ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I want to see you again

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10 : Anna's Wedding (Anna & Kristoff) (100%) (rewrite)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 684
      2
      6 พ.ค. 57

     

    การแต่งงาน มันไม่ได้ดูที่ว่าเรากับเขารู้จักกันมากแค่ไหน
    เราสนิทกับเขามากขนาดไหน หรือเราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ
    แต่มันคือ
    การที่เราได้ฝากครึ่งชีวิตของเราไว้ให้เขาดูแลโดยที่
    เขาก็ได้ฝากครึ่งหนึ่งของชีวิตของเขาให้เราดูแลด้วยเหมือนกัน

                                                                                              Anna

    ……………………………………………………………………………………………………………..

     

    Elsa Snow Queen :
     

             นี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าๆแล้วที่แจ็คได้ไปทำหน้าที่ของเขา ตั้งแต่คืนนั้นก็มีจดหมายมากมายส่งมาถึงฉันด้วยคำถามคล้ายๆกันว่า ชายคนรักขององค์ราชินีชื่ออะไร แล้วเขาจะมาอีกทีเมื่อไหร่ ฉันก็เขียนตอบกลับไปหลายต่อหลายครั้งจนตอนนี้ฉันได้ทำตราปั้มคำพูดที่ฉันจะต้องเขียนตอบคำถามเหล่านี้เลยทีเดียว ระหว่างที่ฉันดูจดหมายต่างๆอยู่ ฉันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
     

             “กุก ก๊อก กุก กุก ก๊อก(เสียงเคาะประตู)” เสียงเคาะแบบนี้ไม่ใช่ใครอันนานั่นเอง
     

             “พี่เอลซ่า น้องเข้าไปได้ไหมคะ” น้องสาวของฉันถามขึ้นมา
     

             “เข้ามาได้เลยอันนาพี่ไม่ได้ล็อค” ฉันตะโกนบอกอันนาให้เข้ามาข้างใน พอฉันพูดเสร็จอันนาก็ค่อยๆเปิดประตูขึ้นมาพร้อมกับถาดน้ำชา
     

             “พี่เอลซ่าพักหน่อยไหมคะ” น้องสาวของฉันพูดขึ้นมา ฉันก็พยักหน้าตอบแล้ววางจดหมายลง ฉันก็เดินไปที่โต๊ะกลางห้องแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซักพักอันนาก็เดินมาวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วค่อยๆ รินน้ำชาใส่แก้วพอรินเสร็จอันนาก็ยื่นแก้วน้ำชาพร้อมจานรองให้ฉันชุดหนึ่ง
     

             “นี่คะ” ฉันก็ยิ้มให้แล้วกล่าวคำขอบคุณอันนา
     

             “ขอบใจนะอันนา” ฉันก็ยื่นมือไปรับ ตอนที่ฉันกำลังจะยกแก้วดื่มชาขึ้นมาดื่มอยู่ๆอันนาก็พูดขึ้นมาว่า
     

             “ท่านพี่ได้ติดต่อกับพี่แจ็คบ้างรึเปล่าคะ” อันนาถามมาด้วยความสงสัยฉันก็วางแก้วลงบนจานแล้วตอบกลับไปว่า
     

             “ตั้งแต่ที่เขาไปพี่ก็ไม่ได้ข่าวเขาอีกเลยอันนา” ฉันพูดออกมาแล้วทำหน้าเศร้า
     

             “พี่ก็ได้แต่ทำตามคำสัญญาที่พี่ได้ไว้ให้กับเขา” ฉันพูดต่อแล้วก็ถอนหายใจ
     

             “พี่หญิงสัญญากับพี่แจ็คว่าอะไรหรือคะ” อันนาถามมาทันทีที่ฉันพูดจบ
     

             “พี่สัญญากับเขาว่าเดี๋ยวนะ นี่น้องจะล้วงความลับอะไรจากพี่อีกละ” ฉันกำลังบอกคำสัญญาที่ได้ไว้กับแจ็ค แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันไม่ควรบอกเพราะถ้าอันนารู้มีหวังรู้กันทั้งอาณาจักรเหมือนที่ทุกคนในงานเลี้ยงรู้จักแจ็คหลังจากที่เห็นฉันจูบกับเขากลางงานเทศกาลต้อนรับฤดูหนาวไม่กี่วัน
     

             “วาดันรู้ทันอดได้ข่าวเลย” อันนาทำหน้าเสียดายเพราะอีกนิดเดียวจะได้รู้ความลับของฉันซะแล้ว
     

             “ดีนะที่คราวนี้พี่รู้ทัน ไม่งั้นข่าวได้กระจายไปทั่วอาณาจักรนี้แน่ดีไม่ดีไปยังอาณาจักรโคโรน่าเลยก็ได้นะ” ฉันพูดกับอันนาแล้วยิ้มให้ อันนาก็ก้มหน้าเอานิ้วมาจิ้มใส่กันแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิด
     

             “เอ่อพี่เอลซ่าคะพี่ดูเหมือนว่าที่โคโรน่าจะรู้เรื่องราวแล้วละคะ” อันนาพูดมาฉันก็ตกใจคำคำพูดของอันนา
     

             “เมื่อกี้น้องว่ายังไงนะ” ฉันรีบถามเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่าฉันได้ยินไม่ผิด
     

             “ที่อาณาจักรโคโรน่ารู้แล้วละคะว่าพี่คบใครอยู่” อันนาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดออย่างมาก
     

             “อันนา เข้ามาใกล้ๆพี่หน่อยสิ” ฉันยิ้มและเรียกชื่อน้องสาวตัวเองให้มานั่งใกล้ๆ อันนาก็เดินเข้ามาแล้วนั่งข้างๆฉัน พอนั่งเสร็จฉันก็เริ่มพูดทันที
     

             “ที่นั่นรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนไหนอันนา” ฉันถามออกไป
     

             “ก็หลังจากที่พี่กับพี่แจ็คจากละกันสักวันสองวันคะ” อันนาตอบกลับมา
     

             “แล้วที่นั่นรู้เรื่องอะไรบ้างละ” ฉันถามต่อ
     

             “ทุกเรื่องคะ” อันนาตอบกลับมา
     

             “ทุกเรื่องเลยเหรอ แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะยังไงที่นั่นก็ต้องรู้อยู่ดี” ฉันจะถามอันนาอีกครั้ง แต่ฉันก็ทำได้แค่ปล่อยมันไปเพราะที่นั่นรู้ไปแล้ว ฉันก็สูดหายใจเข้าลึกๆเแล้วปล่อยมันออกมา
     

             “เห้อ(เสียงถอนหายใจ) ก็ว่าทำไมช่วงนี้จดหมายจากอาณาจักรโคโรน่ามีแต่ของราพันเซลที่ส่งมา”ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองแต่อันนากลับได้ยิน
     

             “ท่านพี่ไม่โมโหใช่ไหมคะ” อัรชนนาถามมาด้วยความหวาดกลัว ฉันก็ยิ้มและลูบหัวอันนาเบาๆแล้วพูดว่า
     

             “อันนาเราเป็นพี่น้องกันนะ ให้ตายยังไงเราก็ไม่โมโหใส่กันหรอกจริงไหม” ฉันพูดออกไป อันนาก็ยิ้มตอบ
     

             “น้องว่าเราดื่มชากันดีกว่านะคะ เดี๋ยวมันเย็นกันพอดี” อันนาชวนฉันดื่มชาต่อฉันก็หยิบแก้วขึ้นมาตามปกติ
     

             “นี่ครั้งแรกเลยนะที่พี่ดื่มชากับคนอื่น” ฉันพูดออกมาแล้วก็เริ่มจิบน้ำชาที่อันนาเอามาให้
     

             “ครั้งแรกทำไมละคะ” อันนาพูดเสร็จก็ทำแบบเดียวกับฉัน พออันนาพูดเสร็จฉันก็วางแก้วลงบนจานแล้วเริ่มพูด
     

             “ก็มันเป็นแบบนี้ไงละ” ฉันพูดออกไปและในตอนที่ฉันพูดออกมาก็มีไอลอยออกมาจากปากฉันอย่างไม่ขาดสายจนฉันปิดปากลง
     

             “ว้าว ทำได้ไงคะ” อันนาถามออกมา
     

             “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะอันนา สงสัยตัวพี่อาจเป็นเพราะเย็นมั้งเวลากินของร้อนๆไอก็จะออกเหมือนตอนที่เอาเนื้อแช่แข็งใสในกระทะร้อนๆนั่นแหละ” ฉันก็ตอบคำถามอันนากลับไป พอฉันพูดเสร็จก็ยกแก้วมาจิบชาต่อ
     

             “น้องว่าที่พี่หญิงทำแบบนี้เหมือนมังกรเลย” อันนาพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
     

             “ขอบใจนะที่พูดแบบนั้นนะ” ฉันก็พูดสวนไป
     

             “แต่ว่าน้องมาห้องของพี่ทำไมอันนา มีอะไรเหรอ” ฉันถามออกไป อันนาก็วางแก้วลงแล้วพูดว่า
     

             “น้องจะมาบอกข่าวคะ” อันนาพูดออกมา
     

             “ข่าวอะไรอันนา” ฉันถามกลับไปด้วยความสงสัย แล้วจิบชาต่อ
     

             “วันนี้พี่หัวผักกาดจะมาที่แอเรนเดลล์คะ” อันนาตอบกลับมา
     

             “พรวด(เสียงน้ำชาพุ่งออกจากปากเล็กน้อย) เมื่อกี้น้องพูดว่าอะไรนะ” ฉันถามอันนาอีกครั้งพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ดคราบน้ำชาที่พุ่งออกมาเมื่อครู่
     

             “วันนี้พี่หัวผักกาดจะมาที่แอเรนเดลล์คะ” อันนาพูดพร้อมกับเน้นตรงคำว่าพี่หัวผักกาดอย่างชัดเจน ฉันก็หัวเราะออกมาเบาๆ ฉันตลกตรงคำว่าหัวผักกาดนี่แหละ
     

             “หัวผักกาด” ฉันพูดออกมาแล้วหัวเราะเล็กน้อย
     

             “ทำไมน้องเรียกชื่อราพันเซลอย่างนั้นด้วยละ” ฉันพูดออกไปพร้อมกับหัวเราะไปด้วย
     

             “ก็คำว่าราพันเซลภาษาเยอรมันมันแปลว่าหัวผักกาดในภาษาอังกฤษนี่คะ” อันนาตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
     

             “แต่เราอยู่นอร์เวย์นะอันนา” ฉันพูดตอบกลับไป
     

             “แล้วเราเคยพูดภาษาถิ่นเราด้วยเหรอคะ เห็นนานๆทีเราจะพูดกันซะที” อันนาตอบกลับมาฉันก็เห็นด้วยกับที่อันนาพูด เราเป็นคนนอร์เวย์แต่เราก็พูดแต่ภาษาอังกฤษนานๆทีเราจะพูดภาษาถิ่นใส่กัน
     

             “แล้วพวกเขาจะมาตอนไหนละอันนา” ฉันถามอันนาต่อ
     

             “ขอนับซักครู่นะคะ เขาออกมาเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วตอนนั้นแล้วจดหมายก็ได้มาเมื่อวานแสดงว่า” อันนานั่งคำนวณเวลาเดินทาง แต่ฉันคิดเสร็จแล้วก็พูดออกมา
     

