ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Magic of Now & Here

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter I: The Oak Tree 03

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 53



                    ผมเดินไปชั้นนิยายเพื่อหาหนังสือ “ดอกไม้แด่อัลเกอร์นอน” แล้วยืมออกมาพร้อมกับหนังสือเล่มอื่นๆ ที่จะใช้หาข้อมูลทำงานวิจัย

                    ใน “ตอนต่อ” ของนิยายไร้ชื่อนั้น หลังจากพระเอกออกมาจากห้องสมุดก็จะเจอกับนางเอก

                    นางเอกเพิ่งอ่านเรื่อง “ดอกไม้แด่อัลเกอร์นอน” จบและกำลังประทับใจอยู่จึงเล่าให้พระเอกฟัง เผอิญพระเอกก็อ่านเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ทั้งคู่จึงชวนกันไปคุยต่อที่ร้านกาแฟ

                    “นายรู้จักนิยายเรื่องนี้หรือเปล่า” ผมถามวิกาโน่

                    “รู้จักสิ มันคือนิยายวิทยาศาสตร์ของ แดเนียล คีย์ส ที่ได้รับรางวัลมากมาย ซ้ำยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ “ชาร์ลี” ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ในปี 1969 ด้วยนะ ที่ฉันเห็นในฝันแล้วจำได้ไม่ลืมก็เพราะมันเป็นหนึ่งในนิยายที่ฉันชอบมาก ถ้ายังไม่ได้อ่าน ฉันขอแนะนำให้นายลองไปอ่านดู”

                    ด้วยเหตุนี้ผมจึงยืมออกมาอ่านหน้าหอสมุดใหญ่ ผมอ่านอย่างลวกๆ พอจะจับใจความได้ว่า

                    ชาร์ลี กอร์ดอน เป็นหนุ่มใหญ่วัย 32 แต่มีไอคิวไม่ถึง 70 หลังจากที่เขายอมให้นักวิจัยทดลองผ่าตัดฉีดยาเข้าไปในสมอง เขาก็ฉลาดขึ้นจนกลายเป็นอัจฉริยะ แต่แล้ววันหนึ่งสมองของ อัลเกอร์นอน “หนูทดลอง" ที่ได้รับการผ่าตัดด้วยวิธีเดียวกับเขาก็ค่อยๆ เสื่อมลง ขณะนั้นเองชาร์ลีก็เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่านั่นคือชะตากรรมที่รอเขาอยู่เช่นกัน

                    “หวัดดีจ้ะชล นั่นอ่านอะไรอยู่”

                    อ่านถึงตรงนี้ ใจก็เข้ามาทักผมจากข้างหลัง

                    “เอ่อ... อ่านนิยายอยู่” ผมเกิดลังเลที่จะบอกชื่อเรื่อง

                    “อะไรนะ! ชลอ่านนิยายด้วย” ใจตาโต

                    “นี่ๆ เวอร์ไปแล้ว แค่ผมอ่านนิยาย ไม่ใช่อุกบาตพุ่งชนโลกซะหน่อย”

                    “ก็คือๆ กันนั่นแหละ ไม่สิ... มันยิ่งกว่าอีก ประมาณว่า... เกิด "2012" !”

                    “มันแปลกนักเรอะ ที่ผมจะมีอารมณ์สุนทรีย์เหมือนคนอื่นเขานะ”

                    “ไม่น่าเชื่อ! ชลรู้จักคำว่า “สุนทรีย์” ด้วย”

                    “โอเคๆ ผมผิดเองที่ทำตัวไม่สมเป็นผม...”

