ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gem Knight - สงครามอัญมณีครองพิภพ

    ลำดับตอนที่ #3 : การเดินเรือ

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 54


    Chapter II: Sailing

     

                “กลับมาแล้วค่ะ” เมื่อเซชิลเข้ามาในบ้าน ก็เห็นเพริคลิสผู้เป็นพ่อนั่งอยู่หน้าเตาหลอมเช่นเคย ขณะที่ตีเหล็กอยู่นั้นเพริคลิสจะไม่พูดคุยกับใครแม้แต่ลูกสาว

                จะมีสงครามอีกแล้วหรือ เด็กสาวขมวดคิ้ว

                เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเวลาที่เห็นพ่อทำงาน เพราะสิ่งที่พ่อตีคืออาวุธที่ใช้ฆ่าคน ครั้งหนึ่งเธอเคยถามพ่อเรื่องนี้

                ดาบน่ะ ไม่มีความผิดหรอก ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ว่าจะทำให้มันเป็นอาวุธของวีรบุรุษหรือมหาโจร

                บางครั้งพ่อก็ชอบพูดอะไรยากๆ เหมือนกับเลวี เด็กสาวไม่เข้าใจ ถึงยังไงอาวุธฆ่าคนมันก็คืออาวุธฆ่าคนวันยังค่ำ

                เพริคลิสเคยร่วมรบในมหาสงครามระหว่างสหพันธรัฐกรีซีเรียกับอาณาจักรโพลีเซียที่อยู่ทางตะวันออกเมื่อยี่สิบปีก่อน ซึ่งชาวกรีซีเรียสามารถขับไล่ผู้รุกรานได้ในที่สุด สงครามครั้งนั้นทำให้ขาซ้ายของเขาพิการ และต้องลาออกจากทหารมาเป็นช่างตีเหล็ก

                เด็กสาวคิดว่าพ่อคงไม่ชอบสงครามหรอก เพราะเวลาที่พ่อพูดถึงสงครามจะมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงความโศกเศร้าหรือความภาคภูมิใจใดๆ

                เซชิลเดินเลยเข้าไปในห้องของตน ที่ห้องเด็กสาวก็มีเตาไฟขนาดไม่ใหญ่นัก ซึ่งพอจะใช้หลอมโลหะชิ้นเล็กๆ ได้

                เธอเติมฟืน จุดไฟ แล้วเป่าลมจนถ่านกลายเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นจึงนั่งลงหน้าเตา แล้วลงมือดัดกำไลเงินซึ่งทำค้างไว้ หญิงสาวอมยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงวันพรุ่งนี้

     

                เช้าวันต่อมาท้องฟ้าสดใส สายลมเย็นพัดพากลิ่นอายของทะเลเข้าฝั่ง ราวกับจะอวยชัยให้นักเดินเรือ เหล่าซีแมนทำพิธีบูชาเทพโอคีนอส เทพเจ้าแห่งท้องทะเล เครื่องเซ่นมีทั้งเนื้อโค ขนแกะ เหล้าองุ่น แต่ตัวเอกคือตุ๊กตาไม้ที่แกะเป็นรูปหญิงสาว ใช้โยนลงทะเลแทนเครื่องสังเวย เด็กสาวเคยได้ยินว่าเมื่อก่อนจะใช้คนเป็นๆ มาบูชายัญ แต่เนื่องจากโหดเหี้ยมเกินไปภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นตุ๊กตา

                เมื่อเสร็จพิธีก็ถึงเวลาออกเรือ

                เซชิลเดินเข้าไปหาเลวี

                “จะไปแล้วหรือ”

                “อืม เห็นว่าครั้งนี้จะไปที่เบลลอน”

                เบลลอนเป็นชื่อเมืองท่าของอาณาจักรโพลีเซีย ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณสองเดือน

                “ไม่เป็นไรหรือ” เด็กสาวมีสีหน้ากังวล กรีซีเรียกับโพลีเซียรบพุ่งกันมานานนับร้อยปี แม้ตอนนี้จะไม่มีสงคราม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย

