ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Magic of Now & Here

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter I: The Oak Tree 04

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 53



    12 ตุลาคม 2004

     

                    ผมยังจำน้ำหนักตัวของรุณบนบ่าตัวเองได้ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ รายละเอียดต่างๆ ก็จะปรากฏชัดเจนอีกครั้งในมโนสำนึกราวกับเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

                    แค่เพียงพริบตาปัจจุบันก็กลายเป็นอดีต แต่ทำไมเราจึงยอมรับความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ ถึงขนาดต้องหยุดเวลาเก็บไว้ในใจ...

                    ที่ผมทำอย่าง ชาร์ลี ใน "ดอกไม้แด่อัลเกอร์นอน" ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นอัจฉริยะ แต่เพราะเขาได้ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะกลับไปสมองทึบ แก้ไขข้อบกพร่องในการรักษาเพื่ออนาคตของผู้ป่วยคนอื่นๆ ในขณะที่ผมทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อจะแก้ไขอดีตของตัวเอง

                    แม้แต่ตอนนี้คำพูดสุดท้ายของรุณก็ยังก้องอยู่ในหัวผม...

     

                    “ตายจริง นี่ฉันเผลอสปอยล์เรื่องหมดซะแล้วสิ” เสียงของใจปลุกผมจากภวังค์

                    “ขอโทษน้า ชลยังอ่านไม่จบเลยใช่ไหม”

                    เธอตีหน้าสำนึกผิด หลังจากเล่าเรื่องชาร์ลีจบไปสามรอบ

                    “ไม่เป็นไรหรอก นิยายดีๆ อย่างนี้ ถึงรู้เรื่องทั้งหมดก็ยังอ่านสนุก และมีอะไรให้ค้นหาอีกเยอะ”

                    ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ่านเอง...

                    “โอ้โห! ไม่เคยรู้เลย ว่าชลก็เป็นนักอ่านนิยายตัวยงเหมือนกัน”

                    เธอชื่นชมผมออกนอกหน้า ดูน่ารักน่าชัง และน่าจับหักคอถ่วงแม่น้ำดานูปเสียจริง

                    พอดีข้างนอกชักจะเริ่มมืด ใจจึงเหลือบมองนาฬิกา

                    “จะหกโมงแล้วเหรอ ฉันต้องขอตัวก่อนนะ” เธอพูดขึ้น

                    “วันนี้สนุกมากเลย แล้วเจอกันจ้ะ”

                    หลังจากโปรยยิ้มใสๆ ให้ เธอก็จากไปด้วยความว่องไว ผมมองตามออกไปนอกร้าน เผอิญเธอหันมาพอดีเลยโบกมือแล้วยิ้มให้ผมอีกครั้ง

                    จริงหรือที่ว่า "เพื่อกลับไปแก้ไขอดีต" แล้ว ต่อให้ต้องฝืนบัญญัติแห่งสแกนเดรีย หรือสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างผมก็จะทำ...

                    ในขณะที่สบตากับใจ ผมไม่อาจเอ่ยประโยคนี้ออกมาได้อย่างหนักแน่นเหมือนเคย...

    ... ... ...



    26 ตุลาคม 2004

     

                    “อย่างที่นักศึกษาบางคนทราบดีอยู่แล้ว หากดูจากแผนที่ของ “โลกภายนอก” อาณาจักรสแกนเดรียจะตั้งอยู่ตรงที่ราบสูงตอนกลางของเทือกเขาแอลป์ ช่วงที่เป็นชายแดนระหว่างประเทศออสเตรียกับอิตาลี

                    บรรพบุรุษของชาวสแกนเดรียนได้แยกตัวออกจากมนุษย์ที่หลงใหลในอารยธรรมวัตถุ และใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบบนดินแดนแห่งนี้ จนมาถึงยุคมืด

                    เมื่อการกวาดล้างความเชื่ออื่นๆ รวมถึงพวกพ่อมดหมอผีโดยคริสตจักรเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหล่าจอมเวทย์ในดินแดนต่างๆ จึงพากันอพยพมายังอาณาจักรสแกนเดรีย

                    ชาวสแกนเดรียนในตอนนั้นเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามจาก “โลกภายนอก” จึงใช้เวทย์มนต์ลบตัวตนของตัวเองออกจากประวัติศาสตร์ของ “โลกภายนอก” และปกปิดตัวเองมาตลอด” อาจารย์อสิตาว่า