                    ใจยิ้มกระหยิ่ม

                    “ไหนดูซิว่าชลอ่านอะไร” เธอคว้ามือผมหันปกขึ้นมาดู

                    “นี่ชลอ่านเรื่องนี้ด้วยเหรอ! ฉันเพิ่งอ่านจบพอดีเลย”

                    จากนั้นก็เป็นเหมือนในนิยายของวิกาโน่ คือใจชวนผมไปนั่งในร้านกาแฟหน้าวิทยาลัย แล้วเราสองคนก็คุยกันถึงเรื่อง “ดอกไม้แด่อัลเกอร์นอน” หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือ ผมเป็นฝ่ายนั่งฟังใจเล่ามากกว่า

                    “เป็นนายจะรู้สึกยังไง ถ้ารู้ว่าสมองของตัวเองจะค่อยๆ เสื่อมลงโดยไม่มีวิธีหยุดยั้ง”

                    “มันคงบีบคั้นน่าดูเลย”

                    “ใช่ไหมๆ คิดดูสิ ว่าชาร์ลีเขาต้องรู้สึกกดดันแค่ไหน”

                    วันหนึ่งเจ้า อัลเกอร์นอน หนูที่เชื่องและว่าง่าย อีกทั้งยังฉลาดจนสามารถแก้ไขปัญหาเขาวงกตยากๆ ได้เร็วกว่าคนปัญญาอ่อน ก็เปลี่ยนไป มันกัด มินนี่ หนูเพศเมียที่อยู่ด้วยกันกับมันเป็นแผลลึกยาวที่ท้อง กัด เฟย์ ผู้หญิงที่มันเคยเล่นด้วย และพยายามจะกัดกระทั่ง ชาร์ลี ที่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี

                    อัลเกอร์นอน ต้องใช้เวลานานกว่าจะแก้ปัญหาเขาวงกตง่ายๆ และไม่สามารถแก้ปัญหาเขาวงกตยากๆ ได้ ทั้งที่มันเคยทำได้อย่างคล่องแคล่วและสมบูรณ์แบบ มันดูสับสนงงงวยและหมดอาลัยตายอยาก

                    ชาร์ลีจะรู้สึกอย่างไร เมื่อเขาซึ่งเป็นอัจฉริยะ แตกฉานในวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และองค์ความรู้อื่นๆ แทบทุกด้าน ซ้ำยังเชี่ยวชาญภาษาต่างๆ มากมาย จะกลับไปเป็นคนปัญญาอ่อน ขี้หลงขี้ลืม เป็นตัวตลกที่ถูกคนอื่นๆ แม้กระทั่งเด็กๆ รุมรังแกอีกครั้ง

                    เขาจะต้องงุนงงสับสนและหงุดหงิดเพียงไร เมื่อจู่ๆ ก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าใจ เขาจะหวาดกลัวกับ “ความเปลี่ยนแปลง” เหล่านั้นไหม และจะรับมือกับมันอย่างไร...

                    แต่ที่แน่ๆ ผมคงทำอย่างเขาไม่ได้...

    ... ... ...

    ฤดูร้อนเมื่อ15 ปีก่อน...

     

                    ทางไปภูเขาหลังโรงพยาบาลนั้นไม่ได้ลำบากอะไรเพราะมีเพียงป่าไวท์โอ๊คขนาดย่อมคั่นอยู่ ผมเคยใช้เวลาเพียงสองสามชั่วโมงเดินผ่านป่านั้นออกไปสู่ตีนเขา แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเป็นตอนกลางคืน ซ้ำผมต้องพา รุณ ซึ่งร่างกายอ่อนแอจนเดินเองไม่ไหวไปด้วย

                    เช้าวันนั้นผมมาสำรวจเส้นทางล่วงหน้าและทำเครื่องหมายไว้ แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ สิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย

                    ป่าไวท์โอ๊คในตอนกลางคืนทั้งมืดและหนาว ไฟฉายไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไรนอกจากเท้าตัวเอง

                    ผมใช้ผ้านวมห่มรุณแล้วมัดตัวเธอไว้กลางหลัง แข็งใจเดินตรงไปเรื่อยๆ พลางภาวนาให้ตัวเองเดินไปถูกทาง

                    ผมเดินมานานเท่าไรไม่รู้...

                    เดินมาได้ไกลเท่าไรก็ไม่รู้...

