ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สาวเปิ่นหัวใจเกินร้อย

    ลำดับตอนที่ #12 : ~~กลุ้มโว๊ย!!!~~

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 48


    “ กลับมาอธิบายให้ฉันเข้าใจเดี๋ยวนี้”  ผมได้แต่ตะโกนไล่หลังเธอไปโดยที่เธอไม่สนใจผมเลย



    “ ...........” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา



    “ กลับมาเข้าใจมั้ย” ผมยังคงตะโกน แต่ก็เหมือนเดิมเธอไม่สนใจเสียงของผมแม้แต่น้อย  แล้วเธอก็เดินห่างออกไป



    จนผมเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆเท่านั้น  ผมอยากจะวิ่งไปหยุดเธอเหลือเกินแต่ผมก็ทำไม่ได้  ถ้าหากว่าลูกน้องของแม่



    ผมเห็นขึ้นมาเราคงต้องแย่แน่ๆ  ผมรู้มาตลอดว่าผมโดนตามโดยลูกน้องของแม่แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องทำ



    ถึงขนาดนี้ด้วย



    “ กลุ้มโว๊ย!!!” ผมอุทานออกมาเมื่อสับสนกับทุกๆอย่าง



    พวกคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าโรงเรียนคงจะคิดว่าผมเป็นเด็กมีปัญหาแน่ๆ   ทำไมผมรู้สึกว่าทำอะไรผิดไปบาง



    อย่างเหมือนตอนไปหาหมอฟันแล้วไม่ยอมแปรงฟันยังงัยยังงั้นเลย  แล้วหลังจากนั้นก็จะโดนหมอว่าซะยกใหญ่  



    นี่ถ้าไม่ใช่หมอผมคงต่อยฟันร่วงไปแล้วล่ะ ( เว่อร์ไปรึเปล่าเนี่ย) -_-‘’



    “ จะมองทำไมวะ  ไม่เคยเห็นคนกลุ้มรึงัย”  ผมตะโกนด่าไอ้พวกที่มองผม  จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากทำหรอกนะ  แต่มันช่วยไม่ได้นี่  ผมเห็นหน้าไอ้พวกนี้แล้วยิ่งยัวะ  



    “ ลองไปปรึกษาอาจารย์ดูสิ”  ผมได้ยินนักเรียนหญิงสองคนกำลังคุยกัน



    ปรึกษา ใช่แล้ว  เราต้องไปปรึกษา  แต่จะปรึกษาใครดีล่ะ  คำพูดของนักเรียนหญิงเมื่อครู่เข้ามาสะกิดใจผม



    ก่อนที่ผมจะรู้ตัวผมก็เผลอไปกดเบอร์ใครคนหนึ่งเข้า  ผมไม่แน่ใจหรอกว่าไอ้หมอนี่จะช่วยให้คำปรึกษาดีๆกับผมได้รึเปล่า แต่ถ้าเกิดมันพูดไม่ดีขึ้นมาผมจะได้ต่อยมันระบายความเครียดไปด้วย  ได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่องเลย ( อ๊าก!! ผมคงจะดูหนังโหดมากไปหน่อยเลยมีพฤติกรรมรุนแรง)



    ผมเอาโทรศัพท์แนบหูเพื่อรอให้ไอ้หมอนั่นรับ  



    “ โถ่  ช้าจริงโว๊ย!!!”  ผมรอจนโทรศัพท์เกือบตัดไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีคนรับ



    “ ฮัลโหล”  ไอ้หมอนี่ชักจะกวนประสาทเข้าทุกทีแล้วนะ  ทำไมแกดันไปรับตอนที่ฉันจะวางแล้ววะ  เดี๋ยวคงต้องต่อยสักเปรี้ยง  (  เย็นไว้ฮิโระ!! เอ๊ะมีเสียงมาจากไหนน่ะ)สงสัยคงจะเป็นเสียงจากจิตใต้สำนึกล่ะมั้ง



    “ ฮัลโหล!! ถ้าคุณไม่พูดผมจะวางแล้วนะครับ”  ไอ้หมอนั่นพูดซ้ำอีกครั้งหลังจากที่ผมไม่ได้พูดตอบไป



    “ ฉันเอง”  

    “ ไม่ทราบว่าใครครับฉันเองเนี่ย”  ไอ้หมอนี่ชักจะกวนขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ



    “ ฮิโระ เพื่อนแกงัย  จนป่านนี้แล้วยังจำกรูไม่ได้เหรอวะ”  ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์

    ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้หมอนี่จะเป็นเพื่อนซี้ของผมได้  ก็ไอ้เจ้าเอนิวะนั่นแหละ