             “อีกชั่วโมงใช่ไหมอันนา” ฉันพูดออกไป อันนาก็ตอบกลับมาว่า
     

             “ใช่คะ” อันนาพูดเสร็จก็ยกกาน้ำชาเพื่อที่จะรินต่อ
     

             “วาหมดซะแล้ว งั้นเดี๋ยวน้องไปเอาให้ใหม่นะคะ” อันนาพูดออกมาพร้อมกับเก็บแก้วเก็บจานให้
     

             “ไม่ต้องแล้วอันนา น้องไปเปลี่ยนชุดเลยแล้วเจอกันที่หน้าประตูเลยละกันนะอันนา” ฉันพูดออกไปอันนาก็พยักหน้าตอบแล้วเดินออกนอกประตูไป
     

             พออันนาเดินออกจากประตูฉันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปที่หน้าต่างพร้อมกับของที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรงออกมาดู ของชิ้นนี้แจ็คได้ให้ฉันก่อนที่จะบอกลาไปทำหน้าที่ของเขา

     

    เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ที่ลานหน้าปราสาท ในวันเทศการณ์ต้อนรับฤดูหนาว

            

             ฉันค่อยๆเอาหัวขึ้นจากแผงอกที่แข็งแรงของแจ็คซักพักเขาก็นำมือของเขามามาจับมือของฉันแล้วยกมันขึ้นมาแล้วกุมมันไว้แล้วพูดว่า
     

             “เอลซ่าข้าต้องไปแล้วนะ” เขาพูดออกมาทำเอาฉันตกใจ
     

             “ทำไมละท่านไม่รักฉันแล้วเหรอ” ฉันถามเขาไปแจ็คก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
     

             “ข้ารักเจ้านะเอลซ่า แต่ตอนนี้ข้าคงต้องไปทำหน้าที่ของข้าก่อนเพราะตอนนี้ฤดูหนาวแล้ว แต่พอข้าทำหน้าที่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาแน่นอน เจ้าสัญญาได้ไหมว่าเจ้าจะรอข้าโดยที่ไปมีชายอื่นก่อน” เขาพูดออกมาแล้วกุมมือของฉันแน่นขึ้น
     

             “ได้สิ แต่ท่านสัญญากับฉันก่อนนะว่าจะกลับมาก่อนวันแต่งของอันนา” เอลซ่าถามออกไป

     

             “ท่านจะจากเราไปอย่างนี้แล้วอย่างนั้นหรือ” ฉันถามออกมาตอนนี้น้ำตาคลอเบ้าตาฉันอยู่
     

             “เอลซ่าข้าขอสัญญากับเจ้าว่าข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอไม่ว่ายามไหน” แจ็คพูดออกมาแล้วทำหน้าเศร้า
     

             “แต่นี้มันเป็นหน้าที่ของข้า หากข้าไม่ยอมทำก็ไม่มีใครทำแล้ว” เขาพูดต่อแล้วก็เลื่อนหน้าไปที่ข้างหูฉัน
     

             “แต่ข้าจะให้สิ่งนี้ไว้กับเจ้า ถือซะว่าของสิ่งนี้คือตัวข้า ข้าจะได้อยู่ข้างเจ้าเสมอไม่ว่าช่วงเวลาไหน” เขากระซิบบอกฉันพอพูดเสร็จเขาก็เอาใบหน้าออก
     

             “แต่แต่ว่า” ฉันพยายามพูดออกไปแต่แจ็คก็พูดขึ้นมาก่อนว่า
     

             “เอลซ่าข้าจะกลับมาหาเจ้าแน่นอนข้าขอสัญญา” เขาพูดเสร็จก็จูบที่แก้มของฉันย่างแผ่วเบาก่อนที่จะเริ่มลอยออกไป
     

             พอเขาได้ลอยหายไปจนพ้นสายตาฉันก็ก้มมองสิ่งที่แจ็คได้ทิ้งไว้ให้ฉัน มันเป็นหยิบเพชรสีน้ำเงินขนาดประมาณหนึ่งในสี่ของฝ่ามือฉัน ฉันก็มองมันแล้วพลิกดูอีกด้าน ด้านนั้นแจ็คได้สลักข้อความนูนต่ำไว้ว่า
     

    I will always beside you 
     

    ฉันก็อ่านข้อความที่ถูกสลักเอาไว้ในเพชรเม็ดนั้นซ้ำไปซ้ำมา คำว่า I will always beside you(ฉันขอสัญญาว่าจะอยู่ข้างเธอตลอดไป) มันเป็นคำที่สำคัญมากสำหรับฉันเพราะคำสัญญานี้แจ็คได้ไว้ให้ฉันก่อนจะจากไปทำหน้าที่ของเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน เขาจะเป็นอะไรไหม เขายังรักฉันอยู่ไหม คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดเวลาที่นึกถึงเขา เพราะนี่เขาก็หายไปเดือนกว่าแล้วแถมยังไม่ติดต่อมา ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่ฉันก็ทำได้แต่ตามคำสัญญาที่ได้ไว้ให้กับเขา ฉันจะรอจนกว่าเขาจะกลับมา ฉันก็เอามือกุมเพชรเม็ดนั้นไว้แล้วนำมันมาแนบไว้ที่หน้าอก ฉันก็หลับตาแล้วปล่อยความรู้สึกเศร้าเสียใจและความคิดถึงออกมาในรูปน้ำตา น้ำตาของฉันก็ไหลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันรู้สึกว่าน้ำตาของฉันที่ไหลอยู่ข้างแก้มของฉันถูกเช็ดออกโดยฝ่ามือที่เย็นพอประมาณ ฉันลืมตาขึ้นดูแต่กลับไม่เห็นใคร ฉันก็หันซ้ายหันขวาก็ไม่มีใครอยู่ในห้องฉัน จู่ๆฉันก็รับรู้ถึงอ้อมกอดที่คุ้นเคยจากด้านหลังอ้อมกอดที่อ่อนโยนที่แผงไปด้วยความเย็นแต่กลับรู้สึกอบอุ่นแบบนี้นี้มีคนเดียว
     

    แจ็ค ฉันเรียกชื่อเขาออกไปโดยหวังว่าคนที่กอดฉันอยู่นี่คือคือเขาคนนั้น
     

    ข้ากลับมาแล้วเอลซ่า แจ็คกระซิบที่ข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย พอพูดเสร็จเขาก็ก้มหน้าดมไปหอมที่ซอกคอของฉันเบาๆ ฉันก็เอามือลูบหัวของเขาเบาๆเป็นการตอบสนอง
     

    ทำไมกลับมาช้าจังคะ รู้ไหมว่าคนทางนี้เป็นรู้สึกยังไง ฉันถามออกไป พอฉันถามเสร็จแจ็คก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า
     

    ข้าไปทำหน้าที่ของข้านะเอลซ่า ถ้าข้าไม่ทำก็คงไม่มีใครมาทำแล้ว แจ็คตอบกลับมาแล้วเงียบไปซัดพัก พอเขาตอบเสร็จก็เอาคางวางพาดที่ไหล่ฉันแล้วพูดต่อ
     

    ที่ข้ากลับมาก็เพราะข้าสัญญาไว้กับเจ้าแล้วไงว่าจะกลับมาก่อนงานแต่งของน้องเจ้า แจ็คพูดออกมาพร้อมกับกอดฉันแน่นขึ้นแล้วพูดว่า
     

    ข้าคิดถึงเจ้านะเอลซ่า แค่จากเจ้าเดือนกว่าข้าก็จะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย แจ็พูดต่อ
     

    แค่คิดถึงอย่างเดียวเหรอ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจ
     

    รักด้วยครับ แจ็คพูดออกมาพร้อมกับหอมแก้มฉันทีหนึ่ง
     

    พอแจ็คพูดเสร็จฉันก็ค่อยๆแกะมือเขาออกจากเอวฉันแจ็คก็ยอมคลายกอดให้แต่โดยดีไม่เหมือนกับตอนนั้นที่ฉันพยายามแกะแต่ก็รัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ พอแจ็คปล่อยมือเสร็จแล้วเขาก็ยกคางตัวเองขึ้นจากไหล่ฉัน ฉันก็หันหลังไปหาแจ็คแล้วก็กอดเขาโดยตอนที่ฉันกอดฉันก็ปล่อยให้น้ำตาของฉันไหลไปด้วย
     

    เราคิดถึงท่านคิดถึงมากด้วย อย่าจากเราไปแบบนี้อีกนะ ฉันพูดออกไปพร้อมกับน้ำตา
     

    ข้าก็อยู่นี่แล้วไงเอลซ่า แจ็คพูดออกมาพร้อมกับลูบหัวของฉันเบาๆ
     

    ท่านไม่ทำหน้าที่ของท่านแล้วเหรอ ฉันเงยหน้าถาม
     

    ข้าทำเสร็จแล้วเหลือแต่ตอนใกล้หมดฤดูหนาวนี่แหละข้าถึงค่อยไปลาลายหิมะที่ข้าสร้าง แจ็คตอบกลับมาพร้อมกับเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่ออกให้ พอเขาพูดเสร็จฉันก็คลายกอดแล้วยืนกุมมือตัวเอง
     

    ขอบคุณที่ทำตามสัญญานะ ฉันพูดออกไปพรัอมกับยิ้มให้
     

    ข้าไม่มีวันผิดสัญญาข้าก็บอกเจ้าไปแล้วนิ แจ็คพูดออกมาแล้วยิ้มตอบแต่ทว่า
     

    เพี๊ยะ(เสียงฝ่มือและนิ้วมือกระทบหน้าอย่างแรง) ฉันตบหน้าแจ็คก็หันหน้าไปตามทิศทางที่โดนตบ
     

    โอ๊ย ตบข้าหน้าทำไมละเอลซ่า แจ็คถามออกมาพร้อมกับเอามือกุมแก้มข้างที่โดนตบ
     

    หายไปเป็นเดือนเป็นปีฉันไม่ว่า แต่อย่างน้อยขอให้ติดต่อมาบ้าง ฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนี้ ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่โมโห
     

    แต่ข้าก็ส่งจดหมายมาให้เจ้าทุกวันนะเจ้าไม่ได้รับเหรอ แจ็คถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว
     

    ฉบับไหนละฉันเปิดดูไม่เห็นมีซักฉบับ ฉันถามกลับ
     

    ก็ซองสีน้ำเงินที่บนซองไม่ได้เขียนอะไรไง แจ็คตอบกลับมา
     

    ก็ท่านไม่ได้เขียนชื่อผู้รับนะสิคนรับใช้ก็เลยเอาไปทิ้งนะ ฉันพูดออกไปแจ็คก็ตกใจเล็กนัอย
     

    แต่แต่ว่าแจ็คพยายามพูดบางอย่างแต่ฉันพูดสวนไปก่อนว่า
     

    ไม่ต้องมาต่งมาแต่เลยยังไงท่านก็ผิด ฉันพูดออกไปและแจ็คกำลังจะพูดอะไรบางอย่าแต่ฉันก็พูดไปก่อนว่า
     

    ท่านไม่ต้องอ้างนี่คือการลงโทษท่านห้ามกอด ห้ามสัมผัส ห้ามดม ห้อมหอม ห้ามจูบ หรือแม้แต่จะจับมือ ถือซะว่านี่เป็นการเอาคืนที่ทำให้ฉันเหงาละกัน ฉันพูดออกไปแจ็คก็ทำหน้าแบบสลดหดหู่ทันที
     

    ฉันจะไปที่ท่าเรือท่านจะตามไปก็ได้นะฉันไปละ ฉันพูดเสร็จก็เดินออกห้องทิ้งให้แจ็คอยู่คนเดียว ระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินออกจากห้องแจฺคก็พูดออกมาว่า
     

