ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : อย่าบอกนะว่าเธอก็มองเห็นด้วย!
ตอนเด็กๆ ผมเคยฟังพวกเพื่อนๆ คุยกันว่า “ผีมีจริงไหม” พวกที่เชื่อ (ซึ่งบางคนอ้างว่าเคยเห็น) ก็มักจะพูดในทำนองว่าผีมีจริง ส่วนพวกที่ไม่เชื่อและไม่เคยเห็นก็จะค้านหัวชนฝาว่าผีไม่มีจริง ซ้ำยังบอกว่าใครที่อ้างว่าเคยเห็นผีนั้นต้องคิดไปเองไม่ก็บ้าแหงๆ เถียงกันอยู่อย่างนี้ไม่มีข้อยุติ
ตอนนั้นผมไม่ได้อยู่ฝ่ายไหนทั้งสิ้น... ไม่ได้เชื่อว่าผีมีจริง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าผีไม่มีจริง คือผีจะมีหรือไม่มีก็ไม่รู้ล่ะ แค่ชอบฟังพวกเขาคุยกันเฉยๆ
ฟังพวกนี้เถียงกันแล้วทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องปลากับเต่า... เรื่องมีอยู่ว่าปลากับเต่าเป็นเพื่อนกัน ปลานั้นอยู่แต่ในน้ำ แต่เต่ามีชีวิตอยู่ในสองโลกคือบนบกและในน้ำ วันหนึ่งปลาก็สงสัยอยากรู้เรื่องบนบกจึงถามเต่า
“บนบกนั้นลึกมากไหม”
“จะลึกอะไรก็มันบก”
“บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม”
“จะมีได้ไงก็มันบก”
“บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม”
“จะมีอะไรก็มันบก”
จะเห็นว่าปลาเอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ ถามว่าปลาโง่กว่าเต่าหรือก็ไม่ใช่ แต่เพราะปลาเคยอยู่แต่ในน้ำจึงคิดและเข้าใจได้ตามขอบเขตความรู้ที่ตัวเองประสบพบเห็น
หากเต่าบอกว่าบนบกมีต้นมะพร้าวสูงจนปีนขึ้นไปเก็บลูกมะพร้าวไม่ได้ ปลาคงหาว่าเต่าบ้า ต้นไม้อย่างนั้นจะมีได้ไงเพราะปลาไม่รู้จัก “ความสูง”
ใช่... เมื่อก่อนผมไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่าตัวเองจะอยู่ฝ่ายไหน แต่นับตั้งแต่วินาทีที่ “อัยย์” โผล่เข้ามาในชีวิต ผมก็ถูกไล่ให้ไปอยู่ข้างเดียวกับ “เต่า” โดยปริยาย
เช้านี้อัยย์ในร่างวิญญาณโผล่มาที่ห้องผมอีกครั้งอย่างกะเดจาวู เอาไงดีหว่า สงสัยเย็นนี้ต้องไปที่โรงพยาบาลไมตรีเวชอีกที คราวนี้ต้องไม่ลืมเอาโซ่มัดวิญญาณของอัยย์ไว้กับร่าง
“พี่จิงโจ้” อัยย์เรียก ขณะที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่
“เออ รอเดี๋ยว” ผมตอบส่งๆ ไป ขณะที่ยังหลับตาเพราะกำลังล้างแชมพูออกจากหัวอยู่
“พี่จิงโจ้ๆๆๆ”
“อะไรเล่า” เสร็จแล้วผมก็เอื้อมมือไปปิดฝักบัว พลางรูดม่านออกเพื่อเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดตัว แล้วก็เกือบหัวใจวายเมื่อเจออัยย์ยืนอยู่หลังม่าน
“ว้าย!”
ยัยอัยย์ร้องเสียงหลง ยกมือขึ้นปิดตาแต่ดันถ่างนิ้วออก
“นี่เธอเข้ามาได้ไง!” ผมรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมของสงวนทันที
เมื่อวานนี้แค่ปิดประตูก็เข้ามาไม่ได้แล้วนี่นา...
