้วยพี่ตั๋น พี่ชายเจ้าต่อซึ่งกำลังขับรถอยู่ พี่รจน์ ประธานนักเรียนสาวสวยซึ่งนั่งข้างคนขับ แถวสองมีเจ้าต่อกับน้ำ และผมนั่งอยู่ที่แถวสาม เอ้อ... แล้วก็มียัยอัยย์อีกคน
ท่ามกลางความมืดมิด... ในสถานที่ๆ ไม่คุ้นเคย... ในเวลาที่น่าจะกำลังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนุ่มๆ... ผมเริ่มถามตัวเองอีกครั้ง...
ฉัน~มาทำ~อะไร~ที่นี่~ (กรุณาใส่ทำนองที่ชอบ)
นั่นสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน...
... ... ...
เมื่อสามวันก่อน (ถัดจากวันที่น้ำพาไปเลี้ยงกาแฟ) ...
เช้าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ขณะที่ผมกำลังเดินยิ้มอย่างมีความสุขเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อวานอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องตะโดนมาจากข้างหลัง
“ระวัง!”
ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก ปรากฏว่ายัยอัยย์กระโดดมาบังวิวเต็มสองตา ทันใดนั้นก็มีลูกบอลพุ่งทะลุร่างของอัยย์ ตรงเข้ามากลางแสกหน้า!
“พลั่ก!”
. . .
สติผมดับวูบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพบตัวเองนอนคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น
“เฮ้ยไอ้โจ้! เป็นไรไหมวะ” ชายสวมแว่นคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา
เจ้าต่อนั่นเอง...
“เอ่อ... ไม่เป็นไร ยังไม่ตาย” ผมตอบทั้งที่ยังเบลอๆ อยู่
“จริงเรอะ เรายังไม่แน่ใจว่ะ เอางี้ ไหนลองบอกมาซิ สองคูณสองได้...”
“สี่”
“สองสี่...”
“แปด”
“ประธานาธิบดีคนที่สามสิบเอ็ดของสหรัฐฯชื่อ...”
“จะไปรู้เรอะ”
“เออ แสดงว่าสติยังดีอยู่” ต่อเดินไปเก็บลูกบอล แล้ววิ่งกลับไปหาเพื่อนๆ
“ไอ้โจ้มันไม่เป็นไรเว้ย มาเล่นกันต่อ!”
“อัยย์ขอโทษจริงๆ ค่ะ พี่จิงโจ้!" อัยย์ละล่ำละลักขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“เอาเถอะ แค่นี้เอง ร่างกายไม่ได้บุบสลายอะไรซักหน่อย” ผมลุกขึ้น
รู้สึกว่าความสามารถของอัยย์จะเอาแน่เอานอนไม่ได้แฮะ...
ผมเดินขึ้นไปบนอาคารเรียน แล้วขณะที่กำลังจะเข้าไปในห้องเรียน อัยย์ก็เอ่ยขึ้น
“พี่น้ำฝน!”
ผมหันควับ
“หวัดดีจ้ะโจ้” น้ำเดินเข้ามาทักพร้อมกับรอยยิ้มสดใส วันนี้คุณเธอผูกผมหางม้าดูน่ารักยิ่งขึ้นไปอีก
“หวัดดีน้ำ”
"โจ้ไปทำไรมา ทำไมมอมแมมยังงี้ล่ะ"
"เอ่อ... หกล้มมาน่ะ แหะๆ"
"ซุ่มซ่ามจัง ทีหลังก็ระวังหน่อยสิ" น้ำพูดแค่นั้นก่อนจะเดินผ่านผมไป
ทีแรกผมนึกว่าจะได้คุยกับน้ำนานกว่านี้ แต่พอมองตามไป ก็เห็นน้ำเข้าไปพูดคุยทักทายกับเพื่อนๆ ทุกคนที่อยู่ตามทางเดิน
น้ำซึ่งเป็นขวัญใจของชั้นปี ซ้ำยังเป็นกรรมการนักเรียนที่มีงานยุ่ง... ช่างห่างไกลจากหิ่งห้อยอย่างผมยิ่งนัก...