    เดี๋ยวก่อนเอลซ่า แต่ฉันงอนไม่ฟังก็เลยเดินออกไปเลย

     

    Jack Frost :
     

    หลังจากที่ข้าโดนนางตบหน้าข้าก็สับสนไปหมดเมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลยจู่ๆก็มาตบหน้ากันซะงั้นความจริงข้าจะบินหนีไปก็ได้แต่ไอ่ความรู้สึกผิดนี่สิมันอะไรข้าทำอะไรผิด ข้าปล่อยให้เหงาใช่ แต่ไม่ยอมติดต่อไม่ข้าติดต่อแล้วแต่นางไม่ได้เองสรุปนี่เป็นความผิดข้าใช่ไหม พอนางปิดประตูห้องข้าก็บ่นกับตัวเองว่า
     

    “สรุปข้าต้องไปง้อใช่ไหมเนี่ย” ข้าบ่นออกไป พอบ่นเสร็จข้าบินไปที่หน้าประตูวังเพื่อตามนางไปท่าเรือ

     

    Anna Princess of Arendelle :
     

             ตอนนี้ฉันมารอพี่เอลซ่าที่หน้าประสาท ตอนนี้ฉันยืนแตะหิมะที่หน้าปราสาทด้วยความเบื่อหน่ายไม่ใช้เพราะอะไรหรอกนะพี่เอลซ่ามาช้ามากไม่รู้ว่าเพราะอะไร ที่ฉันรอนานก็อาจจะเพราะฉันแค่เอาผ้าคลุมมาห่มเลยก็ได้เพราะชุดของฉันที่ใส่วันนี้เป็นแบบเดียวกับเมื่อตอนที่พี่เอลซ่ายังควบคุมพลังไม่ได้ ชุดนี้เป็นชุดกระโปรงโดยมีกระโรงสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าบูทหนังสีดำเงาลายสีทอง เสื้อแขนกุดสีดำลายดอกไม้ และฉันก็ใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าไว้ด้านใน และสวมถุงมือสีเดียวกับเสื้อแขนยาว ส่วนผ้าคลุมก็เป็นสีแดงอมม่วง วันนี้ฉันไม่ได้ใส่ผ้าคลุมหัวสีเดียวกับผ้าคลุมมาด้วยเพราะมันไม่ได้หนาวมากนัก ฉันก็ยืนรอพี่เอลซ่านานสองนาน ซักพักฉันก็เห็นโอลาฟที่ตอนนี้ไม่มีเมฆส่วนตัวอยู่บนหัว เพราะตอนนี้มันเป็นฤดูหนาวแล้วพี่หญิงเลยเอามันออก ดูเหมือนโอลาฟจะหาอะไรบางอย่างอยู่ฉันก็เลยเรียก
     

             “โอลาฟ” ฉันเรียกชื่อออกไป พอเจ้าของชื่อได้ยินก็หันมาแล้วฉีกยิ้ม พร้อมกับวิ่งเข้ามาหาแล้วพูดว่า
     

             “ไงอันนา ฉันโอลาฟ ฉันชอบอ้อมกอดที่อบอุ่น” ฉันก็ยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆเพราะโอลาฟชอบทักมาด้วยประโยคนี้เสมอ
     

             “หาอะไรอยู่เหรอโอลาฟ” ฉันเปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งคุกเข่าให้ตัวเองสูงพอๆกับโอลาฟ
     

             “นี่อันนาเห็นจมูกข้าไหม” โอลาฟถามมา พร้อมกับมองหารอบๆ ช่วงที่โอลาฟหันไปหันมาฉันก็เห็นแครอทที่ฉันได้เคยปักเอาไว้ติดอยู่ด้านหลัง ฉันก็ค่อยๆเลื่อนมือไปตบมันให้เข้าที่เพราะโอลาฟหันไปพอดี
     

             “อ้าวไงเอลซ่า” โอลาฟโบกมือทักทายพี่เอลซ่าที่เดินออกมาจากปราสาทพอดี ความจริงก็อยากทักท่านพี่นะแต่ตอนนี้ไม่ว่างเพราะเล็งเพื่อกะพิกัดในการตบอยู่
     

             “นิ่งๆไว้นะ โอลาฟ” ฉันพูดออกเพื่อไม่ให้โอลาฟขยับหัวพอหัวโอลาฟอยู่นิ่งแล้วฉันก็ออกแรงดันมันให้เข้าที่ทันที
     

             “เมื่อกี้บอกให้อ้าวโอ้วเอ้วอ๊าว….ว้าวนี่ไงจมูกฉัน อันนาหาเจอที่ไหนเหรอ” โอลาฟกำจมูกตัวเองแล้วหันหลังมาถามฉันฉันก็ตอบกลับไปว่า
     

             “มันอยู่ข้างหลังนายไงโอลาฟ” ฉันพูดแล้วชี้ไปพร้อมกับหัวเราะกับท่าทีของมันที่ตอนนี้เอามือควานหาแครอทที่อยู่ด้านหลัง
     

             “ตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วไง” พี่เอลซ่าพูดพร้อมกับเอานิ้วกดจมูกมันไว้
     

             “เอ่อใช่จริงด้วย” โอลาฟพูดขึ้นมาพร้อมกับเกาหัวตัวเองเบาๆ
     

             “คราวหลังอย่าทำหายโอลาฟ” ฉันพูดดบอก พร้อมกับลุกขึ้นยืน
     

             “ได้สิ” โอลาฟก็ตอบมาตามประสาของมัน แล้วถามว่า
     

             “นี่ๆอันนากับเอลซ่าจะไปไหน” โอลาฟถามมาพร้อมกับหันไปหันมาระหว่างฉันกับพี่เอลซ่าอย่างสนใจ
     

             “ที่ท่าเรือ” ฉันกับพี่เอลซ่าพูดพร้อมกัน
     

             “ท่าเรือเหรอไปด้วยๆ” โอลาฟพูดออกมาพร้อมกับกระโดดไปมา
     

             “ได้สิ ถ้าเจ้าอยากไปก็ตามมาเลยโอลาฟ” พี่เอลซ่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับยิ้มให้ จากนั้นซักพักฉันก็เห็นพี่แจ็คก็ลอยลงมาพอดี
     

             “อ้าวนั่นพี่แจ็คนี่นา” ฉันพูดออกมาพร้อมกับชี้ให้พี่เอลซ่ามองด้วยความตื่นเต้น
     

             “แล้ว” ท่านพี่พูดออกด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ฉันก็งงว่าทำไมท่านพี่พูดอย่างนี้ทั้งๆที่บ่นคิดถึงซะทุกวัน
     

             “อ้าวก็ท่านพี่อยากเจอเขาจะแย่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ” ฉันพูดพร้อมกับก็ดึงแขนพี่เอลซ่าให้ไปหาพี่แจ็ค
     

             “ใครอะไรพี่เหรอ” จู่ๆพี่เอลซ่าก็พูดออกมาแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง
     

             “ก็ใช่นะสิคะ” ฉันพูดออกไป พอฉันพูดเสร็จพี่เอลซ่าก็หายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า
     

             “พี่ว่าน้องเข้าใจผิดแล้วนะ แจ็ค ฟรอสต์ ที่พี่รู้จักนะเขาไม่ได้ทิ้งให้พี่เหงาเป็นเดือนหรอก” พี่เอลซ่าพูดออกมาพร้อมกับเน้นคำว่าเหงาอย่างชัดเจน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วละว่าทำไมพี่เอลซ่าเป็นอะไร
     

             “อันนาจะไปไหม ดูเหมือนเรือมาเทียบท่าแล้วนะ” ซักพักพี่เอลซ่าก็ชวนฉันเดินยังท่าเรือฉันก็พยักหน้าตอบ จากนั้นพี่เอลซ่าก็เดินนำฉันไป ซักพักพี่แจ็คก็เดินเข้ามาถามฉัน
     

             “อันนาช่วยพี่ด้วย” พี่แจ็คพูดเชิงขอร้อง ฉันก็พอรู้ว่าพี่เขาจะให้ฉันช่วยอะไร ช่วยง้อพี่เอลซ่าแน่ๆ แต่ฉันจะช่วยไหม ไม่
     

             “ไม่คะ” ฉันรีบตอบกลับไปทันทีทำเอาพี่แจ็คคอตกไปเลย แล้วเขากำลังจะถามว่าทำไมฉันก็ชิงถามไปก่อน
     

             “ก็พี่แจ็คเป็นคนที่พี่เอลซ่างอนเองนะคะ พี่ทำเองพี่ก็ต้องง้อเองคะ อีกอย่างพี่หญิงนั้นเป็นคนโกรธยากหายยากคะ หนูเคยครั้งหนึ่งพี่ไม่พูดกับหนูเป็นอาทิตย์เลยคะ” ฉันพูดให้พี่แจ็คฟังทำเอาเขาหน้าซีดทีเดียว
     

             “แล้วจะให้ข้าทำไงละ” พี่แจ็คถามออกมา
     

             “หนูไม่รู้ พี่ต้องหาทางเองคะ” ฉันพูดออกไปพร้อมกับเดินตามพี่เอลซ่าไป
     

             “เดี๋ยวสิอันนา” พี่แจ็คพูดออกมาฉันก็หันหลังกลับแล้วเริ่มพูด
     

             “พี่เอลซ่าชอบช็อกโกแลต พี่แจ็คก็ให้ซะบ้างสิเผื่อพี่เอลซ่าจะได้หายงอน” ฉันพูดออกไป พอฉันพูดเสร็จก็หันหลังกลับเดินตามพี่เอลซ่าเหมือนเดิม
     

             ระหว่างที่ฉันเดินไปโอลาฟก็เดินตามมาติดๆ ส่วนพี่แจ็คนะเหรอก็พยายามเดินเข้าใกล้พี่เอลซ่าพอใกล้จะถึงตัวก็โดนพี่เอลซ่าเสกน้ำแข็งดันออกไป ตอนนี้คนในเมืองมองพวกเราแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ความจริงเขามองพี่เอลซ่ากับพี่แจ็คมากกว่า ดูเหมือนคนทั้งเมืองจะเห็นพี่แจ็ค ฟรอสต์แล้วนะ ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงเห็นกันซะทั้งเมืองตั้งแต่เทศกาลต้อนรับฤดูหนาวเมื่อเดือนที่แล้ว ฉันก็เดินไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเรื่องระหว่างพี่เอลซ่ากับพี่แจ็คนั่นแหละ ฉันก็ลองเดินช้าลงเรื่อยๆให้ฉันกับพี่เอลซ่าอยู่ห่างกันพอประมาณจนตอนนี้ดูเหมือนจะเหลือแค่พี่แจ็คเดินกับพี่เอลซ่าซะแล้ว ฉันก็เดินเข้าฝูงชนฟังเสียงคนในเมือง
     

             “นั่นคนรักขององค์ราชินีงั้นรึ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เห็นคนรักขององค์ราชินีว่าไหม” ชายชราคนหนึ่งพูดออกมาพร้อมกับถามหลานที่นั่งขี่คออยู่
     

             “ใช่ครับคุณชวด” เดี๋ยวนะคุณชวด ขอเรียงลำดับแปปนะ ปู่คือพ่อของพ่อ ทวดคือพ่อของปู่ ถ้างั้นชวดคือพ่อของทวดนะสิ แสดงว่าคนๆนี้ต้องเป็นปู่ของปู่นะสิแก่โครต แต่ก็ชั่งมันเถอะไปฟังคนอื่นต่อดีกว่า ระหว่างที่ฉันเดินอยู่ก็ถูกฝ่ามือนิรนามฉุดแขนเข้าไปในฝูงชน
     

