ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I want to see you again

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 11 : Our Wedding

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ค. 57




    เอลซ่าผมดีใจนะที่ผมจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณ
    ถึงแม้เราจะรู้ว่าเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันตลอดไปได้
     แต่ผมขอ
    สัญญานะว่าทุกลมหายใจและทุกวินาทีที่เหลือต่อจากนี้
    ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอถึงแม้ว่าคุณจะจากผมไปแล้วก็ตาม ”

                                                                                     Jack Frost

    …………………………………………………………………………………………………

     

    Elsa Snow Queen :
     

             ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว วันนี้มันต่างกับทุกๆวันที่ผ่านมาเพราะวันนี้ฉันต้องเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานของฉันในวันพรุ่งนี้ ฉันยกแขนที่อยู่วางทับตัวฉันอยู่ออกไปแล้วค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ฉันเดินไปที่หน้าต่างห้องนอนของฉันแล้วเปิดมันออกเพื่อรับลมหนาว ฉันหลับตาลงแล้วหายใจเข้าออกอย่างช้าๆและรับลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามา ซักพักฉันก็รู้สึกถึงอ้อมกอดจากด้านหลังสัมผัสนี้มันทั้งเย็นและรู้สึกอบอุ่นในเวลาเดียวกัน ฉันก็ยิ้มออกมาแล้วลืมตาขึ้นจากนั้นก็กุมมือของผู้ที่กอดฉันเอาไว้
     

             “ตื่นแล้วเหรอคะ” ฉันถามออกไป
     

             “ครับผม” เขาพูดขึ้นมาพร้อมกับก้มหน้าจูบกลางหัวของฉันอย่างแผ่วเบา
     

             “คุณตื่นมานานแล้วเหรอเอลซ่า” เขาถามออกมา ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่น
     

             “ก็ก่อนคุณสักครู่หนึ่งแล้วละ” ฉันตอบเขากลับไปพร้อมกับดูบรรยากาศในเมืองผ่านหน้าต่างบานนี้ ดูเหมือนเขาจะทำแบบเดียวกัน
     

             “แจ็คคะ” ฉันเรียกชื่อเขาออกไป
     

             “ครับ?” แจ็คก็ขานรับด้วยความสงสัย
     

             “เมื่อคืนคุณหลับสบายไหมคะ” ฉันถามเขาไป ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันถามแบบนั้นไปได้ยังไงแต่ก็คงมีแต่เขากับอันนาละมั้งที่ฉันกล้าถาม
     

             “หลับสบายเลยละ ก็เพราะผมมีหมอนข้างที่กอดสบายแบบนี้ไง” แจ็คตอบกลับมาพร้อมกับหยอกล้อฉันเล็กน้อย
     

             “จะบ้าเหรอตัวฉันก็ไม่ได้นิ่มขนาดนั้นนะ” ฉันพูดออกไปแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดต่อพร้อมกับใบหน้าที่แดงขึ้นเล็กน้อย
     

             “แล้วก็ขอบคุณนะที่ไม่ได้ล่วงเกินฉัน” ฉันพูดออกไป
     

             “ก็คุณอนุญาตแค่ให้ผมนอนกอดคุณนี่นาเอลซ่า” แจ็คพูดออกมา
     

             “ถ้าผมทำอะไรเกินเลยไปกว่านี้ คุณคงเกลียดผมแน่ๆ” เขาพูดต่อแบบขำๆแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง
     

             “ก็จริงอย่างที่คุณบอกนะ” ฉันพูดออกไปพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆแล้วพูดต่อว่า
     

             “แต่พรุ่งนี้แล้วสินะ” ฉันพูดพร้อมกับถอนหายใจ
     

             “ใช่พรุ่งนี้แล้ว” แจ็คก็พูดออกมา
     

             “เวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ” ฉันพูดออกไปแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกลับหลังหันไปหาเขา
     

             “คุณก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหมแจ็ค” ฉันถามเขาพร้อมกับโอบกอดคอเขาไว้อย่างหลวมๆ
     

             “มันผ่านไปเร็วก็จริง แต่เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนานนะ” แจ็คพูดออกมาพร้อมกับยิ้มให้
     

             “ฉะนั้นไม่ต้องกังวลนะเอลซ่า” แจ็คพูออกมาพร้อมกับค่อยๆโน้มใบหน้ามาหาฉัน
     

             ปึ้ง(เสียงบานประตูที่ถูกเปิดไปกับชนกำแพงอย่างแรง)” ระหว่าที่แจ็คกำลังประทับริมฝีปากใส่ฉันเราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูอย่างแรง ทำให้เราหันไปมองประตูบานนั้นเห็นอันนากำลังยืนก้มหน้าหอบอยู่
     

             “พี่เอลซ่าได้เวลาแล้วคะ” อันนาพูดขึ้นมาพอเห็นฉันกับแจ็คก็พูดช้าลง
     

             “นี่หนูรบกวนเวลาสวีทกันรึเปล่าคะ” อันนาพูดออกมาด้วยความสงสัยฉันก็รีบปล่อยมือออกแจ็คก็ทำแบบเดียวกัน
     

             “เปล่าๆอันนาน้องไม่ได้รบกวนอะไรเลย” ฉันรีบพูดออกไปแจ็คก็เดินเข้ามาหาฉัน
     

             “แล้วเจ้ามีเรื่องอะไรเหรออันนาถึงได้รีบวิ่งมา” แจ็คถามอันนาด้วยความสงสัยพร้อมกับยืนข้าง
    ฉัน

     

             “ก็หนูจะมาตามพี่แจ็คกับพี่เอลซ่าไปทานอาหารเช้าไงคะ” อันนาตอบกลับมาพร้อมกับก้มหน้าเหมือนสำนึกผิด
     

             “มีแค่นี้ใช่ไหมอันนา” ฉันถามออกไป อันนาก็พยักหน้าตอบ
     

             “แล้วคนอื่นๆตื่นรึยังละ” ฉันถามไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้เหมือนอันนาจะยืนเหม่อลอยไม่ยอมตอบ
     