    “ ไม่เชื่อ  ต้องบอกรหัสลับมาก่อน”เอนิวะพูดเสียงทะเล้น



    ผึง!!!!!! -_-;;;;

    เส้นความอดทนของผมได้ขาดลงแล้ว  ต่อจากนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าไอ้เจ้าเอนิวะ  มันจะยังมีชีวิตรอดได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้รึเปล่า



    “ บ้าชิบ!! แกจะให้ฉันพูดไปถึงเมื่อไหร่วะ  ฉันจะฆ่าแกคอยดู”  นี่ผมไม่ได้พูดเล่นนะ



    “ งั้นเหรอ  งั้นผมจะวางแล้วนะครับ”  มามุขนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย  ผมยิ่งแพ้มุขจริงจังของมันซะด้วยสิ



    “ เอ่อ เดี๋ยวสิ” ไอ้หมอนี่ยิ่งทำให้ผมกลุ้มกว่าเดิมอีก



    “ รหัสลับ3 2 1”  มันเริ่มนับถอยหลัง



    “ เอาภูเขาไฟฟูจิ.....”  ผมยังพูดรหัสลับไม่จบ  นี่ผมต้องพูดจริงๆเหรอเนี่ย



    “ แล้วงัยครับ  รหัสลับยังไม่ถูกต้องกรุณาลองใหม่”  ไอ้ๆหมอนี่  มันๆๆ  ผมพยายามคิดหาคำด่าดีๆแต่ก็ต้องจนมุมอีกจนได้



    “ เอาภูเขาไฟฟูจิยัดปากแกสิ  ฉันไม่ว่างที่จะมาเล่นด้วยนะเว๊ย  ออกมาเจอฉันเดี๋ยวนี้ที่ร้านชินโจกุ  ฉันเลี้ยงแกเอง”

    ในที่สุดผมก็ได้รับความรู้สึกแห่งชัยชนะสักที  ผมรู้ว่าไอ้เจ้าเอนิวะมันแพ้เรื่องของฟรี  ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!!! อยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ



    “ แกจะเลี้ยงจริงๆเหรอวะ  เออๆเดี๋ยวฉันไป”  ไอ้เจ้าเอนิวะมันเปลี่ยนโหมดเป็นเพื่อนซี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย



    ..........................................15นาทีต่อมา................................



    “ เฮ้ย!! มาเร็วดีนี่” ผมตะโกนทักเพื่อนที่กำลังวิ่งมาหาผม  ผมมาก่อนมันแค่1นาที 24วินาทีเองนะเนี่ย  (เฮ้ย! เว่อร์อีกแล้ว)  เฮ้ยเสียงมาจากไหนวะ



    “ เรื่องแบบนี้มีเหรอที่คนอย่างฉันจะพลาด”  เจ้าเอนิวะเผยธาตุแท้ออกมาแล้ว

    “ เข้าไปนั่งก่อนเถอะ”  ผมรีบตัดบทเพื่อนจอมโม้  ขืนยืนฟังสัพคุณต่างๆของมันคงไม่ต้องนอนกันแน่ๆ



    “แกมีเรื่องอะไรวะ  ถึงลงทุนเรียกฉันออกมาเนี่ย”  เฮ้ย!! พูดให้ถูกๆสิ  ฉันน่ะหลอกแกออกมาต่างหาก  หลอกด้วยเงินซะด้วย

    -_-‘  (เอ่อ..นี่นะเหรอคนที่กำลังกลุ้มน่ะ)



    “ ฉันมีเรื่องจะปรึกษาแกนิดหน่อยน่ะ”  ผมเริ่มพูดเกริ่นเรื่อง



    “ โดนสาวหักอกมาเหรอวะ”  โอ้!! นี่ถ้าไอ้หมอนี่ไปเปิดร้านดูดวงคงรุ่งแน่  ทายแม่นชะมัดเลย



    “ ก็ไม่เชิงหรอก  แต่....”



