ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ระทึกขวัญ! ชมรมวิจัยวิญญาณ! (ตอนที่สาม)
หลังจากขับรถมาอีกสักพักหนึ่งในที่สุดพี่ตั๋นก็มาจอดรถที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง
"มาถึงแล้ว นี่ละอาคารออคิดอเวนิว"
ผมแหงนหน้ามองอาคารร้างที่ตั้งตระหง่าน ด้านบนสิ่งก่อสร้างรูปร่างประหลาดคล้ายๆ หอยโข่งซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ (เขาคงตั้งใจจะทำเป็นรูปกล้วยไม้มั้ง) ไม่รู้เพราะเป็นคืนเดือนมืดหรือเปล่า ไอ้ตึกนี้มันเลยดูน่ากลัวพิลึกๆ
"ตึกนี้แหละที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงจากพวกชอบลองของเนต บางคนบอกว่าได้ยินเสียงตรงทางเดิน แต่กลับไม่มีใคร บางคนบอกว่าจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มใหญ่ คล้ายเสียงร้องโหยหวนของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ที่สำคัญขณะที่ยังก่อสร้างอยู่นั้นเคยมีคนงานเสียชีวิตที่นี่ เขาลือกันว่าวิญญาณของผู้ชายคนนั้นยังคงเร่ร่อนอยู่ในตึกนี้ซะด้วย"
พี่ตั๋นบรรยาสรรพคุณแบบไม่ยั้ง ขณะที่ผมแหงนมองตึกร้างที่ดูน่าขนลุกนี้ ยิ่งได้ฟังกิตติศัพท์ผมก็ยิ่งมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ออคิดเเวนิวหรอก... มันคือออคิดอเวจีต่างหาก!
หลังจากที่ทุกคนลงจากรถแล้วพี่ตั๋นก็เปิดท้ายรถหยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าฝ่ามืออกมา
"จ่างจ๊าง! อีเอ็มเอฟดีเทคเตอร์!"
[EMF Detecter = Electromagnetic Field Detector]
"อีเอ็มเอฟ...?" เจ้าต่อทวนคำ
"อีเอ็มเอฟดีเทคเตอร์... หมายถึงเครื่องมือที่ใช้ตรวจหาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเตาอบไมโครเวฟ หรือไม่ก็เสาไฟฟ้าแรงสูง มีบางทฤษฎีเชื่อว่าวิญญาณจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา" พี่รจน์อธิบาย
"มีของดีเหมือนกันนี่ แต่น่าเสียดายนะ เจ้าเครื่องนี้มันเชื่อถือไม่ได้หรอก เพราะว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว แถมยังมีที่มาจากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์อีก แค่ตรวจพบคลื่นแม่เหล็กไม่สามารถพิสูจน์ได้หรอกว่าวิญญาณมีอยู่จริง"
"สมเป็นรจน์จริงๆ รู้ดีเหมือนกันนี่... แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าอีเอ็มเอฟดีเทคเตอร์เครื่องนี้ไม่ใช่อีเอ็มเอฟฯธรรมดา เพราะฉันดัดแปลงไม่ให้มันมีปฏิกิริยากับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นแล้ว"
"เอาล่ะลูกพ่อ แสดงให้เห็นพลังของวิทยาศาสตร์ซะ!" ว่าแล้วพี่ตั๋นก็เปิดสวิชท์
ทันใดนั้นเจ้าเครื่องนี้ก็ร้องลั่นจนทำเอาผมสะดุ้ง เข็มมิเตอร์บนหน้าปัดก็ส่ายไปมาไม่หยุด
"ตั๋น! เครื่องอีเอ็มเอฟฯของนายท่าจะเจ๊งแล้วมั้ง" พี่รจน์ว่าขณะเอามืออุดหู
"ไม่หรอก... เครื่องนี้มันบอกว่าแถวนี้มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติแรงมาก!"
"จะบ้าเหรอ ยังไม่ทันเห็นผีซักตัว สงสัยนายไปดัดแปลงมันจนเสียมากกว่า"
สิ้นเสียงพี่รจน์ ผมหันควับไปทางยัยอัยย์
"อะไรเหรอคะ?"