                    หากไม่นับในวิทยาลัยแล้ว อาณาจักรสแกนเดรียแทบจะไม่มีหนังสือหรือการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับ “โลกภายนอก” เลย ผมเองพอจะรู้เรื่องบ้างจากหนังสือที่เคยอ่านให้รุณฟัง ซึ่งพ่อกับแม่ซื้อมาฝากจาก “โลกภายนอก”

                    ด้วยเหตุนี้จึงมีชาวสแกนเดรียนบางคนที่ใช้ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายอยู่ในนี้โดยแทบไม่รู้จัก “โลกภายนอก” เลยก็มี



                    สองอาทิตย์ก่อน หลังจากที่ผมได้รู้จักกับวิกาโน่ รุ่งขึ้นผมก็แวะไปหาเขาใน “ป่า” นั้นอีก

                    ดูเหมือนนิยายไร้ชื่อของเขาจะไม่ได้เขียนถึงเรื่องของผมกับใจที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น แต่มันเขียนถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย เป็นต้นว่าวันก่อนผมซื้อเค้กที่นางเอกในนิยายชอบไปฝากใจ...

     

                    ...“ว้าว! นี่นายรู้ได้ไงว่าฉันชอบซาคเคอร์ทอร์เทของร้านนี้”

                    ซาคเคอร์ทอร์เทคือเค้กช็อกโกแลตเลื่องชื่อของเวียนนาที่ทาด้วยแยม แล้วเคลือบเค้กทั้งชิ้นด้วยช็อกโกแลตอีกที

                    “วันก่อนเธอบอกฉันเองไม่ใช่เหรอ”

                    “บอกตอนไหน”

                    “ในฝันไง”

                    “ตาบ้า อย่ามาสตอฯ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ไปรู้มาได้ไง” ใจดึงหูผม

                    “โอ้ยๆๆ ล้อเล่นนะ ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอชอบเค้กนี่ แค่เผอิญไปทำธุระแถวร้านนั้นพอดี เลยซื้อมาฝากเท่านั้นเอง”

                    “ก็แค่นั้นแหละ ต้องให้ลงไม้ลงมืออยู่เรื่อย” เธอรับไปโดยไม่ขอบคุณ...


     

                    จะบอกว่าวิกาโน่เขียนสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นดีหรือเปล่าล่ะ... ผมรู้สึกเหมือนตัวผมเองต่างหากที่กำลังทำตามนิยาย บางทีเขาอาจจะโกหกหรือปิดบังอะไรบางอย่างกับผมอยู่ก็ได้

                    แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง อย่างน้อยผมก็ไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายในนิยายไร้ชื่อเล่มนั้น และไม่คิดว่าผมกับวิกาโน่จะรู้จักกันมาก่อน

                    หากเขาฝันถึงเรื่องของผมกับใจจริงๆ เขาอาจจะเผอิญเขียน “ตอนต่อ” ของเรื่องได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง เพราะรู้เรื่องของคนทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดีก็ได้

                    ผมยังสรุปอะไรไม่ได้ และไม่คิดจะเสียเวลาไปค้นหาความจริงในตอนนี้ ไม่ว่า พรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไร การได้คุยกับใจใน วันนี้ ก็ถือเป็นความสุขเล็กๆ ที่ผมจะไม่มีวันนึกเสียใจภายหลัง



                    วันนี้ก็เช่นกัน ผมไม่ได้เข้ามานั่งฟังอาจารย์อสิตาบรรยายเพียงอย่างเดียว แต่จดเลคเชอร์ไว้เผื่อใจด้วย เพราะถ้าเป็นไปตามนิยายของวิกาโน่ วันนี้เธอจะเข้าเรียนสาย

                    “แต่เมื่อถึงยุคแห่งแสงสว่าง[1]ที่อิทธิพลของคริสตจักรเริ่มเสื่อมลงและวิทยาการของโลกภายนอกเจริญขึ้น ชาวสแกนเดรียนกลุ่มหนึ่งจึงเดินทางออกไป “โลกภายนอก” เพื่อศึกษาวิทยาการเหล่านั้น
    บางคนก็ได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์และพ่อค้าที่มีชื่อเสียงในภายหลัง

    [1] The Age of Reason, The Age of Light - เกิดช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ยุคที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ถือกำเนิด