             “นี่แกดูนั่นสิ” สตรีไม่ทราบนามเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับดึงแขนฉันเข้าไปหา โดยไม่ได้ดูว่าฉันไม่ใช่เพื่อนหล่นนะยะ
     

             “ลากแกฉันมานี่ทำไมละ” ฉันพูดออกไปโดยดัดเสียงให้สูงนิดหน่อย นึกว่าคนที่ดึงแขนฉันอยู่จะรู้ตัวแต่ไม่เลย
     

             “นี่ๆดูคู่ขององค์ราชินีสิ หล่อเนอะว่าไหม” สตรีนิรนามผู้ที่ไม่รู้ว่าน้องสาวของผู้ที่ถูกกล่าวถึงอยู่ข้างหลังตัวเอง ฉันก็ได้แต่กุมขมับตัวเอง
     

             ” ฉันก็เงียบตอบกลับไป
     

             “ดูสิสีผมก็คล้ายกัน(ไม่มั้งพี่ฉันบลอนซ์แพลตตินัม ส่วนพี่แจ็คก็สีขาวออกเงิน) สีผิวก็เหมือนกัน(อันนี้จริง) ดีนะที่ใช้เวทย์มนต์แห่งน้ำแข็งและหิมะได้(ความจริงใช้ได้นะ) ว่างั้นไหม แอนนี่” สตรีนิรนามคนนั้นพูดออกมาพร้อมกับหันหลังมาพร้อมกับเอ่ยชื่อเพื่อนของเธอเพื่อที่จะคุยต่อแต่พอเจอหน้าฉันก็ทำหน้าราวกับโดนผีหลอก
     

             “องค์องค์หญิงอันนา” สตรีผู้นั้นเอ่ยชื่อฉันออกมาฉันก็ตอนรับโดยกระยิ้มและพยักหน้า
     

             “คราวหลังก็ดูคนที่จะฉุดมาคุยก่อนนะ” ฉันพูดออกไป ซักพักเหมือนเพื่อนของสตรีนิรนามคนนี้เรียกหา เธอก็ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษแล้ววิ่งออกไป
     

             “ฟู่ว(เสียงถอนหายใจ) โอยไปได้ซะทีเกร็งไปหมด” ฉันพูดออกมาพร้อมกับบิดขี้เกียจ และตั้งข้อสงสัยว่าพี่เอลซ่าวางมาดแบบนี้ได้เป็นวันๆได้ไงฉันทำแค่แปปเดียวก็เมื่อยจะแย่
     

             ฉันเดินไปเรื่อยๆก็ถึงท่าเรือดูเหมือนเรือจะจอกเทียบท่าแล้วเพราะเห็นพี่เอลซ่าหยุดเดินแล้วจ้องเรือลำนั้น แต่ฉันอยู่ไกลมากฉันก็เลยทำการแหวกฝูงชนครั้งแรกตอนที่แหวกผู้คนรู้สึกคิดถึงคริสตอฟขึ้นมาทันทีเพราะเวลามีคนเยอะแบบนี้ทีไรคริสตอฟจะคอยนำทางให้ฉันตลอด แต่คนเราก็อยู่ชิดกันตลอดไม่ได้ว่าไหม ฉันก็ต้องทำอะไรเองบ้างฉันก็เดินเข้าไปในฝูงชนอีกครั้งคราวนี้นานหน่อยกว่าจะออกมาได้ พอออกมาได้ฉันก็ลื่นล้มทันที
     

             “ว้าย” ฉันร้องออกไปพร้อมกับหลับตาแต่ความรู้สึกที่เหมือนนั่งอยู่บนเบาะนี่คืออะไร ฉันก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาเห็นพี่แจ็คกับพี่เอลซ่าเสกหิมะจากจุดที่ฉันล้มพร้อมกันทำเอาทุกคนฮือฮากันใหญ่ พออพี่เอลซ่าเงยหน้าไปมองเท่านั้นแหละ ทุกคนก็เงียบทันที ฉันก็ลุกขึ้นยืนเห็นคนสองคนเดินลงมาจากเรือ ฉันก็จ้องซักพักก็เห็นผู้หญิงคนนั้นโบกมือทักทายฉันกับพี่เอลซ่า ฉันก็จ้องซักพักก็เป็นพี่ราพันเซลนี่นา ฉันก็เลย
     

             “พี่พันซ์ซี่” ฉันเรียกชื่อเล่นออกไปพร้อมกับโบกมือแล้ววิ่งเข้าไปหา
     

             “ไงอันนา” พี่ราพันเซลหยุดยืนรอพร้อมกับผายมือรอรับฉันก็กระโดดกอดทันทีทำเอาพี่ราพันเซลเซเล็กน้อย ซักพักพี่เอลซ่าก็เดินเข้ามา
     

             “ไงราพันเซล ไม่เจอตั้งนานขอกอดได้ไหม” พี่เอลซ่าพูดออกมาพร้อมกับอ้าแขนรับ พอพี่ราพันเซลเห็นอย่างนั้นก็คลายกอดแล้วเดินเข้าไปกอดพี่เอลซ่า
     

             “สวัสดีคะพี่เอลซ่า” พี่ราพันเซลพูดออกมาพอพูดเสร็จก็คลายกอดจากฉันไปกอดพี่เอลซ่าแทนจากนั้นพี่เอลซ่าก็เริ่มพูดทันที
     

             “ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้เราอายุเท่ากันนะ แล้วเสด็จป้ากับเสด็จลุงทรงไม่มาเหรอ” พี่เอลซ่าถามอออกไปพี่ราพันเซลก็ตอบกลับมาทันทีว่า
     

             “ท่านพ่อกับท่านแม่มาไม่ได้ก็เลยส่งฉันกับยูจีนมาแทนนะ” พี่ราพันเซลพูดออกมาแล้วดูเหมือนจะเห็นพี่แจ็ค ฟรอสต์ เลยทำหน้าตกใจและกระซิบกับพี่เอลซ่า พี่เอลซ่าก็กระซิบตอบ พี่ราพันเซลก็ยิ้มออกมาแล้วตกหลังพี่เอลซ่าเบาๆแล้วพูดว่า
     

             “ร้ายเหมือนกันนะเนี่ยพี่ฉัน” พี่ราพันเซลพูดออกมาแล้วมองพี่เอลซ่ากับพี่แจ็คสลับไปมาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
     

             “นี่ๆคนที่มายังอยู่ตรงนี้อีกคนนะ” เราสามคนหันไปหาต้นเสียงทันทีที่พูดเสร็จ
     

             “โทษทีฉันลืมไปว่านายมาด้วย” พี่ราพันเซลพูดออกมาพร้อมกับน้ำเสียงและทำหน้าดูถูกผู้ที่เป็นสามีของเธอเอง
     

             “ว้าวๆพี่ยูจีนมาด้วยเหรอ” ฉันพูดออกไปพร้อมกับกระโดดไปมารอบๆตัวเขาเชิงหยอกล้อ
     

             “นั่นสิทำไมนิ่งเงียบไปละ” พี่เอลซ่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชินชา พี่ยูจีนก็ทำหน้าหวาดกลัวจนต้องเดินออกห่างพร้อมกับดึงพี่ราพันเซลมาเป็นโล่(แมนมากเลยคะคุณพี่เขย)
     

             “นี่ฉันล้อเล่น ไปเข้าปราสาทกันดีกว่าพวกเธอไม่หนาวกันหรือไง” พี่เอลซ่าพูดออกมาพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเชิญชวนเข้าปราสาท
     

             “หนาวสิดูเสื้อผ้าฉันก่อน นี่ฝีมือเธอรึเปล่า” พี่ราพันเซลถามมาพี่เอลซ่าก็ชี้ไปที่พี่แจ็คพร้อมกับหันไปมองด้วย
     

             “ฮ่าๆๆ หมอนี่เนี่ยนะ” พี่ยูจีนหัวเราะออกมาแต่ดูเหมือนพี่แจ็คจะโมโหนิดๆก็เลยแช่แข็งพี่ยูจีนโดยที่ผู้ถูกกระทำไม่ทันรู้สึกตัวว่าโดนแช่แข็งไปแล้วจนเหลือแต่ไหล่และหัวที่ยังไม่ได้ถูกเคลือบไปด้วยน้ำแข็ง
     

             “เห้ๆน้อยๆหน่อยข้าเป็นภูตินะเฮ้ย เห็นอย่างนี้ข้าก็แก่กว่าเจ้า ระวังปากซะบ้าง” พี่แจ็คพูดออกมาพร้อมกับค่อยๆเพิ่มน้ำแข็งให้ก่อตัวขึ้นช้าๆ
     

             “แจ็ค” พี่เอลซ่าเรียกพี่แจ็คแต่พี่แจ็คไม่ฟัง
     

             แจ็ค ละลายน้ำแข็งเดี๋ยวนี้” พี่เอลซ่าพูดเสียงดังขึ้นแต่พี่แจ็คไม่ยอมฟังจอนนี้น้ำแข็งเกาะต้นคอแล้ว
     

             แจ็คถ้าท่านไม่ละลายน้ำแข็งฉันทำโทษท่านเพิ่มอีกวันแน่” พี่เอลซ่าพูดอออกมาเชิงขู่พี่แจ็คก็หยุดทันทีแล้วมองไปที่พี่เอลซ่า
     

             “ตะ..แต่” พี่แจ็คพยายามอธิบาย แต่พี่เอลซ่าก็กอดอกแล้วจ้องตากลับเชิงสั่งว่าไม่ต้องพูด
     

             “เจ้าหมอนี่มัน”พี่แจ็คพยายามพูดต่อ แต่พี่เอลซ่าเอามือข้างที่กอดอกตัวเองอยู่ชูข้างหนึ่งชูเลขหนึ่ง
     

             “มัน” พี่เอลซ่าทำต่อตออนนี้ชูเลขสอง
     

             “ข้าไม่ยอมเจ้าหรอก” พี่เอลซ่าก็เอียงคอเชิงถามว่าแน่ใจนะแล้วค่อยๆชูนิ้วขึ้นจนจะครับสามพี่แจ็คก็พูดว่า
     

             “จ๋าจ๊ะ ผมจะละลายน้ำแข็งให้เดี๋ยวนี้แหละ” พี่แจ็คพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยอมแพ้พร้อมกับทำตามที่พี่เอลซ่าบอกทันที พอละลายเสร็จพี่ยูจีนก็ปันตัวเองเล็กน้อยแล้วกล่าวขอโทษพี่แจ็ค แล้วหันหน้าไปหาพี่ราพันเซลเพื่อฟ้องแต่ทว่า
     

             โป๊ก(เสียงกระทะทอดไข่ฟาดที่หัว)” พี่ราพันเซลเอากระทะทอดไข่ที่ซ่อนที่ไหนก็ไม่รู้มาฟาดหัวพี่ยูจีนอย่างแรงจนผู้ถูกกระทำเดินเซไปมาแล้วล้มลง
     

             “นี่โทษฐานที่นายทำผิด” พี่ราพันเซลพูดออกมาแล้วเก็บกระทะเข้าที่เดิม(?) ซักพกพี่ยูจีนก็ลุกขึ้นมาพร้อมกบลูบหัวตัวเองเบาๆ
     

