ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I want to see you again

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : Feeling (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 57




    “ความจริงน้ำแข็งหรือหิมะที่ฉันสร้างจะเปลี่ยนสีตามความรู้สึก ของฉัน
    มันจะเป็น
    สีน้ำเงิน เมื่อฉันรู้สึกมีความสุข จะเป็น สีแดง เมื่อฉันรู้สึกเศร้าหรือกังวล
    และจะเป็น สีเหลือง เวลาที่ฉันโมโห แต่คราวนี้มันกลับเปลี่ยนเป็น สีม่วง
    แล้วตอนนี้ฉันรู้สึกอย่างไร

                                                                                         Elsa

    ………………………………………………………………………………………….

     

    Elsa Snow Queen :
     

             ตอนนี้ฉันรีบวิ่งไปที่ห้องอาบน้ำที่อันนาได้นัดไว้หลังจากที่ฉันได้ทำเรื่องที่ไม่น่าทำที่ห้องของฉัน ซักพักฉันก็เปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดิน เพราะช่วงเวลานี้คนรับใช้และเหล่าขุนนางยังไม่ได้กลับไปยังที่พักของตน มันไม่สมควรที่ราชินีจะวิ่งไปวิ่งมาในปราสาทของตัวเอง พอฉันได้เดินถึงจุดหมายปลายทาง  เหล่าคนรับใช้หญิงที่ยืนรออยู่ด้านหน้าห้องนี้ได้กล่าวออกมาอย่างสุภาพว่า
     

             “องค์ราชินีเพคะ หม่อมฉันได้เตรียมทุกอย่างเพื่อการสรงน้ำขององค์ราชินีและพระขนิษฐาของพระองค์แล้วพะยะคะ" พอฉันได้ยินก็ยิ้มและพยักหน้าตอบก่อนจะถามคำถามกับคนรับใช้คนหนึ่ง
     

             “พวกเจ้าเห็นพระขนิษฐาของเราไหม” พอฉันถามเหล่าคนรับใช้หันมาคุยกันก่อนจะตอบกลับมา
     

             “องค์หญิงอันนาทรงกลับไปที่ห้องของพระองค์เมื่อครู่พะยะคะ” คนรับใช้คนหนึ่งตอบกลับมา

             พอฉันได้ยินก็สั่งพวกเขาว่า
     

             “เราจะเข้าไปสรงน้ำแล้วนะ อย่าให้ใครเข้าใกล้ห้องนี้เป็นอันขาด เว้นแต่เจ้าหญิงอันนาเข้าใจไหม” ฉันออกคำสั่งไปพอเหล่าคนรับใช้ได้ยินก็พยักหน้าตอบรับ
     

             “อีกอย่าง เตรียมฉลองพระองค์อันใหม่ให้เรากับพระขนิษฐาของเราด้วยนะ หากมีเรื่องอะไรเราจะเรียกให้เข้ามาเอง ห้ามเข้ามาเองเป็นอันขาด” ฉันสั่งไปก่อนที่จะเดินเข้าห้องไป
     

