คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : จากแม่และพ่อ
Chapter IX: From Mom and Dad
เช้านี้ที่ท่าเรือคึกคักด้วยเรือสินค้าจากอาณาจักรธีบีส เหล่าซีแมนต่างยุ่งกับการช่วยขนและตรวจนับจำนวนสินค้า ทั้งเครื่องหอม ผ้าลินิน และเพชรพลอยนานาชนิด
“แปลกจังที่เห็นท่านนำสินค้ามาจากธีบีส” โกไลแอตทักชายร่างม่อต้อ ไว้ผมยาวรุงรัง
“นี่เจ้าพูดทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วรึเปล่า” ชายคนนั้นพูดสำเนียงแปร่ง น้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก “ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ปกติช่วงนี้ข้าจะต้องขนสินค้ามาจากเบลลอน เจ้าอยากจะพูดยังงั้นสินะ”
ฤดูร้อนเป็นฤดูที่กระแสลมในทะเลเอโอเลียนพัดไปทางตะวันออก ซึ่งพวกพ่อค้าจะนิยมเดินเรือจากธีบีสมากรีซีเรีย และจากกรีซีเรียไปโพลีเซีย พอเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงก็จะเริ่มเดินทางกลับมา การเดินเรือโดยอาศัยลมทะเลหนุนเช่นนี้จะช่วยให้เดินทางสะดวกเร็วกว่า
ไม่ทันที่โกไลแอตจะตอบอะไร พ่อค้าคนเดิมก็ชิงพูดต่อ
“เจ้าคิดจะแช่งให้ข้าไปตายรึไง” เขาเดาะลิ้น หน้าที่เหี่ยวย่นบูดบึ้ง “ถึงข้าจะเป็นนักแสวงโชค ที่ชอบกำไรแค่ไหน ก็ไม่โง่ขนาดเอาชีวิตไปทิ้งหรอก ให้ตายสิ เพราะไอ้งูบ้านั่นแท้ๆ”
เป็นความจริงที่ไม่มีเรือสินค้าจากโพลีเซียมายังกรีซีเรียเลยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา การอาละวาดของงูยักษ์ในแถบทะเลลีเดียนทำให้การคมนาคมทางน้ำระหว่างสองอาณาจักรถูกปิดตาย แม้จะมีพวกพ่อค้าสติเพี้ยนบางคนหวังจะรวยเร็วด้วยการไปรับสินค้าจากโพลีเซียมาขายในช่วงที่ไม่มีคู่แข่ง แต่ก็ไม่มีนายเรือและฝีพายคนไหนกล้ารับเงื่อนไขเสี่ยงตายนี้
วันที่แสนวุ่นวายผ่านพ้นไป หลังจากช่วยพวกพ่อค้าขนถ่ายสินค้าเสร็จเรียบร้อย เหล่าซีแมนจึงนั่งดื่มเหล้าองุ่นกันที่เพิงหน้าสมาคม
โกไลแอตนั่งมองดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าพลางครุ่นคิด
พรุ่งนี้แล้วสินะ ขอเพียงผ่านพรุ่งนี้ไปได้...
สองวันที่ผ่านมาเซชิลไม่โผล่มาที่ท่าเรือเลย จะว่าแปลกก็แปลกที่นางยอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่เวลาที่อะไรๆ มันราบรื่นไปหมดอย่างนี้แหละ มักมีเรื่องพลิกผันเกิดขึ้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ชายหนุ่มมองตะวันครึ่งดวงที่ส่องรัศมีทาบผืนน้ำเป็นสีแสดระยิบระยับด้วยใจไม่เป็นสุข
ทำไมมันถึงไม่รีบลับขอบฟ้าไปซะที!
“ไง โกไลแอต นั่งเครียดอะไรอยู่” ฟามิเดสทัก ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า
“ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของแวนดิช
‘ถ้าเจ้ายังยืนกรานว่าจะไม่ยอมให้เซชิลไปล่ะก็ จงมัดมือมัดเท้านางแล้วจับนางไปขังไว้ซะ หากข้าเป็นเจ้า ข้าก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน’
ถึงจะไม่ใช้วิธีของเจ้า ข้าก็จะหยุดเซชิลให้ได้ คอยดูเถอะ แวนดิช!
และแล้ววันนัดหมายก็มาถึง เรือรบจากนครอาเธเนสมาจอดเทียบท่า
อาเธเนสเป็นนครใหญ่ทางตะวันตกของสหพันธรัฐกรีซีเรีย ซึ่งเหนือกว่าไซคลาดิสทั้งในแง่ความเจริญและจำนวนประชากร
ผู้คนที่ไซคลาดิสต่างฮือฮาแห่กันมาที่ท่าเรือ เหล่าทหารอาเธเนสประกาศรับสมัครผู้กล้าไปล่างูยักษ์เสียงดังแข็งขัน
โกไลแอตใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคาดผิด ไม่นึกว่าการปรากฏตัวของเรือรบแห่งนครอาเธเนสจะเป็นเรื่องเอกเกริกเช่นนี้ ถ้าเซชิลไม่โผล่มาสิแปลก
ซีแมนหนุ่มเฝ้ามองหาเซชิลตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ในใจพยายามหาวิธีรับมือเผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่กลับไม่เห็นวี่แววของหญิงสาว
แปลก... แปลกมาก...
