ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Magic of Now & Here

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter II: Little Canary 09

    • อัปเดตล่าสุด 7 มี.ค. 53



                    คืนนั้นในความรู้สึกที่เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ฉันได้พบกับเด็ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งเอเดิลไวสส์ เธอผิว มีผมสีบลอนด์ และดวงตาสีครามเหมือนท้องฟ้า

                    ฉันสังเกตเห็นเค้าหน้าของน้าทีช่าจากเธอ

                    “เธอคือรุณเหรอ...” ฉันถาม

                    เด็กคนนั้นพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วยิ้มให้อย่างสดใส

                    ท่ามกลางความรู้สึกที่เลือนราง รอยยิ้มที่เปล่งประกายของรุณนั้น แจ่มชัดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด...

                    “ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยปลดปล่อยพี่ชลจากความรู้สึกผิดในอดีต”

                    เธอไหว้ฉันด้วยกิริยาที่งดงามน่าเอ็นดู

                    ขณะที่เดินจาก เธอหันกลับมายิ้มแล้วโบกมือให้ฉันอีกหลายครั้ง

                    ให้ตายสิ ตานั่นเป็นพี่ชายประสาอะไร ทำให้น้องสาวต้องเป็นห่วง...

    ... ... ...

     

                    วันรุ่งขึ้นชลก็ยอมบอกความจริงกับเพื่อนๆ เรื่องที่ฉันป่วยเป็นโรคเอออสทราซินโดรม แล้วพาฉันกับทุกคนไปเลี้ยงที่ร้าน "Kaffeehaus" ซึ่งเป็นภัตตราคารสุดหรูในอาณาจักรสแกนเดรีย ทุกคนจึงยอมยกโทษให้...

                    สัปดาห์ต่อมาชลก็ขอแรงเฟดริกปลูกบ้านไม้เล็กๆ หลังหนึ่งขึ้นที่ป่าโอ๊คหลังโรงพยาบาล ซึ่งได้รับอนุญาตจากคุณหมอนอร์แมนแล้ว จากนั้นเขาก็ชวนฉันไปอยู่ด้วย

                    ฉันตกลงเพราะที่นั่นบรรยากาศดี มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน และไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรเพราะชลยินดีดูแลจัดการให้ทุกอย่าง

                    เพื่อนๆ ต่างแวะมาเยี่ยมฉันอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอลลี่นั้นหอบข้าวของมาค้างด้วยบ่อยๆ จนเข้าออกที่นี่มากกว่าหอพักของตัวเองเสียอีก

                    เวลาผ่านไปสองเดือน ฉันก็ยังไม่มีอาการ “เซคันด์ช็อค” จนเพื่อนๆ บางคนคิดว่าฉันอาจเป็นผู้ป่วยรายแรกในประวัติศาสตร์ที่รอดชีวิตจากโรคเอออสทราซินโดรมก็ได้...

                    จนกระทั่งคืนวันคริสต์มาสอีฟหลังจากกลับจากงานแต่งงานของเฟดริก หิมะก็เริ่มโปรยลงมาปกคลุมป่าโอ๊ค

                    “ดีจังนะ ในที่สุดเฟดริกก็ได้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที” ชลเปิดไฟ แล้วเดินข้าไปจุดเตาผิง

                    “เจ้าสาวน่ารักจังเลย”

                    ฉันนึกถึงบรรยากาศในงาน งานเลี้ยงในตอนกลางคืนจัดขึ้นที่ห้องโถงขนาดใหญ่ในบ้านของเจ้าสาว ภายในประดับด้วยต้นสน ตุ๊กตาตัวเล็กตัวใหญ่ และหลอดไฟหลากสีสัน เพื่อนๆ ฝั่งเจ้าสาวช่วยกันนำอาหารทำเองจากที่บ้านมาจัดไว้บนโต๊ะตรงกลาง เป็นงานที่เรียบง่ายและเป็นกันเอง

                   
    “Licht und Musik”

                    ทันทีที่ชลดีดนิ้ว ไฟในห้องก็ดับสนิท ก่อนที่เทียนจะติดขึ้นพร้อมกันรอบๆ ห้อง

                    เสียงเพลงวอลทซ์ ที่นุ่มนวล แช่มช้า และงดงามดังมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นเก่า ให้ความรู้สึกถึงดอกไม้ที่บานอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี มีสายลม แสงแดด ท้องฟ้าและหมู่เมฆ เป็นเพื่อนร่วมขับร้องประสานไปกับทุ่มทำนองอันอบอุ่นเรียบง่าย

                    "เอเดิลไวส์วอลทซ์เหรอ..." ฉันว่า

                    ชลยิ้ม

                    “ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงได้ไหมครับ คุณผู้หญิง” เขาโค้งให้

                     จากนั้นเราจึงเต้นวอลทซ์ ประสานไปกับท่วงทำนองแห่งดอกไม้และสายลมที่พริ้วไหวและนุ่มนวล

                    “นี่ใจ” ชลว่า

                    “หืม”

                    “แล้วเมื่อไรจะถึงคิวของเราล่ะ”

                    “ฝันไปก่อนละกัน”

                    “งั้นขอมัดจำก่อนละกัน”

                    บทเพลงจบลง ในท่าที่ฉันเอนตัวไปข้างหลัง โดยที่ชลโอบเอวของฉันไว้

                    เขาโน้มใบหน้าเขามาประชิดหวังประกบริมฝีปากฉัน...