             “อันนา” ฉันก็เรียกชื่อของน้องสาวตัวเองที่ตอนนี้ยืนเหม่อลอย
     

             อันนา” ฉันก็เรียกชื่อของน้องตัวเองอีกครั้งคราวนี้อันนาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วพูดว่า
     

             “วันนี้หนูจะแก้แค้นท่านพี่เหมือนตอนที่ท่านพี่ทำกับหนูเมื่องานแต่งของหนูสองอาทิตย์ที่แล้วแน่นอนคะ” อันนาพูดออกมาอย่างรวดเร็วแบบอัตโนมัติ ฉันก็ทำหน้าขำปนตกใจเล็กน้อย
     

             เดี๋ยวอะไรนะ ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย” อันนาบ่นกับตัวเองเบาๆ
     

             “เมื่อกี้พี่เอลซ่าถามมาว่าอะไรนะคะ” อันนารีบทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย ฉันก็เนียนๆตอบไปเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้ยินอะไร
     

             “เมื่อกี้พี่ถามว่าคนอื่นๆตื่นรึยังอันนา” ฉันถามไปคราวนี้อันนาทำหน้าแบบตกใจเล็กน้อย
     

             “เอ่อน้องลืมไปเลยว่าพี่ราพันเซลยังอยู่” อันนารีบตอบกลับมาฉันก็ทำหน้าแบบก็ไปปลุกซะสิ
     

             “งั้นเดี๋ยวน้องไปก่อนนะคะ อีก15นาทีเจอกันที่ห้องอาหารนะคะ” อันนาพูดออกมาแล้วรีบวิ่งไปที่ห้องราพันเซล
     

             “เมื่อกี้คุณได้ยินเหมือนฉันไหมคะ” ฉันถามแจ็คไปแจ็คก็พยักหน้าตอบ
     

             “เปิ่นจริงๆเลยน้องฉัน” ฉันบ่นออกไปแล้วเดินไปที่ห้องแต่งตัว
     

             “อ้อแจ็คฉันจะไปล้างหน้าและเปลี่ยนชุดนะ คุณห้ามเข้ามาดูละ” ฉันพูดออกไปเชิงสั่งแจ็คก็ตอบกลับมาว่า
     

             “คร้าบผม ผมไม่ดูหรอกครับเพราะยังไงพรุ่งนี้ก็ได้เห็นทั้งตัวอยู่ดี” แจ็คตอบกลับมาทำเอาฉันหน้าขึ้นสี
     

             “คนบ้า” ฉันพูดออกไปพร้อมกับปิดม่านใส่เขา
     

             “ถึงบ้าผมก็บ้ารักนะครับ” แจ็คตะโกนออกมา ฉันก็ทำเป็นไม่ตอบเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องนั้น

     

    Jack frost :
     

             เห้อเมื่อกี้ข้าพูดไปได้ยังไงถึงข้าจะเป็นคนขี้เล่นชอบแกล้ง แต่ข้าไม่เคยพูดแบบนั้นมาก่อนเลยนะ สงสัยข้าคงจะเปลี่ยนไปละมั้งตั้งแต่มาที่นี่ ข้าเริ่มคิดก่อนทำบ้างรู้จักวางแผนไม่มุทะลุเหมือนก่อน ข้ารู้สึกมีความสุขเวลาอยู่กับนาง ข้าไม่รู้ว่านางมีอิทธิพลกับข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ในตอนแรกข้าต้องการที่จะอยู่กับนาง แต่ตอนนี้ข้ากลับอยากดูแล เมื่อก่อนเวลานางเสียใจข้าจะพยายามปลอบนาง แต่เดี๋ยวนี้ข้ากลับรู้สึกทุกข์ใจไปด้วยเวลาที่นางเศร้าหรือร้องไห้นางเป็นคนที่หลากหลายบุคลิกซึ่งข้าชอบนะที่เป็นแบบนี้ แต่ก่อนที่ข้าจะเพ้อไปมากกว่านี้ข้าคงต้องไปล้างหน้าซักหน่อยดีกว่า หลังจากที่ข้าล้างหน้าเสร็จเอลซ่าก็เปิดผ้าม่านออกมาแล้วถามข้าว่า
     

             “รอนานไหมแจ็ค” เอลซ่าว่าที่ภรรยาของผมถามมา ผมก็หันหลังตามเสียงไป
     

             “ก็นา……ว้าว” ข้ากำลังจะตอบคำถามแต่พอข้าเจอเธอ ข้าเลยอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงในความสง่าของเธอ
     

             “นานไหมคะ?” เอลซ่าถามมาอีกครั้ง ข้าก็สะบัดหัวไล่ความคิดแล้วพูดออกมาว่า
     

             “ไม่หรอก ไม่เลยเอลซ่า” ข้าตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน เอลซ่าก็ยิ้มกลับมาเช่นกัน
     

             “งั้นเราไปกันเลยดีไหม เดี๋ยวพวกน้องๆของฉันรอกันนาน” เอลซ่าพูดชักชวนข้าก็พยักหน้าตอบนางไป จากนั้นเราก็ดินไปที่ห้องอาหารด้วยกัน

            

    ห้องอาหาร พระราชวังแอเรนเดลล์
     

             หลังจากที่พวกเรารับประทานอาหารเสร็จแล้วนั้น จู่ๆอันนาก็พูดขึ้นมาว่า
     

             “งั้นหนูจะแยกพวกพี่เลยนะคะ”
     

             “เอาเลยเหรออันนา” ราพันเซลพูดขึ้นมาอันนาก็พยักหน้า
     

             “งั้นก็หนุ่มๆ ช่วยกันหน่อยนะ” ราพันเซลพูดขึ้นมาคริสตอฟกับฟลินซ์ก็พยักหน้าแล้วลุกขึ้นมาคว้าแขนข้าแล้วหิ้วไปทั้งอย่างนั้น
     