                    มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไวท์โอ๊ค ความหนาวเหน็บทำให้ผมปวดหนึบๆ ที่หัว ขาและหลังเริ่มล้า นานเข้าก็ชาไปหมดจนจับความรู้สึกไม่ค่อยได้ ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ หรือเพียงแค่ยืนอยู่กันแน่ แต่ทุกครั้งที่ทรุดลง ผมก็จะได้ยินเสียงแว่วๆ ของรุณที่ร้องเตือนสติ ให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังรับผิดชอบชีวิตของใครอีกคนอยู่ด้วย

                    จึงลุกขึ้นเดินต่อไปเรื่อยๆ ...

                    เดินต่อไปเรื่อยๆ ...

                    จนลืมทั้งความกังวลและความอ่อนล้า แล้วจู่ๆ ฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นมา ทำให้ผมและรุณเห็นว่าตีนเขาอยู่เบื้องหน้านี่เอง

                    ผมรวบรวมกำลังเดินออกจากป่าไปถึงตีนเขาในอึดใจเดียว มองขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งสูงลิบนั้น

                    ดอกเอเดิลไวสส์นั้นบานอยู่ที่ความสูงประมาณ 1,700 – 2,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

                    ที่ที่เรายืนอยู่นี่สูงเท่าไร...

                    น่าจะราวๆ สัก 1,000 เมตร...

                    ถ้าอย่างงั้นก็คงต้องเดินต่ออีกสัก 700 ก้าวสินะ...

                    เฮ้ย จะบ้าเรอะ นั่นมัน “ความสูง” ไม่ใช่ “ระยะทาง”

                    พอทีๆ! จะกี่ก้าวก็ช่างหัวมันเถอะ เลิกคิดแล้วเดินไปซะ ไม่อย่างงั้นชาตินี้ทั้งขาติก็ไปไม่ถึงหรอก!

                    ผมกัดฟันเดินขึ้นเขาไปโดยไม่คิดอะไรอีก นับว่ายังดีที่ภูเขาลูกนี้ไม่ชันมากนัก ขอเพียงเราไม่หยุดเดินยังไงก็ต้องไปถึง... แต่ขาผมนี่ชักจะหนักขึ้นทุกทีๆ อย่างกับมีตรวนมาล่ามข้อเท้าไว้... ... ...

                    ทันใดนนั้นพื้นดินก็พุ่งเข้าใส่หน้าผม

                    “โครม!”

                    “พี่ชล!”

                    เอ๋... เกิดอะไรขึ้น

                    นี่เรานอนอยู่หรือ... ไม่ได้การล่ะ ถ้าไม่รีบลุกขึ้นมาล่ะก็ ต้องหมดแรงก่อนจะถึงแหงๆ

                    “พี่ชล!”

                    เอาล่ะ ลุกขึ้นมาได้แล้ว เอ๊ะ ไม่ใช่นี่ เรายังคุกเข่าอยู่เลย แล้วทำไมถึงมีดินเปรอะเต็มหน้าล่ะ...

                    “พี่ชล!!!”

                    “อะไรๆ ... ทำไม... มีอะไรหรือรุณ!”

                    ผมสะดุ้ง เมื่อกี้รุณกำลังเรียกผมอยู่หรือ...

                    “พอเถอะค่ะ รุณผิดเองที่ขออะไรโดยไม่คิด พี่ชลไม่ต้องขึ้นไปแล้วล่ะ นั่งรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่กลับมาไม่เจอเราก็จะออกตามหาเอง...”

                    เสียงของเธอสั่นเครือ รุณซบหน้าลงแนบแผ่นหลังผม

                    ไม่... พี่ไม่ยอมตัดใจหรอก ในเมื่อรับปากเธอแล้ว ไม่ว่ายังไงพี่ก็จะต้องพาเธอไปชมดอกเอเดิลไวส์ให้ได้!

                    ผมรู้สึกได้ถึงสายน้ำอุ่นที่ไหลอาบต้นคอผม...

