ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวเปิ่นหัวใจเกินร้อย

    ลำดับตอนที่ #13 : ** ## ปฏิบัติการสานสัมพันธ์1##**

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 48


    ปังๆๆๆ!!!

    “ เปิดประตูได้ยินมั้ย” ผมยืนตะโกนอยู่หน้าห้องของแม่  แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมทำมันจะเสียเวลาเปล่าเพราะทุบยัง



    งัยก็ยังไม่มีเสียงตอบรับอยู่ดี



    “ ตายแล้วคุณหนูทำอะไรอยู่คะ” แม่บ้านประจำตระกูลกำลังยืนฉงนกับกริยาท่าทางของผม



    “ทำไมยัยป้านี่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นซะทีล่ะ  ผมทุบจนเมื่อยมือแล้วนะ”ผมบ่นให้แม่บ้านฟังแต่ดูเหมือนเธอจะ



    อมยิ้มน้อยๆเพราะผมสังเกตได้จากรอยย่นที่มุมปากและรอยตีนกาบนใบหน้าของเธอ



    “ คุณผู้หญิงออกไปดูงานที่ต่างประเทศตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะคะ  คุณหนูยังไม่ทราบอีกเหรอ”



    แม่บ้านส่งสายตาเอ็นดูมาที่ผม  แต่ผมรู้สึกไม่ชอบสายตานั้นเอาซะเลย  เพราะอะไรน่ะเหรอ   ก็เธอแก่จนสยองน่ะ



    สิ  แต่พูดตามตรงนะ  เธอเป็นคนเดียวที่ใกล้ชิดกับผมมากที่สุดยิ่งกว่าแม่แท้ๆซะอีก   ยัยป้านั่นไม่เห็นจะแสดง



    ความเป็นแม่ออกมาสักนิด  วันๆเอาแต่บังคับผมให้ทำโน่นทำนี่



    “ มารุซังผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับเลิกมองผมอย่างนั้นซะที”  ผมพูดเสียงอ่อนลง



    “ แต่คุณหนูก็ยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่เลยนะคะ” เธอหัวเราะหลังจากพูดจบ



    “เอ่อ!! แล้วมื้อเช้านี้มีอะไรกินบ้างล่ะครับ”



    “ เอ่อ ก็น่าจะเป็นไข่ดาวกับหมูแฮมแล้วก็นมอุ่นๆนะค่ะ”  มารุซังกำลังจะเดินผ่านผมไปทางระเบียงใหญ่  แต่ผม



    หยุดเธอไว้ได้แล้วกอดเธออย่างเป็นมิตร



    “ เป็นอะไรไปคะคุณหนู” มารุซังเอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา



    “ ผมแค่อยากจะขอบคุณมารุซังที่ให้ความกรุณากับผมมาโดยตลอด  ถ้าผมขาดมารุซังไปผมคงทำอะไรไม่ถูกแน่เลย”



    จริงๆแล้วผมเห็นมารุซังแล้วทำให้ผมคิดถึงใครคนนึงที่ทำให้ผมต้องวุ่นวายใจ  แต่ที่ผมกอดมารุซังเพราะผม



    เคารพรักเธอมากๆ  นั่นเป็นความรู้สึกจากใจจริงของผม



    “ อะไรกันคะ  อีกหน่อยคุณหนูก็ต้องออกไปมีครอบครัวแล้ว จะมาอ้อนแบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ”



    “ ผมจะไม่แต่งงานหรอก” ผมพูดย้อนมารุซังทันที



    “ ทำไมล่ะคะ  ก็คุณผู้หญิงจัดการเรื่องคู่หมั้นให้คุณหนูไว้แล้วนี่คะ”เธอส่งสายตาเป็นกังวลมาที่ผม

      

    แต่คำพูดของเธอเมื่อครู่ก็ทำให้ผมนึกอะไรได้  ใช่แล้ว  ตัวการของปัญหาทั้งหมดก็คือแม่นั่นเอง   แล้วเรื่องที่ยัย