             “พี่ว่าเราไปกันเถอะ หิมะเริ่มหนักแล้ว” พี่เอลซ่าพูดออกมา เราก็พยักหน้าแล้วเดินตามไป
     

             ระหว่างทางเราก็เดินไปคุยไปเราคุยเรื่องราวสารพัด ซักพักดูเหมือนพี่ราพันเซลก็เริ่มแซวพี่เอลซ่า
     

             “นี่ๆผู้ชายดีๆก็มีเยอะแยะ ทำไมถึงเลือกไปคบภูติละคะ” พี่ราพันเซลพูดออกมาพร้อมกับเอาไหล่ชนพี่เอลซ่า
     

             “แล้วทีพี่ละพี่ยังแต่งงานกับโจรได้เลย” ฉันพูดออกไปทำเอาพี่ราพันเซลสะอึก
     

             “แหม่ใครจะไปเหมือนเธอละ หลงรักเจ้าชายพอรู้ว่าเขาหลอกใช้ก็หันไปหาชายขายน้ำแข็งทันทีเลยน้า” พี่ราพันเซลหันมาจิกกัดฉันต่อ มันแทงใจดำชะมัด
     

             “นี่หยุดเลยพอทั้งคู่ นานๆเจอกันทีจะทะเลาะกันทำไม” พี่เอลซ่าพูดออกมาเชิงห้ามทัพ
     

             “จะว่าไปอันนาเธอจะแต่งวันมะรืนนี้แล้วใช่ไหม” พี่ราพันเซลถามออกมา ฉันก็พยักหน้าตอบ
     

             “แล้วเธอจะจัดงานที่ไหนเหรอ” พี่ราพันเซลถามออกมาฉันก็หันไปหาพี่เอลซ่าเชิงขออนุญาตพี่เอลซ่าก็ตกลง
     

             “ที่ปราสาทน้ำแข็งนะ” ฉันตอบกลับไป
     

             “ห๊า...ว่าอีกทีสิ” พี่ราพันเซลถามอีกครั้ง
     

             “ที่ปราสาทน้ำแข็งคะ” ฉันตอบกลับไปพี่ราพันเซลทำสีหน้าตกใจสุดขีด
     

             “ปราสาทน้ำแข็ง โห นี่เหมือนกับความฝันเลยนะอันนา” พี่ราพันเซลพูดออกมาแล้วเงียบไปซักพักหนึ่ง
     

             “จะว่าไปตั้งแต่ฉันมาฉันยังไม่เห็นคู่ตุนาหงัน(คู่ตุนาหงันคือคู่หมั้นที่จะแต่งงานกันในอนาคตครับ : ไรต์เตอร์)ของเธอเลยนะ” พี่ราพันเซลถามออกมาฉันก็ตอบกลับไปทันทีว่า
     

             “ก็พี่ราพันเซลมาแต่ละทีเขาก็ไปทำงานตลอดนะคะ เขาเป็นหัวหน้ากรมน้ำแข็งแห่งแอเรนเดลล์นะคะ งานเลยมีมากหน่อยถึงจะไม่เท่าเมื่อก่อนก็เถอะ” ฉันพูดออกไป ซักพักฉันก็เห็นคริสตอฟที่ตอนนี้ชุดที่เขาสวมใส่อยู่มีหิมะเกาะอยู่เต็มไปหมด เหมือนเขาจะคุยกับลูกน้องอยู่ฉันก็เลยเดินเข้าไปหา
     

             “นั่นคริสตอฟนิ คริสตอฟ” ฉันชี้ให้พี่ราพันเซลดูแล้วก็เดินเข้าไปหาคริสตอฟทันที พอฉันเดินไปถึงฉันก็ได้ยินที่คริสตอฟประชุมอยู่
     

             “โอเค วันนี้ผมจะให้พวกคุณพักประมาณสองสัปดาห์นะถือซะว่าเป็นค่าเหนื่อยที่ทุกคนขยันกันมาทั้งปี อีกอย่างเราทำรายได้ดีขึ้นเรื่อยๆทั้งๆที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว ต้องขอบคุณความคิดใครนะที่แนะนำให้ไปส่งที่เปอร์เซีย” คริสตอฟพูดออกมา
     

             “ว่าที่ภรรยาหัวหน้าไงคร้าาบ” คนงานคนหนึ่งพูดออกมาพอฉันได้ยินก็หน้าแดงทันทีด้วยความเขินอาย ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะแต่ฉันก็ไม่ชินซักที
     

             “เห้ยๆลูเซี่ยน สำรวมหน่อยถึงมันจะเป็นความจริง แต่เธอเป็นเจ้าหญิงนะมารยาทนะมีไหม” คริสตอฟดุคนงานตนเองฉันก็กอดเขาจากด้านหลังเพื่อแกล้งทันที
     

              “จ๊ะเอ๋” ฉันพูดออกไปพร้อมกับกอดเขจากด้านหลังคริสตอฟก็ตกใจเล็กน้อย
     

             “อันนา เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่” คริสตอฟถามฉันฉันก็ตอบกลับไปทั้งๆที่กอดเขาอยู่นั่นแหละ
     

             “ก็เมื่อกี้ไง” ฉนพูดเสร็จก็ก้มหน้าเอาหน้าไปซุกที่หลังเขาทันที
     

             “ฮี้ว หวานกันจังนะครับหัวหน้า” ลูกน้องของคริสตอฟคนหนึ่งพูดออกมาทำเอาคริสตอฟหน้าแดง
     

             “เห้ๆ กลับกันได้แล้วอย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านได้ไหม” คริสตอฟสั่งออกไปด้วยความอาย ก่อนที่จะแกะมือฉันแล้วพูดว่า
     

             “พอได้แล้วอันนาผมเขินเป็นนะ” คริสตอฟพูดออกมา พอเขาพูดเสร็จฉันก็เดินไปที่หน้าเขา
     

             “จ้าพ่อคริสโตเฟอร์” ฉันพูดอออกไปพร้อมกับยื่นมือไปบี้จมูกเขาเบาๆ ซักพักพี่เอลซ่ากับพี่ราพันเซลก็เดินเข้ามา
     

             “นี่คู่หมั้นเธอเหรออันนา” พี่ราพันเซลชี้มาที่คริสตอฟ คริสตอฟก็หันหน้ามามองตอนี้ทั้งคู่จ้องหน้ากันและพยายามนึกอะไรบางอย่างฉันไม่ชอบเลยที่คริสตอฟทำแบบนี้กับหญิงอื่น
     

             “ราพันเซล(คริสตอฟ)/บิเจอร์แมน(พี่ราพันเซล) ใช่ไหม” ทั้งคู่พูดออกมาพร้อมกัน อ้าวรู้จักกันมาก่อนเหรอ ฉันพยายามถามอะไรออกไปแต่พี่ราพันเซลกระโดดกอดคอคริสตอฟซะแล้ว
     

             “ว้าวไม่นึกว่าจะเจอนายอีกนะเนี่ย” พี่ราพันเซลพูดออกมาพร้อมกับปล่อยมือออกจาคอของคริสตอฟ
     

             “ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่นึกว่าเธอเป็นเจ้าหญิงนะเนี่ย” คริสตอฟพูดออกมา
     

             “แล้วทำไมผมเธอเป็นสีนี้ละ ทุกทีมันเป็นสีทองและยาวกว่านี้เยอะเลยนิ” คริสตอฟพูดออกมา ตอนนี้ฉันรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีที่สนิทสนมกันแบบนี้มาก
     

             “เขาคนนั้นตัดละ” พี่ราพันเซลพูดอกมาพร้อมกับชี้ไปที่พี่ยูจีน
     

             “แล้วกีตาร์ที่ผมได้ให้ไว้ละยังอยู่ไหม” หามีให้กีตาร์ด้วย คริสตอฟฉันเริ่มโมโหแล้วนะ
     

             “ยังอยู่ดีเลยละ อ้อแล้วนี่ของตอบแทน” พี่ราพันเซลตอบกลับไป แล้วก็หอมแก้มว่าที่สามีของฉัน ตอนนี้เหมือนอาการณ์คนอกหักที่รู้ว่าคนรักของตัวเองไปมีคนอื่นแล้วจะทิ้งเราไป
     

             “พอได้แล้ว” ฉันพูดออกไปเสียงดังพอประมาณทำเอาแทบทุกคนหันมาหาฉัน
     

             “อันนาเธอเป็นอะไร” คริสตอฟถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง แต่ฉันโมโหที่เขาทำกับฉันแบบนี้
     

             “เพี๊ยะ(เสียงตบหน้า)” แล้วตบหน้าเขาอย่างแรง คริสตอฟก็เอามือมาเตะตรงจุดที่โดนตบ
     

             “ทำไมละคริสตอฟทำไม” ฉันถามออกไปพร้อมทั้งน้ำตา
     

             “ทำไมนายทำกับฉันแบบนี้ละคริสตอฟ” ฉันถามอีกครั้ง
     

             “ผมทำอะไรผิดอันนา” คริสตอฟถามกลับมาแต่ฉันไม่ฟัง
     

             “ทำไมละ ทำไมนายต้องทำให้ฉันรู้สึกแบบนี้ด้วยละ คริสตอฟเราจะแต่งงานกันอยู่แล้วนะ ทำไม” ฉันตะโกนออกไปคริสตอฟทำหน้าตื่นตกใจปนรู้สึกผิด พอฉันพูดเสร็จก็วิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นทันที

     

    Kristoff Bjorman :
     

             เป็นเพราะเพื่อนเก่าสมัยเด็กของผมหอมแก้มแท้ๆ ทำเอาตอนนี้อันนาเข้าใจผิดอย่างแรง ว่าผมนั้นไปมีคนอื่น หนอยราพันเซลรอให้ผมจัดการ(ง้อ)อันนาให้เข้าใจก่อนเดี๋ยววันนี้โดนคิดบัญชีแค้นแน่ แต่ตอนนี้คงต้องตามอันนาก่อนทุกทีก็วิ่งไม่ค่อยเร็วทำไมวันนี้วิ่งเร็วนักนะ
     

             “อันนา” ผมตะโกนออกไปแต่ดูเหมือนอันนาจะไม่รับฟังเธอวิ่งหนีผมด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม
     

             “อันนาฟังผมก่อน” ผมตะโกนออกไปพร้อมกับวิ่งตามพอถึงสี่แยกแต่ดวงคนมันก็นะ ดันมีคนมาขวางทางพอดีตอนที่ผมมาถึง
     

             ตอนนี้อันนาก็อยู่ห่างจากผมไปเรื่อยๆแล้วดูเหมือจะหยุดนิ่งไปซักพักหนึ่งแล้วหันมาหาผมตอนนี้เราจ้องตากัน ผมเห็นสีหน้าของอันนาตอนนี้หน้าของเธอนั้นดูเศร้าและผิดหวัง ผมมันผิดเองที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น ซักพักเหมือนอันนาไปสั่งทหารคนหนึ่งให้เอาอะไรมาทหารคนนั้นก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ผมก็ไม่รอช้าช่วงที่เธอหยุดนี่แหละผมต้องตามให้ทัน ผมก็แหวกทางผู้คนเพื่อไปหาอันนา พอผมแหวกมาได้ดูเหมือนผมจะมาช้าไป ทหารคนนั้นเอาม้ามาให้อันนาพอดี ผมเห็นเธอควบม้าออกไปจากประตูเมืองแล้ว ผมเห็นอย่างนั้นก็ผิวปากเรียกเพื่อนตายที่พาผมฝ่าพายุหิมะไปหาเธอเมื่อตอนที่อาณาจักรนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะด้วยพลังของพี่สาวของเธอ ซักพักเพื่อนตายของผมก็เอาเขามาสะกิดที่หลังผมก็ขึ้นขี่หลังมันตามอันนาไป
     