             “เห้ยปล่อย” ข้าพยายามขัดขืน แต่มีเหรอว่าแรงข้าจะสู้สองคนนี้ไหวตัวก็ใหญ่ยัก ถึงข้าจะสูงพอสมควรแต่พอยืนกับสองคนนี้ข้าดูตัวเล็กในทันที ความจริงข้าก็อยากแข่งแข็งคนพวกนี้นะ ถ้าไม่ติดที่ว่าไม้เท้าข้าถูกเอลซ่าเก็บเอาไว้นะสิ
     

             สุดท้ายข้าก็ถูกลากออกมาจากปราสาทจนได้ พอข้าถึงหน้าปราสาททั้งสองคนก็วางข้าลงแล้วกล่าวขอโทษ
     

             “ขอโทษทีที่ไม่สุภาพพอดีคุณภรรยาเขาสั่งมานะ” เจ้าฟลินซ์พูดออกมา ข้าก็ลุกขึ้นมาปัดฝุ่นที่ติดตัวออก ส่วนคริสตอฟเดินหายไปไหนก็ไม่รู้
     

             “ไม่เป็นไรฟลินซ์ข้าไม่ถือสาอยู่แล้วละแต่มีเรื่องที่ข้ากังวลอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง” ข้าตอบฟลินซ์ไป พอข้าพูดเสร็จก็มองรอบๆ วันนี้ดูแปลกๆทำไมคนไม่เดินพลุพล่านเหมือนทุกที
     

             “วันนี้คนในเมืองหายไปไหนหมด” ข้าถามฟลินซ์ไป เพื่อนคนนี้ก็ส่ายหน้าทำท่าบอกว่า
     

             “ก็วันนี้คนในเมืองเขาไปเตรียมตัวไง” คริสตอฟตอบกลับมา ข้าก็หันไปมองคริสตอฟเดินมาพร้อมกับจูงม้ามาอีกสองตัว
     

             “เอ้าเอาไปก่อนที่หมายยังอีกไกลถ้ามีเรื่องอะไรค่อยคุยระหว่างทางก็ได้” คริสตอฟพูดต่อ พร้อมกับยื่นม้ามาให้ฟลินซ์ก่อน
     

             “ขี่เป็นใช่ไหม” คริสตอฟถามมาข้าก็พยักหน้า จากนั้นข้าก็ขึ้นขี่มันคริสตอฟกับฟลินซ์ก็ขี่สัตว์ของตัวเอง
     

             ระหว่างที่ข้าขี่ม้าตามสองคนนั้นข้าก็ชมดูเมืองบ้าง วันนี้ทำไมผู้คนถึงหายไปหมดซึ่งปกติผู้คนภายในเมืองต้องออกมาเดินทำกิจกรรมแล้วสิ แต่ข้าก็เห็นคนบ้างบางส่วนที่กำลังขึ้นป้ายเรื่องพิธีอภิเษกสมรสของข้ากับเอลซ่า ด้วยความอยากรู้อยากเห็นข้าก็ขี่เข้าไปใกล้ๆเพื่อเข้าดูว่ามันเป็นอย่างไร พอข้าไปดูพวกคริสตอฟก็ขี่ตามมา
     

             “ช่างวาดที่นี่วาดสวยดีนะ” ยูจีนพูดขึ้นมา
     

             “ใช่สวยจริง แต่นายควรขอบคุณภรรยาของนายดีกว่า” คริสตอฟพูดออกมา
     

             “อ้าวจะให้ข้าขอบคุณราพันเซลทำไม” ฟลินซ์ถามมาด้วยความสงสัย
     

             “ก็รูปนี้ราพันเซลเป็นคนวาด” คริสตอฟพูดออกมาทำเอาฟลินซ์ตกใจเล็กน้อย ตอนแรกก็เหมือนจะทำหน้าไม่เชื่อแต่พอเห็นมุมล่างของรูปก็เชื่อทันที
     

             “อ้อจะว่าไปคนในเมืองหายไปไหนหมด” ข้าก็ถามคริสตอฟ
     

             “อันนาขอคนในเมืองร่วมมือจัดงานแต่งงานของท่านไงแจ็ค” คริสดอฟตอบกลับมา
     

             “ปะไปกันเถอะเดี๋ยวไปไม่ถึงกันพอดี” ข้าก็พยักหน้าแล้วขี่ม้าตามพวกนั้นไปต่อ
     

             พอพวกเราทั้งสามคนถึงที่หมายพวกเราก็ลงมาจากม้าเว้นแต่คริสตอฟที่ลงจากสเฟนซึ่งสเฟน คือ วางตัวที่เป็นเพื่อนตายของเขา หลังจากคริสตอฟลงไปเสร็จก็เปิดประตูบ้านหลังหนึ่ง
     

             “เอาละเข้ามาได้” คริสตอฟพูดขึ้นมาพร้อมกับโบกมือ ข้ากับฟลินซ์ก็ผูกม้าไว้ที่หน้าบ้าน
     

             ในบ้านหลังนี้แม้มันจะดูฝุ่นจับเล็กน้อยเพราะไม่มีคนอาศัย แต่ก็ถือว่าดูสะอาดสะอ้านพอตัว บ้านนี้เป็นบ้านหลังเล็กๆ มีห้องนอนห้องเดียว และมีห้องรับแขกกับห้องครัวเป็นห้องเดียวกัน
     

             “บ้านพักนี้รกนิดหน่อย หวังว่าคงอยู่ได้นะ” คริสตอฟพูดขึ้นมาหลังจากที่จุดไฟที่เตาผิงเสร็จ
     

             “บ้านนี้ของเจ้าเหรอ” ข้าถามออกไป
     

             “บ้านนี้เป็นบ้านพักนะ ผมกับอันนาพักที่นี่บ่อยๆเวลาที่เธองอนพี่ของเธอ” คริสตอฟตอบกลับมา
     

             “แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้เข้ามาอยู่หรอก ก่อนที่จะแต่งงานผมก็จะอยู่กับพวกเสียส่วนใหญ่โทลล์” คริสตอฟพูดต่อ
     