                เด็กหนุ่มยิ้ม ไม่มีแวววิตกแม้แต่น้อย

                “ไม่เป็นไร คนพวกนี้ไม่ทำอะไรพ่อค้ากับนักเดินเรือหรอก” เลวีลูบหัวเซชิล

                เด็กสาวก้มหน้าเพื่อปกปิดแก้มที่ร้อนผ่าว อีตานี่ เมื่อวานยังดูพึ่งพาไม่ได้อยู่เลย แต่พออายุครบสิบห้าแล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้กลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นขนาดนี้นะ

                “ไอ้ลูกเจี๊ยบเลวี มัวทำอะไรอยู่ เรือจะออกแล้ว” โกไลแอตตะโกนลงมาจากบนเรือ เขาอายุครบสิบห้าตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน และจะเดินทางไปกับเลวีด้วย

                “ไปก่อนนะ”

                “เดี๋ยวก่อน” เซชิลคว้าแขนเลวีไว้

                เธอก็ยื่นกำไลเงินซึ่งดัดเป็นรูปใบมะกอกทั้งวง ลวดลายของใบมะกอกนั้นมีส่วนเว้าโค้งและเส้นใบละเอียดประณีตเหมือนของจริงที่เด็ดมาจากต้น

                “ขอให้กลับมาอย่างปลอดภัยนะ”

                เลวีรับพลางยิ้มเห็นฟันขาว “ขอบใจนะ ข้าจะท่องโลกไปพร้อมกับกำไลนี้ แล้วกลับมาหาเซชิลแน่นอน”

                เมื่อเลวีขึ้นไปบนเรือ พวกซีแมนก็เก็บสมอกางใบเรือ

                ขณะที่เรือเริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่า เด็กหนุ่มก็เดินไปหาโกไลแอต

                “เซชิลฝากให้นาย” เลวีส่งให้ มันเป็นกำไลเงินที่ดัดเป็นรูปม้าอาชาไนยวิ่งเรียงกันรอบวง ซึ่งทำขึ้นอย่างบรรจงไม่แพ้กำไลลายใบมะกอก

                โกไลแอตหันกลับไปทางท่าเรือจึงเห็นเซชิลยืนโบกมือให้

                “โกไลแอตก็รักษาตัวด้วยล่ะ” เด็กสาวตะโกนก้อง

                “หึ” เด็กหนุ่มร่างใหญ่สบตาเซชิลครู่หนึ่ง ก่อนจะแสร้งหันไปทางอื่นอย่างไว้เชิง

     

                หลังจากพวกเลวีจากไป เซชิลก็ยังมาเดินเตร็ดเตร่แถวท่าเรือ บางครั้งก็เล่นกับพวกเด็กผู้ชาย แต่ไม่กี่วันต่อมาก็มีพายุเข้า ฝนตกหนักติดกันหนี่งสัปดาห์ เด็กสาวจึงได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่ในบ้าน

                “นั่งเหม่ออะไรอยู่” เพริคลิสเอ่ยทัก ตอนนี้เขาว่างจากงานตีเหล็กแล้ว

                เด็กสาวละสายตาจากหน้าต่างหันมามองหน้าพ่อ

                “พ่อ... แม่เป็นคนยังไงหรือ” เซชิลไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ เธอสูญเสียแม่ไปตอนขวบกว่าๆ เด็กสาวไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยอะไร แต่ว่างเมื่อไรเธอก็มักจะคิดถึงแม่

                “แม่ของเจ้าเป็นคนอ่อนโยน มีเส้นผมและดวงตาสีฟ้าคราม ใบหน้าของเจ้าราวกับถอดแบบมาจากนาง โตขึ้นต้องเป็นหญิงสาวที่งามหมดจดเหมือนแม่แน่”

                เด็กสาวเคยได้ยินคำร่ำลือเรื่องความงามของแม่จากชาวบ้าน พวกเขาเปรียบสามีภรรยาคู่นี้เหมือนเทพฮิเฟสตัส[1]กับเทพีอโฟรไดท์[2]