             “เร็วหน่อยสเฟน” ผมสั่งมันไปมันก็ส่งเสียงร้องออกมา ผมไม่รู้นะว่าผมบ้ารึเปล่าผมดันฟังมันรู้เรื่องซะนี่
     

             “เอาน่าสเฟนยังไงนายก็ตามทันอยู่แล้ว ถึงนายเป็นกวางแล้วมันเป็นม้าก็เถอะ แต่ตอนนี้บนพื้นมีหิมะสูง อันนาไม่รู้ทางเธอต้องควบม้าฝ่าไปแน่ แต่เรารู้เส้นทางนะสหาย ไปเลยเพื่อน” ผมก็บอกกับเพื่อนตายตัวเดิมมันตอบผมโดยที่ก็วิ่งเร็วขึ้น ตอนนี้ผมเริ่มเห็นอันนาแล้ว
     

             “เร็วหน่อยเพื่อน” ผมสั่งมันอีกครั้งคราวนี้ผมอยู่เท่าอันนาแล้ว
     

             “อันนาฟังผมก่อน” ผมพูดออกไปอันนาก็หันมาพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา
     

             “ไม่ฉันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น” อันนาพูดออกมา
     

             “ทำไมละคริสตอฟ ทำไมนายถึงทำกับฉันแบบนี้” อันนาถามออกมา
     

             “อันนาเธอกำลังเข้าใจผมผิดนะ” ผมพูดออกไป
     

             “เข้าใจผิดเข้าใจผิดอะไรละ ก็เห็นๆกันอยู่ อย่ามาแก้ตัวคริสตอฟ” อันนาตะโกนออกมาอล้วควบม้าหนีผมไปอีก
     

             “อันนา” ผมตะโกนเรียกชื่ออันนาออกไป พร้อมกับสั่งให้สเฟนเร่งความเร็วขึ้นอีก แต่มันกลับบอกว่านี่เร็วสุดแล้ว ผมก็ได้แต่หวังว่าทางข้างหน้าจะมีหิมะอีก
     

             ผมตามอันนาที่ขี่ม้าวิ่งหนีไปเรื่อยๆ มีบางช่วงที่ผมไล่เกือบทัน บางช่วงที่ตามไม่ทันตอนนี้ดูเหมือนผมจะตีคู่คู่ขึ้นมาได้ ผมไม่สนละว่าจะเกิดอะไรผมรีบกระโดดออกจากสเฟนไปคว้าอันนาที่นั่งอยู่บนม้าทันที พอผมคว้าได้เราก็ตกม้าไปทั้งคู่ ตอนที่ตัวเราจะกระแทกบนพื้นผมก็พลิกตัวเอาตัวเองเป็นฐานให้อันนาอยู่ข้างบน พอหลงของผมกระแทกพื้นเราทั้งคู่ก็ไถลไปไกลพอสมควร พอตัวเราหยุดไถลผมก็ก้มมองอันนาดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เป็นอะไร ดูเหมือนเธอจะสลบไปเพราะแรงกระแทก ตอนนี้ผมก็กอดเธอเอาไว้อย่างนี้แหละเพราะตอนนี้หิมะเริ่มตกลงมาบ้างแล้วก็เลยกลัวเธอจะหนาวมากกว่านี้ ตอนนี้ผมก็ได้แต่มองหน้าตอนหลับของเธอไปเรื่อยๆ ผมอยากคุยกับเธออยากปรับความเข้าใจ ตอนนี้ก็คงได้แต่รอจนกว่าเธอจะฟื้นละมั้งระหว่างที่ผมรอให้เธอฟื้นผมก็ดันคิดถึงเรื่องเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ผมไม่รู้ว่าผมเริ่มรักอันนาตอนไหนอาจเป็นช่วงที่เธอให้ผมรับเธอก็ได้มั้งแต่ตอนนั้นความรู้สึกก็ยังไม่ชัดเจนกว่าผมจะรู้ว่าตัวรักอันนาก็ตอนที่ผมส่งเธอที่หน้าประตูวังเพื่อให้เธอไปหาคนที่คิดว่าเป็นรักแท้ของเธอ ผมก็มองไปเรื่อยๆจนประตูวังปิดไป ยิ่งตอนที่เธอกลายเป็นน้ำแข็งต่อหน้าต่อตามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจแหลกสลาย ยิ่งผมต้องก็พยายามฝ่าด่านกำแพงน้ำแข็งของพี่สาวเธออีกมันทำให้ผมท้อนะแต่ก็ต้องสู้ สุดท้ายก็พิธีคัดเลือกนี่แหละหินสุดแต่ก็รอดมาได้ทำให้ตอนนี้พี่สาวของเธอยอมรับผมซะที ตอนนี้ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างขยับในอ้อมกอดของผม ดูเหมือนเธอจะได้สติขึ้นมาแล้ว

     

    Anna Princess of Arendelle :
     

             ฉันรู้ตัวครั้งสุดท้ายก็ตอนที่คริสตอฟกระโดดมาคว้าตัวฉันที่กำลังควบม้าหนีจากตัวเขาอย่างบ้าบิ่น ตอนนี้ฉันรู้สึกอุ่นอย่างบอกไม่ถูกอยากรู้สึกแบบนี้ตลอดจัง ฉันก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วขยับตัวแต่พอฉันขยับตัวก็รู้สึกถึงอะไรมากอดฉันอยู่ ฉันก็มองไปด้านหลังเห็นคริสตอฟกำลังยิ้มใหัฉันอย่างอ่อนโยนให้ฉัน
     

             “คริสตอฟปล่อย ฉันสั่งเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่โมโห
     

             “ไม่ยังไงผมก็ไม่ปล่อยแน่อันนา คริสตอฟพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
     

             “ฉันบอกให้ปล่อยคริสตอฟ ฉันพูดออกไปพร้อมกับตีศอกไปชนกับหน้าท้องของเขาเพื่อที่เขาจะให้เขาจุกและปล่อยฉัน แต่ว่าหน้าท้องเขาแข็งเกินไปทำให้ฉันเจ็บข้อศอกแทน
     

             “ให้ตายยังไงผมก็ไม่ปล่อยอันนาผมเคยเสียคุณไปแล้วผมจะไม่เสียคุณไปอีก ผมพูดออกไปพร้อมกับกอดใหัแน่นขึ้น
     

             “นายไม่ต้องมาพูดแบบนี้เลยนะ นายคิดหลอกฉันเหมือนฮานใช่ไหม ฉันตะคอกใส่คริสตอฟเขาก็นิ่งไปซักครู่
     

             “เห็นไหมสุดท้ายนายก็มันเลวเหมือนมัน ทำไมละทำไมนายเห็นฉันเป็นคนโง่หรือไงคริสตอฟ ฉันพูดต่อ ตอนนี้เหมือนคริสตอฟจะตกใจกับคำพูดฉัน เพราะเขาปล่อยฉันออกมา ฉันก็ยืนขึ้นแล้วหันไปหาเขา
     

             “ทำไมละคริสตอฟ ทำไม ฉันพูดออกไปแล้วร้องไห้พรัอมกับนั่งทุบตีคริสตอฟ
     

             “ฉันอุตส่าไว้ใจนาย ฉันอุตส่ารักนายด้วยใจจริง ทำไมคริสตอฟ ทำไมนายถึงตอบแทนฉันแบบนี้คริสตอฟ ฉันพูดออกไปพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแบบไม่ขาดสาย
     

             “ตอบฉันมาสิคริสตอฟว่าทำไม ฉันพูดออกไปอย่างแผ่วเบาพร้อมกับหยุดทุบตี ฉันก็นั่งร้องไห้อยู่หน้าเขา
     

             “อันนา เขาพูดออกมาแล้วเงียบไปซักพักหนึ่ง
     

             “เธอเข้าใจผิดมากเลยนะสำหรับเรื่องของผม ผมกับราพันเซลนะเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่เฉยๆนะอันนา” คริสตอฟพูดต่อทำเอาฉันสงสัย
     

             “แค่เพื่อนทำไมต้องกระหนุงกระหนิงแบบนั้นด้วยละ” ฉันเงยหน้าถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
     

             “เธอน่าจะรู้นิสัยของราพันเซลดีกว่าผมนะอันนา” ฉันๆฟังที่เขาพูดก็ค่อยๆนึกการกระทำของพี่ราพันเซลก็เป็นจริงอย่างที่คริสตอฟพูด
     

             “ฉันขอโทษ” ฉันพูดออกไปคริสตอฟก็ถอนหายใจแล้วเอามือมาปาดน้ำตาที่อยู่ข้างแก้มฉันแล้วพูดว่า
     

             “คราวหน้าคราวหลังก็ฟังกันบ้างนะ” คริสตอฟพูดออกมาพร้อมกับลูบหัวฉันเบาๆ ตอนนี้ฉันก็เริ่มยิ้มออกมาได้แล้ว
     

             “นี่คริสตอฟ” ฉันเรียกชื่อเขาออกไป
     

             “ครับ? เขาขานตอบกลับมา
     

             “นายยังรักฉันอยู่ไหม” ฉันถามออกไป คริสตอฟก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
     

             “ถ้าผมไม่รักผมคงไม่ทำแบบนี้หรอกครับ” คริสตอฟตอบกลับมาฉันก็พออรู้เขาต้องการสื่อถึงอะไร แต่ฉันก็แกล้งเขาหน่อย
     

             “นี่คริสตอฟตอบตรงๆหน่อยสิ” ฉันพูดออกไปคริสตอฟก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า
     

             “รักสิครับ ต่อให้ตายจากกันไปจนถึงชาติหน้าก็ยังรัก” คริสตอฟตอบกลับมาซักพักเขาก็สะกิดฉัน
     

             “อันนามองไปข้างหลังสิ” คริสตอฟพูดออกมาพร้อมกับชี้ไปฉันก็หันหลังกลับไป ก็ตกตะลึงกับความสวยงามของวิวทิวทัศน์และธรรมชาติในฤดูหนาว
     

             “ว้าวสวยจัง” ฉันเพ้อออกมา คริสตอฟก็พูดออกมา
     

             “เห็นไหมละฤดูหนาวก็ยังมีสิ่งสวยงามเหมือนฤดูอื่นๆอยู่นะ” คริสตอฟพูดออกมาทำเอาฉันยิ้มอออกไป
     

             ฉันกับคริสตอฟก็ดูบรรยากาศที่บริเวณนั้นจากเดิมมันดูลึกลับและอันตราย แต่ตอนนี้มันกลับดูสงบอย่างบอกไม่ถูกตอนนี้หิมะตกปอยๆ ฉันก็นั่งอยู่บนตักของคริสตอฟโดยที่เขากอดที่เอวของฉันอย่างหลวมๆ
     

             “อันนา” อยู่ๆคริสตอฟก็พูดออกมา
     

             “คะ?” ฉันก็ขานรับ
     

             “อันนาเธอจะยอมรับฉันเป็นครอบครัวเดียวกับเธอไหม” เขาถามมาฉันก็ตอบกลับไปว่า
     

             “รับสิ ถ้าฉันไม่ยอมรับในตัวนายฉันจะยอมแต่งงานกับนายเหรอ” ฉันตอบกลับไป
     

             “อันนา” คริสตอฟเรียกชื่อฉันอีกครั้ง ฉันก็หันตัวไปหาเขาแล้วพูดว่า
     

             “จะพูดอะไรก็พูดมาให้หมดเถอะ ไม่ต้องค่อยๆป้อนมาก็ได้” ฉันพูดออกไปเชิงสั่ง คริสตอฟก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
     