                    อย่างไรก็ดี ชาวสแกนเดรียนยังคงหวาดกลัวการรุกรานจาก “โลกภายนอก” จึงปกปิดตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันจึงมีเพียงลูกหลานของชาวสแกนเดรียนที่อาศัยอยู่ที่ “โลกภายนอก” เท่านั้นที่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของอาณาจักรสแกนเดรีย และนำเอาวิทยาการใหม่ๆ รวมถึงสินค้าต่างๆ เข้ามาสู่สแกนเดรีย”

                    เท่าที่ผมรู้ สแกนเดรียเป็นเมืองที่พึ่งพาตัวเองได้ทั้งในเรื่องปากท้องไปจนถึงการผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยเหตุที่ชาวสแกนเดรียไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ค่อยพึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก เศรษฐกิจภายในประเทศจึงแทบไม่พึ่งพิงกับกลไกตลาดของ “โลกภายนอก” เลย

                    จากนั้นอาจารย์อสิตาจึงเล่าให้ฟังว่ามีสถาบันหนึ่งของชาวสแกนเดรียนซึ่งตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายของ “โลกภายนอก” ชื่อสถาบันยูวีซีไอ

                    สถาบันยูวีซีไอ (UVCI: Universal Voluntary Cooperative institute) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นสถาบันที่มีหน้าที่หลายอย่างคือ เป็นทั้งสถาบันวิจัยโรค ศูนย์ดูแลผู้ป่วยใกล้ตาย และองค์กรการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากภัยสงครามและธรรมชาติ ซึ่งมีสมาชิกกว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวสแกนเดรียน

                    นอกจากนั้นสถาบันนี้ยังมีหน้าที่อีกอย่างซึ่งเป็นที่รู้กันเฉพาะชาวสแกนเดรี ยนคือเอาไว้ออกใบรับรองความเป็นพลเมือง (ปลอม) ให้กับชาวสแกนเดรียนที่จะออกมาสู่ “โลกภายนอก”

                    มาถึงตรงนี้อาจารย์อสิตาจึงเข้าเนื้อหาของวิชา “บัญญัติแห่งสแกนเดรีย” ว่า โดยปรกติแล้ว ขั้นตอนในการยื่นเรื่องขอวีซ่าเพื่อเดินทางออกจากสแกนเดรียนั้นทั้งยุ่งยากและซับซ้อนมาก

                    เช่น คนที่จะขอวีซ่าต้องมีญาติซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศนั้นๆ เป็นเวลาหนึ่งอย่างน้อย 20 ปี ซ้ำยังต้องได้รับการเซ็นค้ำประกันจากเจ้าหน้าที่ที่น่าเชื่อถือของสแกนเดรีย เพื่อรับรองว่าเจ้าของวีซ่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องอาณาจักรสแกนเดรีย ฯลฯ

                    แน่นอนว่าการใช้เวทย์มนต์ที่ “โลกภายนอก” ก็เป็นเรื่องต้องห้ามเช่นกัน

                    จะมีข้อยกเว้นก็แต่ผู้ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันยูวีซีไอเท่านั้น ที่ไม่ต้องทำตามขั้นตอนที่ยุ่งยากนี้ นอกจากนั้นยังได้รับการอนุญาตให้ใช้เวทย์มนต์ที่ “โลกภายนอก” ได้อีกด้วย แต่ก็ต้องใช้อย่างระมัดระวังไม่ให้ถูกคนที่ “โลกภายนอก” ระแคะระคายมิเช่นนั้นจะมีโทษหนัก

                    จากนั้นชาวสแกนเดรียนที่ได้รับวีซ่าจะต้องเดินทางไปที่สำนักงานลูกของสถาบันยูวีซีไอซึ่งอยู่ที่เมืองทิโรลทางตะวันตกของออสเตรีย ก่อนจะเลือกสัญชาติว่าจะเป็นพลเมืองของประเทศใด ซึ่งโดยมากก็ไม่พ้นอเมริกากับออสเตรีย

                    “หรือถ้าจะให้พูดก็คือ ถ้าคิดจะขอวีซ่าโดยไม่ผ่านสถาบันยูวีซีไอล่ะก็ เลิกฝันที่จะออกไป “โลกภายนอก” ได้เลย”

                    อาจารย์อสิตาคงกลัวนักศึกษาจะไม่เข้าใจจึงสรุปให้ฟังอีกที

                    ผมพอจะรู้เรื่องสถาบันแห่งนี้อยู่บ้าง เพราะตอนที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ทำงานอยู่ในสถาบันแห่งนี้เช่นกัน...



