ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter II: Little Canary 04
หลังจากหมดเวลาเยี่ยม เพื่อนๆ ต่างแยกย้ายกันกลับไป ฉันนึกขอบใจพวกเขาที่อุตส่าห์มาเยี่ยม ช่วยให้ฉันไม่ต้องนึกถึงโรคร้ายและรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ
ทั้งที่เพื่อนๆ น่าจะกลับไปตั้งนานแล้ว แต่พอมองนาฬิกาปรากฏว่าเพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงสิบนาที ทำไมเวลาถึงได้เดินช้าอย่างนี้นะ...
มองไปนอกหน้าต่าง บัดนี้ท้องฟ้ามืดสนิทเพราะหมู่เมฆได้เคลื่อนตัวบดบัง ดวงจันทร์
ไม่ได้... จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเศร้าไม่ได้
ฉันลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่ขณะที่อาบน้ำอยู่นั้น ก็อดสำรวจเรือนร่างของตัวเองเช่นทุกครั้งไม่ได้ รูปร่างที่มีส่วนเว้าโค้งสมส่วนที่เราแอบภูมิใจอยู่เสมอยามที่มีคนเหลียวมอง อีกทั้งผิวพรรณที่เต่งตึงและเปล่งปลั่งนี้...
แต่ความงดงามทั้งหมดนี้ก็จะอยู่กับฉันได้อีกไม่นาน ก่อนที่ผิวหนังของฉันก็จะเหี่ยวย่นกลายเป็นหนังเหี่ยวๆ ที่ห่อหุ้มโครงกระดูกเหมือนสภาพตอนตายของคุณแม่
หนึ่งเดือน... ฉันเคยรู้สึกว่านั่นเป็นเวลาที่นานมาก เมื่อรุ่นพี่มิลเลอร์บอกกับฉันว่าต้องรอสัมภาษณ์ที่สถาบันยูวีซีไอสาขาทิโรล
แต่หนึ่งเดือนสำหรับฉันซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายช่างสั้นเหลือเกิน
อาบน้ำเสร็จฉันก็สวมเสื้อในที่แอลลี่นำมาให้จากหอพัก แล้วใส่ชุดคนไข้ที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะกระจก
ฉันพินิจดูหน้าของหญิงสาวในกระจก เธอกำลังยิ้ม แต่ดวงตาโศกเศร้า ฉันอยากจะถามเธอ อยากจะคุยกับเธอว่าชีวิตที่ผ่านของเธอมีความสุขดีไหม เธอพอใจกับมันหรือยัง
หญิงสาวคนนั้นมองฉันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง...
... ... ...
“เมื่อรู้ความ คุณแม่ก็เล่าให้ฟังว่าคุณพ่อเสียไปแล้ว” หญิงสาวว่า
“พออายุได้ห้าขวบคุณแม่ก็มาจากฉันไป พออายุสิบเอ็ดขวบก็มารู้ว่าน้าทีช่าตายไปแล้ว”
“ชีวิตที่ผ่านมาฉันมีเพื่อนดีๆ มากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีคนรัก แม้จะมีผู้ชายมาชอบฉันหลายคน แต่ก็ไม่มีใครที่ฉันเปิดใจมอบความรักให้อย่างจริงจัง”
“ไม่สิ... มีอยู่คนหนึ่งที่ฉันเกือบจะคบด้วย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเธอก็เศร้าหมองลงกว่าเก่า
“เล่าเรื่องของเขาให้ฉันฟังได้ไหม”
“เขาชื่อราเฟล... เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ขี้เล่นและเอาใจเก่ง ฉันรู้จักเขาตอนที่เรียนอยู่ปี 3 เขาคุยสนุกและทำให้ฉันหัวใจหวั่นไหวได้ทุกครั้งที่พบกัน จนกระทั่ง...”
“จนกระทั่ง”
“วันหนึ่งเขาก็พาฉันไปที่ห้องของเขา ฉันรู้ว่าเขาต้องการอะไรจึงบอกกับเขาว่า ถ้าคิดจะจริงจังกับฉันก็ขอให้เขาเลิกเจ้าชู้ได้ไหม เพราะรู้ว่าเขาไม่ได้จีบฉันคนเดียว”
น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นเครือ
“เขามองฉันยิ้มๆ ก่อนจะเข้ามาหอมแก้มทีหนึ่ง แล้วขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ฉันยิ้มให้เขาแล้วออกจากห้องไป แม้จะเศร้าเพียงใดแต่ฉันก็แข็งใจบอกกับตัวเองว่าเรื่องระหว่างฉันกับเขามันจบลงแล้ว"
"แต่ฉันคิดผิดไปถนัด เพราะวันต่อมาจู่ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาตบหน้าฉัน ฉันแก้มชาและงงไปหมด และขณะที่ยังไม่ทันตั้งตัว เธอก็สบถใส่ฉันด้วยถ้อยคำหยาบคาย”
“ฉันถามเธอว่าฉันไปทำอะไรให้ เธอหัวเราะแล้วมองฉันอย่างขยะแขยง ก่อนจะจงใจพูดเสียงดังๆ ว่า จะแกล้งซื่อไปถึงไหน เธอรู้มาหมดแล้วว่าฉันลงทุนนอนกับราเฟลเพื่อหวังจะจับเขา เธอยังด่าฉันต่อหน้าคนที่เดินผ่านไปมาต่อไปว่าสมน้ำหน้า ราเฟลไม่มีวันสนใจผู้หญิงสำส่อนอย่างฉันหรอก ก่อนที่จะเชิดหน้าเดินจากไป”
“ตอนนั้นฉันสับสนไปหมด รู้สึกโกรธราเฟล แต่โกรธตัวเองมากกว่าที่เผลอใจไปรักคนยังงั้นได้ ท่ามกลางสายตาของผู้คนรอบข้าง ฉันข่มความรู้สึกตัวเองไว้ ไม่ยอมให้น้ำตาไหลแม้แต่หยดเดียว ใครจะยอมเสียน้ำตาเพราะผู้ชายพรรค์นั้น!”
