ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ** ## ปฏิบัติการสานสัมพันธ์1##**
ปังๆๆๆ!!!
“ เปิดประตูได้ยินมั้ย” ผมยืนตะโกนอยู่หน้าห้องของแม่  แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมทำมันจะเสียเวลาเปล่าเพราะทุบยัง
งัยก็ยังไม่มีเสียงตอบรับอยู่ดี
“ ตายแล้วคุณหนูทำอะไรอยู่คะ” แม่บ้านประจำตระกูลกำลังยืนฉงนกับกริยาท่าทางของผม
“ทำไมยัยป้านี่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นซะทีล่ะ  ผมทุบจนเมื่อยมือแล้วนะ”ผมบ่นให้แม่บ้านฟังแต่ดูเหมือนเธอจะ
อมยิ้มน้อยๆเพราะผมสังเกตได้จากรอยย่นที่มุมปากและรอยตีนกาบนใบหน้าของเธอ
“ คุณผู้หญิงออกไปดูงานที่ต่างประเทศตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะคะ  คุณหนูยังไม่ทราบอีกเหรอ”
แม่บ้านส่งสายตาเอ็นดูมาที่ผม  แต่ผมรู้สึกไม่ชอบสายตานั้นเอาซะเลย  เพราะอะไรน่ะเหรอ  ก็เธอแก่จนสยองน่ะ
สิ  แต่พูดตามตรงนะ  เธอเป็นคนเดียวที่ใกล้ชิดกับผมมากที่สุดยิ่งกว่าแม่แท้ๆซะอีก  ยัยป้านั่นไม่เห็นจะแสดง
ความเป็นแม่ออกมาสักนิด  วันๆเอาแต่บังคับผมให้ทำโน่นทำนี่
“ มารุซังผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับเลิกมองผมอย่างนั้นซะที”  ผมพูดเสียงอ่อนลง
“ แต่คุณหนูก็ยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่เลยนะคะ” เธอหัวเราะหลังจากพูดจบ
“เอ่อ!! แล้วมื้อเช้านี้มีอะไรกินบ้างล่ะครับ”
“ เอ่อ ก็น่าจะเป็นไข่ดาวกับหมูแฮมแล้วก็นมอุ่นๆนะค่ะ”  มารุซังกำลังจะเดินผ่านผมไปทางระเบียงใหญ่  แต่ผม
หยุดเธอไว้ได้แล้วกอดเธออย่างเป็นมิตร
“ เป็นอะไรไปคะคุณหนู” มารุซังเอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
“ ผมแค่อยากจะขอบคุณมารุซังที่ให้ความกรุณากับผมมาโดยตลอด  ถ้าผมขาดมารุซังไปผมคงทำอะไรไม่ถูกแน่เลย”
จริงๆแล้วผมเห็นมารุซังแล้วทำให้ผมคิดถึงใครคนนึงที่ทำให้ผมต้องวุ่นวายใจ  แต่ที่ผมกอดมารุซังเพราะผม
เคารพรักเธอมากๆ  นั่นเป็นความรู้สึกจากใจจริงของผม
“ อะไรกันคะ  อีกหน่อยคุณหนูก็ต้องออกไปมีครอบครัวแล้ว จะมาอ้อนแบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ”
“ ผมจะไม่แต่งงานหรอก” ผมพูดย้อนมารุซังทันที
“ ทำไมล่ะคะ  ก็คุณผู้หญิงจัดการเรื่องคู่หมั้นให้คุณหนูไว้แล้วนี่คะ”เธอส่งสายตาเป็นกังวลมาที่ผม
 
แต่คำพูดของเธอเมื่อครู่ก็ทำให้ผมนึกอะไรได้  ใช่แล้ว  ตัวการของปัญหาทั้งหมดก็คือแม่นั่นเอง  แล้วเรื่องที่ยัย
เฉิ่มพูดเมื่อวานก็คงจะเป็นเรื่องนี้  เพราะฉะนั้นผมก็มีเหตุผลที่จะสามารถไปพบและปรับความเข้าใจกับเธอได้
แล้ว
“ หิวแล้ว  งั้นผมลงไปรับมื้อเช้าก่อนแล้วกัน  เดินดีๆล่ะมารุซัง”  ผมรีบวิ่งลงมาชั้นล่าง  พร้อมกับมีเสียงตะโกนไล่หลังมา
“ อย่ารีบมากนะคะคุณหนู  เดี๋ยวจะหกล้ม”  ท่าทางมารุซังนี่คงจะลืมไปแล้วว่าผมโตแล้ว  ไม่ใช่เด็กๆแบบเมื่อก่อน
หลังจากผมทานมื้อเช้าเสร็จ  ผมก็รีบวิ่งไปโรงเรียนในทันที    แต่ผมคงจะลืมอะไรไปบางอย่าง  แต่มันอะไรล่ะ
ผมพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก  แล้วมันอะไรกัน  ช่างมันเถอะ  สิ่งที่สำคัญกว่าคือการขอคืนดีกับยัยเฉิ่ม......