                “แต่ข้าคงไม่อ่อนโยนเหมือนแม่หรอก” เด็กสาวเบ้ปาก

                “ใครบอกล่ะ” เพริคลิสพูดด้วยเสียงทุ้มกังวาน “ความอ่อนโยนไม่ได้อยู่ที่อากัปกิริยาภายนอก มันอยู่ในจิตใจต่างหาก เจ้าน่ะอ่อนโยนเหมือนแม่ไม่มีผิด”

                ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาจากหน้าบ้าน

                “เซชิล แย่แล้ว!” เด็กหนุ่มฟันเหยิน พูดอย่างกระหืดกระหอบ เขาเปียกโชกไปทั้งตัวเพราะวิ่งตากฝนมา

                “ฟามิเดสมีอะไรหรือ ทำไมถึงทำหน้าตื่นยังงั้น” เด็กสาวใจไม่ดีกับท่าทีตื่นตระหนกของเพื่อน หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเลวี...

                ฟามิเดสทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาสูดลมหายใจเข้ายาว จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “รีบไปที่ท่าเรือเถอะ”

                เซชิลกระโจนพรวดออกจากบ้านโดยไม่ได้สวมรองเท้า เธอวิ่งฝ่าลมฝนทิ้งฟามิเดสไว้

                โบราณว่า ไม่มีข่าวคราวแปลว่าสบายดี แต่นี่พวกเลวีเพิ่งออกเรือไปเพียงสองสัปดาห์ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ

                เด็กสาววิ่งไม่คิดชีวิต ในใจภาวนาขอให้เทพเจ้าองค์ใดก็ได้ช่วยคุ้มครองพวกเลวีด้วย

                เมื่อไปถึงท่าเรือ เซชิลก็เห็นเรือสำเภาลำใหญ่จอดเทียบท่าอยู่ แต่เป็นคนละลำกับที่เลวีขึ้น ที่ลานกว้างมีชายฉกรรจ์หลายคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นมีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลซึ่งเธอคุ้นหน้าดี

                “โกไลแอต” เซชิลรู้สึกโล่งอก เธอรี่เข้าไปหาโกไลแอต

                “เซชิล...” เด็กหนุ่มท่าทางอ่อนเพลียอยู่แล้ว พอเห็นเด็กสาวสีหน้าของเขาก็ยิ่งซีดลงไปอีก

                “ไม่เป็นไรใช่ไหม”

                “ข้าไม่เป็นไร แต่ว่าเลวี...” แววตาของโกไลแอตเหมือนจะร่ำไห้ แต่สายฝนทำให้มองไม่เห็นน้ำตา ร่างอันแกร่งกำยำของเขาดูไร้เรี่ยวแรง ราวกับจะล้มได้ทุกเมื่อ

                “เลวี... เลวีเป็นอะไร!

                แทนคำตอบ โกไลแอตยื่นกำไลเงินลายใบมะกอกให้

                เด็กสาวจำได้ดี มันคือกำไลที่เธอมอบให้เลวี ผลงานอันวิจิตรที่เธอเพียรประดิษฐ์อยู่นับเดือน บัดนี้กลับบิดเบี้ยวผิดรูปราวกับถูกบดขยี้ด้วยฝีมือสัตว์ยักษ์

                เด็กสาวใจหายวาบ เธอมองหน้าเพื่อนหนุ่มอย่างคาดคั้น

                “เลวีเป็นคนปกป้องข้า” น้ำเสียงของโกไลแอตเบาเหมือนกระซิบ

                จากนั้นโกไลแอตก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งเซชิลจับความได้ว่า ในวันที่ห้าของการเดินทางขณะที่พวกเลวีเดินทางเข้าสู่เขตทะเลลีเดียน จู่ๆ ทะเลก็เงียบสงบ สายลมหยุดนิ่งปราศจากคลื่น ทันใดนั้นก็มีงูยักษ์โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล ตัวมันใหญ่เกือบสองเท่าของเรือสำเภา เพียงแค่ระลอกคลื่นจากการปรากฏตัวของมันก็สามารถกลืนเรือเล็กๆ ได้ทั้งลำ ขณะที่พวกซีแมนพยายามประคองเรืออยู่ มันก็จู่โจมอย่างเกรี้ยวกราดทำให้เรือแตกเป็นเสี่ยงๆ

