ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter I: The Oak Tree 01
12 ตุลาคม 2004
สายลมที่แห้งและเย็นของฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านต้นไวท์โอ๊คที่กำลังห่อใบ ดอกอวาลันช์ลิลลี่ กลาเซียร์ลิลลี่และไวท์โกลบที่เคยชูช่องดงามต่างพากันร่วงโรย ใบหญ้าเริ่มแห้งกรอบ ทุกสิ่งบนเนินหญ้าดูซึมเศร้าลงถนัดตา ตลอด 22 ปีมานี้ ผมได้เห็นทั้งช่วงเวลาที่ชีวิต “ผลิดอก” และ “ร่วงโรย” หมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมาประหนึ่งว่าทั้งสองสิ่งนี้เป็นของคู่กัน
หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป โลกนี้ก็คงไม่งดงาม...
จากเนินหญ้านี้สามารถมองเห็นวิทยาลัยสแกนเดรียของผมได้ชัดเจน ผมวางหนังสือลง ทอดสายตาไปไกล มองแผ่นฟ้าสีครามที่แต่งแต้มด้วยปุยเมฆสีขาว ความกว้างใหญ่ของท้องฟ้านั้นสุดคะเนราวกับว่าเป็นอาณาเขตแห่งอิสรภาพอันไร้ขอบเขต และหมู่นกทั้งหลายก็กำลังสัมผัสอาณาเขตที่ว่านั้น
ผมเองก็คิดอยากจะสัมผัสอาณาเขตนั้นเหมือนกัน แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าเป้าหมายของผมจะบรรลุ...
ขณะนั้นเอง นกขมิ้นสีเหลืองอ่อนก็โผลงมายืนข้างๆ ผม
“Rück” เป็นเสียงจากเจ้านกขมิ้นน้อยตัวนั้น ทันใดแสงอ่อนๆ ก็ปกคลุมร่างของมัน ก่อนที่จะกลายเป็นหญิงสาวผมบลอนด์
“หวัดดี ใจ”
ชื่อจริงของเธอคือ เอริซ่า หรือ อาวองซ์ เอริซ่า ส่วน “จริงใจ” นั้นเป็นชื่อเล่น เธอบอกว่าเพื่อนของคุณแม่เป็นคนตั้งให้ตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้ และเธอก็ชอบชื่อนี้มาก
“หวัดดีจ้ะ” เธอยิ้ม แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต “ตั้งแต่เปิดเทอมมาก็ไม่เคยเข้าพีเรียดนี้เลย แล้วยังมานั่งลอยชายอยู่แถวนี้ แสดงว่าชักเบื่อชีวิต ไม่อยากจะอยู่อีกต่อไปแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
“ก็มันน่าเบื่อนี่ ต้องไปนั่งฟังเรื่องที่รู้อยู่แล้ว สู้ออกมานั่งอ่านหนังสือข้างนอกดีกว่า ดูสิ อากาศออกจะดี”
“นายอาจจะสอบผ่านวิชาอื่นๆ โดยไม่ต้องเข้าเรียนได้ แต่วิชา บัญญัติแห่งสแกนเดรีย นี้ เขาเช็คชื่อด้วยการส่งควิซท้ายคาบ ถ้านายขาดส่งเกิน 20 % ละก็” ใจลากนิ้วผ่านคอของเธอ “เตรียมใจไว้ได้เลย”
ที่ว่า “เตรียมใจ” นั้นเธอไม่ได้หมายถึงแค่ “สอบตก” เท่านั้น เพราะผมกับใจเป็นนักเรียนทุนที่มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตามเงื่อนไขแล้วหากสอบตกแม้แต่วิชาเดียวจะถูกตัดทุนทันที
“นี่ใจเป็นห่วงผมเหรอ...”