‘นายจะบ้าไปแล้วเหรอ  การขอคืนดีก็เท่ากับว่านายไปง้อเธอน่ะสิ  ลองคิดดูดีๆสิเพื่อนนายเกิดมายังไม่เคยง้อใคร
เลยไม่ใช่เหรอ.....ไม่ใช่นะ  ถึงเธอจะเป็นคนโกรธนายก่อนแต่นายก็มีความผิดโทษฐานที่ไม่รู้อะไรเลยเรื่องคู่หมั้น
เลยทำให้เกิดปัญหา  เพราะฉะนั้นนายก็ควรไปง้อเธอ’  ความคิดทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันอยู่ในหัวผม  แล้วผม
จะเอางัยดี
.......................เวลาผ่านไป......................
หลังจากที่ผมใช้ความคิดอยู่นานในการตัดสินใจ  ผมก็ตระหนักได้ว่า จริงๆแล้วการง้อนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เสียหาย
อะไรเพียงแต่    เพียงแต่ผมไม่เคยทำเท่านั้นเอง
แล้วผมก็เริ่มฝึกซ้อมบทพูด
“ เอ่อ เรื่องเมื่อวันก่อนขอ.. ฉันขอ... เอ่อ  ฉันขอ.... โถ่เว๊ย !! ทำไมพูดไม่ได้วะ”แล้วผมก็รู้ปัญหาอีกข้อที่เกิดกับตัว
ผม  ผมไม่สามารถพูดคำว่าขอโทษได้  เพราะมันเป็นคำที่ผมเกลียดยิ่งกว่ารหัสลับของเจ้าเอนิวะซะอีก และการขอ
โทษก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ มันเป็นอะไรที่แย่จริงๆนะ  ผมคิดว่าคำๆนี้คงจะไม่เหมาะกับผมอย่างมาก  ผมจึงลองคำอื่นๆดู
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอโกรธเลยนะ  แต่เธอก็ไม่ยอมกลับมาอธิบายให้ฉันเข้าใจนี่”  เฮ้ย!! แบบนี้ก็เป็นการ
โทษยัยเฉิ่มน่ะสิ  ไม่ผ่านๆ    หลังจากที่ผมกลั่นกรองแล้ว  คำพูดนี้ก็ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอีกจนได้
Let’s  try it again!!! .
“ห้ามโกรธฉันเข้าใจมั้ย” นี่ก็โหดไป
“ลองไม่พูดกับฉันสักสองวันสิ  เธอได้ตายแน่” นี่ก็สยองไป 
“ เฮ้ย!! เธอรู้รึเปล่าว่าเธอเป็นคนแรกที่มาก่อกวนจิตใจฉัน อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย”  ทำไมพยางค์แรกฟังดูทะแม่งๆนะ  ผมจำได้ว่าผมจำคำพูดนี่มาจากในทีวีนี่ ไม่น่าจะผิดพลาดเลยนะ -_-‘’
“ ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเอง  ถ้าเธอหายโกรธฉัน”  นี่ก็ไม่ไหว  ยัยเฉิ่มไม่ใช่คนที่หลอกล่อด้วยเงินได้ง่ายๆ ไม่เหมือนเจ้าเอนิวะ
“ เฮ้อ  !!!” หลังจากครุ่นคิดอยู่นานผมก็นึกคำดีๆไม่ออกเลย  มันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดมาก
ผมก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ  บนหน้าปัดบอกเวลา10โมงกว่าๆแล้ว  ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ  ทำไมโรงเรียนถึงได้เงียบ
แบบนี้ล่ะ  แล้วนักเรียนหายไปไหนกันหมด..........
“  ใช่แล้ว!! ก็วันนี้มันเป็นวันครบรอบ70ปีการก่อตั้งโรงเรียนนี้นี่”  ผมเอามือกุมหัวตัวเองอีกครั้ง  ท่าทางผมจะติด
เชื้อความเฉิ่มมาจาก.....  เอาเป็นว่าคนคนนั้นนั่นแหละ  แต่พักนี้ผมมัวแต่ว้าวุ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องมากไปหน่อยเลย
ไม่ค่อยรับรู้สิ่งรอบข้าง  อาจจะเป็นเหตุผลข้อหลังก็ได้
ผมรีบเดินออกจากห้องเรียนทันที  แต่ด้วยสปิริตของความเป็นลูกอาจารย์ใหญ่มันต้องตรวจตราความเรียบร้อยกัน
หน่อย  จริงๆแล้วที่ต้องเดินตรวจอยู่ทุกวันก็เพราะโดนบังคับ  นับวันยัยป้านั่นจะยิ่งเพิ่มความเค็มเข้าไปทุกที 
ไม่ยอมจ้างยามเพิ่ม  แถมยังใช้ลูกตัวเองเป็นยามนอกเครื่องแบบอีก  ไม่ไหวเลยจริงๆผู้ใหญ่สมัยนี้  +0+
501 เรียบร้อย , 502เรียบร้อย ,503 เรียบร้อย ,504เรียบ.....