                    ฉันไหวตัวทัน สวนอีซ้ายเข้าที่กระพุ้งแก้มขวา...

                    “ผัวะ!”

                    “เปลี่ยนใจละ พรุ่งนี้ฉันเก็บข้าวของกลับไปอยู่หอกับแอลลี่ดีกว่า” ฉันเดินไปเปิดไฟ

                    “โธ่ ถ้าจะหนีละก็เอาที่ๆ ฉันแอบเข้าไปง่ายๆ อย่างโรงพยาบาลไม่ได้เหรอ...”

                    “ไม่... ฉันเบื่อหน้านายแล้ว จะไปไหนก็ไป ชิ่ว ชิ่ว”

                    พอเขาหันหลังเดินคอตก ฉันก็แอบเข้าไปหอมแก้มขวาของเขาจากข้างหลัง

                    “ว้าย!”

                    เขาคาดการณ์ไว้แล้ว จึงรวบตัวฉันเข้าไปกอด

                    ฉันตกใจดิ้นจนเราเซล้มลงกับพื้น แต่เขาก็ยังกอดฉันไว้แน่น

                    “ตาบ้า! ปล่อยนะ!”

                    ฉันทุบตีไม่ยั้ง

                    “โอ้ยๆๆ ปล่อยแล้วจ้า ปล่อยแล้ว!”

                    “ให้ตายสิ! พรุ่งนี้ฉันจะไปจริงๆ ด้วย อย่ามาห้ามซะให้ยาก”

                    ฉันว่าแล้วเดินหนีเขาไป



                    แต่ทันใดนั้นโลกทั้งใบก็พลิกกลับหัว แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็มืดลง...



                    “ใจ!”

    ... ... ...

     

                    ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียง มีแสงจ้าส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

                    “ใจฟื้นแล้วหรือ...” ชลว่า

                    “อาจารย์อสิตามาเยี่ยมน่ะ”

                    ฉันมองไปเห็นชายชราในชุดเอี๊ยม

                    “อาจารย์อสิตา... สวัสดีค่ะ”

                    “วันนี้เป็นวันที่ดีนะ” ท่านยิ้ม

                    ฉันมองออกไปข้างนอก แสงแดดเริ่มละลายหิมะที่ปกคลุมอยู่ออกไป

                    “ครูมีเรื่องจะบอกพวกเธอสองคน หนึ่งเดือนก่อนครูได้ยื่นเรื่องไปทางสภาเวทย์มนต์ เพื่อขออนุมติให้ชลใช้เวทย์มนต์ย้อนเวลารักษาใจ ซึ่งเมื่อวานนี้ทางสภาได้อนุมัติแล้ว โดยมีข้อแม้ว่าต้องทำให้ดูต่อหน้าพวกเขา”

                    พูดเสร็จท่านก็มองมาที่ฉันกับชล

                    “ว่าไง จะลองดูไหม”

                    “ไม่ครับ” ชลว่า

                    “ตอนนี้ผมทิ้งเวทย์มนต์ย้อนเวลาไปแล้ว และศึกษาเวทมนต์ "Now & Here" ที่ใจวิจัยค้างไว้ และผมจะไม่หันหลังกลับไปอีก”

                    เขาหันมายิ้มให้ฉัน

                    “อีกอย่างถ้าย้อนเวลากลับไป ไม่แน่ว่าใจอาจจะสูญเสียความทรงจำที่มีค่าทั้งหมดในช่วงสามเดือนนี้ไปด้วย”

                    ตั้งแต่รู้จักกันมาก็มีครั้งนี้นี่แหละที่เขาตอบได้ถูกใจฉันจริงๆ

                    ดีแล้ว... ฉันจะได้ไม่ต้องพูดให้เหนื่อย

                    “หึๆ” อาจารย์อสิตาหัวเราะ

                    “ใจล่ะ พร้อมแล้วใช่ไหม”

                    “ค่ะ”

                    “ดี พยายามต่อไปอย่าประมาทล่ะ ที่เราทำมาทั้งหมดก็เพื่อเวลานี้”

