ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter II: Little Canary 07
เมื่อจบจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าแล้ว ฉันก็ไม่ได้พบชลบ่อยนัก ส่วนหนึ่งเพราะตอนเรียนที่โรงเรียนมัธยมสแกนเดรียเราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะความเป็นคนชอบเก็บตัวของเขา
ที่พอจะได้คุยกับเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งก็ตอนที่เราจบการศึกษาระดับมัธยมปลายและรวมตัวกันไปเยี่ยมคุณครูเฟมีน
เพื่อนๆ ที่จบจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ารุ่นเดียวกันนั้น มีเพียงฉันกับชลเท่านั้นที่ตัดสินใจเรียนต่อในวิทยาลัยสแกนเดรีย
แต่แม้จะเรียนวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน เราก็แทบไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม
จนกระทั่งวันนั้นที่ฉันโดนผู้หญิงคนนั้นตบหน้า...
เมื่อผละออกจากที่เกิดเหตุ ฉันก็เจอราเฟลทันที
“เอริซ่า! แก้มนั่นไปโดยอะไรมา บอกมานะว่าใครทำกับเธอย่างนี้” เขาเข้ามาถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“เผียะ!”
ในใจฉันตบหน้าเขาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในความเป็นจริงฉันรั้งสติไว้ได้ทัน
นี่เป็นแผนการที่จะให้ฉันสวมบทนางร้ายตบหน้าเขาต่อหน้าฝูงชน เขาจะได้จากไปแบบผู้ชนะ... เรื่องอะไรจะต้องเดินตามเกมที่ราเฟลวางไว้!
"ขอบใจที่ห่วง!"
ฉันพูดแค่นั้นแล้วเดินจากไป แต่อย่าคิดเชียวนะว่าเรื่องจะจบแค่นี้ ราเฟล... ในเมื่อนายกล้าทำกับฉันก่อน ฉันจะขอสนองคืนให้อย่างสาสมที่สุด!
ฉันเดินไปที่หอสมุดกลาง ในใจนึกวางแผนแก้แค้นไว้จนเป็นรูปเป็นร่างหมดแล้ว เป็นแผนการชิงรักหักสวาทที่รับรองว่าราเฟลจะต้องคาดไม่ถึง ขอเพียงฉันส่งพวก “มือดี” ไปยุแยงพวกสาวๆ ที่หลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำทีละคน ฉันก็มีวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเขาพังพินาศได้ง่ายๆ
ขณะนั้นเอง ฉันก็เผอิญเหลือบไปเห็นชล...
ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินเข้าไปทัก เขาก็เปิดประตูเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง
ฉันนึกเอะใจว่า ที่หอสมุดกลางเคยมีประตูบานนี้ด้วยหรือ จึงลองตามเขาไป รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ได้หลงเข้ามาใน “ป่า” เป็นที่เรียบร้อย
“อ้าวใจ มานี่ได้ไงเนี่ย”
“ทำไม... ฉันมาที่นี่ไม่ได้หรือไง”
“เปล่าหรอก เพียงแต่ฉันไม่เคยเจอใครในนี้เลยแปลกใจนิดหน่อย”
ลมพัดมาวูบหนึ่ง เสียงใบไม้กิ่งไม้สีกันเซ็งแซ่ มองขึ้นไปเห็นกิ่งไม้ไหวล้อกับเสียงอาทิตย์ ปรากฏเป็นแสงระยิบระยิบราวหมู่ดาวที่พราวพร่างอยู่บนฟ้าจนตาพร่า
ทิวทัศน์ในป่าแห่งนี้ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ดูโปร่งและสว่างสบายตา
“ฮ้า... อากาศดีจัง”
เมื่อได้สูดอากาศของที่นี่เข้าไปเต็มปอด ใจของฉันก็เบาสบายขึ้นมา
“ใจ... ทำไมที่แก้มซ้ายมีรอยแดงๆ ล่ะ ดวงตาก็ดูช้ำๆ”
“เอ้อ... อย่าไปสนใจเลย”
ฉันเผลอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไปสนิท จึงยังไม่ทันเตรียมข้อแก้ตัวไว้ ได้แต่ภาวนาขอให้เขาอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย
“หรือว่าเธอ...” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ตายแล้ว เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าฉันเพิ่งจะโดนตบมา...
