ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Magic of Now & Here

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter II: Little Canary 01

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 53



                    นานมาแล้ว... ฉันเคยสัมผัสผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ช่วยให้ใจสงบ เธอแวะมาหาฉันและคุณแม่อยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ฉันยังเล็ก

                    ในความทรงทรงจำอันเลือนราง ฉันจำได้ว่าวันนั้นเธอก็อุ้มฉันขึ้นมาเหมือนครั้งก่อนๆ ฉันชอบที่จะอยู่ในอ้อมกอดของเธอเพราะให้ความรู้สึกที่อบอุ่นปลอดภัย ไม่ต่างจากอ้อมกอดของคุณแม่

                    “จะดีหรือ... ให้ฉันตั้งชื่อเล่นให้แก”

                    ดูเหมือนเธอกำลังคุยอะไรบางอย่างกับคุณแม่

                    “ดีสิ ก็เธอเป็นแม่ทูนหัวของแกนี่นา ใช่ไหมจ๊ะลูก”

                    “อ้อแอ้ๆ”

                    “เห็นไหม แกอนุญาตแล้ว”

                    “ก็ได้... ฉันตรวจมาแล้วว่า ชะตาของเด็กคนนี้กับชะตาของสแกนเดรียมีความเกี่ยวเนื่องกัน ฉันขอตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่า "จริงใจ"

                    ฉันขอภาวนาให้ “ความจริงใจ” ของเด็กคนนี้ ช่วยปลดปล่อยสแกนเดรียและโลกใบนี้จาก “พลัง” บางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลซึ่งกำลังคุกคามพวกเราทุกคนอยู่”

                    “จริงใจ เหรอ... เป็นชื่อที่ดีนะ”

                    คุณแม่ใช้นิ้วสะกิดแก้มฉัน

                    “จากนี้ไปชื่อเล่นของลูกคือ จริงใจ นะ ได้ยินไหมจ๊ะ”

    ... ... ...

     

                    คุณแม่เลี้ยงฉันมาเพียงลำพัง ฉันไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับงานของท่านมากนัก รู้เพียงแต่ว่าท่านทำวิจัยในโครงการพิเศษของวิทยาลัยสแกนเดรีย ซึ่งเป็นงานที่สามารถทำที่บ้านได้

                    บางครั้งที่ท่านมีธุระต้องออกไปข้างนอก ท่านก็จะฝากน้าสลิลธิชา หรือน้า “ทีช่า” ให้ช่วยดูแลฉัน

                    น้าทีช่ามีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากคุณแม่โดยสิ้นเชิง เธอมีผมสีดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม เป็นคนอบอุ่น อ่อนโยน มีกลิ่นหอมของดอกจัสมินที่ให้ความรู้สึกสดชื่น เป็นคนที่ดูงดงามในแบบฉบับของตัวเอง
    เธอมักจะมีนิทานและเกร็ดความรู้สนุกๆ ใหม่ๆ มาเล่าให้ฟังอยู่เรื่อย

                    ตอนนั้นฉันนึกในใจว่าโตขึ้นต้องเป็นคนที่ทั้งสวยและฉลาดอย่างน้าทีช่าให้ได้

                    พอฉันอายุได้ห้าขวบ คุณแม่ก็มาจากฉันไปด้วยโรคประหลาดที่ในตอนนั้นยังไม่มีคนรู้จัก ทีแรกฉันงุนงงเพราะไม่เข้าใจว่า “ความตาย” คืออะไร

                    น้าทีช่าบอกว่าเมื่อคุณแม่ตาย คุณแม่ก็จะจากฉันไป ไม่มีวันกลับมาอีก ตอนนั้นฉันจึงเข้าใจว่า “ความตาย” คือสิ่งที่พรากคนสำคัญไปจากเราตลอดกาล และเริ่มหวาดกลัว “ความตาย”

                    ฉันโดนบีบคั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันทรมานเหมือนมีอะไรบางอย่างดันขึ้นมาอัดแน่นอยู่ในอกจนแทบจะหายใจไม่ออก ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่า “ความตาย” คืออะไร จึงกลั้นใจถามน้าทีช่าว่า

                    “แล้วน้าทีช่าจะตายไหมคะ”

                    “สักวันน้าเองก็ต้องตายเหมือนกัน”

                    น้าทีช่ามองฉันด้วยแววตาที่อ่อนโยน

                    เท่านั้นแหละ ฉันก็ปล่อยโฮออกมา

                    “ไม่นะ! น้าทีช่าห้ามจากหนูไปไหนอีกคนนะคะ น้าทีช่าจะต้องอยู่กับหนูตลอดไป!”