             “โทลล์ที่นี่มีโทลล์ด้วยงั้นเหรอ” ฟลินซ์ถามมาคริสตอฟก็พยักหน้า
     

             “ใช่แล้วอ้ออีกอย่างนายนะนั่งทับเอ็ดอยู่” คริสตอฟชี้ไปที่หินก้อนที่ฟลินซ์นั่ง
     

             “โทษที” ฟลินซ์ลุกขึ้นมาซักพักหินก้อนนั้นก็เปลี่ยนไปโทลล์
     

             “ไงคริสตอฟไม่ได้กลับมาซะนานมีอะไรให้ช่วยละ” โทลล์ตัวนั้นพูดกับคริสตอฟอย่างคุ้นเคย
     

             “จำเรื่องเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วได้ไหม” คริสตอฟถามโทลล์ตัวนั้น
     

             “เรื่องที่เจ้าถูกภูติหิมะขวางไม่ให้พบอันนาก่อนวันแต่งใช่ไหม” โทลล์ตัวนั้นตอบกลับมาคริสตอฟก็พยักหน้าแล้วพูดต่อว่า
     

             “ก็วันนี้อย่าให้ช่วยขวางเขาหน่อย” คริสตอฟพูดออกมาพร้อมกับชี้มาทางข้า
     

             “อ้าวทำไมละ” โทลล์ตัวนั้นถามกลับมา คริสตอฟก็จ้องหน้ามันซักพักเหมือนตัวนั้นจะนึกอะไรได้
     

             “แค่ขัดขวางไม่ให้พบหน้าองค์ราชินีจนกว่าพรุ่งนี้ใช่ไหม” โทลล์ตัวนั้นถามคริสตอฟ คริสตอฟก็พยักหน้า
     

             “งั้นช่วยหน่อยนะเพื่อน” คริสตอฟบอกโทลล์ตัวนั้นก็เข้ามาหาข้าแล้วดึงกุญแจมือ(?)ออกมาจากเสาบ้านแล้วล็อคข้าไว้
     

             “เฮ้ๆทำอะไร” ข้าถามออกไปพร้อมกับปล่อยให้เจ้าโทลล์ตัวนั้นเอากุญแจมือมาล็อคเรื่อยๆ
     

             “ก็กันท่านหนีไปหาเอลซ่า” ฟลินซ์ตอบกลับมา
     

             “คิดว่าแค่นี้จะกันข้าได้รึไง” ข้าพูดออกไป ซักพักคริสตอฟกับฟลินซ์ก็มองหน้าแล้วหัวเราะออกมา
     

             “หัวเราะอะไร” ข้าถามอีกครั้ง
     

             “ใช่แค่นี้กันท่านไม่ได้หรอก” ฟลินซ์ตอบกลับมาแล้วยังหัวเราะต่อ
     

             “แล้วหัวเราะอะไร” ข้าถามอีกครั้ง
     

             “ท่านก็ลองขยับตัวให้ได้สิ” ข้าก็ก้มหน้ามองดูมีหินจากไหนมากมายมาถ่วงและมาทับข้าเนี่ย
     

             “แค่นี้ก็น่าจะกันท่านได้แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจอยู่ดี” คริสตอฟลุกขึ้นมาพร้อมกับหยิบท่อนซุงมาท่อนหนึ่ง
     

             “ยังไงท่านก็ไม่มีทางตายรอบสองอยู่แล้วถูกต้องไหม” คริสตอฟหันมายิ้มให้
     

             “ดังนั้นหลับให้สบายนะครับพรุ่งนี้เจอกันใหม่” คริสตอฟพูดขึ้นมาแล้วเอาท่อนซุงนั้นฟาดใส่หัวข้าโดยไม่ทันให้ข้าร้องเลยซักคำ และนั่นคือความทรงจำสุดท้ายที่ข้านึกออกในวันนั้น

     

    พิธีอภิเษกสมรส พระราชวังแอเรนเดลล์

     

    Elsa Snow Queen :
     

             ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วฉันไม่ได้เป็นคนกำหนดเวลาในงานแต่งงานของฉัน แต่เป็นอันนาที่เป็นเตรียมการไว้ทั้งหมด ตอนนี้น้องฉันอยู่ไหนนะหรือตอนนี้กำลังจัดชุดแต่งงานของฉันอยู่
     

             “พี่เอลซ่าอยู่นิ่งๆหน่อยสิคะ” อันนาพูดขึ้นมาหลังจากที่ต้องวางมือลงจากการตกแต่งชุดของฉัน
     

             “ถามราพันเซลหน่อยไหมว่าทำไมพี่ถึงนิ่งไม่ได้” ฉันพูดออกไปราพันเซลที่กำลังแต่งหน้าให้ฉันอยู่ก็หยุดทำ
     

             “แหม่ก็งานของพี่ใหญ่ทั้งทีจะไม่ใช้สวยได้ไงละคะ” ราพันเซลพูดออกมา
     

             “แต่พี่ราพันเซลก็ช่วยทำอะไรเบาๆหน่อยสิคะ” อันนาตอบกลับมา ถ้าฉันปล่อยไว้แบบนี้ทั้งสองทะเลาะกันแน่ๆ
     

             “นี่วันนี้วันสำคัญของพี่นะ อย่าทะเลาะกันได้ไหม” ฉันสั่งออกไป
     

             “แต่ว่า” ทั้งสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน
     

             “ไม่ต้องแต่นะจ๊ะ” ฉันพูดออกไปทั้งราพันเซลและอันนาก็ถอนหายใจแล้สทำงานของตัวเองต่อ พอทั้งสองทำเสร็จแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
     

             “งั้นน้องไปรอท่านพี่ที่ลานพิธีนะคะ” อันนาพูดขึ้นมาฉันก็ยิ้มตอบกลับไปอันนาเห็นดังนั้นก็ดึงแขนราพันเซลแล้วรีบไปที่ลานพิธี
     