“ เอ่อ  วันนี้โรงเรียนปิดไม่ใช่เหรอ  มาทำอะไรที่นี่อีกล่ะ”  ผมพูดทักนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างในห้อง504
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ  ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่น้ำตาของเธอไหลลงอาบแก้ม  ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“ ใครทำอะไรเธอ”  ผมรีบวิ่งเข้าไปหา
“ นายๆๆ!!ฮึกๆๆ” เธอสะอื้นเบาๆ T_T
“ ใครทำอะไรเธอ  บอกฉันมาฉันจะไปฆ่ามัน”
“ ทำไมนายต้องโผล่มาตอนที่ฉันเป็นแบบนี้ด้วยนะ”  เธอพูดเสียงเบามาก
“ เป็นยังงัยเหรอ”  ผมยังคงถามเธอถึงแม้เธอจะไม่อยากตอบก็ตาม  ท่าทางที่ดูเฉิ่มนิดๆนั้นทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้
“ เมื่อวานนายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ  ว่าเราควรจะอยู่ห่างกันเป็นดีที่สุด  นายอย่ามาทำให้ฉันเดือดร้อนไปมากกว่านี้เลย” เธอเริ่มขยับตัวออกห่าง
“ ไม่ใช่ไม่เข้าใจหรอก  แต่ฉันเข้าใจแบบกระจ่างเลยล่ะ”
“ นายหมายความว่างัย”  เธอหันหน้ามาหาผมในทันที
“ ก็นะ  คือ..มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ”
“แล้วความจริงมันเป็นยังงัยล่ะ”  เธอเริ่มทำสีหน้าอยากรู้ขึ้นเรื่อยๆ  แล้วหน้าเธอก็เลื่อนใกล้เข้ามาทุกทีๆ
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่า  ผมกำลังสะกดกลั้นใจไม่ให้เข้าไปใกล้เธอมากกว่านี้  ผมจึงผลักหน้าเธออกไปห่างๆ
“ โอ๊ย!! เจ็บนะ  ทำอะไรของนายล่ะ  คิดจะไม่ตอบคำถามฉันเหรอ”
“ช่างเหอะสักวันเธอก็คงจะเข้าใจเอง”  ผมหันไปมองหน้าเธอเห็นได้ชัดว่าเธอทำสีหน้าผิดหวังเอามากๆ
เธอนั่งกอดอกหันหน้าไปคนละทางกับผม
“ โกรธเหรอ”
“เปล่า”
“ งั้นก็หันมาหาฉันสิ”  ผมเริ่มขยับเข้าไปหาเธอเรื่อยๆโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“ ทำไมฉันจะต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ”เธอยังคงเถียงโดยที่ไม่หันมามอง
“ ก็ทำไมน่ะเหรอ  ก็เพราะ....ดูนั่นสิมีหิมะตกในเดือนเมษาด้วยล่ะ”  ผมแค่จะพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยแต่เธอก็หันขวับมาประสานสายตากับผมซะก่อน  หน้าของเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนเอง
“ -///- .”
“ ทำไมเธอต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”
“ ฉันน่ะเหรอ  นายก็เหมือนกันนั่นแหละ  แล้วไหนล่ะหิมะ  ไม่เห็นมีสักหน่อย”
“ คนที่เชื่อเรื่องพันนั้นก็คงมีแต่เธอเท่านั้นแหละ  แม้แต่เด็กอนุบาลยังไม่มีใครเชื่อเลยนะ  ฮ่าๆๆ”
“ ใช่สิ  ฉันมันเป็นยัยเฉิ่มในสายตาของนายนี่”
“ ใช่  เธอเป็นยัยเฉิ่มในสายตาของฉัน  แต่เธอเป็นคนที่พิเศษนะ”
“-///-.”