“อัยย์ไม่รู้... พอคิดอยากเจอพี่จิงโจ้ ก็มาอยู่ในห้องน้ำแล้ว”
ยัยนี่มันกลับเข้าร่างไปอัพสกิลใหม่มารึไงฟะ
... ... ...
“จะว่าไปฉันยังไม่รู้เลยว่าตกลงเธอรู้จักฉันได้ยังไง”
ผมถามอัยย์หลังจากที่เราขึ้นรถเมล์มาลงที่หน้าร้านม็อคเบอร์เกอร์ข้างโรงเรียน
“อ๋า--!!!” อัยย์ทำตาโต ชี้นิ้วไปที่ป้ายโฆษณาซึ่งติดอยู่หน้าร้านม็อคเบอร์เกอร์
“จะกินซอฟครีมอีกเรอะ”
“พวงกุญแจเจ้าโมรอน!”
ผมหันไปมองป้าย อืม... ซื้อชุดแฮปปี้แฮปปี้สุดคุ้มวันนี้ แถมพวงกุญแจม็อคแอนด์โมรอน
ม็อคแอนด์โมรอนเป็นตัวมาสค็อตของร้านม็อคเบอร์เกอร์ ม็อค นั้นคล้ายๆ หมีขาว แต่ตาตี่ มีจมูกสีแดงกลมโต ส่วน โมรอน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจระบุสปีชี่ได้ ตัวเล็กๆ อ้วนกลม ตาโต มีขนสีชมพูฟูๆ
วันนี้ - 31 สิงหาคม หรือจนกว่าสินค้าจะหมด... มีพวงกุญแจม็อคแอนด์โมรอนในแบบต่างๆ ตัวละห้าแบบรวมเป็นสิบแบบให้เลือกสะสม (ได้กลิ่นบริโภคนิยมตุๆ... ทั้งที่เจ้าโมรอนมันตัวกลมดิ๊กเปลี่ยนท่าทางไม่ได้ แต่ก็มีทำตายิ้มบ้าง ทำตาโมโหบ้างแตกต่างกันไปจนครบห้าแบบจนได้ เออนะ... คนเราก็คิดได้)
“ไม่” ผมตอบเสียงแข็ง
ต้นเดือนผมหมดค่าขนมไปกับซีดีศิลปินร็อควงโปรดไปแล้ว เมื่อวานยังต้องจ่ายค่าซอฟครีมกับค่ารถไปกลับโรงพยาบาลไมตรีเวชอีก ทำให้ค่าขนมเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ทั้งที่เพิ่งจะกลางเดือนเท่านั้น
ท่าจะได้ผล... เพราะอัยย์เงียบไปเลย ไม่ร้องโวยวายเหมือนทุกที แต่เอ๊ะ... ช้าก่อนซิ!
“ฮึก...” เสียงสะอื้นเบาๆ แว่วมาจากร่างน้อยๆ ที่ยืนก้มหน้านิ่ง หยดน้ำใสๆ ที่งดงามดั่งอัญมณีทำท่าจะร่วงผลอยออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้นทุกเมื่อ
ผิดคาด! คุณเธอไม่ได้เงียบไปเฉยๆ แต่เล่นงัดไม้ตายของผู้หญิงที่มีพลังทำลายล้างเหนือระเบิดปรมาณูหลายสิบเท่าออกมา โอจอร์จ... ไม่นะ...