                    ท่านว่าเช่นนั้นก่อนจะกลับไป

                    สักครู่หนึ่งฉันก็หยิบกระดาษปึกหนึ่งกับสมุดโน้ตให้ชล

                    “ชล... ฝากนี่ให้คุณหมอนอร์แมนด้วยนะ”

                    ชีทปึกนั้นคือบันทึกเกี่ยวกับโรคเอออสทราซินโดรม ซึ่งฉันใช้เวลาตลอดสองเดือนศึกษา รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ออกมา

                    “ยังมีปริศนาเกี่ยวกับโรคนี้อีกมาก ฉันหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้คงพอช่วยอะไรได้บ้าง”

                    งานวิจัยของฉันคงไม่ได้เลิศหรูเหมือนของชาร์ลีใน “ดอกไม้แด่อัลเกอร์นอน” แต่ฉันก็ทำสิ่งที่ฉันควรทำอย่างเต็มที่ตามกำลังของฉันแล้ว

                    “ส่วนนี่เป็นนิยายไร้ชื่อที่ฉันเขียนไว้จนถึงเมื่อวาน จะแต่งต่อหรือเก็บไว้ทั้งอย่างนั้น ฉันยกให้เป็นสิทธิ์ของนาย...”

                    ชลรับไว้

                    “ขอโทษนะ ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลย” เขาว่า

                    ฉันยิ้ม ส่ายหน้า

                    “ไม่หรอก นายได้ทำเพื่อฉันมาตลอดแล้วล่ะ นายเคยปกป้องฉันจะความหวาดกลัวจากงูยักษ์ในตอนนั้น และตอนนี้ก็เช่นกัน... นายได้ช่วยปกป้องฉันจากการต้องเผชิญกับความตายอย่างโดดเดี่ยว...”

                    จากนั้นเราทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก เพียงแต่กินข้าวเช้า ข้าวเที่ยง และนั่งเจริญสติทำวิปัสสนาด้วยกันเงียบๆ

                    ตกเย็นเพื่อนๆ ต่างทยอยมาเยี่ยมเพื่อดูใจฉันเป็นครั้งสุดท้าย

                    ใช่... เป็นครั้งสุดท้าย... ฉันรู้ตัวดี เพราะบัดนี้เรี่ยวแรงที่เคยมีได้หดหายไปหมดแล้ว...



                    “ขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์มาเยี่ยม... ฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากแสดง “นิทรรศการความตาย” ให้ชม...”

                    ฉันนึกถึงคำพูดของน้าทีช่า...

                    บัดนี้ “ความตาย” ของฉันก็จะเป็นทั้ง “โชคดี” และ “โชคร้าย” สำหรับเพื่อนๆ ของฉันเช่นกัน

                    ฉันมองเพื่อนๆ ที่ยืนอยู่รอบเตียงทั้งชล แอลลี่ จีเวล เลย์ล่า เฟดริก และคนอื่นๆ นอกจากนี้ฉันยังนึกถึงคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ น้าทีช่า คุณครูเฟมีน รุณ อาจารย์อสิตา หรือแม้แต่ราเฟลกับผู้หญิงที่ตบหน้าฉันคนนั้น..

                    “วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ ...” ฉันยิ้ม

                    “ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายเลย เพราะในโลกนี้ยังมีคนที่โชคร้ายกว่าฉันอีกมากมาย... ทั้งคนที่ยังมีชีวิตอยู่และตายไปแล้วโดยไม่รู้ว่าชีวิตนี้น่าอภิรมย์เพียงใด... ไม่รู้ว่าโลกใบนี้งดงามเพียงไร...”

                    “การพบเจอและการพลัดพรากเป็นคู่กัน... สิ่งใดเกิดแต่เหตุ สิ่งนั้นย่อมดับเมื่อหมดเหตุ...”

                    “ขอให้ดูใบของต้นโอ๊คที่นอกหน้าต่างนั่น... คืนก่อนที่พายุพัด ได้ปลิดใบสีเหลือง ใบสีเขียวเข้ม และใบสีเขียวอ่อนให้ร่วงลงมา....

                    คนเราก็เช่นกัน... จะตายตอนเด็ก ตอนหนุ่ม หรือตอนแก่ ก็ล้วนเป็นครรลองของธรรมชาติ... แล้วเราจะฝืนครรลองนี้ได้อย่างไร... เราจะต่อต้านครรลองนี้ไปเพื่ออะไร... ฉะนั้นทุกคนอย่าได้เศร้าเสียใจกับการจากไปของฉันเลย...”