“ หน้าแดงอีกแล้ว”
“ เปล่าซะหน่อย”
“ แล้วเธอมานั่งร้องไห้ที่โรงเรียนทำไมล่ะ” ผมเริ่มเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง  เมื่อเห็นว่าเธอหน้าแดงเอามากๆจนเกือบทำให้ผมคิดว่าเธออาจจะเป็นลมเอาง่ายๆ
“ คือฉัน..ฉันหาใครไม่เจอเลยสักคน  แล้วก็รู้สึกวังเวงเอามากๆ  น้ำตามันก็เลยไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว  พอรู้สึกตัวอีกทีมันก็หยุดร้องไห้ไม่ได้แล้ว”
“ แล้วเธอจะมาโรงเรียนทำไม  ในเมื่อวันนี้มันเป็นวันหยุดของโรงเรียน”  ผมกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อไม่ให้เธอเสียความรู้สึก
“ ก็ตั้งแต่ที่ฉันทะเลาะกับนายเมื่อวาน  ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเวลาที่ผ่านไปเลย  ฉันไม่ได้ดูแม้แต่นาฬิกาด้วยซ้ำ  แต่หลังจากออกมาจากบ้านเซร่าแล้ว  สิ่งที่ฉันคิดว่าฉันควรจะทำและมันจะถูกต้องอย่างแน่นอนคือการมาโรงเรียน เพื่ออะไรสักอย่างนี่แหละ”
“ เพื่ออะไรล่ะ”
“ ในตอนนั้นฉันยังไม่รู้  แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะ”  เธอทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ
“บอกมาเร็วๆสิ  เธอจะให้คนฟังตื่นเต้นจนตายรึงัย”ผมรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรพิเศษในคำตอบของเธออย่างแน่นอน
“ก็เพื่อได้พบและปรับความเข้าใจกับนายงัยล่ะ  มันทรมานนะที่จะต้องอยู่อย่างไม่เข้าใจกันไปชั่วชีวิต  ถึงแม้ฉันกับนายจะไม่ได้เป็นอะไรกันก็เถอะ”
“ ใครว่าล่ะ  เอ่อแล้วการบ้านข้อนี้คิดยังงัยล่ะ”ผมรีบพูดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้งเมื่อเห็นอาจารย์ซาโต้เดินผ่านมา  อาจารย์คนนี้ท่าทางจะรักโรงเรียนมากเป็นพิเศษแม้แต่วันหยุดยังมาเดินตรวจโรงเรียนอีก  คนเรานี่หาอะไรที่มันพอดียากนะ
“ อ้าวฮิโระ  มาทำอะไรเหรอ”
อาจารย์ซาโต้ทักด้วยเสียงที่แหบพร่า  ท่าทางจะเป็นหวัดด้วย
“ มานัดติวหนังสือกับเพื่อนน่ะครับ”
“งั้นก็ดีแล้ว”
“ อาจารย์เป็นหวัดเหรอครับ  รักษาตัวด้วยนะครับ”
“อืมขอบใจนะ”  ผมรอจนอาจารย์ซาโต้เดินลับไปจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ ยัยเฉิ่มวันนี้เราไปเที่ยวด้วยกันดีมั้ย”  แต่พอผมหันกลับไปก็เจอเธอนอนฟุบอยู่บนโต๊ะแล้ว  ขี้เซาจริงๆเลย
ติดิ๊ด ติดิ๊ด!!!
จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น
ผมรีบกดรับมันทันทีเพื่อไม่ให้เสียงไปรบกวนยัยเฉิ่ม
“ฮัลโหล” 
“ ฮิโระเหรอ  วันนี้ตอนเย็นแม่จะไปรับลูกที่บ้านนะ”
“ จะไปไหนเหรอ”
“ วันนี้แม่จะพาลูกไปพบคู่หมั้น  แต่งตัวให้หล่อๆล่ะ”
“ ทำไมผมต้องไปด้วย”
“ นี่เป็นคำสั่งเข้าใจมั้ย”  ยัยป้านั่นกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ใหญ่เลย
“ แล้วจะลองคิดดู”  ผมพูดอย่างจำใจ
“ งั้นก็ดี  ตอนนี้แม่อยู่บนเครื่องอีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะบินไปถึงโตเกียวแล้ว”
“ ไม่ต้องรีบก็ได้  เดินทางดีๆล่ะ”แล้วผมก็รีบวางหูก่อนที่จะได้รับคำสั่งมากไปกว่านี้
ถ้ายัยเฉิ่มรู้เรื่องคู่หมั้นของผมอีกครั้งล่ะก็  ผมคงจะไม่โชคดีแบบครั้งนี้แน่ๆ
“ ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นอะไรกันก็ตาม” ผมพูดทวนคำนั้นอีกครั้งก่อนจะฟุบตัวลงกับโต๊ะข้างยัยเฉิ่ม
@@@@@@@@@@ จากผู้แต่ง@@@@@@@@
หลังจากห่างหายไปนาน