             หลังจากที่น้องสาวทั้งสองของฉันออกไปแล้ว ฉันก็อยู่ในห้องนั้นคนเดียวซักพักนึกถึงวันเก่าๆ วันที่ยิ้ม วันที่ร้องไห้ วันที่ดีใจ วันที่เศร้าใจ ทุกๆวันที่ผ่านมามันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังจะแต่งงาน ฉันตัดสินใจไปแล้ว ฉันไม่มีวันหันหลังกลับไปได้อีก ฉันอยากใช้ชีวิตร่วมกับแจ็คถึงแม้เราจะรู้จุดจบของเราว่าจะเป็นอย่างไร แต่ฉันก็ไม่เสียใจฉันมีความสุขเสียอีกที่จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนที่เรารักต้องจากไป แต่แจ็คเขาจะทำใจได้ไหมฉันก็รู้สึกสงสารเขานะ ฉันจะยกเลิกงานนี้ดีไหม ไม่ฉันเลือกเขาแล้วเขาก็เลือกฉันด้วย ฉันจะทำแบบนั้นไม่ได้
     

             หลังจากที่ฉันคิดฟุ้งซ่านเสร็จก็ค่อยๆเดินออกจากประตูไปยังลานพิธี พอฉันถึงลานพิธีทหารสองคนก็เปิดประตูให้ฉันเดินเข้าไป พอประตูเปิดเหล่าผู้คนในเมืองต่างก็ปรบมือต้อนรับด้วยความดีใจ งานแต่งของฉันนั้นได้เชิญเหล่าแขกจากต่างเมืองมาเพียงไม่กี่เมือง และวันนี้ฉันได้เชิญผู้คนในเมืองมาด้วยทำให้บรรยากาศที่นี่แตกต่างกับงานของออันนาอย่างสิ้นเชิง ฉันก็เดินไปเรื่อยๆ ดูเหมือนแจ็คจะรู้ว่าฉันมาแล้วเขาก็หันมาหาฉันแล้วยิ้มพร้อมกับยื่นมือมาให้ฉันแล้วพูดว่า
     

             “มาสายนะครับองค์ราชินี” แจ็คพูดออกมาอย่าขำขัน ฉันก็เอื้อมมือไปจับมือของเขา
     

             “ราชินีไม่เคยมาสายมีคุณนั่นแหละที่มาก่อน” ฉันก็พูดตอบกลับไป แจ็คก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
     

             “ครับผม” แจ็คพูดเสร็จก็ดึงฉันฉฉันก็เดินตามมายืนข้างๆเขา
     

             “งั้นพ่อจะเริ่มพิธีเลยนะ” บาทหลวงพูดขึ้นมา แต่ฉันขัดเสียก่อน
     

             “ขอโทษด้วยนะคะ ท่านช่วยทำพิธีแต่งตั้งเลยได้ไหมคะ” ฉันถามบาทหลวงคนนั้นท่านก็พยักหน้าแล้วเรียกให้คนรับใช้ไปเตรียมมงกุฎ
     

             “พ่อจะเริ่มพิธีแล้วนะ มีอะไรขออีกไหม” บาทหลวงถามมาอีกครั้ง
     

             “ไม่มีแล้วครับ เชิญท่านบาทหลวงเลยครับ” แจ็คพูดออกมาอย่างสุภาพ บาทหลวงได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
     

             “เสียงลูกนี่เหมือนของพ่อเลยนะ ไม่มีอะไรขอพ่อจะเริ่มเลยนะ……….” บาทหลวงคนนั้นพูดเสร็จก็เริ่มอ่านคำในคัมภีร์ทันที
     

             “เอลซ่า” แจ็คกระซิบถามฉัน
     

             “เสียงบาทหลวงคล้ายผมจริงเหรอ” แจ็คถามมาฉันก็พยักหน้าตอบ แจ็คก็ทำหน้าเสียใจเล็กน้อย ฉันก็หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า
     

             “แต่ถึงอย่างไรฉันก็รู้ว่าเสียงไหนเป็นเสียงของคุณนะแจ็ค” ฉันพูดแบบนี้แจ็คก็หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย น่ารักจริงๆสามีฉัน
     

             “คุณ แจ็คสัน โอเวอร์แลน ฟรอสต์ คุณจะรับองค์ราชินีเอลซ่าแห่งอาณาจักรแอเรนเดลล์เป็นภรรยาและ คุณสามารถสาบานได้หรือไม่ว่าจะดูแลเธอไม่ว่าจะเป็นยามสุข ยามทุกข์ หรือยามเศร้า แม้แต่ยามที่เจ็บป่วย และคุณจะรักเธอเพียงคนเดียวแม้ว่าจะตายจากกันไป คุณจะสาบานไหม” บาทหลวงถามที่แจ็คก่อน แจ็คก็ตกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาเดิมชื่อว่าอะไร แต่ฉันรู้เพราะว่าเมื่อวานมีขุนนางผู้หญิงในเมืองชื่อเอ็มม่าได้บอกฉัน ฉันก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะดูจากหน้าตาและโครงหน้าคล้ายของเธอแจ็คมาก
     

             “ผมสาบาน ว่าต่อจากนี้ไปทุกลมหายใจและทุกๆวินาทีต่อไปนี้ผมจะรักแต่เพียงเธอคนเดียว” แจ็คกล่าวคำสาบาน พร้อมกับถามฉันเบาๆว่า เธอรู้ชื่อเต็มของผมได้ไง ฉันก็ตอบกลับไปว่า เอาเป็นว่าฉันรู้แล้วก็แล้วกัน แจ็คก็ถอนหายใจแล้วยิ้มออกมาแล้วพูดออกมาเบาๆว่า
     

             “งั้น..วันนี้ก็ไม่ต้องนอนกันละถ้าคุณไม่บอกผมผมไม่เลิกแน่” แจ็คพูดออกมาพร้อมกับทำหน้าแบบไม่ใส่ใจแต่ฉันนะเหรอหน้าแดงแล้ว
     

             “แล้วคุณละองค์องค์ราชินี คุณจะรับ แจ็คสัน โอเวอร์แลน ฟรอสต์ เป็นสามีของคุณและ คุณสามารถสาบานได้หรือไม่ว่าจะดูแลเธอไม่ว่าจะเป็นยามสุข ยามทุกข์ หรือยามเศร้า แม้แต่ยามที่เจ็บป่วย และคุณจะรักเขาเพียงคนเดียวแม้ว่าจะตายจากกันไป คุณจะสาบานไหม” บาทหลวงถามฉันต่อ ฉันก็ตอบกลับไปว่า
     