                    ทันใดนั้นเองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นในตัวผม จู่ๆ ประสาทสัมผัสของผมก็คมกริบขึ้นมา แม้ในขณะที่หลับตาก็ได้ยินเสียงกระซิบของสายลมที่บอกให้รู้ถึงการสั่นไหวของต้นหญ้าและต้นไวท์โอ๊ค รวมถึงการเคลื่อนไหวของหมู่นกบนฟ้าและสัตว์ต่างๆ บนดิน

                    กระแสความเปลี่ยนแปลงรอบๆ ตัวที่หลากหลายซึ่งทับซ้อนกันอยู่นั้น บัดนี้ได้มารวมเป็นหนึ่งเดียวภายในความรับรู้ของผม

                    ผมรู้สึกได้ถึง “พลัง” บางอย่างซึ่งผมไม่เคยตระหนักมาก่อน พลังที่ว่านี้ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและคุ้นเคย ราวกับผมรู้จักกับสิ่งนี้มานานแสนนาน

                    แล้วทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวทั้งท้องฟ้า แผ่นดิน รวมทั้งตัวผมเองได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในวินาทีนั้น...

                    “รุณ” ผมลุกขึ้น

                    “เธอไม่ต้องห่วงอะไรแล้วนะ พี่พาเธอไปได้แน่”

                    ผมได้ยินแล้ว เสียงของดอกเอเดิลไวสส์ที่อยู่ห่างออกไปบนยอดเขานั่น...


                   

                    “Springen!”




                    ทันใดนั้นผมกับรุณก็พุ่งทะยานผ่านหมู่เมฆขึ้นไปด้วยความเร็วสูง แต่ผมกลับไม่รู้สึกกลัวเพราะรู้จุดหมายดีอยู่แล้ว เพียงอึดใจเดียวเราทั้งคู่ก็มาอยู่บนเนินเขาที่สูงทะลุก้อนเมฆ

                    ผมค่อยๆ คุกเข่าลงแก้เชือกให้รุณ จากนั้นจึงทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น กำลังจะหันไปบอกรุณว่าเรามาถึงแล้ว

                    แล้วผมก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อได้เห็นรุณ น้องสาวตัวเล็กๆ ซึ่งกำลังอ่อนแอเพราะถูกโรคร้ายคุกคาม ซ้ำยังผจญกับความหนาวเหน็บ รวมถึงความยากลำบากอื่นๆ ด้วยกันกับผมมาทั้งคืนนั้น...

                    บัดนี้เธอกำลังเดินชื่นชมดอกเอเดิลไวสส์อย่างมีชีวิตชีวา...

                    ถ้าจะให้บรรยายความรู้สึกทั้งหมดในเวลานี้ออกมาเป็นคำๆ เดียว สิ่งนั้นก็คือ “ความสุข”

                    หัวใจของผมพองโต รู้สึกเบาโล่งไปทั้งตัว ความเมื่อยล้าหายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับเรื่องที่ผมแบกรุณเดินป่ามาทั้งคืนเป็นเรื่องโกหก

                    ทิวทัศน์รอบๆ ตัวช่างดูเจิดจ้า ทั้งแสงอาทิตย์ ทั้งท้องฟ้า ทั้งทุ่งหญ้า

                    ใช่... ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ช่างงดงามเหลือเกิน...

                    หากมีรุณอยู่ตรงนี้...

    ... ... ...

     

                    สิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้คือภาพรุณหันมายิ้มให้ แล้วบอกอะไรสักอย่างกับผม ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้ยินอะไรเลย แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาล

                    เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่นและปลอดโปร่ง ราวกับตัวเองเพิ่งตื่นจากความฝันอันแสนสุข จนรู้สึกได้ว่าเช้านี้ต้องมีเรื่อง ดีๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

                    แต่พอสติสัมปชัญญะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาผมจึงนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

                    “รุณ! รุณล่ะ!”