ก็ได้กลับมาแต่งตอนเพิ่มอีกหนึ่งตอน
ตอนนี้ก็ยังคงให้เป็นส่วนของพระเอกสุดโหดอีกตามเคย
แต่ดูท่า  เนื้อเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ซะแล้วสิ
แต่เราก็จะพยายามสู้ต่อไปนะ  ติดตามอ่านกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ  ^_^
“ เปิดประตูได้ยินมั้ย” ผมยืนตะโกนอยู่หน้าห้องของแม่  แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมทำมันจะเสียเวลาเปล่าเพราะทุบยัง
งัยก็ยังไม่มีเสียงตอบรับอยู่ดี
“ ตายแล้วคุณหนูทำอะไรอยู่คะ” แม่บ้านประจำตระกูลกำลังยืนฉงนกับกริยาท่าทางของผม
“ทำไมยัยป้านี่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นซะทีล่ะ  ผมทุบจนเมื่อยมือแล้วนะ”ผมบ่นให้แม่บ้านฟังแต่ดูเหมือนเธอจะ
อมยิ้มน้อยๆเพราะผมสังเกตได้จากรอยย่นที่มุมปากและรอยตีนกาบนใบหน้าของเธอ
“ คุณผู้หญิงออกไปดูงานที่ต่างประเทศตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะคะ  คุณหนูยังไม่ทราบอีกเหรอ”
แม่บ้านส่งสายตาเอ็นดูมาที่ผม  แต่ผมรู้สึกไม่ชอบสายตานั้นเอาซะเลย  เพราะอะไรน่ะเหรอ  ก็เธอแก่จนสยองน่ะ
สิ  แต่พูดตามตรงนะ  เธอเป็นคนเดียวที่ใกล้ชิดกับผมมากที่สุดยิ่งกว่าแม่แท้ๆซะอีก  ยัยป้านั่นไม่เห็นจะแสดง
ความเป็นแม่ออกมาสักนิด  วันๆเอาแต่บังคับผมให้ทำโน่นทำนี่
“ มารุซังผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะครับเลิกมองผมอย่างนั้นซะที”  ผมพูดเสียงอ่อนลง
“ แต่คุณหนูก็ยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่เลยนะคะ” เธอหัวเราะหลังจากพูดจบ
“เอ่อ!! แล้วมื้อเช้านี้มีอะไรกินบ้างล่ะครับ”
“ เอ่อ ก็น่าจะเป็นไข่ดาวกับหมูแฮมแล้วก็นมอุ่นๆนะค่ะ”  มารุซังกำลังจะเดินผ่านผมไปทางระเบียงใหญ่  แต่ผม
หยุดเธอไว้ได้แล้วกอดเธออย่างเป็นมิตร
“ เป็นอะไรไปคะคุณหนู” มารุซังเอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
“ ผมแค่อยากจะขอบคุณมารุซังที่ให้ความกรุณากับผมมาโดยตลอด  ถ้าผมขาดมารุซังไปผมคงทำอะไรไม่ถูกแน่เลย”
จริงๆแล้วผมเห็นมารุซังแล้วทำให้ผมคิดถึงใครคนนึงที่ทำให้ผมต้องวุ่นวายใจ  แต่ที่ผมกอดมารุซังเพราะผม
เคารพรักเธอมากๆ  นั่นเป็นความรู้สึกจากใจจริงของผม
“ อะไรกันคะ  อีกหน่อยคุณหนูก็ต้องออกไปมีครอบครัวแล้ว จะมาอ้อนแบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ”
“ ผมจะไม่แต่งงานหรอก” ผมพูดย้อนมารุซังทันที
“ ทำไมล่ะคะ  ก็คุณผู้หญิงจัดการเรื่องคู่หมั้นให้คุณหนูไว้แล้วนี่คะ”เธอส่งสายตาเป็นกังวลมาที่ผม
 
แต่คำพูดของเธอเมื่อครู่ก็ทำให้ผมนึกอะไรได้  ใช่แล้ว  ตัวการของปัญหาทั้งหมดก็คือแม่นั่นเอง  แล้วเรื่องที่ยัย
เฉิ่มพูดเมื่อวานก็คงจะเป็นเรื่องนี้  เพราะฉะนั้นผมก็มีเหตุผลที่จะสามารถไปพบและปรับความเข้าใจกับเธอได้
แล้ว
“ หิวแล้ว  งั้นผมลงไปรับมื้อเช้าก่อนแล้วกัน  เดินดีๆล่ะมารุซัง”  ผมรีบวิ่งลงมาชั้นล่าง  พร้อมกับมีเสียงตะโกนไล่หลังมา
“ อย่ารีบมากนะคะคุณหนู  เดี๋ยวจะหกล้ม”  ท่าทางมารุซังนี่คงจะลืมไปแล้วว่าผมโตแล้ว  ไม่ใช่เด็กๆแบบเมื่อก่อน
หลังจากผมทานมื้อเช้าเสร็จ  ผมก็รีบวิ่งไปโรงเรียนในทันที    แต่ผมคงจะลืมอะไรไปบางอย่าง  แต่มันอะไรล่ะ
ผมพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก  แล้วมันอะไรกัน  ช่างมันเถอะ  สิ่งที่สำคัญกว่าคือการขอคืนดีกับยัยเฉิ่ม......