... ... ...
“ไอ้โจ้ว่างป่าว... เดี๋ยวไปกับเราหน่อยเดะ” พักเที่ยง ขณะที่นั่งกินข้าวกันอยู่ เจ้าต่อก็เอ่ยขึ้น
"ก็ว่างนะ มีไรเรอะ"
“พอดีพี่ตั๋นเขากำลังจัดกิจกรรมชมรม เลยว่าจะพาไปฟังหน่อย”
พี่ตั๋นที่ว่าคือพี่ชายของต่อซึ่งอยู่ชั้นม.6 เป็นคนดังของโรงเรียนเพราะเมื่อปีที่แล้วเพิ่งคว้าเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการสาขาฟิสิกส์มา นอกจากนั้นยังมีกิตติศัพท์แปลกๆ เพราะเป็นประธานชมรมพิลึกๆ ที่ชื่อ "ชมรมวิจัยวิญญาณ" หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ...
หลังทานข้าวเสร็จ ผมจึงตามต่อไปที่ห้องชมรม
"พี่ตั๋น... ต่อพาว่าที่สมาชิกใหม่มาแล้ว" เจ้าต่อสรุปแบบไม่ถามความเห็นผม
"โอ้! ดีๆ ยินดีต้อนรับครับ เชิญนั่งก่อนสิ" ชายร่างสูงตาตี่ ยิ้มทักทายผมอย่างเป็นกันเอง แล้วพาไปนั่งที่เก้าอี้
ดูๆ ไปพี่ตั๋นก็เป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุกเหมือนเจ้าต่อ ไม่มีคราบของเด็กเรียนเลยสักนิด
หน้าต่างห้องชมรมมีผ้าม่านทึบสีดำปิดอยู่ แต่ข้างในห้องยังสว่างเพราะไฟนีออน ขณะที่ผมเข้าไปในห้อง ก็มีนักเรียนคนอื่นๆ ทั้งหญิงและชายนั่งเรียงกันอยู่สิบกว่าคน หลายคนทำหน้างงๆ คงโดนพามาแบบไม่รู้เรื่องอะไรเหมือนผม
เมื่อผมนั่งลง พี่ตั๋นก็ปิดประตูห้อง ทันใดนั้นไฟนีออนก็ดับลงทำให้ข้างในห้องมืดสนิท ก่อนที่แสงเล็กๆ จากตะเกียงบนโต๊ะหน้าห้องจะถูกจุดขึ้น
"เอาล่ะครับ ในที่สุดก็มาถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย วันนี้ผม... ตั๋น จะขอเล่าเรื่องห้องน้ำสยองขวัญที่ค่ายต่างจังหวัดครับ"
จะด้วยบรรยากาศของห้อง หรือสีหน้าและน้ำเสียงของพี่ตั๋นก็ไม่รู้ จู่ๆ ผมก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทั้งที่ห้องชมรมไม่ได้ติดแอร์
แล้วทำไมผมต้องมานั่งฟังเรื่องผีด้วยเนี่ย!
"เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดกับคนใกล้ตัวของผมเอง ตอนนั้นเป็นกลางเดือนกุมภาพันธ์ พวกเราซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.5 ได้ไปเข้าค่ายทัศนศึกษาสามวันสองคืนที่ภูเขาในจังหวัดราชบุรี"
"ที่ๆ เราไปเข้าค่ายนั้น ตอนกลางวันอากาศดีมาก ทิวทัศน์สวยงาม รายล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้า ทั้งร่มรื่นและสดชื่น แต่ตอนกลางคืนนั้นบรรยากาศจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะอากาศจะหนาว ทุกอย่างรอบตัวจะมืดมิด หากไม่ใช้ไฟฉายจะมองอะไรไม่เห็น ขนาดแค่จะเดินไปเข้าห้องน้ำกลางแจ้งซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไม่กี่สิบเมตรยังหลงได้ง่ายๆ"
"คืนแรกของการค้างแรมผ่านไปด้วยดี ทุกคนต่างเพลียกับการเดินทางและกิจกรรมตอนเย็นจึงหลับเป็นตายอยู่บนเตียงในห้องพัก..."