                    ฉันร้องไห้อยู่อย่างนั้น แล้วน้าทีช่าก็คุกเข่าลงโอบกอดฉัน

                    “ไม่มีใครหนีความตายพ้นหรอกจ้ะ ทั้งน้าหรือแม้แต่หนูใจเองสักวันก็ต้องตาย การที่หนูเสียคุณแม่ไปเร็วนั้นนับเป็นทั้ง “โชคดี” และ “โชคร้าย” โชคดีก็คือหนูมีโอกาสได้รู้จักกับ “ความตาย” เร็วกว่าคนอีกหลายคน

                    จากนี้ไปขอให้หนูตระหนักอยู่เสมอว่าความตายนั้นอยู่กับเราตลอดเวลา และพร้อมจะพรากใครไปได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องเตือนล่วงหน้า เพราะฉะนั้นขอให้หนูใจเป็นคนที่จริงใจต่อตัวเองและผู้อื่นอยู่เสมอเพื่อจะได้ไม่ต้องนึกเสียใจทีหลัง”

                    ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่น้าทีช่าพูดแม้แต่นิดเดียว แต่น้ำเสียงที่อบอุ่นไพเราะนั้นก็ได้ปลอบประโลมฉัน ฉันรู้สึกเหมือนเธอไม่ได้พยายามจะปกป้องฉัน หรือพาฉันหนีไปจากความเศร้าและความหวาดกลัว

                    เธอกำลังขอให้ฉันเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นโดยคอยให้กำลังใจอยู่เคียง ข้าง ฉันยังคงร้องไห้ต่อไปในอ้อมกอดของเธอ แต่กลับเริ่มรู้สึกว่าความตายอาจจะไม่ได้มีแต่ด้านที่เลวร้ายเสมอไป

                    แล้วอาการอกสั่นขวัญแขวนต่อความตายของฉันก็ค่อยๆ ทุเราลง

    ... ... ...



                    น้าทีช่าส่งฉันไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าสแกนเดรีย ซึ่งมีคุณครูเฟมีนคอยดูแล ฉันมารู้ทีหลังว่าน้าทีช่า คุณแม่และคุณครูเฟมีนเป็นเพื่อนกัน และน้าทีช่าเองก็แวะมาหาเด็กๆ ที่นี่เป็นประจำเดือนละสองครั้ง

                    แม้จะรู้สึกหวงน้าทีช่าอยู่นิดหน่อยเวลาที่เห็นเด็กคนอื่นๆ เข้าไปห้อมล้อม แต่พอได้เป็นเพื่อนกับพวกเขา และฟังสิ่งที่พวกเขาพูดชื่นชมน้าทีช่า ฉันก็อดภูมิใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้ว่า “เห็นไหมล่ะ นี่แหละน้าทีช่าของฉัน”

                    นิทานและเกร็ดความรู้ต่างๆ ที่น้าทีช่าเล่า สอนให้ฉันเป็นคนช่างสังเกตผู้อื่น ฉันเริ่มเข้าใจว่าคนเรามีนิสัยต่างกัน บางคนใจร้อน บางคนใจเย็น บางคนปากร้ายแต่ใจดี บางคนปากหวานแต่เจ้าเล่ห์ แต่ทุกคนต่างก็ปรารถนาจะให้คนอื่นดีด้วย ปรารถนาให้คนอื่นยอมรับและเข้าใจตัวเอง การสังเกตคนจึงกลายเป็นความสนุกของฉัน

                    จากการที่ฉันสามารถเข้าอกเข้าใจ และผูกมิตรกับคนอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็เอาแต่ใจ อยากได้อะไรเป็นต้องได้ จึงถูกยกให้เป็น “เจ้าแม่” แห่งสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าไปโดยไม่รู้ตัว

