ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gem Knight - สงครามอัญมณีครองพิภพ

    ลำดับตอนที่ #11 : จากแม่และพ่อ

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 54


    Chapter IX: From Mom and Dad

     

                เช้านี้ที่ท่าเรือคึกคักด้วยเรือสินค้าจากอาณาจักรธีบีส เหล่าซีแมนต่างยุ่งกับการช่วยขนและตรวจนับจำนวนสินค้า ทั้งเครื่องหอม ผ้าลินิน และเพชรพลอยนานาชนิด

                “แปลกจังที่เห็นท่านนำสินค้ามาจากธีบีส” โกไลแอตทักชายร่างม่อต้อ ไว้ผมยาวรุงรัง

                “นี่เจ้าพูดทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วรึเปล่า” ชายคนนั้นพูดสำเนียงแปร่ง น้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก “ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ปกติช่วงนี้ข้าจะต้องขนสินค้ามาจากเบลลอน เจ้าอยากจะพูดยังงั้นสินะ”

                ฤดูร้อนเป็นฤดูที่กระแสลมในทะเลเอโอเลียนพัดไปทางตะวันออก ซึ่งพวกพ่อค้าจะนิยมเดินเรือจากธีบีสมากรีซีเรีย และจากกรีซีเรียไปโพลีเซีย พอเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงก็จะเริ่มเดินทางกลับมา การเดินเรือโดยอาศัยลมทะเลหนุนเช่นนี้จะช่วยให้เดินทางสะดวกเร็วกว่า

                ไม่ทันที่โกไลแอตจะตอบอะไร พ่อค้าคนเดิมก็ชิงพูดต่อ

                “เจ้าคิดจะแช่งให้ข้าไปตายรึไง” เขาเดาะลิ้น หน้าที่เหี่ยวย่นบูดบึ้ง “ถึงข้าจะเป็นนักแสวงโชค ที่ชอบกำไรแค่ไหน ก็ไม่โง่ขนาดเอาชีวิตไปทิ้งหรอก ให้ตายสิ เพราะไอ้งูบ้านั่นแท้ๆ”

                เป็นความจริงที่ไม่มีเรือสินค้าจากโพลีเซียมายังกรีซีเรียเลยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา การอาละวาดของงูยักษ์ในแถบทะเลลีเดียนทำให้การคมนาคมทางน้ำระหว่างสองอาณาจักรถูกปิดตาย แม้จะมีพวกพ่อค้าสติเพี้ยนบางคนหวังจะรวยเร็วด้วยการไปรับสินค้าจากโพลีเซียมาขายในช่วงที่ไม่มีคู่แข่ง แต่ก็ไม่มีนายเรือและฝีพายคนไหนกล้ารับเงื่อนไขเสี่ยงตายนี้

                วันที่แสนวุ่นวายผ่านพ้นไป หลังจากช่วยพวกพ่อค้าขนถ่ายสินค้าเสร็จเรียบร้อย เหล่าซีแมนจึงนั่งดื่มเหล้าองุ่นกันที่เพิงหน้าสมาคม

                โกไลแอตนั่งมองดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าพลางครุ่นคิด

                พรุ่งนี้แล้วสินะ ขอเพียงผ่านพรุ่งนี้ไปได้...

                สองวันที่ผ่านมาเซชิลไม่โผล่มาที่ท่าเรือเลย จะว่าแปลกก็แปลกที่นางยอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่เวลาที่อะไรๆ มันราบรื่นไปหมดอย่างนี้แหละ มักมีเรื่องพลิกผันเกิดขึ้น

                ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ชายหนุ่มมองตะวันครึ่งดวงที่ส่องรัศมีทาบผืนน้ำเป็นสีแสดระยิบระยับด้วยใจไม่เป็นสุข

                ทำไมมันถึงไม่รีบลับขอบฟ้าไปซะที!

                “ไง โกไลแอต นั่งเครียดอะไรอยู่” ฟามิเดสทัก ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า

                “ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของแวนดิช

                ถ้าเจ้ายังยืนกรานว่าจะไม่ยอมให้เซชิลไปล่ะก็ จงมัดมือมัดเท้านางแล้วจับนางไปขังไว้ซะ หากข้าเป็นเจ้า ข้าก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน

                ถึงจะไม่ใช้วิธีของเจ้า ข้าก็จะหยุดเซชิลให้ได้ คอยดูเถอะ แวนดิช!

     

                และแล้ววันนัดหมายก็มาถึง เรือรบจากนครอาเธเนสมาจอดเทียบท่า

                อาเธเนสเป็นนครใหญ่ทางตะวันตกของสหพันธรัฐกรีซีเรีย ซึ่งเหนือกว่าไซคลาดิสทั้งในแง่ความเจริญและจำนวนประชากร

                ผู้คนที่ไซคลาดิสต่างฮือฮาแห่กันมาที่ท่าเรือ เหล่าทหารอาเธเนสประกาศรับสมัครผู้กล้าไปล่างูยักษ์เสียงดังแข็งขัน

                โกไลแอตใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคาดผิด ไม่นึกว่าการปรากฏตัวของเรือรบแห่งนครอาเธเนสจะเป็นเรื่องเอกเกริกเช่นนี้ ถ้าเซชิลไม่โผล่มาสิแปลก

                ซีแมนหนุ่มเฝ้ามองหาเซชิลตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ในใจพยายามหาวิธีรับมือเผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่กลับไม่เห็นวี่แววของหญิงสาว

                แปลก... แปลกมาก...