“แล้วในที่สุด เมื่อเรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไป จนมาถึงวันที่ฝันใกล้จะเป็นความจริง ในขณะที่ฉันกำลังจะได้ทำงานในสถาบันยูวีซีไอเหมือนที่น้าทีช่าเคยทำอยู่นั้น ฉันกลับป่วยเป็นโรคร้ายและมีชีวิตเหลืออีกเพียงเดือนเดียว”
หญิงสาวในกระจกมองฉันด้วยดวงตาที่แดงช้ำ
“นี่ฉันไม่ได้ป่วยจริงๆ ใช่ไหม ได้โปรดบอกฉันทีสิว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหก ทั้งหมดนี้เป็นแค่ฝันร้าย..."
"ทำไม... ทำไมต้องเป็นฉัน! ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับฉันด้วย...!!”
ฉันรู้ว่าหญิงสาวไม่ได้ต้องการคำตอบ ทางออก หรือคำปลอบโยนใดๆ ทั้งสิ้น เธอเพียงแค่อยากจะระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมา ฉันมองหน้าเธอ รับฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอพูด ปล่อยให้เธอร่ำไห้ต่อไป แล้วโอบกอดเธอไว้อย่างนั้นจนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง
... ... ...
ใจของหญิงสาวเคว้งคว้างล่องลอยอยู่ในความมืดมิด
ความหวาดกลัวและความเจ็บปวดใดๆ ที่เธอเคยเจอมานั้น บัดนี้ช่างดูเป็นสิ่งเล็กน้อยเสียเหลือเกิน
ตอนนี้เธอกำลังร่วงลงไปในหุบเหวอันมืดมิด ที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างของเธอทั้งความสุข ความยินดี ความเศร้า ความหวาดกลัว
จิตสำนึกของเธอค่อยๆ ด้านชา ไม่นานเธอก็เริ่มคุ้นเคยกับความมืดในหุบเหวนั้นราวกับตนมีชีวิตอยู่ในนั้นมานานแสนนาน
ทันใดนั้นเอง เธอก็เริ่มรู้สึกชื้นๆ เพราะเหงื่อกาฬที่อาบร่างเธอจนชุ่ม
หญิงสาวดึงผ้าห่มออก รู้สึกเย็นเฉียบไปที่ผิวหนัง ความยินดีผุดขึ้นมาแว้บหนึ่ง เป็นชั่วขณะสั้นๆ ที่ความโศกเศร้าหายสิ้นไปไปจากใจ
เธอขอบคุณร่างกายของเธอที่คุณพ่อคุณแม่มอบให้ ที่ช่วยเหนี่ยวรั้งสติไว้ และดึงจิตสำนึกของเธอกลับมาสู่โลกความเป็นจริงได้
หากเธอตายไปทั้งๆ ที่จมอยู่ในความมืดมิดไร้ทางออก ใจของเธอจะต้องเคลื่อนสู่ภพที่มืดมิดยิ่งกว่านี้ และเร่ร่อนด้วยจิตใจเศร้าหมองไปอีกนานแสนนาน...
ไม่ช้าแสงสลัวๆ ก็ส่องทะลุม่านเข้ามาทางหน้าต่าง
อีกหนึ่งวัน... หญิงสาวคิด นี่ชีวิตฉันกำลังหดสั้นลงอีกหนึ่งวันแล้วหรือ...
... ... ...