             พอฉันเปิดประตูห้องอาบน้ำสิ่งแรกที่ฉันได้กลิ่นคือกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยที่เหล่าคนรับให้ได้จัดเตรียมไว้ให้  กลิ่นแต่ละกลิ่นนั้นเป็นกลิ่นที่ฉันกับอันนานั้นชอบมาก ฉันก็ค่อยๆเดินไปยังโต๊ะๆหนึ่ง ระหว่างที่ฉันเดินเหล่าคนรับใช้ก็ค่อยๆปิดประตูจนสนิท โต๊ะนั้นด้านบนได้วางถังน้ำเตี้ยๆแต่กว้าง ด้านในของถังนั้นได้บรรจุน้ำจำนวนหนึ่งไว้สำหรับล้างหน้า ฉันก็ค่อยๆตวงน้ำขึ้นมาเพื่อที่ล้างเครื่องสำอางออก พอล้างหน้าเสร็จฉันก็คลายทรงผมและถอดเครื่องประดับออก ไม่ว่าต่างหู แหวน และมงกุฎออก พอฉันถอดเครื่องประดับเสร็จก็จัดเรียงมันไว้อย่างดี เพื่อที่จะไม่ให้เหล่าคนรับใช้ลำบากเวลาเก็บของพวกนี้เพื่อเตรียมให้วันถัดไป ฉันค่อยๆถอดชุดที่ใส่มาทั้งวันออกก่อนที่ฉันจะเดินไปยังอ่างอาบน้ำเพื่อลงไปแช่ตัวเพื่อให้ตัวฉันเองรู้สึกผ่อนคลาย พอฉันลงไปแช่ได้ซักพักเนื่องจากฉันก็สังเกตอ่างอาบน้ำที่ฉันแช่นั้นด้านบนโรยด้วยกลีบดอกกุหลาบขาวและดอกมะลิ ซึ่งทำให้น้ำในอ่างที่ฉันแช่ตัวอยู่มีกลิ่นของดอกเหล่านั้นด้วย ฉันก็แช่ตัวอยู่ในอ่างนั้นและมองบนเพดาน บนเพดานนั้นฉันได้เสกโคมไฟที่สร้างจากน้ำแข็งอันหนึ่งทิ้งไว้ เพียงแต่มันไม่ละลายมันส่องสว่างเป็นสีต่างๆตามอารมณ์ของฉัน ตอนนี้มันส่องแสงเป็นสีน้ำเงิน ฉันก็มองโคมไฟนั้นซักพักฉันก็วักน้ำมาลูบตัวเพื่อทำความสะอาดร่างกาย ตอนนี้ฉันรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกเนื่องจากวันนี้มีเรื่องมากมายเข้ามาให้ฉันคิด ไม่ว่าเรื่องของอันนา เรื่องที่หน้าหลุมศพท่านพ่อท่านแม่ ไหนจะเรื่องรัฐธรรมนูญอีก ยิ่งฉันคิดรู้สึกปวดหัวอย่างบอกไม่ถูก ฉันก็ก้มหัวดำลงไปในอ่างอาบน้ำเพื่อที่จะลืมสิ่งเหล่านั้น ก่อนที่ฉันจะเงยหัวขึ้นมาและเสยผมที่ปรกหน้าออก ฉันก็เอนหัวให้พิงขอบอ่างเอาไว้ และหลับตาลงช้าๆ เพื่อรับรู้ถึงความอุ่นของน้ำ กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยที่อบอวลไปทั่วห้องน้ำและสัมผัสกลิ่นหอมของน้ำที่ฉันแช่ตัว ตอนนี้ฉันรู้สึกสุนทรีย์อย่างบอกไม่ถูก มันเป็นอารมณ์ที่บอกเป็นคำพูดไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร ซักพักฉันก็ได้ยินเสียงประตูเปิดขึ้นมาและปิดอย่างเบามือ ซักพักก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
     

             “พี่เอลซ่าน้องมาแล้วคะ” ฉันได้ยินก็ยิ้มออกมาบางๆก่อนที่จะตอบน้องสาวกลับไป
     

             “จ้าๆ ไม่ต้องรีบพี่แช่รอน้องอยู่” ฉันพูดกลับไปก่อนที่จะหลับตาเพื่อพักผ่อนต่อ แต่
     

             “ตูม(เสียงสิ่งๆหนึ่งตกน้ำอย่างรุนแรง)” ฉันรีบหันไปดูที่ต้นเสียงนึกว่าที่ไหนเกิดระเบิดที่ไหนได้ เป็นอันนากระโดดลงมาในอ่างน้ำ ทำเอาตกอกตกใจ พลางคิดในใจว่า หมดกันความสุนทรีย์
     

             “อันนา” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ
     

             “พี่เอลซ่าคะใจเย็นคะ ใจเย็น” อันนาพลางเอามือมาห้ามไม่ให้ฉันพูดต่อ
     

             “น้องก็อยากมาผ่อนคลายเหมือนท่านพี่นั่นแหละคะ เพียงแต่วิธีของน้องไม่เหมือนของท่านพี่เฉยๆ” อันนารีบพูดต่อทันทีไม่ยอมให้ฉันพูดสวนเลยซักคำ
     

             “ยังไงก็เถอะ จู่ๆกระโดดมาแบบนี้ทำเอาพี่เกือบหัวใจวายเลยนะ” ฉันพูดออกไปพร้อมกับกอดอกและยิ้มกับการกระทำของน้องสาวตัวดีของฉัน
     

             “โถ่…..ท่านพี่ก็หนูชี้แจงไปแล้วไงคะ” อันนาทำหน้ามุ่ยตอบกลับมา
     

             “อย่างอนสิเดี๋ยวคริสตอฟไม่ชอบเอานา” ฉันพูดพลางแกล้งน้องสาวตัวเองโดยอ้างถึงคู่มั่นของเธอ
     

             “ไม่ต้องเอาคริสตอฟมาพูดเลยคะ ยังไงเขาก็รักน้องในแบบน้องคะ” อันนารีบตอบกลับมา
     

             “แล้วรู้ได้ไงละ?” ฉันถามกลับไปทั้งๆที่รู้คำตอบ
     

             “ก็…..ก็…..ชั่งเรื่องของน้องเหอะคะ” อันนารีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะถามฉันว่า
     

             “แล้วท่านพี่ละคะ มี:คน:ที่:ชอบ:หรือ:ยัง:คะ” อันนาถามกลับมาด้านสายตาที่เจ้าเล่ห์
     

             “เปล่า…..เปล่า….ไม่มี” ฉันรีบตอบปฏิเสธไปด้วยน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก แต่อันนามองไปที่เพดานก่อนที่จะหันมามองที่ฉันและทำหน้าราวกับรู้ว่าฉันโกหก
     