             “อันนา” เขาเรียกชื่อฉันอีกครั้งฉันก็เอียงคอด้วยความสงสัย
     

             “ผมได้ให้ครึ่งชีวิตของผมไปให้คุณแล้ว” คริสตอฟพูดออกมาแล้วนิ่งไปซักครู่หนึ่ง
     

             “คุณจะช่วยให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของคุณมาให้ผมดูแลได้ไหม” เขาพูดเสร็จทำเอาเราหน้าแดงไปทั้งคู่
     

             “คนบ้านายโกงฉันนิ” ฉันพูดออกไป
     

             “ผมโกงอะ” คริสตอฟกำลังจะถามฉันแต่ฉันก็เอามือไปปิดปากของเขาเอาไว้ก่อน
     

             “ฉันให้ชีวิตของฉันทั้งหมดไว้ให้นายดูแลแล้วนะ แต่นายกลับให้ฉันแค่ครึ่งเดียวเองเหรอ” ฉันพูดออกไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
     

             “คุณไว้ใจผมมากขนาดนี้เลยเหรอ” คริสตอฟถามกลับมา ฉันก็พยักหน้าตอบจากนั้นเราก็เงียบไปซักพัก
     

             “เอ่อคริสตอฟ” ฉันพูดชื่อเขาออกไป
     

             “ครับ?” คริสตอฟขานออกมา
     

             “คลายกอดหน่อยได้ไหมฉันเริ่มร้อนแล้วนะ” ฉันพูดเชิงออกคำสั่ง คริสตอฟก็ทำตามแต่โดยดีพอเขาคลายกอดฉันก็ลุกขึ้นยืนม้าที่ฉันขี่มาก็เดินมาพอดี
     

             “นี่คริสตอฟ กลับปราสาทกันไหม” ฉันถามเขาออกไป คริสตอฟก็ลุกขึ้นมาเขาปัดหิมะที่ติดตัวเขาออกแล้วพูดว่า
     

             “นั่นแหละปัญหาผมไม่รู้ว่าจะกลับทางไหนนะสิ” คริสตอฟพูดออกมาทำเอาฉันอารมณ์เสีย
     

             “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ” ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่โมโหนิดๆ
     

             “เฮ้ยๆ อย่าโมโหสิที่ผมบอกว่าไม่รู้ว่าจะกลับทางไหนนะ เพราะมันมีเยอะเกิน” คริสตอฟพูดออกมาพร้อมกับยกมือห้าม
     

             “แล้วอยากไปทางไหนหละ” คริสตอฟพูดต่อแล้วยิ้มให้ฉัน
     

             “ทางไหนก็ได้อ้อมๆหน่อย ฉันอยากชมบรรยากาศ” ฉันพูดออกไปคริสตอฟก็พยักหน้า จากนั้นเขาก็ขึ้นขี่กวางของเขาฉันก็ขึ้นขี่ม้าของฉันเที่ยวชมบรรยากาศที่แอเรนเดลล์ในฤดูหนาว

     

    วันพิธีเสกสมรส ที่ปราสาทน้ำแข็ง อาณาจักรแอเรนเดลล์

     

             ในที่สุดก็ถึงวันนี้จนได้วันที่ฉันรอคอยมานานแสนนานวันนี้เป็นวันที่ฉันจะได้เป็นผู้หญิงเต็มตัวซะที แต่ว่าฉันไม่ได้เจอหน้าของคริสตอฟตั้งแต่เมื่อวาน เพราะมันเป็นกฎที่ตั้งเอาไว้รู้สึกอยากเจอหน้าเขาแล้วสิ ตอนนี้ฉันแต่งตัวเสร็จแล้วเหลือเพียงแต่รอท่านพี่เอลซ่าพาออกไปก็เท่านั้น
     

             “ทำไมพี่เอลซ่ามาช้าจัง” ฉันบ่นอุบอิบคนเดียวในห้อง ซักพักประตูก็เปิดขึ้นมาเป็นพี่เอลซ่าที่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
     

             “อยู่ไหนนะอยู่ไหน” พี่เอลซ่าเหมือนหาอะไรอบางอย่างอยู่ ฉันก็สังเกตพี่เอลซ่าที่ตอนนี้กำลังเดินวุ่นอยู่ในห้องของฉัน วันนี้พี่เอลซ่าแต่งตัวเหมือนวันพิธีราชาภิเษกทุกประการฉันเห็นพี่เอลซ่าสวมถุงมือเพียงข้างเดียว แต่ท่านพี่สวมมันทำไมละฉันก็สังเกตดูว่าตรงบริเวณข้อมือมีรอยช้ำม่วงๆอยู่ แล้วท่าเดินของท่านพี่ก็เปลี่ยนไปด้วยปกติพี่เอลซ่าจะเดินส่ายสะโพกเล็กน้อยแต่วันนี้เดินไม่ส่ายหรือไม่ก็ส่ายทีก็ต้องเอามือข้างที่ถนัดมาประคองเอาไว้ทุกที แสดงว่า
     

             “พี่เอลซ่าหาอันนี้อยู่รึเปล่าคะ” ฉันไปหยิบถุงมือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆฉัน พี่เอลซ่าเห็นก็เดินเข้ามาแล้วสวมมันทันที
     

             “ขอบใจนะอันนา” พี่เอลซ่าบอกขอบคุณแล้วก็มองฉันแล้วยิ้มออกมา
     

             “วันนี้เธอสวยมากน้องพี่” พี่เอลซ่าพูดออกมาด้วยรอยย้มและน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยน แล้วดูชุดของฉันเพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง
     

             “พี่เอลซ่าคะ” ฉันทักออกไปรหว่าที่พี่เอลซ่าเช็คความเรียบร้อยอยู่
     

             “มีอะไรอันนา” พี่เอลซ่าถามกลับมาพร้อมกับดูชุดต่อ
     

             “พี่ผ่านคืนหฤโหดกับพี่แจ็คมาแล้วใช่ไหมคะ” ฉันถามออกไป
     

             “ใช่เฮ้ยไม่ๆพี่ยังไม่ได้มีอะไรกับแจ็คนะ” พี่เอลซ่าตอบกลับมาฉันกัวเราะออกมาเบาๆ
     

             “จริงหราาาาาาาา” ฉันแซวอออกไปพี่เอลซ่าก็ตอบกลับไปว่า
     

             “พี่จะเคยหรือไม่มันก็เรื่องของพี่นะอันนาพี่ว่าเรามาคุยเรื่องอย่างอื่นกันดีกว่า” พี่เอลซ่าพูดออกมาแบบนี้ยิ่งเป็นการยืนยันว่าเมื่อคืนพี่เอลซ่าเสียความบริสุทธิ์ไปให้กับพี่แจ็คไปแล้วจริงๆ
     

    “โอเคเรียบร้อย” พี่เอลซ่าพูดออกมา
     

    “ไปได้กันรึยังอันนา” พี่เอลซ่าถามออกมาพร้อมกับตั้งวงแขนให้ฉันก็เอาแขนเข้าไปคล้องฉันก็คล้องแขนพี่เอลซ่าแล้วเดินไปยังห้องพิธีไปด้วยกัน
     

             พอฉันถึงห้องพิธีประตูก็ค่อยๆเปิดออกมาเห็นผู้คนมากมายที่มาร่วมงานนั่งอยู่เต็มไปหมด ตอนนี้ฉันรู้สึกประหม่าอย่างมาก แต่ก็มีพี่เอลซ่าคอยให้กำลังใจเรื่อยๆ ฉันก็ค่อยๆเดินไปตามทางพอฉันใกล้ถึงคริสตอฟก็หันมาพอดี วันนี้เขาแต่งตัวด้วยชุดขาวทั้งชุด แล้วคนที่ยืนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวคือพี่แจ็คนั่นเอง วันนี้พี่เขาก็แต่งเป็นชุดข้าราชการสีฟ้าอ่อนแบบเดียวกับในวันต้อนรับฤดูหนาวมี แต่กางเกงกับรองเท้าเปลี่ยนไปนิดหน่อย คือ กางเกงเป็นผ้าไหมสีน้ำตาลและรองเท้าหนังสีดำมันและที่สำคัญไม่ได้พกไม้เท้า ตอนนี้ฉันถึงลานพิธีแล้วพี่เอลซ่าก็จับมือฉันแล้วส่งต่อให้คริสตอฟแล้วพูดว่า
     

             “ตั้งแต่วันนี้น้อง คือ ผู้ใหญ่แล้วนะอันนา น้องพร้อมแล้วสำหรับการดูแลและปกป้องผู้อื่น ขอให้ความสุขอยู่กับน้องตลอดไป” พี่เอลซ่าพูดแล้วยิ้มให้ฉันแล้วปล่อยมือไปยืนประจำตำแหน่ง ฉันก็จูงมือกับคริสตอฟไปอยู่ต่อหน้านักบวช ท่านก็เปิดหนังสือขึ้นมาแล้วเริ่มพูด
     

             “วันนี้พ่อจะมาเป็นพยานสำหรับงานแต่งงานสำหรับลูกทั้งสองคนนะ ลูกทั้งสองพร้อมสำหรับพิธีแต่งงานแล้วใช่ไหม” นักบวชผู้นั้นพูดออกมาทำไมฉันรู้สึกเสียงนี้มันฟังดูคล้ายใครซักคนที่ยืนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แต่ชั่งมันเถอะฉันพร้อมแล้ว
     

             “พร้อมครับ/พร้อมคะ” ฉันกับคริสตอฟพูดขึ้นมาพร้อมกัน
     

             “งั้นพ่อจะเริ่มแล้วนะ” นักบวชผู้นั้นเริ่มพูดออกมาเป็นภาษานอร์เวย์โบราณ ซึ่งฉันนั้นฟังไม่ค่อยรู้เรื่องซักเท่าไหร่ ฉันก็ยืนรอฟังพร้อมกับคริสตอฟจะกระทั่งถึงท่อนที่ว่า
     

             “คุณ คริสตอฟ บิเจอร์แมน คุณจะรับเจ้าหญิงอันนาเป็นภรรยาและ คุณสามารถสาบานได้หรือไม่ว่าจะดูแลเธอไม่ว่าจะเป็นยามสุข ยามทุกข์ หรือยามเศร้า แม้แต่ยามที่เจ็บป่วย และคุณจะรักเธอเพียงคนเดียวแม้ว่าจะตายจากกันไป คุณจะสาบานไหม” หลวงพ่อกล่าวออกมาคริสตอฟก็ตอบไปว่า
     

             “ผมสาบาน ว่าต่อให้ชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหนๆผมจะขอรักเธอคนนี้เพียงคนเดียว” คริสตอฟกล่าวคำปฏิญาณสาบาน
     

             “แล้วคุณละองค์หญิงอันนา คุณจะรับคริสตอฟ บิเจอร์แมนเป็นสามีของคุณและ คุณสามารถสาบานได้หรือไม่ว่าจะดูแลเธอไม่ว่าจะเป็นยามสุข ยามทุกข์ หรือยามเศร้า แม้แต่ยามที่เจ็บป่วย และคุณจะรักเขาเพียงคนเดียวแม้ว่าจะตายจากกันไป คุณจะสาบานไหม”
     