จู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจ ชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่เรือรบทันที
“ไม่ทราบว่ามีผู้หญิงขึ้นไปบนเรือบ้างหรือเปล่า”
นักรบอาเธเนสผู้สวมเกราะเหล็กกล้าสีดำหยุดคิดครู่หนึ่ง
“ข้าไม่เห็นนะ จะมีก็แต่เด็กหนุ่มร่างเล็ก เห็นเรียกตัวเองว่าสัตว์ร้ายแห่งไซคลาดิส”
หัวใจของชายหนุ่มดิ่งวูบ เขาเงยหน้ามองกราบเรือ ก็พบหญิงสาวผมสีฟ้ายืนโบกมือให้จากข้างบน
“เซชิล!”
หญิงสาวสวมเสื้อคลุมสีเทาหลวมโครก นางคงใช้มันปลอมตัวปะปนกับฝูงชน แล้วดัดเสียงทุ้มหลอกทหารอาเธเนส
“วันนั้นก่อนจะไปหาเจ้า ข้าเค้นถามจากฟามิเดสเรียบร้อยแล้วล่ะ คิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องห้ามข้า ถึงได้แกล้งทำไก๋ เพื่อไม่ให้เจ้าเอะใจไง” เซชิลยิ้มร่า แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องสะท้อนดวงตาสีฟ้าเป็นประกายสดใส
ท้องฟ้าข้างนอกยังสว่างอยู่ ถ่านในเตาไฟที่ยังไม่มอดส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ชายแก่นั่งวางศอกลงกับโต๊ะไม้ ภายในบ้านเล็กๆ ที่ก่อขึ้นด้วยหินและดินโคลน แทบไม่มีเครื่องเรือนอื่นใด นอกจากค้อนและทั่งตีเหล็ก
“เฮเลน... ลูกสาวเจ้าจะออกเดินทางแล้วนะ” หน้าของเขาแดงคล้ำเพราะกรำไอร้อนหน้าเตาหลอมมานานนับสิบปี ชายชรากวาดตามองไปรอบๆ บัดนี้บ้านที่เคยดูคับแคบกลับกว้างผิดตาจนน่าใจหาย
เพริคลิสนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
กลางดึกคืนจันทร์เสี้ยว หลังเสร็จงานตีเหล็ก เขาเห็นลูกสาวนั่งเท้าคางกับโต๊ะ เหม่อมองท้องฟ้ามืดสลัว
“คิดอะไรอยู่ ดึกป่านนี้ถึงยังไม่นอน”
หญิงสาวหันมามองพ่อ แววตาจริงจัง
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
เพริคลิสนั่งลง จากนั้นเซชิลจึงเล่าเรื่องการล่างูยักษ์ และการตัดสินใจของตน
“ขอร้องล่ะ ให้ข้าไปเถอะ” เธอส่งสายตาวิงวอน
เพริคลิสมองหน้าลูกสาว แล้วหวนนึกถึงช่วงที่นางยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ
ช่างตีเหล็กชรายิ้มกับตัวเอง
เซชิลเอ๋ย... เจ้าต้องเสียแม่ไปตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ต้องอยู่กับพ่อที่ไม่เอาไหนอย่างข้า ที่ไม่เคยให้เวลากับเจ้า ไม่เคยเล่นกับเจ้า ไม่เคยสอนอะไรให้เจ้าเลยนอกจากความรู้เรื่องการตีเหล็ก ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยร้องขออะไรจากข้า คงมีครั้งนี้แหละนะที่เป็นครั้งแรก
เฮเลนเอ๋ย... เจ้ามีสิทธิ์ด่าว่าข้า เพราะข้ามันไม่ดีจริงๆ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น ขอให้ลูกได้ทำตามใจเถอะนะ
เพริคลิสไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบห่อผ้าซึ่งเก็บไว้อย่างดีในลังไม้ ส่งให้เซชิล
เซชิลแกะห่อผ้านั้นออก ก็พบปลอกแขนและสนับมือซึ่งร้อยติดกันด้วยเชือกหนัง
หญิงสาวตาโต ปลอกแขนนั้นสีทองอร่าม มีน้ำหนักเบา แต่กลับรู้สึกถึงความแข็งแกร่งทนทาน ผิดกับเหล็กทุกประเภทที่นางเคยสัมผัส ยิ่งไปกว่านั้นตรงตำแหน่งหลังมือของสนับมือ ยังฝังพลอยสีฟ้าเม็ดโตไว้ด้วย
“ปลอกแขนนี้ ข้าตีขึ้นมาด้วยวิทยาการโบราณของชาวอัลทาร์ซึ่งแม่ของเจ้าถ่ายทอดให้ ส่วนอัญมณีนั้นมีชื่อว่า ‘อความารีน’ แม่บอกให้มอบให้เจ้าเมื่อถึงเวลาสมควร”
ขณะนั้นเอง หญิงสาวก็เห็นอความารีนส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ ออกมา พลันเธอก็เกิดความรู้สึกอันพิศวงคล้ายมีน้ำใสไหลซ่านไปทั่วร่าง
เซชิลรู้สึกอบอุ่นจากภายในเหมือนมีแม่อยู่ใกล้ๆ
“จงนำมันติดตัวไปด้วย” มือหยาบกร้านของชายชราลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“ค่ะ” เสียงนั้นสั่นเครือ หญิงสาวก้มหน้านิ่ง กอดปลอกแขนไว้แน่น น้ำใสๆ หยดลงบนอัญมณีสีฟ้า ซึ่งสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายระยับ
ความคิดเห็น