             “ท่านพี่อย่ามาโกหกน้องเลยคะ น้องรู้ว่าพี่โกหก” อันนาตอบกลับมา
     

             “ทำไมน้องถึงรู้ละ” ฉันถามกลับไป
     

             “แหม….ก็น้ำแข็งที่พี่เสกจะเปลี่ยนสีตามอารมณ์ความรู้สึกของท่านพี่ใช่ไหมคะ” อันนาถามมาฉันก็พยักหน้าตอบ
     

             “ก็ตอนแรกน้ำแข็งเป็นสีน้ำเงิน แต่ตอนนี้เป็นสีชมพู น้องก็เลยรู้ว่าท่านพี่โกหก” อันนาตอบฉันกลับมาก่อนที่จะพูดต่อ
     

             “แล้วอีกอย่าน้องรู้ด้วยคะว่าสีอะไรพี่รู้สึกอะไร” อันนาพูดต่อพอพูดเสร็จก็ยิ้มต่อ
     

             “แล้วรู้ได้ไงว่าสีไหนพี่รู้สึกอย่างไร” ฉันถามกลับ
     

             “สังเกตไงคะ เราเป็นพี่น้องกันนะคะ จะไม่ให้รู้ว่าพี่น้องตัวเองเป็นคนยังไงนี่ก็แปลกไปละ” อันนาตอบกกลับมา
     

             “เมื่อไหร่ท่านพี่จะตอบคำถามของน้องซะทีละคะ” พอน้องฉันถามเสร็จก็ค่อยๆดำน้ำลงไป และโผล่พ้นน้ำเพียงครึ่งใบหน้า
     

             พี่:ไม่:ตอบ” ฉันพูดเสร็จก็สาดน้ำใส่อันนา
     

             “ท่านพี่ขี้โกง นี่แนะ” อันนาสาดน้ำใส่คืน เราเล่นกันแบบนี้เป็นเวลาครู่หนึ่งก่อนที่อันนาจะยอมแพ้ จู่อันนาก็พูดออกมาว่า
     

             “น้องว่าน้องพอรู้แล้วละว่าท่านพี่ชอบใคร” ฉันตกใจกับคำพูดที่อันนาพูดออกมาเมื่อครู่
     

             “ใช่คนที่ท่านพี่ปั้นในปราสาทเมื่อวานรึเปล่าน้า” อันนาพูดออกมาเชิงหยอกล้อ แต่ฉันต้องไม่แสดงออกมาทางสีหน้าฉันเลยตอบกลับมาหน้านิ่งๆว่า
     

             “ไม่ใช่” ฉันตอบกลับไป แต่อันนากลับยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ร็ว่าทำไม
     

             “โอเคคะ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่งั้นเราคุยกันเรื่องอื่นกันไหมคะ” อันนาพยายามให้ฉันไปคุยเรื่องอื่นซึ่งก็ดีเหมือนกันฉันไม่ค่อยอยากคุยเรื่องรักๆซักเท่าไหร่
     

             ฉันกับอันนาคุยกันเรื่องส่วนตัวกันนานพอสมควร นานพอจนรู้ว่าตอนนี้นิ้วมือเริ่มเปื่อยเล็กน้อย ฉันก็บอกให้อันนาลุกออกมาจากอ่างอาบน้ำเพราะเราอาบน้ำมานานมากแล้ว พอฉันกับอันนาอาบน้ำเสร็จ ฉันก็เรียกให้เหล่าคนรับใช้เข้ามาเหล่าคนรับใช้ก็เดินเข้ามา แต่ละคนทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นระเบียบ บางคนได้เช็ดตัวให้ฉันกับอันนา คนรับใช้คนหนึ่งยื่นชุดนอนมาให้ฉันกับอันนาใส่ ฉันก็ใส่อย่างโดยดี อันนาขอตัวไปนอนก่อน พอน้องสาวฉันเดินไปซักพักคนรับใช้ก็เดินออกไปฉันเดินไปยังโต๊ะที่ฉันวางเครื่องประดับเอาไว้เหล่าคนรับให้ได้เก็บไปเรียบร้อยเหลือเพียงแต่มงกุฎที่วางไว้ที่เดิม ถือว่าพวกเขารู้หน้าที่ดีเพราะมงกุฎนี้มีเพียงบาทหลวงที่ทำพิธีกับราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถเก็บได้ ฉันก็หยิบมงกุฎนี้แล้วเดินไปยังห้องนอนของฉัน เพื่อที่จะทำงานเอกสารก่อนนอน
     