                จู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจ ชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่เรือรบทันที

                “ไม่ทราบว่ามีผู้หญิงขึ้นไปบนเรือบ้างหรือเปล่า”

                นักรบอาเธเนสผู้สวมเกราะเหล็กกล้าสีดำหยุดคิดครู่หนึ่ง

                “ข้าไม่เห็นนะ จะมีก็แต่เด็กหนุ่มร่างเล็ก เห็นเรียกตัวเองว่าสัตว์ร้ายแห่งไซคลาดิส”

                หัวใจของชายหนุ่มดิ่งวูบ เขาเงยหน้ามองกราบเรือ ก็พบหญิงสาวผมสีฟ้ายืนโบกมือให้จากข้างบน

                “เซชิล!”

                หญิงสาวสวมเสื้อคลุมสีเทาหลวมโครก นางคงใช้มันปลอมตัวปะปนกับฝูงชน แล้วดัดเสียงทุ้มหลอกทหารอาเธเนส

                “วันนั้นก่อนจะไปหาเจ้า ข้าเค้นถามจากฟามิเดสเรียบร้อยแล้วล่ะ คิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องห้ามข้า ถึงได้แกล้งทำไก๋ เพื่อไม่ให้เจ้าเอะใจไง” เซชิลยิ้มร่า แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องสะท้อนดวงตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส

     

                ท้องฟ้าข้างนอกยังสว่างอยู่ ถ่านในเตาไฟที่ยังไม่มอดส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ชายแก่นั่งวางศอกลงกับโต๊ะไม้ ภายในบ้านเล็กๆ ที่ก่อขึ้นด้วยหินและดินโคลน แทบไม่มีเครื่องเรือนอื่นใด นอกจากค้อนและทั่งตีเหล็ก

                “เฮเลน... ลูกสาวเจ้าจะออกเดินทางแล้วนะ” หน้าของเขาแดงคล้ำเพราะกรำไอร้อนหน้าเตาหลอมมานานนับสิบปี ชายชรากวาดตามองไปรอบๆ บัดนี้บ้านที่เคยดูคับแคบกลับกว้างผิดตาจนน่าใจหาย

                เพริคลิสนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน

                กลางดึกคืนจันทร์เสี้ยว หลังเสร็จงานตีเหล็ก เขาเห็นลูกสาวนั่งเท้าคางกับโต๊ะ เหม่อมองท้องฟ้ามืดสลัว

                “คิดอะไรอยู่ ดึกป่านนี้ถึงยังไม่นอน”

                หญิงสาวหันมามองพ่อ แววตาจริงจัง

                “ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”

                เพริคลิสนั่งลง จากนั้นเซชิลจึงเล่าเรื่องการล่างูยักษ์ และการตัดสินใจของตน

                “ขอร้องล่ะ ให้ข้าไปเถอะ” เธอส่งสายตาวิงวอน

                เพริคลิสมองหน้าลูกสาว แล้วหวนนึกถึงช่วงที่นางยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ

                ช่างตีเหล็กชรายิ้มกับตัวเอง

                เซชิลเอ๋ย... เจ้าต้องเสียแม่ไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ต้องอยู่กับพ่อที่ไม่เอาไหนอย่างข้า ที่ไม่เคยให้เวลากับเจ้า ไม่เคยเล่นกับเจ้า ไม่เคยสอนอะไรให้เจ้าเลยนอกจากความรู้เรื่องการตีเหล็ก ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยร้องขออะไรจากข้า คงมีครั้งนี้แหละนะที่เป็นครั้งแรก

                เฮเลนเอ๋ย... เจ้ามีสิทธิ์ด่าว่าข้า เพราะข้ามันไม่ดีจริงๆ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น ขอให้ลูกได้ทำตามใจเถอะนะ

                เพริคลิสไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบห่อผ้าซึ่งเก็บไว้อย่างดีในลังไม้ ส่งให้เซชิล

                เซชิลแกะห่อผ้านั้นออก ก็พบปลอกแขนและสนับมือซึ่งร้อยติดกันด้วยเชือกหนัง

                หญิงสาวตาโต ปลอกแขนนั้นสีทองอร่าม มีน้ำหนักเบา แต่กลับรู้สึกถึงความแข็งแกร่งทนทาน ผิดกับเหล็กทุกประเภทที่นางเคยสัมผัส ยิ่งไปกว่านั้นตรงตำแหน่งหลังมือของสนับมือ ยังฝังพลอยสีฟ้าเม็ดโตไว้ด้วย

                “ปลอกแขนนี้ ข้าตีขึ้นมาด้วยวิทยาการโบราณของชาวอัลทาร์ซึ่งแม่ของเจ้าถ่ายทอดให้ ส่วนอัญมณีนั้นมีชื่อว่า อความารีน แม่บอกให้มอบให้เจ้าเมื่อถึงเวลาสมควร”

                ขณะนั้นเอง หญิงสาวก็เห็นอความารีนส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ ออกมา พลันเธอก็เกิดความรู้สึกอันพิศวงคล้ายมีน้ำใสไหลซ่านไปทั่วร่าง

                เซชิลรู้สึกอบอุ่นจากภายในเหมือนมีแม่อยู่ใกล้ๆ

                “จงนำมันติดตัวไปด้วย” มือหยาบกร้านของชายชราลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน

                “ค่ะ” เสียงนั้นสั่นเครือ หญิงสาวก้มหน้านิ่ง กอดปลอกแขนไว้แน่น น้ำใสๆ หยดลงบนอัญมณีสีฟ้า ซึ่งสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายระยับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×