    เฉิ่มพูดเมื่อวานก็คงจะเป็นเรื่องนี้  เพราะฉะนั้นผมก็มีเหตุผลที่จะสามารถไปพบและปรับความเข้าใจกับเธอได้

    แล้ว



    “ หิวแล้ว  งั้นผมลงไปรับมื้อเช้าก่อนแล้วกัน  เดินดีๆล่ะมารุซัง”  ผมรีบวิ่งลงมาชั้นล่าง  พร้อมกับมีเสียงตะโกนไล่หลังมา



    “ อย่ารีบมากนะคะคุณหนู  เดี๋ยวจะหกล้ม”  ท่าทางมารุซังนี่คงจะลืมไปแล้วว่าผมโตแล้ว  ไม่ใช่เด็กๆแบบเมื่อก่อน



    หลังจากผมทานมื้อเช้าเสร็จ  ผมก็รีบวิ่งไปโรงเรียนในทันที    แต่ผมคงจะลืมอะไรไปบางอย่าง   แต่มันอะไรล่ะ



    ผมพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก  แล้วมันอะไรกัน  ช่างมันเถอะ  สิ่งที่สำคัญกว่าคือการขอคืนดีกับยัยเฉิ่ม......



    ‘นายจะบ้าไปแล้วเหรอ  การขอคืนดีก็เท่ากับว่านายไปง้อเธอน่ะสิ  ลองคิดดูดีๆสิเพื่อนนายเกิดมายังไม่เคยง้อใคร



    เลยไม่ใช่เหรอ.....ไม่ใช่นะ  ถึงเธอจะเป็นคนโกรธนายก่อนแต่นายก็มีความผิดโทษฐานที่ไม่รู้อะไรเลยเรื่องคู่หมั้น



    เลยทำให้เกิดปัญหา  เพราะฉะนั้นนายก็ควรไปง้อเธอ’  ความคิดทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันอยู่ในหัวผม  แล้วผม



    จะเอางัยดี

    .......................เวลาผ่านไป......................



    หลังจากที่ผมใช้ความคิดอยู่นานในการตัดสินใจ  ผมก็ตระหนักได้ว่า จริงๆแล้วการง้อนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เสียหาย



    อะไรเพียงแต่    เพียงแต่ผมไม่เคยทำเท่านั้นเอง



    แล้วผมก็เริ่มฝึกซ้อมบทพูด



    “ เอ่อ เรื่องเมื่อวันก่อนขอ.. ฉันขอ... เอ่อ  ฉันขอ.... โถ่เว๊ย !! ทำไมพูดไม่ได้วะ”แล้วผมก็รู้ปัญหาอีกข้อที่เกิดกับตัว



    ผม  ผมไม่สามารถพูดคำว่าขอโทษได้  เพราะมันเป็นคำที่ผมเกลียดยิ่งกว่ารหัสลับของเจ้าเอนิวะซะอีก และการขอ



    โทษก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ มันเป็นอะไรที่แย่จริงๆนะ  ผมคิดว่าคำๆนี้คงจะไม่เหมาะกับผมอย่างมาก  ผมจึงลองคำอื่นๆดู



    “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอโกรธเลยนะ  แต่เธอก็ไม่ยอมกลับมาอธิบายให้ฉันเข้าใจนี่”  เฮ้ย!! แบบนี้ก็เป็นการ



    โทษยัยเฉิ่มน่ะสิ  ไม่ผ่านๆ    หลังจากที่ผมกลั่นกรองแล้ว  คำพูดนี้ก็ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอีกจนได้



    Let’s  try it again!!!……….