             ฉันค่อยๆเปิดประตูออกก่อนที่จะส่องดูรอบๆห้องนอนของฉัน เพราะฉันยังไม่อยากถูกแจ็ค ฟรอสต์แกล้ง พอฉันเปิดประตูมาฉันแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าฉันเห็นอะไร ฉันเห็นกองแอกสารที่จะกลับมาทำ ในตอนแรกพวกมันถูกวางอย่างกระจัดกระจายบนโต๊ะ แต่ตอนนี้พวกมันถูกจัดเรียงแยกเป็นหมวดหมู่เสียเรียบร้อย คาดว่าเหล่าบริวารคงจัดเรียงให้ ฉันก็เดินไปที่โต๊ะเพื่อเปิดเอกสารเพื่อจะทำมัน พอฉันเปิดเอกสารเกี่ยวกับการเงินฉันต้องตกใจอีกครั้ง เพราะเอกสารเหล่านั้นถูกทำไปเรียบร้อย ฉันก็รีบอ่านเชิงตรวจแก้ แต่ปรากฏว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆเลย ฉันก็รีบเช็คอันอื่นต่อ แต่ทุกๆอันนั้นถูกทำไปเรียบร้อยแล้วแถมยังถูกต้องเสียด้วย ฉันรีบเปิดเอกสารอันเก่าเพื่อเทียบรายมือ รายมือที่เขียนนั้นดันเป็นรายมือเดียวกับที่ฉันเขียนอีก ฉันวางเอกสารแล้วเอามือกุมหัวและหลับตาพลางค่อยๆนึกย้อนว่าฉันทำเอกสารเหล่านี้ตอนไหน แต่ฉันนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ฉันก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาตอนนี้ฉันเห็นแจ็คฟรอสต์ ที่ลอยห้อยหัวอยู่ซึ่งตอนนี้หน้าฉันกับเขาห่างกันไม่ถึงคืบ ทำเอาฉันตกใจจนจะร้องออกมา
     

             “อ๊…..” ฉันกำลังจะร้องแต่แจ็คปิดปากฉันก่อน(ปิดด้วยมือนะ)
     

             “ชู่ว” เขาพูดออกมาในตอนนี้เขาปิดปากฉันอยู่ข้างหนึ่ง ซักพักเขาก็ค่อยๆเอามือที่ปิดปากฉันออก
     

             “อย่างร้องสิเดี๋ยวคนอื่นเขาตกใจกันหมด” แจ็คพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นเอกรักษ์ของเขา ฉันรู้สึกแปลกๆเวลาเขาทำแบบนี้ แต่การแกล้งฉันแบบนี้ฉันไม่ชอบฉันยอมไม่ได้
     

             “ฉันเตือนกี่ครั้งแล้วละว่าอย่าแกล้งฉันแบบนี้นะ” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
     

             “ขอโทษ ข้าขอโทษ” แจ็ครีบกล่าวขอโทษ แต่มีเหรอที่ฉันจะยอมจบ
     

             “ขอโทษ ท่านขอโทษฉันมากี่ครั้งแล้วละ” ฉันว่าเขากลับไปก่อนที่จะพูดต่อ
     

             “ท่านพูดขอโทษขอโทษ แต่ท่านก็ยังแกล้งเราเหมือนเดิม ท่านคิดอะไรของท่านอยู่กันแน่” ฉันยิงคำถามออกไปด้วยความโมโห แจ็คทำหน้าอึ้งเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เศร้าลงและตอบคำถามของฉัน
     

             “ข้าก็แค่อยากคุยกับเจ้า….ก็เท่านั้น” แจ็คตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน พอฉันได้ยินฉันถอนหายใจไปที ก่อนที่จะพูดกลับไปว่า
     

             “ถ้าท่านอยากจะหาเพื่อนคุยท่านก็คุยกับคนอื่นก็ได้ ทำไมต้องคุยกับฉันด้วยละ” ฉันถามกลับไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด
     

             “นี่เจ้าความจำสั้น หรือเป็นคนขี้ลืมกันแน่ ข้าไม่ใช่มนุษย์ ข้าเป็นภูต ไม่มีใครเห็นข้า ก็มีเพียงแต่เจ้าเท่านั้นแหละที่เห็นข้า” แจ็คตอบกลับมา พอฉันได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เขาพูดในตอนนี้ที่นี่ไม่มีใครเห็นเขา ฉันไม่ควรพูดแบบนั้นไปเลยมันคงทำให้เขาเสียใจมากแน่ๆ ฉันเลยพูดกลับไปว่า
     

             “ฉันขอโทษ” ฉันพูดออกไป แจ็คทำหน้าตกใจเล็กน้อยกับคำขอโทษ
     

             “ขอโทษข้า ขอโทษเรื่องอะไรเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย” แจ็คพูดกลับมาด้วยความสงสัย
     

             “ก็เรื่องที่ฉันว่าท่านไปเมื่อกี้นี่ไง……ฉันขอโทษ” ฉันพูดออกไปและเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อเพื่อให้แจ็คหายความสงสัย
     

             “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าโมโหที่ข้าแกล้งเจ้าแบบนั้น มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าที่เจ้ามาว่าข้าหรอก” แจ็คพูดกลับมาแล้วยิ้มให้ฉัน แต่ยังไงฉันก็อยากชี้แจงให้เขา
     