พี่ตั๋นหยุดพักหายใจ ก่อนจะเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบบีบหัวใจ
"แต่แล้วในคืนที่สองนั่นเอง... ขณะที่พวกเพื่อนๆ แอบอาจารย์เล่นไพ่บ้าง จับกลุ่มคุยกันบ้าง ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเกิดอยากจะเข้าห้องน้ำ เธอเกรงใจเพื่อนๆ ที่กำลังสนุกกันอยู่จึงไม่ได้ชวนใครไปเป็นเพื่อน แต่แอบไปคนเดียว..."
"เมื่อออกจากอาคารที่พัก บรรยากาศก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะข้างนอกทั้งหนาวและมืดมิด เสียงสายลมหวีดหวิวผ่านหมู่แมกไม้ ท่ามกลางความเงียบสงัดวังเวง ทำให้ขาเธอสั่น จนอยากจะหันหลังกลับเข้าไปในที่พัก แต่เธอก็ยังรวบรวมความกล้าเดินไปเข้าห้องน้ำคนเดียว
"ห้องน้ำกลางแจ้งใกล้ๆ กับที่พักนั้นมีหกห้อง แบ่งเป็นสามห้องกับสามห้องหันหลังชนกัน โดยที่ห้องตรงกลางของฝั่งหนึ่งถูกปิดตายเอาไว้
นักเรียนหญิงคนนั้นเลือกเข้าห้องน้ำตรงกลางฝั่งที่หันหลังติดกับห้องที่ถูกปิดตาย ไม่ถึงนาทีต่อมา จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหล
'คงเป็นเสียงใครมาเข้าห้องน้ำมั้ง' เธอคิด แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้เธอไม่ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูเลยสักบาน แล้วตอนออกมาก็ไม่มีใครเดินตามหลังมาด้วย
เธอพยายามเงี่ยหูฟังว่า เสียงน้ำไหลดังมาจากไหน ก็พบว่ามันดังมาจากห้องด้านหลังเธอที่ถูกปิดตาย...
หัวใจของเธอเย็นวาบ แต่เธอยังทำใจดีสู้ผี...
'ผีไม่มีจริงหรอก' เธอคิด แล้วเดินไปสำรวจห้องน้ำเจ้าปัญหาที่ถูกปิดตาย เผื่อว่าก๊อกน้ำอาจจะรั่ว
เสียงน้ำไหลจ๊อกๆ ยังคงดังอยู่ เมื่อเธอส่องไฟฉายไปที่พื้นห้องน้ำ ปรากฏว่ามีน้ำไหลนองออกมาจากช่องว่างเล็กๆ ระหว่างพื้นกับประตูห้องน้ำ
'นั่นเองไงล่ะ ก๊อกรั่วจริงๆ ด้วย' เธอถอนหายใจ... ทันใดนั้น! เธอก็เห็นว่ามีของเหลวสีแดงขุ่นไหลปนมากับน้ำ
'เลือด!' คำๆ นี้แว้บขึ้นในใจ ในตอนนั้นเองเธอก็เริ่มได้กลิ่นคาวเลือด
'กรี๊ดดดดดด----!!!!!'