‘นายจะบ้าไปแล้วเหรอ  การขอคืนดีก็เท่ากับว่านายไปง้อเธอน่ะสิ  ลองคิดดูดีๆสิเพื่อนนายเกิดมายังไม่เคยง้อใคร
เลยไม่ใช่เหรอ.....ไม่ใช่นะ  ถึงเธอจะเป็นคนโกรธนายก่อนแต่นายก็มีความผิดโทษฐานที่ไม่รู้อะไรเลยเรื่องคู่หมั้น
เลยทำให้เกิดปัญหา  เพราะฉะนั้นนายก็ควรไปง้อเธอ’  ความคิดทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันอยู่ในหัวผม  แล้วผม
จะเอางัยดี
.......................เวลาผ่านไป......................
หลังจากที่ผมใช้ความคิดอยู่นานในการตัดสินใจ  ผมก็ตระหนักได้ว่า จริงๆแล้วการง้อนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เสียหาย
อะไรเพียงแต่    เพียงแต่ผมไม่เคยทำเท่านั้นเอง
แล้วผมก็เริ่มฝึกซ้อมบทพูด
“ เอ่อ เรื่องเมื่อวันก่อนขอ.. ฉันขอ... เอ่อ  ฉันขอ.... โถ่เว๊ย !! ทำไมพูดไม่ได้วะ”แล้วผมก็รู้ปัญหาอีกข้อที่เกิดกับตัว
ผม  ผมไม่สามารถพูดคำว่าขอโทษได้  เพราะมันเป็นคำที่ผมเกลียดยิ่งกว่ารหัสลับของเจ้าเอนิวะซะอีก และการขอ
โทษก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ มันเป็นอะไรที่แย่จริงๆนะ  ผมคิดว่าคำๆนี้คงจะไม่เหมาะกับผมอย่างมาก  ผมจึงลองคำอื่นๆดู
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอโกรธเลยนะ  แต่เธอก็ไม่ยอมกลับมาอธิบายให้ฉันเข้าใจนี่”  เฮ้ย!! แบบนี้ก็เป็นการ
โทษยัยเฉิ่มน่ะสิ  ไม่ผ่านๆ    หลังจากที่ผมกลั่นกรองแล้ว  คำพูดนี้ก็ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอีกจนได้
Let’s  try it again!!! .
“ห้ามโกรธฉันเข้าใจมั้ย” นี่ก็โหดไป
“ลองไม่พูดกับฉันสักสองวันสิ  เธอได้ตายแน่” นี่ก็สยองไป 
“ เฮ้ย!! เธอรู้รึเปล่าว่าเธอเป็นคนแรกที่มาก่อกวนจิตใจฉัน อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย”  ทำไมพยางค์แรกฟังดูทะแม่งๆนะ  ผมจำได้ว่าผมจำคำพูดนี่มาจากในทีวีนี่ ไม่น่าจะผิดพลาดเลยนะ -_-‘’
“ ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเอง  ถ้าเธอหายโกรธฉัน”  นี่ก็ไม่ไหว  ยัยเฉิ่มไม่ใช่คนที่หลอกล่อด้วยเงินได้ง่ายๆ ไม่เหมือนเจ้าเอนิวะ
“ เฮ้อ  !!!” หลังจากครุ่นคิดอยู่นานผมก็นึกคำดีๆไม่ออกเลย  มันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดมาก
ผมก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ  บนหน้าปัดบอกเวลา10โมงกว่าๆแล้ว  ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ  ทำไมโรงเรียนถึงได้เงียบ
แบบนี้ล่ะ  แล้วนักเรียนหายไปไหนกันหมด..........
“  ใช่แล้ว!! ก็วันนี้มันเป็นวันครบรอบ70ปีการก่อตั้งโรงเรียนนี้นี่”  ผมเอามือกุมหัวตัวเองอีกครั้ง  ท่าทางผมจะติด
เชื้อความเฉิ่มมาจาก.....  เอาเป็นว่าคนคนนั้นนั่นแหละ  แต่พักนี้ผมมัวแต่ว้าวุ่นเรื่องไม่เป็นเรื่องมากไปหน่อยเลย
ไม่ค่อยรับรู้สิ่งรอบข้าง  อาจจะเป็นเหตุผลข้อหลังก็ได้
ผมรีบเดินออกจากห้องเรียนทันที  แต่ด้วยสปิริตของความเป็นลูกอาจารย์ใหญ่มันต้องตรวจตราความเรียบร้อยกัน
หน่อย  จริงๆแล้วที่ต้องเดินตรวจอยู่ทุกวันก็เพราะโดนบังคับ  นับวันยัยป้านั่นจะยิ่งเพิ่มความเค็มเข้าไปทุกที 
ไม่ยอมจ้างยามเพิ่ม  แถมยังใช้ลูกตัวเองเป็นยามนอกเครื่องแบบอีก  ไม่ไหวเลยจริงๆผู้ใหญ่สมัยนี้  +0+
501 เรียบร้อย , 502เรียบร้อย ,503 เรียบร้อย ,504เรียบ.....