“เผลอนอนทับหนังสือมาใช่ไหม! ฉันเข้าใจ ก็วิชาของอาจารย์ยุงเก้น่ะ น่าเบื่อจะตาย”
ฉันปล่อยฮุคขวาใส่ชล จนเขาหงายท้องล้มตึง
“ตาบ้า! ฉันลงวิชาของอาจารย์ยุงเก้ซะทีไหนเล่า ไปตายซะ!”
ว่าแล้วก็ลุกจากเขาไป
โธ่เอ๊ย ไม่น่าตามเขาเข้ามาที่ “ป่า” นี่เลย...
ไม่รู้จะเป็นเพราะบรรยากาศของที่นี่ หรือเพราะฉันได้ตั๊นหน้าชลกันแน่ ตอนนี้ฉันรู้สึกโล่งๆ จนชักจะหมดอารมณ์แก้แค้นราเฟลแล้วสิ
อย่างไรก็ดี ฉันก็รู้สึกปลื้มนิดๆ ที่ไม่ได้พลั้งมือตบหน้าราเฟลไป เพราะคนที่ทำตัวต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างนั้น ไม่สมควรได้รับเกียรติจากฝ่ามือของฉันหรอก...
... ... ...
วันหนึ่งฉันได้ลองเอ่ยถามอาจารย์อสิตาเรื่อง “ป่า” แห่งนั้น
“งั้นหรือ เธอก็เลยตามเขาเข้าไปใน “ป่า” สินะ”
“ป่านั่นมันมีอะไรหรือคะ”
ท่านหัวเราะในลำคอ
“แล้วก่อนหน้านั้น เธอเคยสังเกตไหมล่ะว่ามีประตูบานนั้นอยู่”
“ไม่เลยค่ะ”
จะว่าไปก็คงไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอก เพราะชลก็บอกว่าไม่เคยเจอใครในนั้นเลย...
“แล้วเธอได้บอกใครหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ทำไมหรือคะ”
“การรู้มากไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป รู้เท่าที่จำเป็นก็พอแล้ว”
น้ำเสียงของอาจารย์อสิตานั้นจริงจังเกินกว่าจะเป็นการล้อเล่น
ฉันนึกถึงวันที่เรารวมตัวกันไปเยี่ยมคุณครูเฟมีน และได้รู้จากคุณครูว่าทั้ง “ป่าต้องห้าม” และ “งูยักษ์” เป็นการจัดฉากของท่านที่มีไว้ดัดนิสัยเด็กที่ชอบ ลองของ นั่นเอง
คราวนี้ถ้าไม่ฟังคำเตือนของอาจารย์อสิตา ฉันอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างตอนที่เจอ “งูยักษ์” นั่นก็ได้
อย่างไรก็ดี เรื่องในครั้งนี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ฉันทึ่งในสัญชาตญาณของชล แต่บางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่ามากกว่า...
... ... ...
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเปิดเทอมปี 4 มาได้สองสัปดาห์ อาจารย์อสิตาก็ใช้ให้ฉันไปตาม “เจ้าหนุ่มคนป่า” มาเข้าเรียน
“Vogel”
ฉันร่ายมนต์จำแลงเป็นนกขมิ้นตัวน้อย...
พื้นคอนกรีตค่อยๆ เขยิบสูงขึ้นมาจนห่างจากสายตาเพียงนิ้วเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวทั้งประตูและสายไฟดูใหญ่โตขึ้นผิดตา ร่างกายรู้สึกเบาหวิว แต่รู้สึกถึงกำลังอันหนักแน่นมั่นคงที่ปีกทั้งสอง
ฉันโผบินออกจากดาดฟ้าของอาคารเรียน...