                    ขณะที่คลาสอาจารย์อสิตาพักเบรกอยู่นั้น ใจก็โผล่เข้ามาพอดี

                    “ไหนว่าห้ามสายวิชาอาจารย์อสิตาไง”

                    “พอดีไปเมืองทิโรล[2]มา เขาบอกให้พักสักคืนหนึ่งก็จริง แต่ฉันรีบกลับมาก่อน กว่าจะถึงสแกนเดรียเล่นเอาสว่างเลย นึกว่าจะมาเรียนไม่ทันซะแล้ว”

    [2] ชื่อเมืองในประเทศออสเตรีย


                    แม้ขอบตาจะคล้ำ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของเธอกลับแจ่มใส

                    “เออใช่ ชล ฉันมีข่าวดีล่ะ ไว้เลิกเรียนแล้วจะเล่าให้ฟัง”

                    เธอพูดอย่างตื่นเต้น

    ... ... ...

     

                    “อาทิตย์หน้าฉันจะได้ไปฝึกงานที่สถาบันยูวีซีไอแล้ว”

                    ใจบอกผม ขณะที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟหน้าวิทยาลัย

                    “สถาบันยูวีซีไอ”

                    “อ๋อ โทษทีๆ ฉันตื่นเต้นไปหน่อย คืออย่างนี้ ชมรมอาสาสมัครที่ฉันทำงานอยู่เป็นเครือข่ายย่อยของสถาบันยูวีซีไอที่มีไว้มองหานักศึกษาที่มีแวว

                    เผอิญรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ที่นั่นเขาเห็นงานวิจัยของฉันแล้วคิดว่ามีประโยชน์ในการรักษาคนเจ็บ จึงเรียกฉันไปสัมภาษณ์ที่สำนักงานย่อยในเมืองทิโรล

                    ตั้งแต่อาทิตย์หน้าฉันจะได้ไปทำงานกับสถาบันยูวีซีไอเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งอาจารย์อสิตาก็อนุญาตแล้ว ถือเป็นการเก็บข้อมูลภาคสนามไปด้วยเลย”

                    “นายรู้ไหมว่าการได้ออกไป “โลกภายนอก” และทำงานเพื่อผู้อื่นเป็นความฝันของฉันมาตั้งแต่เด็กแล้ว

                    คิดดูสิ แม้แต่ตอนที่ ชาร์ลี สมองทึบ เขายังสามารถมอบรอยยิ้มและกำลังใจให้ผู้อื่นได้ แล้วทำไมเราซึ่งมีสติปัญญาดีกว่าถึงเอาแต่ปล่อยเวลาผ่านไปอย่างไร้ค่าล่ะ นายไม่คิดบ้างเหรอว่าเราควรทำประโยชน์ให้แก่ตัวเองและผู้อื่น ในขณะที่ยังสามารถทำได้”

                    พูดเสร็จ ใจก็หันมายิ้มอย่างมีเลศนัย

                    “เพราะฉะนั้นระหว่างที่ฉันไม่อยู่ก็ฝากจดเลคเชอร์ให้ด้วยนะจ๊ะ”

                    ผมอึ้งไป... “ธุระ” ที่ใจพูดถึงบ่อยๆ ก็คือกิจกรรมที่ชมรมอาสาสมัครนั่นเอง พอเรียนจบแล้วใจจะไปทำงานกับสถาบันยูวีซีไอสินะ...

                    ถ้างั้นเวลาที่ผมจะได้อยู่กับเธอก็เหลืออีกเพียงไม่นาน... ... ...

                    “นี่ ชล ฟังอยู่หรือเปล่า”

                    “เออ... ฟังอยู่สิ เป็นงานที่น่าสนใจดีนะ...”

                    “พอเลย... ถ้ามันน่าเบื่อขนาดนั้นล่ะก็ ฉันไปเล่าให้คนอื่นฟังก็ได้”

                    เธอมองผมค้อนๆ แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ

                    “ไปก่อนล่ะ ฉันมีธุระต้องทำ”

    ... ... ...

     

                    “ฮะๆๆ เธอก็เลยทิ้งนายไปใช่ไหม”

                    วิกาโน่หัวเราะหลังจากได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้น

                    “เออสิ”

                    หลังจากแยกกับใจ ผมก็ไปค้นหนังสือที่หอสมุดกลาง แล้วได้เจอวิกาโน่ที่ “ป่า” อีกเช่นเคย

                    ตอนนี้เราซี้กันเสียแล้ว วันก่อนผมจึงเล่าเรื่องที่ฝันของเขาไปตรงกับเรื่องของผมกับใจเข้า...