“ เอ่อ  วันนี้โรงเรียนปิดไม่ใช่เหรอ  มาทำอะไรที่นี่อีกล่ะ”  ผมพูดทักนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างในห้อง504
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ  ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่น้ำตาของเธอไหลลงอาบแก้ม  ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“ ใครทำอะไรเธอ”  ผมรีบวิ่งเข้าไปหา
“ นายๆๆ!!ฮึกๆๆ” เธอสะอื้นเบาๆ T_T
“ ใครทำอะไรเธอ  บอกฉันมาฉันจะไปฆ่ามัน”
“ ทำไมนายต้องโผล่มาตอนที่ฉันเป็นแบบนี้ด้วยนะ”  เธอพูดเสียงเบามาก
“ เป็นยังงัยเหรอ”  ผมยังคงถามเธอถึงแม้เธอจะไม่อยากตอบก็ตาม  ท่าทางที่ดูเฉิ่มนิดๆนั้นทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้
“ เมื่อวานนายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ  ว่าเราควรจะอยู่ห่างกันเป็นดีที่สุด  นายอย่ามาทำให้ฉันเดือดร้อนไปมากกว่านี้เลย” เธอเริ่มขยับตัวออกห่าง
“ ไม่ใช่ไม่เข้าใจหรอก  แต่ฉันเข้าใจแบบกระจ่างเลยล่ะ”
“ นายหมายความว่างัย”  เธอหันหน้ามาหาผมในทันที
“ ก็นะ  คือ..มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะ”
“แล้วความจริงมันเป็นยังงัยล่ะ”  เธอเริ่มทำสีหน้าอยากรู้ขึ้นเรื่อยๆ  แล้วหน้าเธอก็เลื่อนใกล้เข้ามาทุกทีๆ
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยว่า  ผมกำลังสะกดกลั้นใจไม่ให้เข้าไปใกล้เธอมากกว่านี้  ผมจึงผลักหน้าเธออกไปห่างๆ
“ โอ๊ย!! เจ็บนะ  ทำอะไรของนายล่ะ  คิดจะไม่ตอบคำถามฉันเหรอ”
“ช่างเหอะสักวันเธอก็คงจะเข้าใจเอง”  ผมหันไปมองหน้าเธอเห็นได้ชัดว่าเธอทำสีหน้าผิดหวังเอามากๆ
เธอนั่งกอดอกหันหน้าไปคนละทางกับผม
“ โกรธเหรอ”
“เปล่า”
“ งั้นก็หันมาหาฉันสิ”  ผมเริ่มขยับเข้าไปหาเธอเรื่อยๆโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“ ทำไมฉันจะต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ”เธอยังคงเถียงโดยที่ไม่หันมามอง
“ ก็ทำไมน่ะเหรอ  ก็เพราะ....ดูนั่นสิมีหิมะตกในเดือนเมษาด้วยล่ะ”  ผมแค่จะพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยแต่เธอก็หันขวับมาประสานสายตากับผมซะก่อน  หน้าของเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนเอง
“ -///- .”
“ ทำไมเธอต้องหน้าแดงด้วยล่ะ”
“ ฉันน่ะเหรอ  นายก็เหมือนกันนั่นแหละ  แล้วไหนล่ะหิมะ  ไม่เห็นมีสักหน่อย”
“ คนที่เชื่อเรื่องพันนั้นก็คงมีแต่เธอเท่านั้นแหละ  แม้แต่เด็กอนุบาลยังไม่มีใครเชื่อเลยนะ  ฮ่าๆๆ”
“ ใช่สิ  ฉันมันเป็นยัยเฉิ่มในสายตาของนายนี่”
“ ใช่  เธอเป็นยัยเฉิ่มในสายตาของฉัน  แต่เธอเป็นคนที่พิเศษนะ”
“-///-.”