สายลมเย็นที่ไหวอยู่ใต้ปีกช่วยอุ้มฉันไว้ ทิวทัศน์รอบๆ ตัวเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา อาคารเรียนซึ่งถูกไว้เบื้องล่างค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ
ณ เวลานี้ ฉันกลับคิดว่าเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา ช่างเล็กน้อยเสียจนไม่ควรจะแบกเอาไว้...
รู้สึกปลอดโปร่ง เบาสบาย ยามเมื่อกระพือปีกแหวกว่ายสายลม โลกข้างบนนี้ไม่มีทั้งกำแพงหรือพรมแดนใดๆ
ฉันบินผ่านโรงพยาบาลแห่งวิทยาลัยสแกนเดรีย ผ่านป่าไวท์โอ๊ค จนถึงเนินหญ้า
ชลเคยบอกว่าข้างบนนี้อากาศดีมาก และชอบมาขึ้นมานั่งอ่านหนังสือบ่อยๆ
ในที่สุดฉันก็เจอเจ้ากรรมนายเวรตัวแสบของฉัน ตานั่นนั่งอ่านหนังสือด้วยสีหน้าสบายๆ อยู่ใต้ต้นโอ๊คใหญ่
“Rück”
ฉันคืนร่างกลับเป็นหญิงสาวที่ใต้ต้นโอ๊ค...
“หวัดดีใจ”
ชลยิ้มทักทายเมื่อเห็นฉัน
มาดงมาดีอะไรยะ! อีตานี่!!
อีขวาสะท้านโลกของฉันเริ่มอยู่ไม่สุข เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชล
นี่เขาจะไม่คิดสักนิดเลยหรือว่าฉันต้องโดดครึ่งหลังของวิชาอาจารย์อสิตาและถ่อมาถึงนี่เพราะใคร...
“หวัดดีจ้ะ” ฉันว่า
ในใจวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าจะขอแกล้งตานี่ให้เข็ดสักทีเถอะ โทษฐานทำตัวเฉื่อยเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตลอดเวลา
อาจารย์อสิตาห้ามฉันไม่ให้บอกคนอื่นเรื่อง “ป่า” ก็จริง แต่ไม่ได้ห้ามฉันไม่ให้เข้าไปใน “ป่า” สักหน่อยนี่นะ
... ... ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
ที่พอจะได้คุยกับเขาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอีกครั้งก็ตอนที่เราจบการศึกษาระดับมัธยมปลายและรวมตัวกันไปเยี่ยมคุณครูเฟมีน
เพื่อนๆ ที่จบจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ารุ่นเดียวกันนั้น มีเพียงฉันกับชลเท่านั้นที่ตัดสินใจเรียนต่อในวิทยาลัยสแกนเดรีย
แต่แม้จะเรียนวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน เราก็แทบไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม
จนกระทั่งวันนั้นที่ฉันโดนผู้หญิงคนนั้นตบหน้า...
เมื่อผละออกจากที่เกิดเหตุ ฉันก็เจอราเฟลทันที
“เอริซ่า! แก้มนั่นไปโดยอะไรมา บอกมานะว่าใครทำกับเธอย่างนี้” เขาเข้ามาถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“เผียะ!”
ในใจฉันตบหน้าเขาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในความเป็นจริงฉันรั้งสติไว้ได้ทัน
นี่เป็นแผนการที่จะให้ฉันสวมบทนางร้ายตบหน้าเขาต่อหน้าฝูงชน เขาจะได้จากไปแบบผู้ชนะ... เรื่องอะไรจะต้องเดินตามเกมที่ราเฟลวางไว้!
"ขอบใจที่ห่วง!"
ฉันพูดแค่นั้นแล้วเดินจากไป แต่อย่าคิดเชียวนะว่าเรื่องจะจบแค่นี้ ราเฟล... ในเมื่อนายกล้าทำกับฉันก่อน ฉันจะขอสนองคืนให้อย่างสาสมที่สุด!