    “ รับอะไรดีคะ”  มีพนักงานสาวคนหนึ่งออกมาขัดจังหวะการสนทนาของเรา  เดี๋ยวต่อยฟัน.....(เฮ้ย!! พอๆๆแกหัดควบคุมอารมร์หน่อยสิวะ) รู้แล้วน่า ไอ้เจ้าจิตใต้สำนึกนี่มันน่ารำคาญจริงๆ



    พอผมสู้กับจิตใต้สำนึกเสร็จ ไอ้เจ้าเอนิวะก็สั่งรายการอาหารออกไปเยอะพอสมควรแล้ว



    “ เฮ้ย!! คนจ่ายน่ะ  ฉันนะโว๊ย”  ผมรีบพูดห้ามไอ้เจ้าเอนิวะ



    “ เอ่อ...แล้วก็ราเมงอีกสองถ้วยนะครับ”  ไอ้เจ้าเอนิวะหันไปทำตาเจ้าชู้ใส่พนักงานสาว



    ท่าทางไอ้หมอนี่คงอยากตายจริงๆสักครั้งเป็นแน่  เล่นสั่งซะเกือบหมดร้าน  ความเกรงใจมันจมลงไปในลำไส้ใหญ่แกเหรอวะ  ไอ้หมอนี่มันๆ  แล้วผมก็หาคำด่าดีๆไม่ได้อีกเช่นเคย



    “ เอ่อ..อย่าเพิ่งไป  ผมขอเหล้าสองขวดด้วยครับ”  ผมหันไปสั่งกับพนักงานสาวบ้าง



    “ ค่ะ”  แล้วพนักงานคนนั้นก็เดินออกไป



    “ แกสั่งเผื่อฉันด้วยใช่มั้ยเพื่อน”  เจ้าเอนิวะทำตาใสปิ๊งมาที่ผม  เห็นแล้วจะอ้วก



    “ ใครสั่งให้แกวะ  ฉันจะกินเองตะหาก  คนกำลังกลุ้มๆ  ได้ยินมั้ยวะ” ผมตะคอกใส่เพื่อน



    “ แล้วแกกลุ้มเรื่องอะไรล่ะวะ  ไม่ยอมเล่าสักที”  เจ้าเอนิวะเริ่มเห็นมาสนใจผมบ้างแล้ว  แกน่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ 10 นาทีที่แล้วนะ



    “เออก็ยัยเฉิ่ม  แบบว่ามีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ  เธอบอกว่า.....บราๆๆ”  แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เอนิวะฟัง

    ............เวลาผ่านไป..................



    “ คู่หมั้นเหรอวะ  คนอย่างแกมีคู่หมั้นด้วยเหรอ” เจ้าเอนิวะทำท่าไม่เชื่อ



    “  ฉันก็ได้ยินยัยเฉิ่มพูดมาแบบนั้น  แต่เรื่องคู่หมั้นฉันไม่รู้เรื่องเลยนะ  มันอะไรกันแน่เนี่ย”  ผมเอามือกุมขมับตัวเอง  เรื่องนี้ผมคิดไม่ตกจริงๆ



    “ ใจเย็นๆสิ  แม่แกอาจจะจัดการเรื่องนี้โดยที่ไม่บอกแกก็ได้”  เอนิวะเริ่มพูดเสียงจริงจัง

    จริงสิทำไมผมถึงลืมคนสำคัญไปได้นะ  ต้องเป็นฝีมือแม่แน่ๆเลย



    “แต่รู้ไปก็เท่านั้น  ยัยเฉิ่มโกรธฉันมากเลย  แล้วฉันจะทำงัยต่อล่ะ”



    “ เธออาจจะแค่น้อยใจที่นายไม่ยอมบอกเรื่องคู่หมั้นก็ได้…”



    “ ก็ฉันไม่รู้จริงๆนี่”  ผมรีบพูดแทรกขึ้นมา



    “ นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”



    “ แล้วอะไรล่ะที่สำคัญ”ผมเริ่มงงกับความคิดของเจ้าเอนิวะ



    “ แกต้องไปง้อเธอ  ให้เธอหายโกรธ”



    “ว่างัยนะ  คือ....”  แล้วผมก็เงียบไป



    “ เป็นไรไปอีกล่ะวะ”



    “ จะให้ฉันไปง้อเนี่ยนะ  คนอย่างฉันเกิดมาไม่เคยง้อใครเลยนะเว๊ย”

    ถ้าได้ข่าวว่าผมเคยง้อใครล่ะก็  นั่นต้องไม่ใช่ผมแน่ๆ อาจจะเป็นคนที่หน้าตาเหมือนผมก็ได้



    “ แล้วแกชอบเธอรึเปล่า”



    “ อืม” ผมก้มหน้าตอบ



    “ ชอบก็ต้องทำสิวะ”  คราวนี้เจ้าเอนิวะหันมาตะคอกผมบ้าง  จะว่าไปแล้วไอ้หมอนี่ก็เป็นที่ปรึกษาที่ดีจริงๆ



    “ อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ”  แล้วพนักงานคนนั้นก็เสิร์ฟอาหารลงบนโต๊ะของเรา  ทำให้เราต้องหยุดการสนทนาแบบออกรสออกชาติกันอีกครั้ง



    ..........เวลาผ่านไป........