             “ฉันสาบาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรฉันไม่มีวันที่จะทอดทิ้งเขาแน่นอน” ฉันก็กล่าวคำปฏิญาณสาบาน
     

             “งั้นพ่อขอแหวนได้ไหม” หลวงพ่อกล่าวขอแหวนแต่งงานพี่เอลซ่ากับพี่แจ็คก็เดินเข้ามาแล้วยื่นมือเข้ามาแล้วแบมือบนมือของพี่ทั้งสองมีแหวนอยู่คนละวง
     

             ของพี่เอลซ่าเป็นแหวนทองที่ดูเรียบง่ายแต่มีลายที่ตกแต่งไปด้วยเงินประปลายดูสวยงาม ของที่อยู่บนมือพี่แจ็คนั้นเป็นแหวนสีทองเหมือนกันแต่แหวนวงนี้มี อัญมณีตกแต่งอยู่สี่ชิ้น ชิ้นละสี ตรงกลางใหญ่สุดสีขาวเป็นเพชร ตรงขาวมือเม็ดเล็กสีส้มเป็นพลอย ซ้ายมือสีเขียมรกต ด้านบนสีฟ้าเป็นไพริน และด้านล่างสีแดงเป็นทับทิม บาทหลวงเขาแหวนที่อยู่บนมือของพี่เอลซ่าไปวางไว้บนมือฉัน แล้วเอาแหวนที่อยู่บนมือพี่แจ็ควางไว้บนมือคริสตอฟ จากนั้นบาทหลวงก็พูดว่า
     

             “เชิญสวมแหวนให้แก่กัน” หลวงพ่อท่านพูดขึ้นมาคริสตอฟก็สวมแหวนให้ที่นิ้วนางซ้ายของฉัน ฉันก็สวมไปให้ที่นิ้วนางขวาให้เขาเช่นกัน พอเราสวมแหวนให้แก่กันเสร็จ บาทหลวงก็พูดขึ้นมาว่า
     

             “เชิญคู่บ่าวสาวจุมพิตกันได้” บาทหลวงพูดเสร็จเราก็ทำตามที่บอก สุดท้ายนี้ พิธีแต่งงานก็สำเร็จไปด้วยดี หลังจากพิธีแต่งงานพี่เอลซ่าก็ทำพิธีแต่งตั้งคริสตอฟต่อทันที ซึ่งก็สำเร็จไปด้วยดีเช่นกันจากนั้นพี่เอลซ่าก็สั่งให้เราทั้งคู่ไปเปลี่ยนชุดเพื่อไปต้อนรับผู้คนจากต่างเมืองจนถึงตอนเย็น

            

    ตอนเย็น งานเต้นรำ
     

             หลังจากที่ฉันเต้นรำเปิดฟลอร์ไปแล้วฉันก็เดินเข้ามาหาพี่เอลซ่า
     

             “วันนี้ดูมีความสุขจังนะอันนา” พี่เอลซ่าพูดขึ้นมาตอนนี้พี่เอลซ่าเปลี่ยนชุดเป็นชุดเดรสน้ำแข็งแบบทุกทีแล้ว
     

             “ต้องขอบคุณพี่เอลซ่ามากๆนะคะที่อุตส่าอนุญาตให้หนูใช้ปราสาทของท่านพี่แถมยังช่วยตกแต่งที่นี่จนสวยงามขนาดนี้อีก” ฉันกล่าวคำขอบคุณออกไป
     

             “งานของน้องสาวของพี่ทั้งทีจะไม่ให้พี่จัดแบบธรรมดาได้ยังไงละ” พี่เอลซ่าพูดออกมา
     

             “แต่ถึงอย่างไรก็ขอบคุณมากนะคะ ไว้หนูจะจัดงานของท่านพี่ให้ดีกว่าที่ท่านพี่ทำให้ซะอีก” ฉันพูดออกไปทำเอาพี่เอลซ่าหน้าแดง
     

             “เธอรู้ได้ยังไงอันนา” พี่เอลซ่าพูดออกมา
     

             “รู้ๆเรื่องอะไรคะ” ฉันถามออกไปด้วยความสงสัย
     

             “พี่ว่าน้องยังไม่รู้ก็ดีแล้วละ” พี่เอลซ่าพูดออกมาแต่มันน่าสงสัยันก็เลยมองไปที่มือของพี่เอลซ่า พี่เอลซ่าก็รีบเก็บมือจนผิดสังเกต ฉันก็คว้ามือของพี่เอลซ่าแล้วเอามาดูปรากฏว่าพี่เอลซ่าสวมแหวน
     

             “ว้าวพี่เอลซ่าพี่หม” ฉันกำลังร้องตะโกนดีใจแต่พี่เอลซ่าปิดปากฉันเอาไว้ก่อน
     

             “ไม่ต้องพูดเลยอันนาไว้เซอร์ไพรซ์คนทั้งอาณาจักรเลยดีกว่า” พี่สาวสุดสวยของฉันพูดออกมาแบบนี้จะให้ฉันไม่ยอมได้ยังไงละ
     

             “ก็ได้คะ” ฉันพูดออกไปแล้วพูดต่อว่า
     

             “ไว้ถึงงานท่านพี่เมื่อไหร่ น้องขอรับรองว่าน้องจะจัดให้ดีเลย” ฉันพูดออกไป
     

             “งั้นพี่จะรอแล้วกันนะอันนา” พี่เอลซ่าพูด
     

             “คะ” ฉันตอบกลับไป ตอนนี้อยากให้ถึงงานของพี่เอลซ่าเร็วๆจัง

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    To Be Continued

     

    …………………………………………………………………….....................................

             จบไปแล้วนะครับสำหรับตอนนี้ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่แต่งเรตไปปซะอย่างงั้น แต่ตอนนี้ก็แก้ไขแล้วครับ ต้องขอบคุณเพื่อนผมที่บอกว่าไม่ชอบเพราะว่าหวานอยู่ดีๆทำไมมีแบบนี้มันไม่ใช่ ซึ่งมันก็จริง ขอสารภาพนะครับนะครับว่ามันไม่ตั้งใจแต่งให้มันเรตจริงๆนะครับ จู่ๆเนื้อเรื่องก็โผล่ขึ้นมาในหัวก็เลยพิมพ์ไปตามนั้น ต้องขอโทษจริงๆนะครับ ต่อไปนี้ผมขอสัญญาและสาบานเลยว่าจะไม่แต่งให้มันส่ออีกแล้วครับ ถ้ามันเกิดอีกก็เตือนกันด้วยนะครับ
     

    สำหรับตอนนี้นะครับผมจะแบ่งไว้เป็นสองส่วนโดยมีชื่อตอนเหมือนกัน โดยที่ตอนนี้จะเป็นตอนของอันนาและคริสตอฟนะครับถ้าไม่อยากอ่านก็ไม่เป็นไรครับ ส่วนเนื้อเรื่องของแจ็คง้อเอลซ่านั้นจะอยู่ในตอนต่อไปนะครับเลยจะทำให้ตอนมีเพิ่มขึ้นมากขึ้นกว่าเดิมนิดๆหน่อยๆหวังว่าจะชอบกันนะครับ แต่ถึงอย่างไรทั้งสองตอนก็จะมีจุดเชื่อมที่เหมือนกันอยู่นะครับ ถ้าจะว่าไปตอนนี้ก็จะเป็นตอนของคู่รองตอนเดียวไปเลยแต่ที่เหลือก็คู่หลักเหมือนเดิมครับ


    สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมนะครับ

    เอลซ่าเป็นคนถนัดซ้าย ดูได้จากการปล่อยพลังโดยสัญชาติญานจะใช้มือซ้ายก่อนตลอด ทั้งตอนที่โยนมงกุฎและแกะผมก็ใช้มือซ้าย พอแกะเสร็จก็เอามาพาดไว้ที่ไหล่ซ้ายอีก
     

    เอลซ่าที่เส้นผมเยอะที่สุดใน Disney Princess คือมี 420,000 เส้น แต่ราพันเซลมี 26,000 เส้น
     

    ความจริง Elsa ใน Frozen ได้เจอ  Jack ใน Rise of the Guardian แล้วนะครับ ถึงจะเป็นแค่เสียงก็เถอะ และขอความกรุณาอย่าเถียงครับ เพราะคนที่พากย์ Jack Frost คือคนเดียวกับคนที่พากย์เป็นบาทหลวงในพิธีราชาภิเษกครับ
     

    อันนา แจ็ค ฟรอสต์ และคริสตอฟ ถนัดขวาอันนี้รู้กันอยู่แล้ว
     

    คริสตอฟ มีนามสกุลนะครับเขานามสกุล บิเจอร์แมน (Kristoff Bjorman)
     

    ถ้านับTime line จริงๆ แจ็คจะตายหลังจากยุคของเอลซ่าประมาณร้อยกว่าปีซึ่งนี่เป็นความผิดพลาดของผมเองครับ
     

    Tangled นั้นมี Time line ถึง 1492 และ Frozen มี Time Line เริ่มที่ 1492 ดังนั้นตัวละครสองเรื่องนี้ไม่ใช่ญาติกันแน่นอน ล้านเปอร์เซ็น ถึงแม้ว่าจะเห็นราพันเซลในบทเพลง For the First Time in Forever ของอันนาก็เถอะ
     

    หนังเรื่องFrozen กับ Tangled มี Tine line ที่ทับกันคือ 1492 ผมเลยอยากเอามาร่วมด้วยเพื่อเป็นสีสันนะครับ ส่วนเรื่องว่าเป็นญาติกันไหมนี่คือมโนเอาเองล้วนๆครับ เพราะผมคิดอย่างนี้

    1.ใบหน้าทั้งสามสาวนั้นคล้ายกันมาก (ก็ทีมสร้างมันทีมเดียวกันเขาก็เอาโมเดลเก่าที่มีปรับปรุงก็ได้ตัวละครใหม่แล้ว)

    2.พ่อกับแม่ของเอลซ่าคาดว่าจะไปร่วมงานพิธีเสกสมรสตอนที่ เอลซ่า อายุ 18 และ อันนา อายุ 15
             3.ถามว่าไปทำไม เพราะเป็นญาติยังไงละครับญาติคุณแต่งงานจะไม่ไปเหรอครับ

    4.เนื่องจากเมืองแอเรนเดลล์เป็นเมืองท่าของประเทศนอร์เวย์(มีจริงนะครับเมืองนี้Google Map ได้) จึงเดินทางไปเมืองจักรโคโรน่าที่ประเทศเยอรมัน(โคโรน่าไม่มีจริง) โดยใช้เรือเขาคำนวนกันแล้วครับต้องใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์ครับซึ่งก็ตรงกับตอนที่อันนากอดลาพ่อกับแม่ของนางพอดี

    5.พอวันพิธีราชาภิเษกราพันเซลกับยูจีนเลยมาที่อาณาจักรนี้เช่นกัน

    6.แต่ความคิดนี้ก็ถูกล้มเลิกเพราะทางผู้สร้างกำหนดtime line ทั้งสองเรื่องอย่างชัดเจน
     

     ราพันเซลใน Tangled ควรมีอายุอย่างต่ำคือเท่าเอลซ่า ไม่ใช่เท่าอันนาอย่างที่คิดกันนะครับ
     

    คุณยังจำกีตาร์ในเพลง Will my life is begin ในเรื่อง Tangled ได้ไหมครับ ถ้ายังจำได้ยังจำได้ไหมครับว่ามันเหมือนของใคร


    สุดท้ายนี้ถ้าข้อมูลเพิ่มเติมผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ

    สำหรับช่วงนี้สวัสดีครับ




     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×