                    ... “นายก็เลยใช้นิยายของฉันเป็น “คู่มือจีบสาว” อย่างงั้นสินะ” เขายิ้ม

                   
    “ถ้ามีคนบ้าที่คิดจะจีบสาว โดยหวังพึ่งคู่มือ มันก็สมควรแห้วแล้วล่ะ” ผมว่า...



                    “ว่าแต่นายเถอะ จะมัวใจเย็นยังงี้ไปถึงไหน” วิกาโน่เอ่ยขึ้น

                    “หือ...”

                    “ก็เรื่องใจไงเล่า นายบอกว่าเขากำลังจะไปทำงานที่สถาบันยูวีซีไออาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ”

                    “ใช่... แล้วไงล่ะ”

                    “นายไม่รู้หรือว่า ตอนนี้ที่ตะวันออกกลางมีการปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้าย และกำลังขาดแคลนแพทย์ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว คณะแพทย์ของสถาบันยูวีซีไอที่ถูกส่งไปที่นั่นเสียชีวิตจากการวางระเบิดของผู้ก่อการร้ายด้วย”

                    “ปรกติสถาบันยูวีซีไอจะส่งคนฝึกงานไปศูนย์ดูแลผู้ป่วยใกล้ตายในอเมริกาก็จริง แต่ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก พวกเราเติบโตมาในสแกนเดรียซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่สงบสุข คงยากที่จะจินตนาการว่า “โลกภายนอก” นั้นอันตรายแค่ไหน”

                    จริงอย่างที่เขาพูด อย่างใจอาจจะอาสาไปตะวันออกกลางเองโดยไม่ต้องรอให้ใครขอก็ได้...

                    “แล้วนายล่ะ เขียนนิยายไปถึงไหนแล้ว”

                    “ฮั่นแน่ ไหนว่าไม่คิดพึ่ง “คู่มือ” ไง”

                    “ไอ้บ้า อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง นายบอกว่าเขียนอะไรไม่ได้เลยมาตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วไม่ใช่หรือ...”

                    “อย่าห่วงเลยน่า ของอย่างนี้มันต้องใช้เวลา...”

                    เราคุยกันอีกสักพักก่อนที่ผมจะขอตัวออกจากหอสมุดกลาง พอผมลองซักวิกาโน่มากๆ เข้า เขาจึงเล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่เขาเขียนตอนต่อไปของนิยายไม่ได้ก็เพราะพักนี้ เขาไม่ได้ฝันเห็นชายหญิงคู่นั้น (ซึ่งน่าจะเป็นผมกับใจ) มาหลายวันแล้ว

                    ในขณะที่ผมเดินกลับหอพัก ก็เห็นใจจึงคิดจะเข้าไปทัก พอดีว่าเธอกำลังคุยกับชายร่างสูงโปร่งที่แต่งกายภูมิฐานซึ่งน่าจะเป็น “รุ่นพี่” คนที่เธอพูดถึง ท่าทางเธอมีความสุข หัวเราะบ้าง ตบบ่าเขาบ้าง ผมจึงเปลี่ยนใจเดินอ้อมไปอีกทาง

                    คิดดูอีกที เธอก็เป็นกันเองกับทุกคนอยู่แล้ว และผมคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับเธอมากไปกว่าเพื่อนธรรมดาๆ คนหนึ่ง อีกแค่อาทิตย์เดียวเธอก็จะไปจากที่นี่แล้ว คนที่ทั้งเก่งและอัธยาศัยดีแบบใจไปอยู่ที่ไหนก็ไม่น่ามีอะไรต้องห่วง

                   
                    การที่วิกาโน่ไม่ได้ฝันถึงเรื่องของชายหญิงคู่นั้น อาจเป็นเพราะอนาคตของผมกับใจจากนี้ไปจะไม่มีอกีแล้วก็ได้ หากเธอจากไปผมก็คงไม่ติดค้างอะไรในใจ ผมถือว่าเป็นโชคด้วยซ้ำที่ในช่วงเวลาสั้นๆ ผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น แล้วยังได้เรียนรู้สิ่งดีๆ จากเธออีกด้วย

    ... ... ...

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×