                    ผมลุกขึ้นจากเตียง มองไปซ้ายขวา ในห้องไม่มีใครเลย นอกจากแม่ซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟาข้างเตียง

                    แม่มีสีหน้าตื้นตัน ท่านลุกขึ้นดึงผมซึ่งยังนั่งอยู่บนเตียงเข้ามากอด แล้วก็ลูบไล้เส้นผมกับใบหน้าของผมอยู่สักพักหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นมาว่า

                    “ดีจริงๆ ที่ชลไม่เป็นอะไร”

                    กลิ่นหอมที่คุ้นเคยของแม่ บวกกับสัมผัสและน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นทำให้ใจผมสงบ จนอยากจะหลับตาอยู่อย่างนี้ต่อไปนานๆ

                    แต่ผมก็ไม่อาจระงับความร้อนใจของตนได้

                    “รุณล่ะ แม่ครับ รุณอยู่ไหน”

                    “น้องเขาอยู่ห้องข้างๆ จ้ะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”

                    แม่ยังคงโอบผมไว้ในอ้อมแขนของท่าน

                    “ชลนอนต่อเถอะนะ ลูกสลบไปสองวันเต็มๆ คุณหมอนอร์แมนบอกว่าร่างกายลูกอ่อนเพลียมาก ต้องพักผ่อนให้เยอะๆ” ท่านค่อยๆ ประคองผมลงนอน

                    “แต่...รุณ... เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”

                    นั่นคือสิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุดตอนนี้

                    “น้อง... เขาก็สบายดี ลูกนอนซะนะ เดี๋ยวพ่อกับคุณหมอนอร์แมนก็มาแล้ว” ท่านดึงผ้าห่มคลุมตัวผม

                    เมื่อกี้ผมดูไม่ผิดแน่ๆ ท่านหลบตาผม! แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่ท่านหลบตาผมแน่ๆ!

                    “แม่บอกผมมานะว่าเกิด อะไรขึ้นกับรุณ” ผมผุดลุกขึ้นทันที

                    “ขอร้องล่ะแม่ บอกผมหน่อยเถอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับรุณกันแน่”

                    ผมใช้แขนทั้งสองข้างยันร่างแล้วหย่อนตัวลงจากเตียง แต่ขากลับไม่ฟังคำสั่ง ผมทรุดฮวบลงเหมือนตัวเองไม่มีขาหรืออะไรยันพื้นไว้ทั้งสิ้น

                    “ชล!”

                    แม่ประคองร่างผมไว้ทันก่อนจะล้มคะมำลงกระแทกกับพื้น

                    “เอ้าๆ ดูท่าคนป่วย จะแข็งแรงดีแล้วนี่”

                    พ่อเดินเข้ามาพร้อมกับหมอนอร์แมน

                    “เฮ่ นอร์แมน ให้ชลเขาได้พบรุณหน่อยละกันนะ” พ่อตบบ่าหมอนอร์แมน

                    หมอนอร์แมนยิ้มแต่ส่ายหน้า

                    “ให้ตายสิ สมเป็นลูกนายจริงๆ”

    ... ... ...

     

                    หมอนอร์แมนนำทางผมไป โดยมีแม่เข็นรถเข็น และพ่อช่วยลากเสาน้ำเกลือให้ผม จนมาถึงห้องไอซียู



                    ห้องไอซียู...



                    หัวใจผมหล่นวูบ...

                    หมอนอร์แมนเข้าไปคุยกับนางพยาบาลข้างในห้องสักพักจึงออกมา

                    “ปรกติเขาไม่อนุญาตให้เข้าไปหรอกนะ แต่นี่ถือเป็นกรณีพิเศษ”

                    พ่อกับแม่พาผมไปที่เตียงซึ่งแขวนป้ายไว้ข้างหน้าว่า “เมโรเวีย วรุณ” ที่ปากของเธอมีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่ บนตัวเธอมีสายระโยงระยางนับไม่ถ้วน

                    ในห้องไอซียูนั้นเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน และเสียง “บี๊บ” ของเครื่องตรวจจับชีพจรดังเป็นจังหวะ

                    ผมงุนงงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า...

                    รุณ... ที่นอนอยู่ตรงหน้าผมคือรุณจริงๆ หรือ!

                    ไม่จริงใช่ไหม ก็ในเมื่อเธอแข็งแรงดีออกขนาดนั้น เมื่อกี้นี้ผมยังเห็นเธอวิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางดอกเอเดิลไวสส์อยู่เลย แล้วจู่ๆ เธอจะมานานอยู่ตรงนี้ได้ยังไง!