                    “ถ้าจะคิดถึงฉัน... ขอให้พวกเธอยิ้มให้กับตัวเองในกระจกทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา... ยิ้มให้กับตัวเองเวลาที่นึกเสียดายอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว... ยิ้มให้กับตัวเองเวลาที่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง... ขอให้ทุกๆ คนใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่"

                    "ฉันขอภาวนาให้วันนี้เป็นวันที่ดีของพวกเธอตลอดไป”

                    น้ำเสียงตอนท้ายของฉันแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ร่างกายก็อ่อนแรงและอึดอัด คล้ายตอนที่ตัวเองวิ่งติดต่อกันนานๆ จนเกินขีดจำกัด

                    ในตาของฉันพร่ามัวลง แต่สติกลับคมชัด ใจของฉันนิ่งสงบ เบาสบาย ปราศจากความกังวลหรือความกลัวใดๆ

                    ทันใดก็ปรากฏแสงสว่างที่เจิดจ้าอยู่เบื้องหน้า ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนจากแสงนั้น ความรู้สึกบอกฉันว่าฉันกำลังจะได้ไปใช้ชีวิตใหม่ในอีกโลกหนึ่งที่ปลายทางของแสงสว่างนั่น

                    ความตายบนโลกใบนี้คล้ายดั่งการนอนหลับแล้วลืมตาตื่น

                    ไม่ต่างอะไรจากโลกที่ฉันกำลังมุ่งหน้าไป รวมทั้งโลกอื่นๆ

                    เราเป็นเพียงนักเดินทางที่ร่อนเร่ไปเรื่อยๆ ผ่านโลกมนุษย์ สววรค์ และนรกวนเวียนไม่สิ้นสุด จนกว่าจะรู้แจ้งด้วยปัญญาว่าสิ่งทั้งหลายเป็นเพียงมายาที่จิตหลงไปปรุงแต่งด้วยความไม่รู้...

     

    *****

     

    25 ธันวาคม 2004



                    คืนนั้นหลังจากที่เพื่อนๆ กลับไปหมดแล้ว ผมก็เอา “นิยายไร้ชื่อ” ของใจมาอ่าน

                    ใจเขียนนิยายเล่มนี้ในลักษณะอัตชีวประวัติซึ่งเล่าเรื่องของเธอมาตั้งแต่วัยเด็ก ในนั้นมีเรื่องราวระหว่างเธอกับแม่ของผมที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนรวมอยู่ด้วย

                    เย็นวันนี้ใจได้เผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายของตัวเองอย่างสงบ ใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงที่แหบแห้งและประกายตาที่ริบหรี่ใกล้มอดในนาทีสุดท้ายของเธอ เป็นเสมือนแสงของดาวหางที่ปรากฏบนฟ้าเพียงชั่วพริบตา แต่จะยังส่องสว่างอยู่ในใจผมต่อไปตราบนานเท่านาน

                    อาจารย์อสิตาบอกว่าความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต เป็นเพียงการเปลี่ยนภพ เราทุกคนเคยเกิดเป็นคน สัตว์ เทวดา หรือแม้แต่สัตว์นรกมาแล้วทั้งนั้น  และจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้จนกว่าจิตจะมีปัญญารู้เท่าทันกิเลสตัณหา ตัดวงจรแห่งวัฏสงสารได้สิ้น

                    ถ้าใจบอกว่าผมเหมือน “ต้นไม้”

                    ผมก็รู้สึกว่าใจเหมือน “นก” ที่เต็มไปด้วยอิสระ

                    ความตายของเธอก็เหมือนการโผบินออกจากต้นไม้ต้นหนึ่งสู่ที่แห่งใหม่

                    แต่ไม่ว่าเธอจะไปที่ใด ผมก็เชื่อว่าเธอจะสามารถเผชิญกับชะตาชีวิตของตัวเธอเองด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและมั่นคง เหมือนที่วันนี้เธอได้ยิ้มรับความตายของตัวเอง

                    ใจตายอย่างสงบ เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ต่อให้สามารถเสกภูเขาเงินภูเขาทอง หรือเดินทางข้ามเวลาได้ ก็ไม่มีเวทย์มนต์บทใดจะวิเศษไปกว่าการเจริญสติปัญญาอยู่กับปัจจุบันเพื่อตามรู้ตามดูอาการของจิตใจ ทำให้เราหลุดพ้นจากการตกเป็นทาสของความกลัว และพบกับความอิสระผาสุกที่แท้จริง...

    ... ... ...



                    ผมหยิบนิยายไร้ชื่อของใจขึ้นมาอีกครั้งแล้วเขียนที่หน้าปกว่า



    - The Magic of Now & Here -



                    ใจตายไปแล้ว แต่เธอก็ได้ทิ้งสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย...

                    ผมเรียบเรียงนิยายทีใจเขียนแล้วทำเป็นหนังสือเผื่อว่าเรื่องราวของใจจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่ได้อ่านอีกหลายคน

                    เหมือนที่เรื่องราวของเธอมีคุณค่าและความหมายต่อชีวิตของผม...



    - จบภาคหนึ่ง -

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×