             “ฉันสาบานต่อให้กาลเวลาจะแยกเราออกจากกันแต่ฉันก็จะรักเขาแต่เพียงผู้เดียวไม่ว่าจะชาตนี้หรือชาติไหนๆ” ฉันตอบกลับไป แจ็คก็ยิ้มอออกมาเล็กน้อย
     

             “งั้นพ่อขอแหวนได้ไหม” บาทหลวงกล่าวขอแหวนแต่งงาน ฉันกับแจ็คก็พยักหน้า ฉันก็ยกมือขึ้น ส่วนแจ็คก็ทำแบบเดียวกันซักพักแหวนก็ลอยมาจากบนเพดานมายังด้านหน้าของบาทหลวง
     

             แหวนที่ฉันทำให้แจ็คเป็นแหวนที่ทำมาจากทองคำขาวตกแต่งด้วยเงินลวดลายเกล็ดหิมะ และแหวนของแจ็คนั้นเป็นหวนที่ทำมาจากทองคำขาวเหมือนกับของฉัน เพียงแต่มันนั้นถูกขึ้นรูปเป็นนเกล็ดหิมะอยู่ที่ยอด ตรงกลางประดับด้วยเพชรสีน้ำเงิน และรอกๆประกอบด้วยเพชรสีขาว ซักพักบาทหลวงก็นำแหวนมาวางแล้วเราก็แลกแหวนแก่กัน
     

             “พ่อจะเริ่มอีกพิธีเลยลูกๆพร้อมกันแล้วนะ” บาทหลวงพูดขึ้นมาอีกครั้งฉันก็พยักหน้าตอบเขาไป
     

             “งั้นขออัญเชิญมงกุฎด้วย” บาทหลวงพูดขึ้นมาจากนั้นคนรับใช่ก็นำสิ่งเหล่านั้นมาให้บาทหลวง ท่านก็เอามงกุฎให้ฉัน
     

             “แจ็คฟรอสต์ ท่านเชิญคุกเข่าต่อหน้าองค์ราชินีด้วย” บาทหลวงพูดขึ้นมาแจ็คฟรอสต์ก็ทำตามแต่โดยดี
     

             “เชิญองค์ราชินีสวมมงกุฎให้แจ็คฟรอสต์ด้วย” ฉันก็ทำตามที่บาทหลวงท่านบอก ระหว่างที่ฉันกำลังสวมมงกุฎให้เขาท่านก็สวดไปด้วยพอฉันวางมงกุฎไว้บนหัวเขาเสร็จแจ็คก็ค่อยๆลุกขึ้นมา
     

             “บัดนี้ แจ็คสัน โอเวออร์แลน ฟรอสต์ คือ พระราชาองค์ใหม่แก่แอเรนเดลล์ ทรงพระเจริญ” บาทหลวงพูดขึ้นมาจากนั้นทุกคนในห้องนั้นก็พูดออกมาพร้อมกันว่า
     

             “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ” ทุกคนในห้องนั้นส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน แจ็คก็เริ่มวางมาดทันทีเพราะบัดนี้เขาไม่ใช่ชายหนุ่มขี้เล่นอีกแล้ว แต่เขาคือพระราชาแห่งอาณาจักรแอเรนเดลล์
     

             จากนั้นซักพักฉันกับแจ็คก็เดินออกจากลานพิธีด้วยกันพอเราเดินออกมาเหล่าทหารก็ปิดประตูเสร็จ ซักพักแจ็คก็อุ้มฉันขึ้นมาในท่าอุ้มเจ้าสาวทันที
     

             “แจ็คคุณทำอะไร” ฉันถามกลับไปด้วยความตื่นตกใจ
     

             “ก็อุ้มคุณไงจ๊ะที่รัก” แจ็คตอบกลับมา
     

             “แต่ปล่อยะนะเดี๋ยวมีคนเห็น” ฉันเริ่มโวยวาย
     

             “นี่เราแต่งงานกันแล้วนะเอลซ่าคุณจะอายอะไรอีกละ” แจ็คพูดออกมาก็มีเหตุผล แต่ยังไงมันก็ไม่ถูก
     

             “แต่แจ็ค...อุ๊อู๊” ฉันกำลังจะพูดบางอย่างแต่แจ็ก็ปิดปากฉันด้วยปากของเขาก่อนซักพักเขาก็ยกหน้าของเขาขึ้นแล้วพูดว่า
     

             “คราวนี้ยังจะอ้างอะไรอีกไหม” แจ็คพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พอใจเล็กน้อย
     

             “ไม่แล้วละ แต่คราวหลังถ้าจะทำก็บอกกันก่อนนะ” ฉันตอบเขากลับไปพร้อมกับซุกตัวเองอยู่ในแขนของเขา
     

             “วันนี้ฉันอนุญาตให้คุณทำอะไรกับฉันได้นะ” ฉันพูดออกไปด้วยสีหน้าที่แดงก่ำ
     

             “หืมทำไมละ” แจ็คถามกลับมา
     

             “ก็เราแต่งงานกันแล้วไงคะแจ็ค แต่มีข้อแม้อยู่อย่างนะ” ฉันพูดออกไปแจ็คก็ทำหน้าสงสัย
     

             “ถ้าคุณจะทำอะไรกับฉันก็ต้องขออนุญาตจากฉันก่อนนะ” ฉันพูดต่อแจ็คก็พยักหน้าตอบ
     

             “อีกอย่างวันนี้ได้โปรดเบามือด้วย เพราะนี่มันครั้งแรกของฉันนะ” ฉันพูดออกไปอีกครั้งพร้อมกับหันหน้าไปที่แผงอกของเขาแล้วดึงเสื้อของเขามาบังด้วย
     

             “ได้ครับ องค์ราชินีของผม” แจ็คตอบกลับมาจากนั้นเขาก็อุ้มฉันไปห้องนอน
     

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

    เนื้อหาต่อไปนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่าระดับความสูงของยอดเขาเอเวอร์เรส

    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

     