    “ห้ามโกรธฉันเข้าใจมั้ย” นี่ก็โหดไป



    “ลองไม่พูดกับฉันสักสองวันสิ  เธอได้ตายแน่” นี่ก็สยองไป  



    “ เฮ้ย!! เธอรู้รึเปล่าว่าเธอเป็นคนแรกที่มาก่อกวนจิตใจฉัน อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย”  ทำไมพยางค์แรกฟังดูทะแม่งๆนะ  ผมจำได้ว่าผมจำคำพูดนี่มาจากในทีวีนี่ ไม่น่าจะผิดพลาดเลยนะ -_-‘’



    “ ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเอง  ถ้าเธอหายโกรธฉัน”  นี่ก็ไม่ไหว  ยัยเฉิ่มไม่ใช่คนที่หลอกล่อด้วยเงินได้ง่ายๆ ไม่เหมือนเจ้าเอนิวะ



    “ เฮ้อ  !!!” หลังจากครุ่นคิดอยู่นานผมก็นึกคำดีๆไม่ออกเลย   มันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดมาก



    ผมก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ  บนหน้าปัดบอกเวลา10โมงกว่าๆแล้ว  ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ  ทำไมโรงเรียนถึงได้เงียบ



    แบบนี้ล่ะ  แล้วนักเรียนหายไปไหนกันหมด..........



    “  ใช่แล้ว!! ก็วันนี้มันเป็นวันครบรอบ70ปีการก่อตั้งโรงเรียนนี้นี่”  ผมเอามือกุมหัวตัวเองอีกครั้ง  ท่าทางผมจะติด



    เชื้อความเฉิ่มมาจาก.....  เอาเป็นว่าคนคนนั้นนั่นแหละ  แต่พักนี้ผมมัวแต่ว้าวุ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องมากไปหน่อยเลย



    ไม่ค่อยรับรู้สิ่งรอบข้าง  อาจจะเป็นเหตุผลข้อหลังก็ได้



    ผมรีบเดินออกจากห้องเรียนทันที  แต่ด้วยสปิริตของความเป็นลูกอาจารย์ใหญ่มันต้องตรวจตราความเรียบร้อยกัน



    หน่อย   จริงๆแล้วที่ต้องเดินตรวจอยู่ทุกวันก็เพราะโดนบังคับ   นับวันยัยป้านั่นจะยิ่งเพิ่มความเค็มเข้าไปทุกที  



    ไม่ยอมจ้างยามเพิ่ม  แถมยังใช้ลูกตัวเองเป็นยามนอกเครื่องแบบอีก  ไม่ไหวเลยจริงๆผู้ใหญ่สมัยนี้  +0+



    501 เรียบร้อย , 502เรียบร้อย ,503 เรียบร้อย ,504เรียบ.....



    “ เอ่อ  วันนี้โรงเรียนปิดไม่ใช่เหรอ  มาทำอะไรที่นี่อีกล่ะ”  ผมพูดทักนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างในห้อง504



    เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ  ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่น้ำตาของเธอไหลลงอาบแก้ม  ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย



    “ ใครทำอะไรเธอ”  ผมรีบวิ่งเข้าไปหา



    “ นายๆๆ!!ฮึกๆๆ” เธอสะอื้นเบาๆ T_T



    “ ใครทำอะไรเธอ  บอกฉันมาฉันจะไปฆ่ามัน”



    “ ทำไมนายต้องโผล่มาตอนที่ฉันเป็นแบบนี้ด้วยนะ”  เธอพูดเสียงเบามาก



    “ เป็นยังงัยเหรอ”  ผมยังคงถามเธอถึงแม้เธอจะไม่อยากตอบก็ตาม  ท่าทางที่ดูเฉิ่มนิดๆนั้นทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้



    “ เมื่อวานนายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ  ว่าเราควรจะอยู่ห่างกันเป็นดีที่สุด  นายอย่ามาทำให้ฉันเดือดร้อนไปมากกว่านี้เลย” เธอเริ่มขยับตัวออกห่าง



    “ ไม่ใช่ไม่เข้าใจหรอก  แต่ฉันเข้าใจแบบกระจ่างเลยล่ะ”



    “ นายหมายความว่างัย”  เธอหันหน้ามาหาผมในทันที



    “ ก็นะ  คือ..มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ”