“เออๆ ซื้อให้ก็ได้”
ด้วยเหตุนี้ ค่าขนมที่เหลือของผมจึงหมดไป แลกกับรอยยิ้มสดใสของอัยย์
ขณะที่นั่งกินชุดแฮปปี้ฯ (สุดคุ้ม) ผมก็ดูเธอยิ้มแฮปปี้มองพวงกุญแจเจ้าโมรอนที่กำลังทำหน้าตามึนๆ ซึ่งเจ้าตัวเป็นคนเลือกเอง
(ที่ว่า "ทำหน้าตามึนๆ" ก็เพราะผมดูไม่ออกว่าตาแบบนั้นของเจ้าโมรอนนี่ มันกำลังยิ้ม หรือเบื่อ หรือโกรธ หรือง่วงกันแน่)
และเพื่อให้เธอได้เชยชมพวงกุญแจสุดที่รักทุกเมื่อ ผมจึงแขวนเจ้าโมรอนไว้ที่กระเป๋านักเรียน
“อัยย์เห็นพี่จิงโจ้ตรงนี้แหละ” อัยยพูดขึ้นเมื่อเราเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียน
“วันนั้นหลังจากที่คุณลุงพาอัยย์กลับจากโรงพยาบาลเราก็มารับพี่น้ำฝนกัน"
อัยย์ชี้ไปที่ต้นหูกวางซึ่งอยู่ด้านในใกล้ๆ กับอาคารเรียน
"แล้วอัยย์ก็เห็นใครไม่รู้กระโดดจับกบอยู่ตรงนั้น เลยถามพี่น้ำฝนว่าเขาชื่ออะไร”
อัยย์น่าจะหมายถึงเรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว วันนั้นผมเห็นลูกแมวตัวหนึ่งทำท่าจะร่วงลงมาจากต้นหูกวาง จึงพุ่งตัวออกไปรับ ปรากฏว่ามันไม่ร่วงลงมาทันที ผมเลยลงไปนอนคลุกฝุ่นเก้อเป็นเบาะให้ลูกแมวกระโดดลงมาเหยียบ
ง่ะ... ถ้างั้นน้ำก็เห็นผมจับกบด้วยสินะ
“พอพี่น้ำฝนบอกชื่อ 'โจ้' อัยย์ก็เลยเรียกว่าพี่จิงโจ้ เพราะเห็นพี่กระโดดโหยงๆ เหมือนจิงโจ้ ดูแล้วน่ารักดี”
ได้ฟังที่มาของชื่อแล้วไม่รู้จะภูมิใจดีหรือเปล่า
“หวัดดีโจ้”
แล้วผมก็ได้ยินเสียงร้องเรียกจากข้างหลัง เมื่อหันไปจึงเห็นชายหนุ่มอารมณ์ดีสวมแว่นกลมโต
“หวัดดีต่อ”
ต่อเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับผมมาตลอดตอนม.ต้น
“ได้ข่าวว่าเมื่อวานไปกอดน้ำเลยโดนตบมาเรอะ” ต่อถาม
เอ่อ... ขนาดเจ้าต่อซึ่งอยู่คนละห้องกับผมและน้ำยังรู้เรื่องนี้ สงสัยคงรู้กันไปทั่วโรงเรียนแล้วล่ะมั้ง
“ก็นะ” จะบอกว่าเป็นฝีมือยัยอัยย์ก็ไม่ได้
“แจ๋วนี่หว่า ไม่นึกไม่ฝันว่าคนอย่างนายจะกล้าทำขนาดนี้” ต่อเข้ามากอดคอผม
“ถึงจะโดนปฏิเสธแต่ก็อย่าเศร้าไปเลยเพื่อน นี่จะบอกอะไรให้ เมื่อวานนี้ที่ห้องฉันมีเด็กย้ายเข้ามาใหม่โคตรน่ารักเลยว่ะ”
“นั่นไง พูดถึงก็มาเลย” ต่อชี้ให้ดู
ผมมองไปตามที่ต่อชี้ จึงเห็นหญิงสาวร่างระหง ตาคม ผมดำสลวยประบ่า จะว่าน่ารักก็น่ารักจริงๆ นั่นแหละ ยิ่งไว้ผมหน้าม้ายังงี้ ช่างโดนใจผมยิ่งนัก
เอ๊ะ... เดี๋ยวสิ นี่เรามีน้ำอยู่ทั้งคนนะ จะเผลอใจมองคนอื่นได้ไง!
เธอคนนั้นหันมาราวกับจะรู้ตัว
“หวัดดีมินท์” ต่อโบกมือทัก
หญิงสาวยิ้มให้
"นี่เพื่อนเราชื่อโจ้" เจ้าต่อชิงแนะนำผมเรียบร้อย
“โจ้..” แววตาของมินท์เปลี่ยนไปทันทีที่เห็นผม
“นี่ฉันเอง... มินท์ไง” เธอเดินเข้ามาหาผม
“เอ่อคือ... เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอครับ”
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หนาวสันหลังยังไงไม่รู้
“โจ้จำไม่ได้ก็ช่างเถอะ... แต่นายคงยังไม่ลืมวีรกรรมที่ทำไว้ที่ห้อง ป.2/3 หรอกใช่ไหม”
ป.2/3 เรอะ... เอ..รึว่าจะเป็นเรื่องนั้น!