    เช้าวันใหม่
     

             ฉันค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าหลังวันแต่งงาน สิ่งแรกที่ทำคือปัดขนนกที่ปรกหน้าฉันออกหลังจากที่ฉันปัดมันออกหมดแล้วฉันก็พยายามลุกขึ้นนั่งแต่ไม่ไหวมันปวดไปทั้งตัว ทำให้ฉันต้องนอนอยู่ตรงนั้นซักพัก ฉันพึ่งสังเกตว่าตอนนี้ห้องภายในห้องมีเกล็ดหิมะลอยคว้างอยู่กลางอากาศมากมายอยู่เต็มไปหมด อาจเป็นฝีมือของฉันกับแจ็คเมื่อคืนก็เป็นได้เพราะเราไม่รู้ตัวว่าได้เผลอแช่แข็งอะไรไปบ้าง ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าเตียงที่ฉันนอนมันแปลกๆก็เลยมองดู พระเจ้าเตียงที่ฉันนอนตอนนี้ขาเตียงทั้งสี่ก็หัก(เมื่อคืนรุนแรงขนาดนั้นเชียวเหรอ) ตอนนี้ฉันรู้สึกปวดหลายๆแห่งและแน่นอนที่สะโพกฉันด้วย หลังจากที่จะพยายามลุกขึ้นนั่งแต่ด้วยร่างกายปวดร้าวอย่างบอกไม่ถูกของฉันทำให้ต้องพยายามลุกขึ้นหลายต่อหลายครั้งพอฉันลุกขึ้นนั่งได้ก็ไม่ลืมที่จะดึงผ้าห่มขึ้นมาบังร่างกายของตัวเองด้วย จากนั้นฉันก็สำรวจตัวเองเพราะตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดเป็นบางแห่ง ฉันเห็นรอยช้ำมากมายที่ไหล่ ข้อมือและแขน และมีอีกมากมายที่ไม่อยากจะพูด ฉันก็มองสำรวจแจ็คเหมือนกันที่หลังของเขานั้นมีรอยถูกข่วนรากยาวจากกลางหลัง ซักพักฉันก็ล้มลงไปนอนเหมือนเดิมพร้อมกับจิ้มที่แก้มของแจ็คเบาๆ
     

             “ตื่นได้แล้วคะ” ฉันพูดออกไป ซักพักแจ็คค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วพูดขึ้นมาว่า
     

             “ขออีกหน่อยนะเอลซ่าผมเหนื่อยนะ” แจ็คตอบกลับมา
     

             “เมื่อคืนใครฉันให้คุณจัดหนักละคะ ดูสิฉันปวดไปหมด” ฉันถามไปพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ แต่พอแจ็คได้ยินอย่างนั่นก็รีบลุกขึ้นมาพร้อมกับสำรวจร่างกายฉันด้วยความเป็นห่วง
     

             “โหช้ำหลายที่เลยนี่นา” เขาทำหน้าตกใจมากที่เห็นรอยช้ำมากมายบนตัวฉัน
     

             “ผมขอโทษ” เขาพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย
     

             “ไม่เป็นไรคะยังไงฉันก็เป็ของคุณอยู่แล้ว ถึงอย่างไรคุณก็ทะนุถนอมสุดชีวิตแล้วนี่เนอะ” ฉันพูดออกมาเพื่อที่จะปลอบใจเขา ดูเหมือนแจ็คจะเครียดนิดหน่อยฉันก็เลยพูดต่อไปว่า
     

             “แต่ก็ขอบคุณนะ” ฉันกล่าวขอบคุณ แจ็คได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ
     

             “ยังไงก็ขอโทษด้วยนะคือผมเก็บกดนะ” เขาพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ฉันก็หัวเราะตอบไปด้วย
     

             “หวังว่าเราคงเห็นเจ้าตัวน้อยเร็วๆนี้นะ” แจ็คพูดออกมาอีกครั้ง ทำเอาฉันหน้าขึ้นสี
     

             “คนบ้า” ฉันก็พูดออกไปพร้อมกับตบสวนไปด้วยความเขินอายหลายต่อหลายครั้ง
     

             “โอยเจ็บนะเอลซ่า” แจ็คพูดออกมาฉันก็หัวเราะเบาๆ
     

             “แต่เธอลุกขึ้นไหวไหม” เขาถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
     

             “ไม่ไหวก็ต้องไหวแจ็ค” ฉันตอบเขาไป เขาก็ยิ้มมาให้แล้วลุกขึ้นนั่ง
     

             “งั้นผมจะไปเอาชุดของเรามาให้นะ” แจ็คพูดออกมาแล้วเดินลงจากเตียง เขาเดินกระเผกเล็กน้อยเพราะเหตุที่เขาทำกับฉันเมื่อคืน
     

             แจ็คเดินหายไปในห้องแต่งตัวของฉันนานพอสมควรในที่สุดแจ็คก็เดินออกมาพร้อมกับชุดสองชุดคือของเขาหนึ่งและของฉันหนึ่ง พอเขาเดินมาถึงเขาก็ตั้งกระจกแล้วเอาชุดมาวางไว้ที่ข้างๆฉัน
     

             “แต่งตรงนี้เลยนะคุณจะได้ไม่ต้องเดินไปไงเอลซ่า” แจ็คพูดออกมาพร้อมกับเริ่มแต่งชุดของเขา

             ฉันก็ก้มมองชุดของตัวเองชุดนี้เป็นชุดที่ฉันในพิธีราชาภิเษก ฉันพอเขาใจว่าแจ็คเอามาให้ทำไมเพราะชุดนี้ชุดเดียวที่ปิดรอยช้ำบนคอฉันได้ ระหว่างที่ฉันแต่งตัวฉันก็หงุดหงิดกับเงาตัวเองในกระจกเล็กน้อยเล็กน้อยเพราะรอยช้ำมันมากเหลือเกิน

     

             ซักพักแจ็คก็เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับสวมกอดจากด้วนหลัง
     

             “มีอะไรกังวลหรือเอลซ่า” เขาถาม
     

             “ก็ดูรอยช้ำฉันสิ” ฉันตอบกลับไป แจ็คเห็นอย่างนั้นก็ปล่อยกอดฉันมาจับที่คอเสื้อแล้วปิดมันให้
     