             “ยังไงฉันก็ต้องขอโทษนะที่ว่าท่านไปแบบนั้น” ฉันก็อธิบายให้เขาเข้าใจ
     

             “ไม่ต้องขอโทษหรอกข้าสิต้องขอโทษเจ้านะ” ดูเหมือนแจ็คยังคิดว่าตนเองยังเป็นฝ่ายผิดเลยตอบกลับมาแบบนั้น แลละดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้เริ่มแย่แล้วสิ ฉันควรทำไงดี ในที่สุดฉันก็นึกออก ก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยกัน
     

             “แจ็ค ท่านพอนึกออกไหมว่าเอกสารบนโต๊ะฉันทำมันตอนไหน” ฉันถามแจ็คกลับไป
     

             “เจ้าหมายถึงกองกระดาษสูงๆนั่นใช่ไหม” แจ็คชี้ไปยังกองเอกสารบนโต๊ะทำงานของฉัน ฉันก็มองตามไปดู พอฉันดูเสร็จฉันก็พยักหน้าตอบ
     

             “ข้าเป็นคนทำให้เองละ” แจ็คตอบกลับมาแล้วพร้อมกับหัวเราะ
     

             “ทะท่าน อุ๊ป” ฉันกำลังจะพูดตอบ แต่มือของแจ็คมาปิดปากของฉันก่อนฉันเลยพูดออกไปไม่ได้
     

             “เจ้าอย่างพึ่งพูดข้าฟังข้าพูดให้จบก่อน” แจ็คพูดกลับมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ก่อนที่จะพูดต่อ
     

             “อีกอย่างถ้าเจ้าจะว่าข้า ข้าจะทำแบบเดียวกับตอนเย็นนี้แน่” แจ็คพูดออกมาก่อนที่จะเอามือออกจากปากฉันแล้วพูดต่อ ตอนนี้ฉันก็ได้แต่หน้าแดงเพราะนึกเรื่องเมื่อตอนเย็นที่แจ็คทำกับฉัน ทั้งๆที่ลืมไปได้แล้วนะ ไม่น่านึกออกได้เลย
     

             “ก็เจ้าไปอาบน้ำตั้งนานจะให้ข้าไปหาเจ้าถึงในห้องน้ำก็ยังไงๆอยู่ แถมในห้องคนเดียวข้าก็รู้สึกเบื่อ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไร ข้าก็เลยหาอะไรทำก็มีงานเอกสารเจ้าที่ข้าพอทำได้ก็เลยทำไปจนเสร็จนั่นแหละ” แจ็คตอบกลับมาก่อนที่จะพูดต่อ
     

             “ที่ข้าทำก็มีแค่เกี่ยวกับการเงิน ส่วนกฎหมายกับจดหมายส่วนตัว ข้าไม่ได้แตะเลยนะ” เขาพูดต่อ
     

             “ขอบคุณนะที่ช่วยทำให้แต่ท่านทำไมลายมือเหมือนฉันเลยละ” ฉันถามไป
     

             “ข้าก็เลียนแบบลายมือเจ้านะสิ” แจ็คตอบกลับมา
     

             “แล้วท่านเล่าเรื่องของท่านได้ไหม” ฉันถามไปทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องของเขาเป็นอย่างไร
     

             “ทำไมเจ้าอยากรู้เรื่องของข้าละ” เขาถามกลับ
     

             “ก็ท่านรู้เรื่องของฉันบางส่วนแล้วนิ ฉันก็อยากรู้เรื่องของท่านบ้างไม่เห็นเป็นไร” ฉันตอบคำถามเขากลับ เขาถอนหายใจและส่ายหัวนิดๆ ซักพักเขาก็จ้องที่ตาของฉันก่อนจะเริ่มพูดบางอย่าง
     

             “เจ้าอยากรู้เรื่องตอนไหนละ” เขาถามกลับมา
     

             “ตั้งแต่เริ่มเลยได้ไหม?” ฉันถามเขากลับไป
     

             “ก็ได้แต่ถ้าข้าเล่าเสร็จ เจ้าก็เล่าของเจ้าให้ข้าฟังไหม” เขาถามย้อนกลับมาเชิงสั่ง
     

             “ได้สิฉันตกลง” ฉันยิ้มและตอบคำถามของเขา แจ็คก็ปักไม้เท้าลงบนพื้นและเขาก็กระโดดขึ้นไปนั่งบนไม้ของเขา ซักพักเขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่ลืมตาตื่นครั้งแรกที่ไหน ทำอะไร และเขาก็เล่าไปเรื่อยๆ

     

    Jack Frost :
     