    “ ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วย”ผมเริ่มเมาแล้วหลังจากที่สั่งเหล้าไปแบบไม่ยั้ง  รวมทั้งสิ้น5ขวด  ผมไม่ได้กินคนเดียวหรอกนะ  ไอ้เจ้าเอนิวะก็ขอแจมด้วยเลยเมาแอ๋กันทั่งคู่



    “ เธอไม่รักฉันแล้วเหยอ” ไอ้เจ้าเอนิวะส่งเสียงประสานกับผม

    แล้วเราก็กอดกันอย่างนั้นพร้อมกับตะโกนเสียงโหวกเหวกไปทั้งร้าน  พวกลูกค้าคนอื่นพยายามนั่งให้ห่างเราเอาไว้  บางคนก็กระซิบนินทากัน  เดี๋ยวต่อยซะเลย!!!



    สักครู่ต่อมาก็มีพนักงานในร้านมาลากเราออกไป ส่วนค่าอาหารไม่ต้องพูดถึง  ไอ้เจ้าพนักงานตัวอ้วนค้นกระเป๋าผมแล้วเอาเงินออกไปสองพันเยน



    “ ไล่เราออกทำมาย  เราไม่ได้มาวซะหน่อย เอิ๊ก!!”ไอ้เจ้าเอนิวะวิ่งไปเคาะประตูร้านแต่ก็โดนถีบส่งกลับมา



    “ บังอาจไล่ท่านฮิโระคนนี้เหรอ  เดี๋ยวเผาร้านซะเลย”  ผมเริ่มกลับมาในโหมดซาดิสก์อีกครั้ง



    “ เอาเลยเพื่อนเอาเลย” ไอ้เจ้าเอนิวะคอยเชียร์ผม

    เราสองคนยังไม่สร่างเมาเลยไม่รู้ว่าทำอะไรน่าขายหน้าลงไป



    “ แกมีไฟแช็กมั้ยวะ”ผมถามเอนิวะ



    “ ไม่มีว่ะ”



    “ งั้นเราก็เผาร้านไม่ได้น่ะสิ”



    ผมกับเอนิวะนั่งหัวเราะกันอยู่บนขอบถนน   คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างโยนตังค์ให้เรา   นี่มันหมายความว่างัยกันเนี่ย  



    แล้วผมกับเอนิวะก็นั่งกันอยู่อย่างนั้นจนสร่างเมา

    ผมก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ  นี่มันตีสองแล้วนี่



    “ เฮ้ยตื่นๆ  เอนิวะ  ตื่นได้แล้วโว๊ย”  ผมตะโกนปลุกเพื่อน



    “ ไม่เอา เค้าจานอนต่อ” ท่าทางเจ้าเอนิวะจะเป็นหนักกว่าผมนะ

    แล้วผมก็ช่วยพยุงเจ้าเอนิวะอย่างโซซัดโซเซเพื่อพามันกลับบ้าน



    “ ไม่เอาม่ายไป”  ผมรีบถีบเจ้าเอนิวะขึ้นรถแท็กซี่  มันก็ยังพูดเพ้อเจ้ออยู่ได้



    “ ช่วยส่งให้ถึงบ้านด้วยนะครับ” ผมยื่นตังค์ให้คนขับรถแท็กซี่ แล้วดูจนแน่ใจว่าเจ้าเอนิวะไปแล้วผมจึงเดินกลับบ้าน  



    ก็บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสักเท่าไหร่ผมเลยเดินกลับบ้านได้อย่างสบาย  

    เมื่อผมมายืนหยุดอยู่หน้าบ้าน  ผมก็นึกอะไรบางอย่างออก



    “ ใช่แล้ว  เราต้องถามแม่ให้รู้เรื่อง”  ผมคิดจะไปถามแม่เรื่องคู่หมั้น  แต่นี่มันดึกมากแล้ว ค่อยถามพรุ่งนี้ก็ได้  แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า



    @@@@@@@@@@@จากผู้แต่ง@@@@@@@@

    ตอนนี้ก็เป็นตอนของพระเอกล้วนๆเลยนะคะ  

    แบบว่าเปลี่ยนแนวมั่งอะ

    ดีหรือไม่ดียังงัยก็ช่วยวิจารณ์กันด้วยนะคะ

    สุดท้ายนี้ก็ไม่ขออะไรมากมายแต่ขอให้ช่วยติดตามเรื่องนี้ต่อไปนะคะ

    เม้นท์กะให้คะแนนด้วยยิ่งดี

    แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ





      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×