“น้อยๆ หน่อย ที่ฉันมาก็เพราะอาจารย์อสิตาขอร้องต่างหาก รู้ไว้ซะด้วย”
“โอเชๆ” ผมว่า “ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ไม่พักสักแป๊บล่ะ”
เธอถอนใจ เดินหนีผมไปนั่งอีกมุมหนึ่งใต้ร่มต้นไวท์โอ๊ค แล้วเอนหลังนอนลงบนพรมหญ้า กางแขนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“อื้ม... อากาศดีจัง”
เธอเปรยยิ้มๆ รังสีอำมหิตหายไป ใบหน้าของเธอในตอนนี้กลับกลายเป็นเทพธิดาผู้มีรอยยิ้มที่เจิดจรัสและอ่อนโยน
ผมเหมือนต้องมนต์สะกดอะไรสักอย่าง จึงไม่อาจละสายตาจากรอยยิ้มนั้นได้
“เห็นไหม ดีกว่านั่งฟังเลคเชอร์เป็นไหนๆ”
ใจลุกขึ้นนั่ง เธอถอนหายใจแรงกว่าเดิม
“ชล... ฉันรู้ว่านายมีสไตล์ของตัวเอง แต่ทำไมไม่ลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ทำอะไรที่ไม่เคยทำดูบ้างล่ะ ไม่แน่ นายอาจจะรู้จักตัวเองมากขึ้นก็ได้”
ผมนั่งฟังเงียบๆ ถ้าเธอพูดเหมือนคนอื่นๆ ว่า “ถ้าชอบทำอะไรตามใจตัวเองนักก็ไปอยู่ป่าซะ” คงค้านหัวชนต้นโอ๊คไปแล้ว
“ยิ่งไปกว่านั้น นายยังไม่เคยเรียนกับอาจารย์อสิตาเลยไม่ใช่เหรอ แล้วจะรู้ได้ไงว่าวิชาที่เขาสอนน่าเบื่อ” เธอพูดต่อ “ใครกันนะ ที่บอกฉันว่า ให้หัดฟังที่ผู้ใหญ่เขาพูดซะบ้าง”
นั่นเป็นเรื่องเมื่อสิบห้าปีก่อน หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เดือนกว่า ตอนนั้นพวกเพื่อนๆ ชวนกันเข้าไปทดสอบความกล้าใน “ป่าต้องห้าม” แต่ผมกลับบอกพวกเขาว่า “อย่าไปเลย ครูเขาห้ามไว้ไม่ใช่หรือ หัดฟังคำเตือนของผู้ใหญ่ซะบ้าง”
“ฉันไม่ได้พูดไว้อย่าง นั้นสักหน่อย” ผมในวันนั้นได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ผมมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น เพื่อทำ "สิ่งนั้น" ให้สำเร็จ ต่อให้ต้องฝืนบัญญัติแห่งสแกนเดรียหรือกฎระเบียบของโลกผมก็พร้อมที่จะทำ
“ตายแล้ว เหลืออีกครึ่งชั่วโมงเอง” เธอว่าหลังจากดูนาฬิกา
เพิ่งสิบโมงครึ่งเองหรือ
“รอให้เหลือสิบนาทีค่อยไปก็ได้”
“จะบ้าเหรอไง ไปได้แล้ว” ใจเข้ามาคว้าเสื้อผม
“Springen!”
ทันทีที่ใจท่องมนต์ เราทั้งสองก็พุ่งทะยานแหวกเมฆขึ้นไปลอยอยู่บนฟ้า ก่อนที่จะร่วงลงมาตรงระเบียงชั้นสี่ของอาคารเรียนเวทย์มนต์หน้าห้องบรรยาย 401 ตามเส้นทางที่ใจลากผมกระโดดมาด้วยกันนั้นก็บังเกิดสายรุ้งโค้งงามพาดผ่านแผ่นฟ้า
ห้องบรรยาย 401 เป็นห้องโถงใหญ่ มีเวทีอยู่ข้างหน้า ขณะนี้ชายผิวคล้ำ ผมหงอก ไว้หนวดเครา และใส่แว่นกำลังยืนบรรยายอยู่บนนั้น เป็นอาจารย์อสิตานั่นเอง
ดูเหมือนเขากำลังบรรยายถึงความเป็นมาของอาณาจักรสแกนเดรีย ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า แต่เดิมมนุษย์เคยมีอำนาจจิตแก่กล้า บ้างก็สามารถควบคุมดินน้ำลมไฟ บ้างก็สามารถเหาะเหินเดินอากาศ บ้างก็สามารถอ่านใจคนอื่น ซึ่งมนุษย์เรียกพลังที่เกิดจากอำนาจนั้นว่า “เวทย์มนต์” แต่เมื่ออารยธรรมทางวัตถุเจริญขึ้น คนส่วนใหญ่ก็เริ่มหันไปพึ่งวัตถุและค่อยๆ สูญเสียความสามารถด้านนี้ไป อย่างไรก็ดียังมีคนกลุ่มหนึ่งที่เห็นความสำคัญของอำนาจจิต จึงแยกตัวจากสังคมวัตถุ ออกมามีประวัติศาสตร์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นก็คือบรรพบุรุษของชาวสแกนเดรียนนั่นเอง
อาจารย์อสิตาพูดถึงตรงนี้ ออดหมดคาบก็ดังขึ้นพอดี
“เอาล่ะ ถ้างั้นวันนี้งดควิซแล้วกัน” เขาว่าแล้วเดินออกจากห้อง
“เป็นยังไงบ้าง” ใจถามเมื่อเราออกจากห้องบรรยาย
“เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเขาเป็นคนแปลกๆ ชอบสอนนอกเรื่องบ้างล่ะ ไม่ค่อยสนใจเวลาบ้างล่ะ” ผมว่า
“แต่ก็ไม่เลวนะ โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดถึงสมมุติฐานที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีอำนาจจิตติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ผู้ที่ถูกความหลงครอบงำจนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริงก็จะค่อยๆ สูญเสียอำนาจนั้นไปโดยไม่รู้ตัว”
“อาจารย์อสิตาเขาไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ฉันโชคดีมากเลยที่ได้เขาเป็นที่ปรึกษางานวิจัยเวทย์มนต์ เห็นว่าเขาไม่รับเป็นที่ปรึกษาให้ใครมานานแล้ว”
“ขอตัวก่อนนะ ฉันมีธุระต้องทำ” เธอว่า “แล้ว ห้ามโดดอีกล่ะ ไม่งั้น...”