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไร จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังออกมาจากห้องที่ถูกปิดตายนั่น นักเรียนหญิงคนนั้นวิ่งไม่คิดชีวิต รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่หน้าอาคารที่พักแล้ว โดยไม่รู้ตัวว่าทำไฟฉายหายไปตั้งแต่เมื่อไร"
เมื่อพี่ตั๋นเล่าถึงตรงนี้ ผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนๆ ถอนใจดัง "เฮือก" ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ แล้วก็โล่งใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอคนนั้น
"จุ๊ๆ อย่าเพิ่งสบายใจ เพราะเรื่องยังไม่จบแค่นี้..." พี่ตั๋นดักคอ
"เมื่อนักเรียนหญิงคนนั้นกลับไปที่ห้องพัก ก็เล่าเรื่องที่ตัวเองเจอให้เพื่อนๆ ฟัง ทำให้ทุกคนฮือฮา เช้าวันต่อพวกเราจึงไปถามลุงนักการฯที่ดูแลที่นั่น จึงได้รู้ว่าเมื่อสองปีก่อนเคยมีผู้หญิงถูกฆ่าที่ห้องน้ำนั่น ตอนที่พบศพก๊อกน้ำเปิดอยู่ ทำให้น้ำนองพื้นไหลมาปนกับเลือดของศพ
แต่นักเรียนหญิงคนนั้นก็ยังไม่พอใจ เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะตาฝาด หรือไม่งั้นก๊อกน้ำก็คงจะรั่ว จึงลองงัดห้องน้ำนั้นดู ปรากฏว่าทั้งพื้นห้องน้ำและก๊อกน้ำในห้องนั้นแห้งสนิท มีหยากไย่เต็มไปหมด ไม่มีร่องรอยการใช้มานานเป็นปีๆ จะมีก็เพียงคราบเลือดจางๆ ที่ผนังเป็นหลักฐานตอกย้ำคดีฆาตกรรมระทึกขวัญที่ลุงนักการฯเล่าให้ฟัง"
"เพื่อนๆ ต่างตกใจกลัวที่เธอไปงัดห้องน้ำ แต่เธอบอกว่าเธอไม่เชื่อเรื่องผีและอาถรรพ์ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์... หลังจากกลับจากการไปเข้าค่ายที่ราชบุรีพวกเราก็ไปโรงเรียนกันตามปกติแล้วค่อยๆ ลืมเรื่องห้องน้ำสยองขวัญนั้นไป...
แล้ววันหนึ่งขณะที่นักเรียนหญิงคนนั้นเข้าห้องน้ำที่โรงเรียน เธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ จากห้องส้วม... เมื่อเธอก้มลงมองพื้นก็เห็นน้ำไหลนองออกมาจากห้อง ที่สำคัญน้ำนั้นก็เป็นสีแดงขุ่นเสียด้วย...!"
"โป๊กก!!"
ทันใดนนั้นเองก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาเขกหัวพี่ตั๋น เธอเปิดสวิทช์ไฟ ทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างจ้า
"นั่นมันน้ำมะเขือเทศย่ะ... เฮ้อ... มีที่ไหน แอบอาจารย์เอาน้ำมะเขือเทศมากินในห้องน้ำ" สาวสวยที่ไว้ผมยาวเหยียดตรงคนนี้คือพี่รจน์ หัวหน้ากรรมการนักเรียนนั่นเอง เธอเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำ
"แล้วใครก็ไม่รู้นะ ปากบอกไม่กลัวผี แต่พอเห็นน้ำมะเขือเทศก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือด วิ่งแจ้นออกมาจากห้องน้ำ" พี่ตั๋นย้อน
พี่รจน์หน้าแดงแป๊ด
"แก... ท่าจะไม่เคยตายใช่ไหม..." คุณเธอเริ่มหักนิ้วดังกร๊อบ
พี่ตั๋นทำเป็นไม่สนใจและหันมาทางผู้ฟัง
"ก็เช่นนั้นแหละครับ และพี่รจน์..หัวหน้ากรรมการนักเรียนผู้นี้ ก็คือนักเรียนหญิงคนนั้นนั่นเอง ขอเสียงปรบมือด้วยครับ"
เสียงปรบมือจากพวกเราที่นั่งฟังอยู่ดังขึ้น ทำเอาพี่รจน์ต้องยอมรามือชั่วคราว