             พอข้าเล่าเรื่องของข้าเสร็จนางก็เล่าเรื่องของนางต่อ ระหว่าที่เราเล่าเรื่องของตนเองอีกฝ่ายก็จะพยายามถามอีกฝ่ายถึงความรู้สึกของตนในขณะนั้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ข้าได้พูดแบบเปิดใจตนเองครั้งแรก ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรทำไมข้าถึงยอมทำตามนางบอกมาเสมอ พอเราเล่าเรื่องของแต่ละคนเสร็จ ก็เริ่มพูดคุยตามปกติมีหัวเราะบ้าง สนุกบ้าง ชวนทะเลาะกันบ้างช่วงนี้เราต่างยิ้มและหัวเราะกันในเรื่องหลายๆเรื่องที่ได้พูดกัน ก็อย่างที่ว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ ดูเหมือนว่านางจะเริ่มง่วงข้าเลยรีบจบการสนทนาของกันกัน
     

             “ง่วงแล้วหรือองค์ราชินี” ข้าถามนางไป นางบอกว่ายังแต่ก็หาวออกมาเป็นช่วงๆ ทำเอาข้าต้องบอกให้นางไปนอน
     

             “นี่เจ้าหาวหลายครั้งแล้วนะข้าว่าเจ้าไปนอนเถอะ” ข้าพูดออกมาเชิงออกคำสั่ง แต่นางกลับตอบมาว่า
     

             “ไม่ฉันยังไม่ง่วง (หาว)” นางพูดไปหาวไปยังดีที่นางหาวนางยังเอามือปิดปาก
     

             “ยังไม่ง่งไม่ง่วงอะไรละ หาวบ่อยขนาดนี้เข้านอนได้แล้ว” ข้ารีบบอกนางให้ไปนอน
     

             “ไม่อะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันอยากคุยนะยังไงฉันก็จะยังไม่นอนจนกว่าจะต่อให้เสร็จ” นางพูดออกมาทั้งๆที่ยังหาวอยู่ข้าฟังที่นางพูดก่อนที่จะบ่นพึมพำว่า “เอาแต่ใจชะมัด
     

             “หืม ตะกี้ท่านพูดอะไรนะ” นั่นดันได้ยินอีก
     

             “เปล่าไม่ได้พูด” ข้าพูดเสียงสูงกลับไป แต่ทำไมข้าต้องพูดแบบนั้นด้วยละ
     

             นางจ้องหน้าข้าแบบจับผิดซํกพักนางก็ยิ้มอกมาก่อนที่จะพูดต่อ
     

             “โอเค ฉันเชื่อท่าน” ฟู่วค่อยสบายหน่อย ข้าก็มองไปรอบๆห้องสังเกตเห็นรูปปั้นตั้งโต๊ะตัวหนึ่งที่สร้างจากน้ำแข็ง ความจริงข้าสังเกตมันนานแล้วละว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนสีได้
     

             “นี่เอลซ่า” ข้าถามนาง
     

             “คะ?” นางขานกลับ
     

             “รูปปั้นตัวนั้นเจ้าสร้างขึ้นมาเหรอ” ข้าชี้ไปที่รูปปั้นตัวนั้นแล้วถามนาง
     

             “อื้ม ฉันสร้างมันขึ้นมาเพื่อใช้ทับเอกสารที่ทำแล้วนะ มีอะไรหรือ” นางพูดออกมาด้วยความสงสัย
     

             “เปล่าหรอกข้าเห็นมันเปลี่ยนสีได้เลยรู้สึกสงสัยนะ” ข้าตอบนางกลับไป นางยิ้มออกมาราวกับอยากให้ข้าถามแบบนี้มานานแล้ว
     

             “มันเปลี่ยนสีตามอารมณ์ความรู้สึกของฉันนะ” นางพูดกลับมาพร้อมยิ้มในแบบของนางซึ่งมันดูน่ารักดี
     

             “ถ้ามันเปลี่ยนสีตามอารมณ์เจ้าจริง แล้วแต่ละสีเจ้ารู้สึกอย่างไรละ” ข้าก้มหน้าเพื่อปกปิดสีหน้าของข้าก่อนที่จะถามนาง
     

             ……………….” มีแต่ความเงียบตอบกลับมา ข้าว่านางคงลำบากที่จะตอบ ข้าเลยพูดต่อ
     

             “ถ้าลำบากก็พูดเรื่องอื่นก็ได้นะ” ข้าถามนางต่อทั้งๆที่ยังก้มหน้า
     

             ………………” ก็มีแต่ความเงียบกลับมาเหมือนเดิม ข้าก็เริ่มสงสัยว่าทำไมนางถึงไม่ตอบ ข้าเลยเงยหน้ามาจะพูดกับนาง
     