    “แล้วความจริงมันเป็นยังงัยล่ะ”  เธอเริ่มทำสีหน้าอยากรู้ขึ้นเรื่อยๆ  แล้วหน้าเธอก็เลื่อนใกล้เข้ามาทุกทีๆ

    ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่า  ผมกำลังสะกดกลั้นใจไม่ให้เข้าไปใกล้เธอมากกว่านี้  ผมจึงผลักหน้าเธออกไปห่างๆ



    “ โอ๊ย!! เจ็บนะ  ทำอะไรของนายล่ะ  คิดจะไม่ตอบคำถามฉันเหรอ”



    “ช่างเหอะสักวันเธอก็คงจะเข้าใจเอง”  ผมหันไปมองหน้าเธอเห็นได้ชัดว่าเธอทำสีหน้าผิดหวังเอามากๆ



    เธอนั่งกอดอกหันหน้าไปคนละทางกับผม



    “ โกรธเหรอ”



    “เปล่า”



    “ งั้นก็หันมาหาฉันสิ”  ผมเริ่มขยับเข้าไปหาเธอเรื่อยๆโดยที่เธอไม่รู้ตัว



    “ ทำไมฉันจะต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ”เธอยังคงเถียงโดยที่ไม่หันมามอง



    “ ก็ทำไมน่ะเหรอ  ก็เพราะ....ดูนั่นสิมีหิมะตกในเดือนเมษาด้วยล่ะ”  ผมแค่จะพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยแต่เธอก็หันขวับมาประสานสายตากับผมซะก่อน  หน้าของเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนเอง



    “ -///- .”



    “ ทำไมเธอต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”



    “ ฉันน่ะเหรอ  นายก็เหมือนกันนั่นแหละ   แล้วไหนล่ะหิมะ  ไม่เห็นมีสักหน่อย”



    “ คนที่เชื่อเรื่องพันนั้นก็คงมีแต่เธอเท่านั้นแหละ  แม้แต่เด็กอนุบาลยังไม่มีใครเชื่อเลยนะ  ฮ่าๆๆ”



    “ ใช่สิ  ฉันมันเป็นยัยเฉิ่มในสายตาของนายนี่”



    “ ใช่  เธอเป็นยัยเฉิ่มในสายตาของฉัน  แต่เธอเป็นคนที่พิเศษนะ”



    “-///-.”



    “ หน้าแดงอีกแล้ว”



    “ เปล่าซะหน่อย”



    “ แล้วเธอมานั่งร้องไห้ที่โรงเรียนทำไมล่ะ” ผมเริ่มเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง  เมื่อเห็นว่าเธอหน้าแดงเอามากๆจนเกือบทำให้ผมคิดว่าเธออาจจะเป็นลมเอาง่ายๆ



    “ คือฉัน..ฉันหาใครไม่เจอเลยสักคน  แล้วก็รู้สึกวังเวงเอามากๆ  น้ำตามันก็เลยไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว  พอรู้สึกตัวอีกทีมันก็หยุดร้องไห้ไม่ได้แล้ว”



    “ แล้วเธอจะมาโรงเรียนทำไม  ในเมื่อวันนี้มันเป็นวันหยุดของโรงเรียน”  ผมกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อไม่ให้เธอเสียความรู้สึก



    “ ก็ตั้งแต่ที่ฉันทะเลาะกับนายเมื่อวาน  ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเวลาที่ผ่านไปเลย  ฉันไม่ได้ดูแม้แต่นาฬิกาด้วยซ้ำ  แต่หลังจากออกมาจากบ้านเซร่าแล้ว  สิ่งที่ฉันคิดว่าฉันควรจะทำและมันจะถูกต้องอย่างแน่นอนคือการมาโรงเรียน เพื่ออะไรสักอย่างนี่แหละ”



    “ เพื่ออะไรล่ะ”



    “ ในตอนนั้นฉันยังไม่รู้  แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะ”  เธอทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ



    “บอกมาเร็วๆสิ  เธอจะให้คนฟังตื่นเต้นจนตายรึงัย”ผมรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรพิเศษในคำตอบของเธออย่างแน่นอน



    “ก็เพื่อได้พบและปรับความเข้าใจกับนายงัยล่ะ  มันทรมานนะที่จะต้องอยู่อย่างไม่เข้าใจกันไปชั่วชีวิต  ถึงแม้ฉันกับนายจะไม่ได้เป็นอะไรกันก็เถอะ”



    “ ใครว่าล่ะ  เอ่อแล้วการบ้านข้อนี้คิดยังงัยล่ะ”ผมรีบพูดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้งเมื่อเห็นอาจารย์ซาโต้เดินผ่านมา  อาจารย์คนนี้ท่าทางจะรักโรงเรียนมากเป็นพิเศษแม้แต่วันหยุดยังมาเดินตรวจโรงเรียนอีก  คนเรานี่หาอะไรที่มันพอดียากนะ



    “ อ้าวฮิโระ  มาทำอะไรเหรอ”

    อาจารย์ซาโต้ทักด้วยเสียงที่แหบพร่า  ท่าทางจะเป็นหวัดด้วย



    “ มานัดติวหนังสือกับเพื่อนน่ะครับ”



    “งั้นก็ดีแล้ว”



    “ อาจารย์เป็นหวัดเหรอครับ  รักษาตัวด้วยนะครับ”



    “อืมขอบใจนะ”  ผมรอจนอาจารย์ซาโต้เดินลับไปจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง



    “ ยัยเฉิ่มวันนี้เราไปเที่ยวด้วยกันดีมั้ย”  แต่พอผมหันกลับไปก็เจอเธอนอนฟุบอยู่บนโต๊ะแล้ว  ขี้เซาจริงๆเลย



    ติดิ๊ด ติดิ๊ด!!!



    จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น

    ผมรีบกดรับมันทันทีเพื่อไม่ให้เสียงไปรบกวนยัยเฉิ่ม



    “ฮัลโหล”  



    “ ฮิโระเหรอ  วันนี้ตอนเย็นแม่จะไปรับลูกที่บ้านนะ”



    “ จะไปไหนเหรอ”



    “ วันนี้แม่จะพาลูกไปพบคู่หมั้น   แต่งตัวให้หล่อๆล่ะ”



    “ ทำไมผมต้องไปด้วย”



    “ นี่เป็นคำสั่งเข้าใจมั้ย”  ยัยป้านั่นกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ใหญ่เลย



    “ แล้วจะลองคิดดู”  ผมพูดอย่างจำใจ



    “ งั้นก็ดี  ตอนนี้แม่อยู่บนเครื่องอีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะบินไปถึงโตเกียวแล้ว”



    “ ไม่ต้องรีบก็ได้   เดินทางดีๆล่ะ”แล้วผมก็รีบวางหูก่อนที่จะได้รับคำสั่งมากไปกว่านี้



    ถ้ายัยเฉิ่มรู้เรื่องคู่หมั้นของผมอีกครั้งล่ะก็  ผมคงจะไม่โชคดีแบบครั้งนี้แน่ๆ



    “ ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นอะไรกันก็ตาม” ผมพูดทวนคำนั้นอีกครั้งก่อนจะฟุบตัวลงกับโต๊ะข้างยัยเฉิ่ม



    @@@@@@@@@@ จากผู้แต่ง@@@@@@@@

    หลังจากห่างหายไปนาน

    ก็ได้กลับมาแต่งตอนเพิ่มอีกหนึ่งตอน

    ตอนนี้ก็ยังคงให้เป็นส่วนของพระเอกสุดโหดอีกตามเคย

    แต่ดูท่า  เนื้อเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ซะแล้วสิ

    แต่เราก็จะพยายามสู้ต่อไปนะ  ติดตามอ่านกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ  ^_^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×