"เอาล่ะครับ และนี่คือกิจกรรมของชมรมวิจัยวิญญาณ ชมรมสำหรับผู้ที่สนใจแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณครับ ใครที่สนใจอยากเป็นสมาชิกเชิญทางนี้ได้เลยครับ" พี่ตั๋นหยิบแบบฟอร์มให้ดู
ปรากฏว่านักเรียนที่นั่งฟังอยู่ต่างเดินออกไปเกือบหมด มีคนยอมกรอกใบสมัครแค่สองคนซึ่งก็ดูท่าทางไม่ได้สนใจจริงจังนัก
"หึๆ นี่ก็วันศุกร์แล้ว อย่าลืมนะว่าภายในวันจันทร์หน้าถ้ายังหาสมาชิกได้ไม่ครบห้าคนละก็ เตรียมยุบชมรมได้เลย" หัวหน้ากรรมการนักเรียนคนสวยยิ้มกระหยิ่ม
"ไม่มีทาง! ตอนนี้ก็ได้มาสี่คนแล้ว เหลืออีกแค่คนเดียว ฉันจะหามาให้ดู" พี่ตั๋นหมายถึงตัวเอง เจ้าต่อ และคนที่เพิ่งสมัครใหม่สองคน
"ฮึ จะมีเร้อ... นายอุตส่าห์ฉลาดขนาดไปคว้าเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ ทำไมไม่ทำอะไรที่มีคุณค่ากว่านี้นะ มัวแต่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระอยู่ได้"
"ไม่ได้ไร้สาระนะ! เธอไม่คิดว่ามันน่าตื่นเต้นเรอะ ในขณะที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปไกลถึงขนาดส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์ได้แล้ว แต่กลับไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์เกี่ยวกับวิญญาณที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ตัวได้ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานที่เป็นบันทึกอยู่ตั้งมากมาย"
"ฉันคนนี้นี่แหละ จะไขปริศนาเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณเอง!!" พี่ตั๋นพูดอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ
ในตอนนั้นผมกับน้ำก็สบตากันโดยบังเอิญ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะรู้ว่าน้ำกำลังคิดอะไรอยู่
จะให้พี่ตั๋นรู้เรื่องของอัยย์ไม่ได้เด็ดขาด...
"ผีไม่มีจริงหรอก! ที่มีคนอ้างว่าเห็นมันก็แค่ภาพหลอนเท่านั้นแหละ" น้ำเสียงของพี่รจน์เริ่มดุเดือดขึ้น
"ผีมีจริง! วันอาทิตย์นี้ฉันจะไปที่หมู่บ้านร้าง ไปถ่ายภาพวิญญาณมาพิสูจน์ให้ดู" หัวหน้าชมรมวิจัยวิญญาณเองก็ไม่ยอมลดราวาศอก
"ยังไงนายก็คงเตรี๊ยมกับคนอื่นทำภาพผีขึ้นมา ไม่ก็เอาไปรีทัชแหงๆ" พี่รจน์เบ้หน้า เหลือบมองพี่ตั๋นด้วยหางตา
"ฉันไม่ทำยังงั้นหรอก ถ้าไม่เชื่อเธอจะมาด้วยกันก็ได้นะ"
"เอาซี่ ฉันจะให้น้องน้ำไปด้วย จะได้มีคนกลางเป็นพยาน"
พี่รจน์จับแขนน้ำลากเข้ามากลางวงไพบูลย์
น้ำได้แต่ยิ้มแหะๆ
ขณะนั้นเองเจ้าต่อก็ใช้ศอกกระทุ้งไหล่ผม
ผมพอจะรู้แหละว่ามันอยากพูดอะไร...
"น้ำไปด้วยนะเว้ยยย...." เจ้าต่อกระซิบกับผม
"ดีถ้างั้นวันอาทิตย์มาดูกัน ถ้าไม่ได้ภาพอะไรกลับมาเลย วันจันทร์เตรียมตัวถูกยุบชมรมได้!" พี่รจน์สรุป
เอาแล้วไง... แล้วโอกาสที่ผมจะได้ใกล้ชิดน้ำ..เอ๊ย! การเดิมพันเพื่อความอยู่รอดของชมรมวิจัยวิญญาณก็เริ่มต้นขึ้นด้วยประการฉะนี้...
จะว่าไป... ชมรมของพี่ตั๋นจะเป็นไงก็ช่าง ทริปวันอาทิตย์นี้ขออย่าให้เจอผีเลย สา---ธุ!
... ... ...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น