ใจกำลังจะแยกเขี้ยวใส่ผม แต่พอดีมีเพื่อนๆ เข้ามาทักเสียก่อน จึงเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานหันไปคุยเล่นกับพวกเขาอย่างสนุกสนาน
ผมรู้ว่าในใจของมนุษย์มีทั้งนางฟ้าและซาตานสถิตอยู่ แต่ความรวดเร็วในการสลับร่างซาตานกับนางฟ้าของเธอนั้น ดูกี่ครั้งก็ยังอดทึ่งไม่ได้จริงๆ...
ใจ เป็นคนสดใสร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และเป็นที่รักของเพื่อนๆ แต่เวลาจริงจังจะกลายเป็นคนโผงผางและเข้มงวดอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้เธอไม่เหมือนใคร แต่ความไม่เหมือนใครของเธอนั้นก็แตกต่างจากผมซึ่งเป็นคนแปลกแยกและมีเพื่อนน้อยราวกับว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสปีชี่
รอยยิ้มของเธอเวลาที่คุยกับเพื่อนๆ นั้นดูน่ารักและมีเสน่ห์ แต่ผมก็ชอบรอยยิ้มของเธอตอนที่นอนอยู่ใต้ต้นไวท์โอ๊คมากกว่า
เดี๋ยวสิ... นี่เราคิดอะไรอยู่... นี่ไม่ใช่เวลาจะมาฟุ้งซ่านถึงใจสักหน่อย...
ผมออกจากวงสนทนา แล้วเดินไปหอสมุดใหญ่ เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของผม
เพื่อทำ “สิ่งนั้น” ให้สำเร็จ...
... ... ...
หอสมุดกลางของวิทยาลัยสแกนเดรียนั้นสร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 15 เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่และกินพื้นที่กว้างที่สุดในมหาวิทยาลัย ปัจจุบันถูกดัดแปลงให้ใช้เครื่องปรับอากาศได้ด้วยการติดตั้งบานกระจกไว้ตามหน้าต่าง ด้วยโครงสร้างที่โปร่งและมีหน้าต่างมาก ในตอนกลางวันภายในหอสมุดกลางจึงมีแสงส่องเข้ามาทั่วถึงและแทบไม่จำเป็นต้องใช้ไฟนีออน นับเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างเพียงไม่กี่แห่งในวิทยาลัยที่ยังคงความวิจิตร แฝงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์อย่างครบถ้วน
ผมเข้าออกหอสมุดกลางเป็นประจำ เพราะต้องหาข้อมูลสำหรับงานวิจัยเวทย์มนต์ แต่มาระยะหลังงานวิจัยของผมกลับไม่ค่อยคืบหน้าเท่าที่ควร
“ทำไมไม่ลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ทำอะไรที่ไม่เคยทำดูบ้างล่ะ ไม่แน่ นายอาจจะรู้จักตัวเองมากขึ้นก็ได้”
คำพูดของใจแทรกเข้ามาในความคิด จริงสินะ ผมน่าจะลองเปลี่ยนแนวทางในการค้นคว้าดูบ้าง...
เดิมผมศึกษาเวทย์มนต์โบราณเพื่อใช้ประกอบวิทยานิพนธ์ แต่การศึกษาเวทย์มนต์โบราณ โดยเฉพาะเวทย์มนต์ของทางตะวันตกมีข้อจำกัด เนื่องจากจารึกเวทย์มนต์โบราณได้ถูกเผาทำลายไปเป็นจำนวนมากในยุคมืด ทำให้เนื้อหาสำคัญของเวทย์มนต์หลายบทสาบสูญ และหลงเหลืออยู่เพียงในฐานะเรื่องเล่าหรือนิทานปรัมปรา ผมจึงคิดจะใช้เวทย์มนต์ผสมกับความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แบบเดียวกับที่ใจใช้ในการจำแลงกายเป็นนก ซึ่งเธอศึกษากายวิภาคของนกโดยละเอียดเพื่อให้สามารถจำแลงกายและบินได้ด้วยปีกที่ใกล้เคียงกับนกจริงๆ มากที่สุด
วิธีนี้เพิ่งเริ่มเป็นที่นิยมเมื่อห้าสิบปีก่อน เมื่อวิทยาศาสตร์ของโลกภายนอก เริ่มพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ในขณะที่เดินผ่านชั้นหนังสือประเภทนิตยสาร ผมก็เห็นหนังสือเกี่ยวกับการทำสวนและนึกถึง รุณ ขึ้นมา
รุณ หรือ เมโรเวีย วรุณ เธอคือน้องสาวของผม
... ... ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น