สาวน้อยในร่างวิญญาณยิ้มหน้าเป็น
แล้วพี่ตั๋นก็ตัดสินใจปิดเครื่อง
"เอ... เครื่องไม่น่าจะเสียนะ ทดสอบดูที่บ้านแล้ว ก็ไม่เห็นมันเคยส่งสัญญาณแบบนี้เลยสักครั้ง" พี่ตั๋นทำหน้าข้องใจ
เอ่อ..พี่ตั๋นครับ ผมว่าเครื่องของพี่ไม่ได้เจ๊งหรอก ดีไม่ดีจะประสบความสำเร็จถล่มทลายเลยล่ะ
ผมล่ะคันปากอยากจะบอกให้พี่ตั๋นเอาเจ้าเครื่องนี้ไปออกรายการ "เดอะช็อค" ของพี่ป๋องจริงจริ๊ง แต่แหม... พูดไม่ได้แฮะ
ไปๆ มาๆ พี่ตั๋นเลยตัดสินใจเก็บอีเอ็มเอฟฯที่แสนจะภาคภูมิใจใส่เป้ แล้วควักกล้องถ่ายวีดีโอออกมาแทน
จากนั้นพวกเราทุกคนซึ่งมีผม น้ำ ต่อ พี่ตั๋น และพี่รจน์ก็เดินเข้าไปในตึกร้าง พร้อมกับไฟฉายคนละอันในมือ เอ้อ... ลืมยัยอัยย์อีกละ
ตึกร้างนี้ข้างนอกว่าดูน่ากลัวแล้ว แต่ข้างในยิ่งน่ากลัวกว่าอีก เพราะเห็นได้ชัดว่ายังสร้างไม่เสร็จ แม้จะขึ้นโครงแล้ว แต่ยังมีผนังบางส่วนซึ่งฉาบปูนไว้ไม่เรียบร้อยจนเห็นโครงเหล็กที่อยู่ข้างใน ที่พื้นนั้นก็ยังขรุขระเพราะยังไม่ได้ปูกระเบื้อง แถมบางส่วนยังเป็นหลุมบ่ออีก จนต้องเดินระมัดระวังเป็นพิเศษ
พี่ตั๋นเดินนำหน้าไปก่อนโดยมีพี่รจน์ตามไปติดๆ ขณะที่เจ้าต่ออยู่ตรงกลางและมีผมรั้งท้าย
ทันใดนั้นก็มีมือใครคนหนึ่งคว้าแขนเสื้อผมไว้!
เมื่อผมหันไปก็เห็นว่าเป็นน้ำนั่นเอง
"นี่โจ้... อย่าเดินเร็วนักสิ" น้ำตัดพ้อด้วยเสียงสั่นเครือ
ใจหนึ่งก็กลัว ใจหนึ่งก็เป็นสุข ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนขนหัวลุกนี่ ผมเลยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังอยู่ในนรกหรือสวรรค์กันแน่...
ขอบคุณพี่ตั๋นกับพี่รจน์คร้าบบบ ที่มอบความสุขนี้ให้...
"ชั้นหนึ่งไม่มีอะไร เราขึ้นไปชั้นสองกันเถอะ" พี่ตั๋นกับพี่รจน์ซึ่งนำหน้าไปก่อน เดินวกกลับมา แล้วพวกเราก็พากันขึ้นบันไดไปชั้นสอง
ที่ชั้นสองนั้นก็แทบไม่ต่างจากชั้นหนึ่ง มีขวดกระทิงแดง ถุงพลาสติก และซากของกินถูกทิ้งไว้เรี่ยราด แต่ทั้งหมดนั้นก็เก่าและแห้งเกรอะกรัง น่าจะเป็นของพวกคนงานที่มาสร้างอาคารนี้
ขณะนั้นเองผมก็เหยียบวัตถุบางเสียงดังกร๊อบ ทำเอาใจหายวาบ แต่เมื่อส่องไฟฉายดูก็เห็นว่าเป็นแค่กล่องพลากสิกธรรมดาๆ
"เฮ้อ ตกใจหมด" ผมถอนหายใจ
ในตอนนั้นเองก็มีเสียง แกร่กๆ ดังขึ้นที่อีกฟากหนึ่งของทางเดิน
"มีอะไรอยู่ตรงนั้น!" พี่รจน์ก้าวไปตามเสียงนั้น แล้วพริบตานั้นเอง...!