ฉันรู้สึกตัวเมื่อคุณพยาบาลนำอาหารเช้าเข้ามาให้ ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้า ฉันคงเผลอหลับไปสักสองชั่วโมงเห็นจะได้ แต่ร่างกายกลับไม่รู้สึกเพลียเลยสักนิด ซึ่งเหมือนอาการของผู้ป่วยโรคเอออสทราซินโดรมตามที่ได้อ่านมา
------------------------------------------------------------------------------------------------------
“เอออสทราซินโดรม” (Eostra Syndrome) มาจากชื่อเทพธิดาเอออสเทรอะ (Eostre) ในเทวตำนานของแอลโกลแซ็กซอน ซึ่งเป็นเทพธิดาแห่งฤดูใบไม้ผลิ ความอุดมสมบูรณ์ และการกำเนิด วันอีสเตอร์ของศาสนาคริสต์ก็มาจากชื่อเทพธิดาองค์นี้
สาเหตุของโรคมาจากไวรัสเอออสทรากระตุ้นให้ เซลล์ในร่างกายผู้ป่วยเกิดการแบ่งตัวผิดปรกติ หลังการติดเชื้อได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์จะมีอาการ “เฟิร์สต์ช็อค” เสมือนเป็นสัญญาณเตือน จากนั้นความเร็วในการแบ่งตัวของเซลล์จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ป่วยดูอ่อนเยาว์ลง และสดชื่นแข็งแรงอยู่ตลอดเวลาราวกับได้เกิดใหม่
แต่เนื่องจากอายุเซลล์ของคนถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่เกิด การกระตุ้นให้เซลล์แบ่งตัวเร็วผิดปกติ จึงเป็นกาเร่งให้เซลล์หมดอายุขัยเร็วขึ้นเช่นกัน ทันทีที่เซลล์ถึงขีดจำกัดร่างกายของผู้ป่วยก็จะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วและ ตายด้วย “โรคชรา” ในที่สุด
*คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคนี้คือพักผ่อนให้มากๆ และพยายามไม่ทำงานหนัก รวมถึงห้ามใช้เวทย์มนต์โดยเด็ดขาด แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำไปเพื่อชะลอเวลาตายเท่านั้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประมาณเก้าโมงกว่าจู่ๆ ก็มีผู้มาเยี่ยมที่ไม่คาดคิด
“อาจารย์อสิตา!”
วันนี้อาจารย์อสิตาสวมหมวกใบใหญ่คลุมศีรษะที่มีเส้นผมบางของท่าน ใส่เสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงผ้าสีขาว ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง
ท่านเดินไปเลิกม่านเปิดหน้าต่าง ให้สายลมและแสงแดดเข้ามาในห้อง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เตียง
“วันนี้เป็นวันที่ดีนะ” ท่านว่า
นี่เป็นคำพูดติดปากของอาจารย์ ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันฟ้าใสหรือฝนตก เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนี้ฉันก็จะรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ดี จริงๆ
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะ” ท่านถาม
“ก็...สบายดีค่ะ”
“ได้ยินว่าเธอป่วยอยู่ แต่ดูท่าทางคงไม่เป็นอะไรมากสินะ”
“แน่นอนค่ะ ไม่มีวันไหนที่หนูจะรู้สึกแข็งแรงเท่ากับวันนี้อีกแล้วค่ะ”
ท่านยิ้ม
“ดีแล้ว ถ้าป่วยให้ถือเป็นโชค”
สีหน้าที่เปี่ยมด้วยเมตตาของท่าน ทำให้ฉันย้อนนึกไปถึงวันที่ฉันได้เรียนวิชาวิปัสสนากับท่านเป็นครั้งแรก
“เป็นยังไงบ้างวันนี้” ท่านถามหลังจากที่สอนเสร็จวันแรก
“ดีค่ะ ตอนนี้หนูรู้สึกดีขึ้นมากเลย”
“ดีแล้ว ที่กำลังโกรธใครอยู่ก็ให้เลิกเสียเถิด”
อย่างไรก็ดีคำพูดของท่านในครั้งนี้ ทำให้ฉันคิดถึงน้าทีช่า ตอนนั้นน้าทีช่าเคยบอกว่าความตายของคุณแม่เป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย มาวันนี้อาจารย์อสิตาก็บอกอีกว่าความป่วยไข้ของฉันเป็นโชค
“โบราณท่านว่าให้มอง วิกฤต เป็น โอกาส เธอจงใช้ โอกาส ที่ได้รับมานี้ทำสิ่งที่ควรทำอย่างเต็มที่เถิด”
ท่านพูดทิ้งท้ายเช่นนี้แล้วลุกจากไป
ทันใดฉันก็สังเกตเห็นว่าแสงที่ส่องเข้ามานั้นทำให้ห้องนี้สว่างจนตาพร่า และเสียงร้องของนกขมิ้นที่นอกหน้าต่างก็ฟังไพเราะขึ้นมาจับใจ
ฉันลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ขณะที่เดินผ่านโต๊ะกระจก หญิงสาวคนนั้นหันมายิ้มให้ฉัน ฉันจึงยิ้มตอบเธอ
เพียงเท่านี้ ใจฉันก็สดชื่นขึ้น บางทีความป่วยไข้ของฉันอาจจะเป็นโชคจริงๆ อย่างที่อาจารย์อสิตาว่าก็ได้
... ... ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น