“ หน้าแดงอีกแล้ว”
“ เปล่าซะหน่อย”
“ แล้วเธอมานั่งร้องไห้ที่โรงเรียนทำไมล่ะ” ผมเริ่มเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง  เมื่อเห็นว่าเธอหน้าแดงเอามากๆจนเกือบทำให้ผมคิดว่าเธออาจจะเป็นลมเอาง่ายๆ
“ คือฉัน..ฉันหาใครไม่เจอเลยสักคน  แล้วก็รู้สึกวังเวงเอามากๆ  น้ำตามันก็เลยไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว  พอรู้สึกตัวอีกทีมันก็หยุดร้องไห้ไม่ได้แล้ว”
“ แล้วเธอจะมาโรงเรียนทำไม  ในเมื่อวันนี้มันเป็นวันหยุดของโรงเรียน”  ผมกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อไม่ให้เธอเสียความรู้สึก
“ ก็ตั้งแต่ที่ฉันทะเลาะกับนายเมื่อวาน  ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเวลาที่ผ่านไปเลย  ฉันไม่ได้ดูแม้แต่นาฬิกาด้วยซ้ำ  แต่หลังจากออกมาจากบ้านเซร่าแล้ว  สิ่งที่ฉันคิดว่าฉันควรจะทำและมันจะถูกต้องอย่างแน่นอนคือการมาโรงเรียน เพื่ออะไรสักอย่างนี่แหละ”
“ เพื่ออะไรล่ะ”
“ ในตอนนั้นฉันยังไม่รู้  แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะ”  เธอทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ
“บอกมาเร็วๆสิ  เธอจะให้คนฟังตื่นเต้นจนตายรึงัย”ผมรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรพิเศษในคำตอบของเธออย่างแน่นอน
“ก็เพื่อได้พบและปรับความเข้าใจกับนายงัยล่ะ  มันทรมานนะที่จะต้องอยู่อย่างไม่เข้าใจกันไปชั่วชีวิต  ถึงแม้ฉันกับนายจะไม่ได้เป็นอะไรกันก็เถอะ”
“ ใครว่าล่ะ  เอ่อแล้วการบ้านข้อนี้คิดยังงัยล่ะ”ผมรีบพูดเปลี่ยนเรื่องอีกครั้งเมื่อเห็นอาจารย์ซาโต้เดินผ่านมา  อาจารย์คนนี้ท่าทางจะรักโรงเรียนมากเป็นพิเศษแม้แต่วันหยุดยังมาเดินตรวจโรงเรียนอีก  คนเรานี่หาอะไรที่มันพอดียากนะ
“ อ้าวฮิโระ  มาทำอะไรเหรอ”
อาจารย์ซาโต้ทักด้วยเสียงที่แหบพร่า  ท่าทางจะเป็นหวัดด้วย
“ มานัดติวหนังสือกับเพื่อนน่ะครับ”
“งั้นก็ดีแล้ว”
“ อาจารย์เป็นหวัดเหรอครับ  รักษาตัวด้วยนะครับ”
“อืมขอบใจนะ”  ผมรอจนอาจารย์ซาโต้เดินลับไปจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“ ยัยเฉิ่มวันนี้เราไปเที่ยวด้วยกันดีมั้ย”  แต่พอผมหันกลับไปก็เจอเธอนอนฟุบอยู่บนโต๊ะแล้ว  ขี้เซาจริงๆเลย
ติดิ๊ด ติดิ๊ด!!!
จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น
ผมรีบกดรับมันทันทีเพื่อไม่ให้เสียงไปรบกวนยัยเฉิ่ม
“ฮัลโหล” 
“ ฮิโระเหรอ  วันนี้ตอนเย็นแม่จะไปรับลูกที่บ้านนะ”
“ จะไปไหนเหรอ”
“ วันนี้แม่จะพาลูกไปพบคู่หมั้น  แต่งตัวให้หล่อๆล่ะ”
“ ทำไมผมต้องไปด้วย”
“ นี่เป็นคำสั่งเข้าใจมั้ย”  ยัยป้านั่นกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ใหญ่เลย
“ แล้วจะลองคิดดู”  ผมพูดอย่างจำใจ
“ งั้นก็ดี  ตอนนี้แม่อยู่บนเครื่องอีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงจะบินไปถึงโตเกียวแล้ว”
“ ไม่ต้องรีบก็ได้  เดินทางดีๆล่ะ”แล้วผมก็รีบวางหูก่อนที่จะได้รับคำสั่งมากไปกว่านี้
ถ้ายัยเฉิ่มรู้เรื่องคู่หมั้นของผมอีกครั้งล่ะก็  ผมคงจะไม่โชคดีแบบครั้งนี้แน่ๆ
“ ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นอะไรกันก็ตาม” ผมพูดทวนคำนั้นอีกครั้งก่อนจะฟุบตัวลงกับโต๊ะข้างยัยเฉิ่ม
@@@@@@@@@@ จากผู้แต่ง@@@@@@@@
หลังจากห่างหายไปนาน
ก็ได้กลับมาแต่งตอนเพิ่มอีกหนึ่งตอน
ตอนนี้ก็ยังคงให้เป็นส่วนของพระเอกสุดโหดอีกตามเคย
แต่ดูท่า  เนื้อเรื่องจะไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้ซะแล้วสิ
แต่เราก็จะพยายามสู้ต่อไปนะ  ติดตามอ่านกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ  ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น