                    เวลาผ่านไปจนกระทั่งฉันอายุได้หกขวบ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายฤดูร้อน ซึ่งในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเองก็ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม แต่คุณครูเฟมีนก็เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องเรียน

                    “เอาล่ะจ้ะเด็กๆ วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่จะแนะนำจ้ะ เขาชื่อ เมโรเวีย ชลเทพ จ้ะ”

                    ทั้งฉันและเพื่อนๆ ต่างจับจ้องไปที่เพื่อนใหม่ซึ่งยืนอยู่ข้างคุณครูเฟมีน เพื่อนๆ ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามีไม่มาก ทุกคนจึงตื่นเต้นกับการได้เพื่อนใหม่

                    “เอาล่ะจ้ะ ชลทักทายเพื่อนๆ หน่อยสิ”

                    “ผมชลครับ...”

                    อาจจะมีเพียงฉันคนเดียวที่รู้สึกว่าชื่อของเขาเป็นคนตะวันออกเหมือนกับน้าทีช่า เพราะเพื่อนๆ ที่นี่ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของน้าทีช่า แต่เพื่อนคนอื่นๆ ก็คงสังเกตเห็นเหมือนกันว่านายชลเทพคนนี้มีเค้าหน้าและสีผมคล้ายกับน้าทีช่าอยู่บ้าง

                    อย่างไรก็ดี บุคลิกท่าทางของเขากลับแตกต่างจากน้าทีช่าราวนรกกับสวรรค์ ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่เขากล่าวทักทายสั้นๆ บรรยากาศของห้องเรียนที่ครึกครื้นอยู่จนถึงเมื่อครู่ก็พลันเงียบงันเป็นป่าช้าในทันที

                    “ชลจะมาอยู่ที่นี่กับพวกเรานับแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้ทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะจ๊ะ”

                    คุณครูเฟมีนช่วยทำลายความเงียบให้

                    ในขณะที่เพื่อนๆ ยังตระหนกอยู่กับรังสี “อึมครึม” ที่ชลปล่อยออกมา ฉันก็เดินตรงเข้าไปทักทายเขา

                    “หวัดดีจ้ะ ชล ฉัน ใจ นะ แปลกดีนะ ชื่อของเราสองคนไม่เหมือนใครที่นี่ทั้งคู่เลย”

                    ฉันทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

                    เด็กส่วนใหญ่ที่นี่ต้องเคยประสบปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งมา ไม่สูญเสียคุณพ่อคุณแม่ ก็ผู้ปกครองหรือมิเช่นนั้นก็ถูกญาติๆ รังเกียจ

                    บางคนอาจจะกำลังโศกเศร้า บางคนอาจจะกำลังเคียดแค้น แต่ทุกคนต่างก็ต้องการเพื่อนที่พร้อมจะยอมรับในตัวเขาเสมอ ฉันรู้จากประสบการณ์ว่าควรเข้าหาพวกเขาอย่างเท่าเทียมกันคือไม่ต้องแสดงความสงสารหรือเห็นใจพวกเขามากเกินไป แค่เราเป็นตัวของตัวเองก็พอ

                    “บ้าเปล่า แค่ชื่อไม่เหมือนคนอื่นแค่นี้ ไม่เห็นจะน่าสนุกอะไรขนาดนั้นเลย ยัยบ๊อง”

                    คำพูดที่เหนือความคาดหมายของเขา ทำให้ฉันจี๊ดขึ้นมาทันที

                    ขอโทษค่ะน้าทีช่า... ตอนนี้หนูขอแสดงความจริงใจต่อเพื่อนร่วมโลกคนนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังนะคะ...





                    “โครม!!”





                    ฉันกระโดดถีบชลจนเขาล้มตึง จากนั้นก็ว่าจะตามไปซ้ำ น่าเสียดายที่คุณครูเฟมีนเข้ามาห้ามไว้ก่อน

                    ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างเสียดายของเพื่อนๆ ที่อดดูมวยสด ฉันสังเกตเห็นนัยน์ตาของชลฉายแววตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปไร้อารมณ์เหมือนเดิม

                    และนั่นคือการพบกันครั้งแรกระหว่างฉันกับชล...


    ... ... ...

    โปรดติดตามตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×