ฉันเดินไปที่หอสมุดกลาง ในใจนึกวางแผนแก้แค้นไว้จนเป็นรูปเป็นร่างหมดแล้ว เป็นแผนการชิงรักหักสวาทที่รับรองว่าราเฟลจะต้องคาดไม่ถึง ขอเพียงฉันส่งพวก “มือดี” ไปยุแยงพวกสาวๆ ที่หลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำทีละคน ฉันก็มีวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเขาพังพินาศได้ง่ายๆ
ขณะนั้นเอง ฉันก็เผอิญเหลือบไปเห็นชล...
ยังไม่ทันที่ฉันจะเดินเข้าไปทัก เขาก็เปิดประตูเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง
ฉันนึกเอะใจว่า ที่หอสมุดกลางเคยมีประตูบานนี้ด้วยหรือ จึงลองตามเขาไป รู้ตัวอีกทีตัวเองก็ได้หลงเข้ามาใน “ป่า” เป็นที่เรียบร้อย
“อ้าวใจ มานี่ได้ไงเนี่ย”
“ทำไม... ฉันมาที่นี่ไม่ได้หรือไง”
“เปล่าหรอก เพียงแต่ฉันไม่เคยเจอใครในนี้เลยแปลกใจนิดหน่อย”
ลมพัดมาวูบหนึ่ง เสียงใบไม้กิ่งไม้สีกันเซ็งแซ่ มองขึ้นไปเห็นกิ่งไม้ไหวล้อกับเสียงอาทิตย์ ปรากฏเป็นแสงระยิบระยิบราวหมู่ดาวที่พราวพร่างอยู่บนฟ้าจนตาพร่า
ทิวทัศน์ในป่าแห่งนี้ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็ดูโปร่งและสว่างสบายตา
“ฮ้า... อากาศดีจัง”
เมื่อได้สูดอากาศของที่นี่เข้าไปเต็มปอด ใจของฉันก็เบาสบายขึ้นมา
“ใจ... ทำไมที่แก้มซ้ายมีรอยแดงๆ ล่ะ ดวงตาก็ดูช้ำๆ”
“เอ้อ... อย่าไปสนใจเลย”
ฉันเผลอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ไปสนิท จึงยังไม่ทันเตรียมข้อแก้ตัวไว้ ได้แต่ภาวนาขอให้เขาอย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย
“หรือว่าเธอ...” เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ตายแล้ว เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าฉันเพิ่งจะโดนตบมา...
“เผลอนอนทับหนังสือมาใช่ไหม! ฉันเข้าใจ ก็วิชาของอาจารย์ยุงเก้น่ะ น่าเบื่อจะตาย”
ฉันปล่อยฮุคขวาใส่ชล จนเขาหงายท้องล้มตึง
“ตาบ้า! ฉันลงวิชาของอาจารย์ยุงเก้ซะทีไหนเล่า ไปตายซะ!”
ว่าแล้วก็ลุกจากเขาไป
โธ่เอ๊ย ไม่น่าตามเขาเข้ามาที่ “ป่า” นี่เลย...
ไม่รู้จะเป็นเพราะบรรยากาศของที่นี่ หรือเพราะฉันได้ตั๊นหน้าชลกันแน่ ตอนนี้ฉันรู้สึกโล่งๆ จนชักจะหมดอารมณ์แก้แค้นราเฟลแล้วสิ
อย่างไรก็ดี ฉันก็รู้สึกปลื้มนิดๆ ที่ไม่ได้พลั้งมือตบหน้าราเฟลไป เพราะคนที่ทำตัวต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานอย่างนั้น ไม่สมควรได้รับเกียรติจากฝ่ามือของฉันหรอก...
... ... ...
วันหนึ่งฉันได้ลองเอ่ยถามอาจารย์อสิตาเรื่อง “ป่า” แห่งนั้น
“งั้นหรือ เธอก็เลยตามเขาเข้าไปใน “ป่า” สินะ”
“ป่านั่นมันมีอะไรหรือคะ”
ท่านหัวเราะในลำคอ
“แล้วก่อนหน้านั้น เธอเคยสังเกตไหมล่ะว่ามีประตูบานนั้นอยู่”
“ไม่เลยค่ะ”
จะว่าไปก็คงไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอก เพราะชลก็บอกว่าไม่เคยเจอใครในนั้นเลย...