             “นี่จะ….” พอข้าเงยหน้าขึ้นมาเพื่อที่จะถามนาง แต่พอเงยขึ้นมาเสร็จก็พอว่านางหลับไปแล้ว ข้าก็จ้องมองนางพร้อมกับยิ้มออกมา นางนั้นช่างน่ารักน่าทะนุถนอมไม่ว่าตอนตื่นหรือตอนนอน สำหรับข้าตอนนี้ข้าว่าข้ารักนางอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว แต่สำหรับนางนางอาจจะมองว่าข้าว่าเป็นแค่เพื่อน แต่ยังไงตอนนี้ขอให้ข้าได้อยู่ใกล้นางก็พอแล้ว ซักพักข้าก็ลุกขึ้นและไปที่เตียงนอนของนางเพื่อหยิบผ้าห่มมาห่มให้
     

             พอข้าถึงเตียงก็สังเกตสมุดโนดเล่มหนึ่งวางอยู่บนหัวเตียง ข้าก็หยิบมาอ่านในเล่มนั้นนางได้จดบันทึกเกี่ยวกับกิจกรรมที่นางได้ใช้เวทย์มนต์แห่งน้ำแข็งและหิมะไว้แทบทุกอย่าง ข้าก็อ่านไปเรื่อยๆมันก็สนุกดีว่าที่ได้รู้ว่านางรู้สึกอย่างไรตอนที่นางใช้เวทย์มนต์นี้ ข้าก็อ่านไปเรื่อยๆจนถึงสีของน้ำแข็งของนางก็ตามที่นางบอก ว่าน้ำแข็งที่นางสร้างจะเปลี่ยนสีไปตามอารมณ์ความรู้สึกของนาง สีน้ำเงิน เมื่อนางมีความสุข   สีแดง เมื่อนางรู้สึกเศร้าหรือกังวล สีเหลือง เวลาที่ฉันโมโห สีชมพู เมื่อนางเขิน ข้าก็อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็มองรูปปั้นบนโต๊ะของนาง ปรากฏว่ามันเป็น สีม่วง ข้าก็สงสัยว่านางรู้สึกอย่างไรเพราะนางไม่ได้เขียนมันไว้ข้าก็เขียนให้ว่า “สีม่วง ?” ข้าก็ยิ้มกับผมงานตัวเองเล็กน้อยจนข้าเกือบลืมเอาผ้าห่มมาห่มให้นาง ข้าก็หยิบผ้าห่มไปห่มให้นางข้าค่อยๆห่มมันให้มิดชิดก่อนี่จะจ้องมองนางต่อ ข้าก็ดูไปดูมาดูท่านอน(ตอนนั่ง)ของนางดูท่าจะปวดคอ ข้าก็จัดให้ใหม่โดยให้เอาแขนของนางมาท้าวคาง แต่นางน่าจะปวดแขนแน่ๆ ข้าก็นั่งคิดอยู่นานว่าจะจัดท่านอนยังไงให้นางนอนสบายที่สุด สุดท้ายข้าก็นึกออกถ้านั่งนอนไม่ได้ก็นอนราบไปบนเตียงนั่นแหละ ข้าก็ค่อยๆช้อนตัวนางอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้นางตื่น พอข้าช้อนตัวนางเสร็จข้าก็ค่อยๆเดินไปที่เตียงนอนของนาง พอถึงเตียงข้าก็ค่อยๆวางนางเลบนเตียงอย่างเบามือและคลุมผ้าห่มให้
     

             “ฟู่ว(เสียงถอนหายใจ) จัดเสร็จซะที” ข้าพูดออกมาเบาๆ และดูผลงานตัวเอง ข้าก็ยิ้มชื่นชมผลงานตัวเอง เพราะข้าจัดท่านอนของนางเหมือนกับท่านางนอนของนางเอง ข้าก็เดินไปที่หน้าต่างที่ๆนางได้อนุญาตให้ข้าไปพักผ่อนตรงนั้น พอข้าเดินจะถึงที่หมายจู่ข้าก็ได้ยินเสียงนางเรียกชื่อข้า
     

             “แจ็ค” ข้าก็หันไปตามเสียง ข้าวางไม้เท้าประจำตัวไว้ข้างกำแพงก่อนจะเดินไปหานาง
     

             “เจ้าเรียกข้าหรือเอลซ่า” ข้าถามนางกลับไปพร้อมกับเดินไปหา
     

             ……..” ไม่มีเสียงกลับมา ข้าก็มองเข้าไปในเตียงนางก็หลับอยู่สงสัยข้าจะหูฝาด
     

             “แจ็ค” คราวนี้ข้าไม่ได้หูฝาดนั่นเสียงนางจริงๆเพียงแต่ นางละเมอเป็นชื่อข้า ข้าก็ลองเล่นๆกับเสียงละเมอของนางละกันจะได้ไม่เบื่อ
     

             “ข้าอยู่ตรงนี่” ข้าพูดเสร็จก็ขึ้นไปบนเตียงของนางพร้อมกับลูบหัของนางเบาๆ
     

             “แจ็ค นี่ท่านรู้ไหมทำไมตอนนี้ฉันถึงมีความสุขมากกว่าทุกๆที” นางละเมอพูดออกมา ดูท่านางจะฝันต่อจากเหตุการณ์ที่เราคุยกันตะกี้นะ
     