"กรี๊ด!"
ดูเหมือนทางเดินจะขาดช่วงไป พี่รจน์จึงทำท่าจะร่วงลงไปข้างล่าง โชคดีที่พี่ตั๋นคว้าแขนไว้ทัน
ทั้งๆ ที่ไม่มีทางเดิน แต่กลับมีเสียงอะไรบางอย่าง เมื่อผมหันไปก็ไม่เห็นแม้เงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ
"ตรงนั้น!"
เจ้าต่อส่องไฟฉายไปที่นั่น แล้วพวกเราก็เห็นแมวดำตัวหนึ่ง มันตกใจวิ่งหนีไป
แม้ทางเดินชั้นสองจะสร้างไม่เสร็จ แต่พวกมันคงอาศัยเดินลัดเลาะตามขอบแคบๆ ไปที่อีกฟากหนึ่งได้ล่ะมั้ง
"โธ่เอ๊ย ก็แค่แมว" พี่รจน์พูดขึ้น "สงสัยคนที่ชอบลองเขาจะเจ็บตัวกลับมาเพราะเดินไม่ดูทางมากกว่ามั้ง"
เอ่อ... เจ๊ฮะ ที่พูดนี่เข้าตัวเต็มๆ เลยนะเจ๊
เราเดินกันต่ออีกนิดหนึ่ง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดัง วู้มๆ ถ้านี่เป็นเสียงร้องของสิ่งมีชีวิตล่ะก็มันต้องมีขนาดใหญ่มากแน่ๆ!
"นั่นมันเสียงอะไรน่ะ!" เจ้าต่อเอ่ยขึ้นก่อน
"มันดังมาจากข้างบน" พี่รจน์พูดพลางแหงนหน้ามองข้างบน
ขณะที่พวกเรากำลังงงวยอยู่นั่นเองพี่ตั๋นก็เอ่ยขึ้น
"เสียงลม... เป็นเสียงลมที่พัดเข้ามาในตึก ด้วยโครงสร้างของมัน บวกกับการที่มันยังสร้างไม่เสร็จจนมีช่องว่างมากมายๆ จึงมีลมจำนวนหนึ่งที่ถูกหอบขึ้นไปด้านบนผ่านสิ่งก่อสร้างที่มีรูปร่างคล้ายหอยโข่งนั่น ซึ่งทำหน้าที่เหมือนแตรขนาดใหญ่ จนเกิดเสียงดัง วู้มๆ"
พี่ตั๋นวิเคราะห์เสร็จ ก็ทำหน้าเสียดายซะเอง
"เท่านี้ปริศนาสองข้อก็กระจ่างแล้วสิ เสียงคนเดินนั่นก็คงฝีมือแมว ส่วนเสียงร้องของสัตว์ประหลาดก็แค่เสียงลม" พี่รจน์ได้ทีขี่แพไล่
"ยังหรอก... ยังเหลือเรื่องวิญญาณของคนงานที่เสียชีวิตที่นี่" พี่ตั๋นยังไม่ยอมตัดใจ
ในตอนนั้นเอง ผมก็เพิ่งรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ
อัยย์... ยัยอัยย์หายไป!
... ... ...
เอ่อ... อ่า... ยังไม่จบอีกเช่นเคยงับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มุมทักทายคับ - -
ตอนระทึกขวัญนี่ยิ่งเขียนยิ่งยาว... ทั้งที่ทีแรกตั้งใจจะให้จบแค่สองตอน
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนทั้งที่เข้ามาอ่านและเข้ามาเมนท์ให้ด้วยคร้าบบบ!! ^^
ปล.รู้สึกว่าพี่ตั๋นจะกลายเป็นขวัญใจไปแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีฉากพี่แกสติหลุดให้ดู แหะๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น