                    “หลังจากพ่อพาเราทั้งคู่กลับมาที่โรงพยาบาลแล้ว รุณก็อาการทรุดหนักลงด้วยโรคปอดบวมและติดเชื้อในกระแสเลือดจนเข้าขั้นโคม่า และยังไม่รู้สึกตัวจนถึงตอนนี้

                    พ่อกับแม่พยายามสื่อสารกับน้องทุกอย่างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล คราวนี้ถึงตาลูกแล้วนะ ลองคุยกับน้องหน่อยสิ” พ่อว่า

                    “รุณ...”

                    ผมวางมือลงบนมือของรุณ มือของเธอเย็นแต่ยังรู้สึกได้ถึงไอแห่งชีวิต

                    ภาพของเธอตอนที่เราคุยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน แม้กระทั่งภาพรุณตอนยังแบเบาะ ซึ่งผมไม่น่าจะจำได้ ค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจ

                    พริบตานั้นผมก็ตระหนักได้ว่าภาพทั้งหมดนั้นคือ “อดีต” และแม้แต่ปัจจุบันที่ผมกำลังสัมผัสมือของรุณอยู่นี้ก็จะต้องกลายเป็นอดีตไปเช่นกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น

                    หยดน้ำอุ่นร่วงลงแตะมือ...

                    ผมรู้สึกเปียกที่แก้มตัวเอง...



                    นี่... ร่างน้อยๆ ตรงหน้าผมจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้วหรือ...

                    ผมจะไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้มใสๆ ของเธอ...

                    ไม่มีวันได้ยินเสียงหัวเราะของเธอ...

                   
    ไม่มีวันได้เห็นเธอเดินเล่นอยู่ท่ามกลางดอกเอเดิลไวสส์อีกแล้วอย่างงั้นหรือ!



                    “พ...พี่...ชล”

                    เสียงนั้นปลุกผมจากภวังค์ น้ำเสียงนั้นก็ทำให้ผมลืมความโศกเศร้าทั้งมวลในทันที

                    “รุณ!”

                    ผมและพ่อกับแม่พูดขึ้นพร้อมกัน

                    “คุ...ณ...พ่อ.... คุณ...แม่...”

                    น้ำเสียงของรุณอ่อนแรงเต็มที ดวงตาของเธอมองไปทางพ่อกับแม่ก่อนจะมาหยุดที่ผมเป็นคนสุดท้าย

                    “ข...อบ... คุณ... นะ คะ... พี่...ช...ล...”

                    นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากของเธอ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหลับลงไปชั่วนิรันคร์...



                    กราฟบนเครื่องแสดงให้เห็นว่าชีพจรของรุณเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยในช่วงสุดท้าย ก่อนที่จะค่อยๆ อ่อนลงจนนิ่งสนิทไปในที่สุด

                    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา กว่านางพยาบาลจะเข้ามาดู ร่างของรุณก็ไร้การตอบสนองโดยสิ้นเชิงแล้ว เหลือเพียงเสียง “บี๊บ” ของเครื่องตรวจจับชีพจรเท่านั้นที่ยังคงดังเป็นจังหวะตามหน้าที่ของมัน

                    วินาทีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมดูห่างออกไป...

                    ทั้งไออุ่นของแม่ซึ่งสวมกอดผมจากข้างหลัง...

                    ทั้งสัมผัสจากมือใหญ่ๆ ของพ่อที่วางลงบนไหล่ของผม...

                    ทั้งเสียงนางพยาบาลที่บอกว่า “คนไข้เสียแล้วค่ะ” ...

                    ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมดูเบาบางเหมือนภาพหลอน เสียงๆ หนึ่งกลับดังชัดเจนขึ้นมาราวกับต้องการจะตอกย้ำอะไรบางอย่าง

                    “ข...อบ... คุณ... นะ คะ... พี่...ช...ล...”

     

                    รุณ... พี่เป็นคนฆ่าเธอแท้ๆ แล้วเธอยังจะมาขอบคุณพี่อีกทำไม!!

    ... ... ...

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×