             “ไม่รู้สิ” ข้าก็ดันตอบกลับไปทั้งๆที่นางนอนอยู่(บ้าไปแล้วตู)
     

             “เพราะตอนนี้ฉันมีความรักไงละ อยากรู้ไหมละว่าตอนนี้ฉันชอบใคร” นางพูดออกมาทำเอาข้าตกใจเล็กน้อยและสงสัยว่าตอนนี้นางนอนจริงรึเปล่า  ข้าก็ลองเงียบไม่ตอบดู
     

             “ท่านรู้อยากรู้ละสิคะยั้นคะยอให้ฉันตอบให้ได้เลยน้า” ดูท่าจะนอนจริง เพราะนางพูดออกมาแบบนั้น
     

             “ฉันยอบบอกก็ได้แต่เอาหูมาใกล้ๆฉันสิฉันเขินนะ” นางพูดออกมาข้าก็ลองยื่นหูเข้าใกล้นางเพื่อฟังคำตอบ
     

             “ฉันชอบท่านนะแจ็ค” นางกระซิบออกมาเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่พอข้าได้ยินข้ากลับหน้าแดงมากข้าก็หยิกแขนตัวเองว่าฝันรึเปล่าแต่เจ็บแสดงว่าไม่น่าฝันและนางนอนจริงรึเปล่านั้นอีกคำถามหนึ่ง พอนางบอกว่านางชอบข้าเสร็จนางก็เงียบไปเลย ทำเขาข้าครุ่นคิดจนนอนไม่หลับ ข้าก็จะเดินกลับไปที่หน้าต่างแต่มือของนางฉุดแขนข้าไว้อยู่ทำเอาข้าขยับไปไหนไม่ได้
     

             “เอลซ่าปล่อยแขนข้าสิ” ข้าพูดออกไปโดยหวังว่านางจะตอบสนอง ใช่นางตอบสนองกลับมาแต่ตรงกันข้ากับที่ข้าต้องการขางดึงแขนข้าเข้าไปในผ้าห่มถ้าข้าสะบัดแขนข้านางตื่นแน่ ถ้าข้าอยู่เฉยๆนางก็จะตื่นได้จะข้าทำไง ข้าก็ปล่อยตัวเองไปตามแรงดึงของนาง นางดึงซะข้าอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับนางซะงั้น(ตอนนี้เรานอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน) ตอนนี้นางก็กอดแขนข้าข้างหนึ่งแน่นไม่ยอมปล่อยข้าก็ไม่รู้ทำไงก็อยู่ในท่านั้นนั่นแหละ ระหว่างที่ข้าคิดจะหาวิธีหลุดออกจากเตียงนี้เพื่อไม่ให้นางตื่น จู่ๆข้าก็ได้กลิ่นจากตัวของนาง กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นแบบเดียวกับที่ข้าได้กลิ่นจากตัวนางเมื่อตอนเย็นเพียงแต่ช่วงเวลานี้กลิ่นนี้มันช่างหอม หอมมากจนอธิบายไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าเป็นกลิ่นที่ทำให้ทุกคนสามารถหลงใหลกับกลิ่นนี้และตกอยู่ในภวังค์ได้อย่างไม่ยากเย็น ข้าได้กลิ่นแบบนี้มันแทบทำให้สติของข้าแทบสูญสิ้น ข้าเกือบทำตามสัญชาติญาณดิบของเพศผู้ แต่ข้ามีสติขึ้นมาได้ก่อน ตอนที่ริมฝีปากข้าเกือบจะไปประกบริมฝีปากของนาง ข้ารีบถอยตัวออกห่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่อีก แต่ข้าก็ถอยไปได้ไม่ไกลเพราะนางกอดแขนของข้าไว้แน่น สุดท้ายข้าก็ปล่อยมันไป ข้าปล่อยให้นางกอดแขนของข้าไป ข้าก็มองหน้าของนางคืนและข้าก็หลับไปโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว

     

    …………………………………………………………………………………………………………………..

     

             จนไปแล้วนะครับกับ Chapter 7 : feeling สนุกกันไหมครับ ในที่สุดฟิดของผมก็มาครึ่งทางแล้วนะครับใกล้จบแล้วตัวพระนางบอกรักกันแล้ว(ถึงฝ่ายหญิงจะละเมอก็เหอะ) เอาละครับ ว่าถึงตอนนี้เหมือนขยายตอนที่แล้วมากกว่าจะเป็นตอนใหญ่ แต่ก็พยายามแต่งสุดฤทธิ์ไม่รู้ว่าสนุกกันไหม ตอนหน้า Chapter 8 : promise นะครับ เนื้อเรื่องก็…………….อ่านเอาเองละกันนะครับ

             เจอกันใหม่หลังสงกรานนะครับ (เพราะผมไม่ได้เอาคอมไป) สำหรบวันนี้ขอละไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ

     

              

     

            

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×