"อะไรเรอะ" ต่อทำท่าสนใจ
"หึๆ ถ้าไม่อยากให้ฉันแฉความลับทั้งหมดของนายล่ะก็ พักเที่ยงขึ้นมาหาฉันที่ดาดฟ้าซะ" ว่าแล้วมินท์ก็เดินจากไป
“แกรู้จักกับมินท์มาก่อนเรอะ”
“เหมือนจะเป็นยังงั้น”
มินท์ต้องเป็นเพื่อนสมัยประถมแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่รู้เรื่องวีรกรรมของผมที่ห้องป.2/3 หรอก แต่ทำไมผมถึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าเธอเลยสักนิด
จะว่าไปรอยยิ้มที่ชวนให้เสียวสันหลังนั่น เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ อ๋อ... ใช่แล้ว!
พอเสียงออดพักกลางวันดังขึ้น ผมกับอัยย์ก็ออกจากห้องขึ้นไปบนดาดฟ้า
เมื่อขึ้นไปถึงพวกเราก็เห็นมินท์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้บนดาดฟ้ายังไม่มีใครนอกจากพวกเรา
“มินท์... ยัยเถิกมินท์ใช่ไหม” ผมเอ่ยขึ้น
ตอนป.2 เธอเคยโดนพวกเด็กผู้ชายหัวโจกล้อว่า "ยัยเถิก" เพราะตอนนั้นเธอไว้ผมสั้นเผยให้เห็นหน้าผากที่กว้าง มินท์ไม่ได้ตอบโต้อะไรเพียงแต่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่กี่วันต่อมาพวกที่ล้อเธอก็เงียบกันไปเองโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ ไปถามพวกนั้นก็ไม่มีใครยอมปริปากราวกับหวาดกลัวอะไรสักอย่าง จนกลายเป็นปริศนาถึงทุกวันนี้...
แต่พอขึ้นป.3 มินท์ก็ย้ายโรงเรียนไป เราจึงไม่ได้เจอกันอีกเลยจนกระทั่งวันนี้... มินท์ดูเปลี่ยนไปมาก จากเด็กแก่นๆ ที่ไว้ผมสั้นเหมือนผู้ชาย กลายเป็นหญิงสาวผมยาวสลวย ตัดทรงหน้าม้าปิดหน้าผากของเธอ... ผมจึงจำเธอไม่ได้ในตอนแว้บแรกที่เห็น
“อะไรกันนึกออกแล้วเรอะ ว้า...กะจะเอาไปโพนทะนาอยู่เชียวว่า ตอนป.2 นายไม่กล้าขอครูไปเข้าห้องน้ำ เลยอั้นไว้จนฉี่ราดในห้องเรียน”
"มินท์!" ผมจะห้ามแต่ก็สายไปเสียแล้ว
"นี่เอง วีรกรรมของพี่จิงโจ้" ยัยอัยย์หัวเราะ
“เอ... หรือจะให้ฉันประจานเรื่องอื่นดี เช่นเรื่องที่นายกลัวผีจนไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำคนเดียวตอนกลางคืน”
"เอ่อ...มินท์ เราเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า " ก่อนที่ยัยอัยย์จะได้ฟังวีรกรรมทั้งหมดของผม
"ทำไมล่ะ อุตส่าห์ได้รำลึกความหลังทั้งที" มินท์ทำท่าเสียดาย
"รึว่านายไม่อยากให้สาวน้อยคนนั้นได้ยินเรื่องของนาย" เธอเหล่มองไปทางข้างหลังผมซึ่งมีอัยย์ยืนอยู่...
เอ๋------!? อย่าบอกนะว่ามินท์ก็มองเห็นอัยย์ด้วย!!
... ... ...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น