“แล้วเธอได้บอกใครหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ทำไมหรือคะ”
“การรู้มากไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป รู้เท่าที่จำเป็นก็พอแล้ว”
น้ำเสียงของอาจารย์อสิตานั้นจริงจังเกินกว่าจะเป็นการล้อเล่น
ฉันนึกถึงวันที่เรารวมตัวกันไปเยี่ยมคุณครูเฟมีน และได้รู้จากคุณครูว่าทั้ง “ป่าต้องห้าม” และ “งูยักษ์” เป็นการจัดฉากของท่านที่มีไว้ดัดนิสัยเด็กที่ชอบ ลองของ นั่นเอง
คราวนี้ถ้าไม่ฟังคำเตือนของอาจารย์อสิตา ฉันอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างตอนที่เจอ “งูยักษ์” นั่นก็ได้
อย่างไรก็ดี เรื่องในครั้งนี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ฉันทึ่งในสัญชาตญาณของชล แต่บางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่ามากกว่า...
... ... ...
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเปิดเทอมปี 4 มาได้สองสัปดาห์ อาจารย์อสิตาก็ใช้ให้ฉันไปตาม “เจ้าหนุ่มคนป่า” มาเข้าเรียน
“Vogel”
ฉันร่ายมนต์จำแลงเป็นนกขมิ้นตัวน้อย...
พื้นคอนกรีตค่อยๆ เขยิบสูงขึ้นมาจนห่างจากสายตาเพียงนิ้วเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวทั้งประตูและสายไฟดูใหญ่โตขึ้นผิดตา ร่างกายรู้สึกเบาหวิว แต่รู้สึกถึงกำลังอันหนักแน่นมั่นคงที่ปีกทั้งสอง
ฉันโผบินออกจากดาดฟ้าของอาคารเรียน...
สายลมเย็นที่ไหวอยู่ใต้ปีกช่วยอุ้มฉันไว้ ทิวทัศน์รอบๆ ตัวเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา อาคารเรียนซึ่งถูกไว้เบื้องล่างค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ
ณ เวลานี้ ฉันกลับคิดว่าเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา ช่างเล็กน้อยเสียจนไม่ควรจะแบกเอาไว้...
รู้สึกปลอดโปร่ง เบาสบาย ยามเมื่อกระพือปีกแหวกว่ายสายลม โลกข้างบนนี้ไม่มีทั้งกำแพงหรือพรมแดนใดๆ
ฉันบินผ่านโรงพยาบาลแห่งวิทยาลัยสแกนเดรีย ผ่านป่าไวท์โอ๊ค จนถึงเนินหญ้า
ชลเคยบอกว่าข้างบนนี้อากาศดีมาก และชอบมาขึ้นมานั่งอ่านหนังสือบ่อยๆ
ในที่สุดฉันก็เจอเจ้ากรรมนายเวรตัวแสบของฉัน ตานั่นนั่งอ่านหนังสือด้วยสีหน้าสบายๆ อยู่ใต้ต้นโอ๊คใหญ่
“Rück”
ฉันคืนร่างกลับเป็นหญิงสาวที่ใต้ต้นโอ๊ค...
“หวัดดีใจ”
ชลยิ้มทักทายเมื่อเห็นฉัน
มาดงมาดีอะไรยะ! อีตานี่!!
อีขวาสะท้านโลกของฉันเริ่มอยู่ไม่สุข เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชล
นี่เขาจะไม่คิดสักนิดเลยหรือว่าฉันต้องโดดครึ่งหลังของวิชาอาจารย์อสิตาและถ่อมาถึงนี่เพราะใคร...
“หวัดดีจ้ะ” ฉันว่า
ในใจวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าจะขอแกล้งตานี่ให้เข็ดสักทีเถอะ โทษฐานทำตัวเฉื่อยเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ตลอดเวลา
อาจารย์อสิตาห้ามฉันไม่ให้บอกคนอื่นเรื่อง “ป่า” ก็จริง แต่ไม่ได้ห้ามฉันไม่ให้เข้าไปใน “ป่า” สักหน่อยนี่นะ
... ... ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น