                เสากระโดงเรือถูกหางของงูยักษ์ฟาด หักกระเด็นมาทางโกไลแอตซึ่งยืนตะลึงงัน ขณะนั้นเองเลวีก็เข้ามาผลักเพื่อนหลบ แต่ตัวเองกลับโดนกระแทกตกจากเรือ

                หลังจากที่อาละวาดจนหนำใจ เจ้างูยักษ์ก็กลับสู่ใต้สมุทร คนที่รอดมาได้ต่างเกาะเศษไม้จากซากเรือ เวลาผ่านไปสองวันจึงมีเรือสำเภาผ่านมาพบ

                พ่อของเลวีกับพ่อของโกไลแอตรอดชีวิต แต่ไม่มีใครพบร่างของเลวี มีเพียงกำไลเงินที่บิดเบี้ยว

                “มันเลวร้ายมาก” ไหล่บึกบึนของโกไลแอตสั่นเทา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว

                เด็กสาวยืนนิ่ง ไม่รับรู้สิ่งใด สมองของเธอยังไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่โกไลแอตเล่าได้ มันเหมือนฝันร้ายมากกว่า ใช่แล้ว นี่ต้องเป็นฝันร้ายแน่ๆ ถ้าเป็นความฝันก็ตื่นสิ รีบตื่นซะที!

                สายฝนโปรยปรายจากฟากฟ้า คลื่นลมแรงซัดเรือสำเภาโครงเครง ฟ้าแลบแปลบปลาบส่งเสียงครืนๆ คนที่รู้ข่าวเรืออับปางเริ่มทยอยมาที่ท่าเรือ เมื่อเจอหน้าญาติ เจอหน้าคนรักก็สวมกอดกันอย่างดีใจ

                ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย เซชิลยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาว่างเปล่า เหมือนต้องการปฏิเสธโลกทั้งใบ เธอรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆ คล้ายคนร้องเรียกตนอยู่

                “เซชิล!

                เสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นของโกไลแอต เขาจับร่างเธอเขย่าไปมาอยู่หลายครั้ง แต่เด็กสาวกลับไม่ตอบสนอง

                สัมผัสอันเย็นเยียบที่มือขวาทำให้เธอก้มลงมอง กำไลเงินที่บิดเบี้ยวนั่นเอง

                นี่ไม่ใช่ความฝัน... ความจริงอันโหดร้ายค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของเธอจนชาไปทั้งร่าง

                เด็กสาวพรวดพราดไปหยุดยืนตรงหน้าทะเลที่บ้าคลั่งเพราะพายุ แล้วกรีดร้อง

                “เลวีบ้า! ไหนว่าจะกลับมาหาข้าไง ไอ้คนโหก!” เสียงกรีดร้องของเธอถูกกลืนหายไปกับคลื่นลมที่โถมซัดสู่ชายฝั่ง พายุยังคงพัดกระหน่ำ ไม่แยแสต่อดวงใจที่แตกสลายของเด็กสาว

                เซชิลทรุดลงร่ำไห้ เรือนผมสีฟ้าเปียกปอนแนบใบหน้า เสื้อผ้าเปียกโชก เนื้อตัวเย็นเฉียบ น้ำใสๆ จากดวงตาสีฟ้าไหลปนกับหยาดฝนไม่ขาดสาย

                โกไลแอตทนดูไม่ได้ จึงพยายามเข้าไปฉุดเซชิล แต่เธอไม่ยอม เด็กหนุ่มจึงจำใจปล่อยเธอร้องไห้ต่อไป จนกระทั่งร่างเล็กๆ นั้นหมดแรงล้มลง


    [1] Hephaestus เทพแห่งการช่างฝีมือ มีภรรยาเป็นเทพอโฟรไดท์ ทั้งๆ ที่พิการเดินขาเขยก

    [2] Aphrodite เทพีแห่งความงามของกรีก ชาวโรมันเรียกวีนัส

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×