             “แบบนี้ก็ไม่เห็นแล้วใช่ไหม” เขาพูดเสร็จก็สวมกอดแล้ววางคางของเขาไว้ที่ไหล่ซ้ายของฉัน ฉันก็ตอบโดยการลูบหัวของเขาเบาๆ
     

             “แจ็คคะ วันนี้คุณพร้อมไหมสำหรับหน้าที่ที่จะทำนะ” ฉันถามเขาออกไปด้วยรอยยิ้ม
     

             “แน่นอนครับที่รัก” แจ็คตอบกลับมาซักพักเขาก็คลายกอดฉันแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาที่หน้าฉัน
     

             “คุณเดินไหวไหม” แจ็คถามมา ฉันก็ตอบเขาโดยการพยายามลุกขึ้นยืนแจ็คก็ช่วยฉันโดยการประคองไม่ให้ฉันล้ม
     

             “ฉันเดินไหวนะแจ็ค ปล่อยได้แล้ว” ฉันพูดแจ็คก็ปล่อยฉันลง ฉันก็เดินให้เขาดู ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจ
     

             “เอาเป็นผมช่วยประคองดีกว่า” แจ็คพูดขึ้นแล้วประคองฉัน ระหว่างที่เราเดินไปยังห้องประชุมแจ็คก็พูดขึ้นว่า
     

             “อย่าลืมสอนผมด้วยละ” แจ็คถามมาฉันก็ยิ้มแล้วตอบเขาไปว่า
     

             “แน่นอน อ้ออีกอย่างคุณอย่าลืมสอนสิ่งต่างๆที่คุณรู้ให้ฉันด้วยนะ” ฉันตอบพร้อมกับสั่งแจ็คออกไป
     

             พอเขาได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มพร้อมกับหัวเราะ ฉันก็หัวเราะออกมาด้วยตอนนี้มันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ฉันมีความสุขมากหากมีอะไรเลวร้ายฉันคงลืมสิ่งนั้นไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่ ตอนนี้อาจเป็นเพราะเราแต่งงานกันใหม่ก็ได้แต่ดูไว้เถอะต่อให้ผ่านไปกี่ปีฉันกับเขาก็จะเป็นแบบนี้แหละความสัมพันธ์ของเราจะไม่เปลี่ยนแปลงต่อให้นานแค่ไหนและต่อให้เกิดอะไรดีหรือไม่ดีฉันกับเขาก็คงทำได้แค่ปล่อยมันไป

    .

    .

    .

    ยุคปัจจุบัน ที่ปราสาทน้ำแข็ง

     

    Jack Frost :
     

             หลังจากที่ข้าเล่าเรื่องของข้าให้ผู้พิทักษ์คนอื่นๆฟังทุกคนก็ต่างพากันยิ้มและหัวเราะชอบใจ แม้แต่แซนดี้ที่ปกติจะไม่ค่อยพูดหรือหัวเราะเขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข
     

             “สรุปเลยนะครั้งแรกของเจ้าทำถึงขั้นเตียงหักเลยเหรอ” บันนี่มันถามมาพร้อมกับหัวเราะชอบใจ
     

             “ก็ใช่นะสิก็คนมันเก็บกดนี่หว่านอนกอดมาหลายคืนไม่ได้ทำอะไรมันก็เครียดนะเห้ย” ข้าตอบบันนี่มันไปแบบขำๆ ทั้งนอร์ทและและแซนดี้ต่างหัวเราะอย่างพอใจ ส่วนทู๊ดนะเหรอปิดหน้าเพราะอายเรื่องที่ข้าพูดนี่แหละ
     

             “โอเคพอก่อนๆเรื่องที่ข้าจะเล่าก็มีเท่านี้นะ ถ้าอยากฟังอะไรต่อก็ถามอลิสแล้วกันนะ ข้าไปก่อนนะ” ข้าพูดเสร็จก็ลุกออกไปจากที่นั่นทันทีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
     

             พอข้าก็เดินออกจากที่แห่งนั้นมาแล้วข้าก็กลับไปใช้สีหน้าเหมือนเดิม จากนั้นก็ชมดูปราสาทที่ข้ากับนางสร้างขึ้นมา มันไม่เปลี่ยนไปเลยแม้ผ่านไปประมาณสองร้อยปี ต้องขอบคุณลูกสาวของข้านะเนี่ยที่อุตส่าซ่อมแซมให้เหมือนเดิมตลอด หลังจากที่ข้าเดนชมอยู่นั้นมาชเมลโล่ก็เดินมา มาชเมลโล่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อตอนสองร้อยปีที่แล้วเพราะตอนนี้มาชเมลโล่โดนโมเสียเป็นสาวผิวขาวผมสีบรอนซ์ปล่อยยาวใส่ชุดเมด ไม่ต้องถามว่าฝีมือใครอลิสนั่นแหละ
     

             “ท่านมีอะไรให้ช่วยไหมคะ” มาชเมลโล่ถามมาข้าก็ตอบกลับไปว่า
     

             “ว่าจะไปหาเอลซ่าหน่อยนะ” ข้าพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม มาชเมลโล่เห็นอย่างนั้นก็ผงกหัวให้ข้าแล้วเดินไปยังห้องที่ข้าคุยกับผู้พิทักษ์คนอื่นๆเมื่อครู่ พอข้าเห็นมาชเมลโล่ไปแล้วข้าก็เดินไปหาร่างไร้วิญญาณของคนรักของข้า พอข้าเดินไปถึงข้าก็พอร่างของเอลซ่าที่สวมชุดเดรสน้ำแข็งและประสานมือไว้ที่อก สิ่งที่วางอยู่ระหว่างมือของนางนั้นคือของสิ่งแรกที่ข้าได้ให้สิ่งนั้นคือเพชรสีน้ำเงินที่ข้าสลักคำสัญญาเอาไว้ว่า I will always beside you. นั่นเอง  ข้าตอนที่ข้าเห็นร่างไร้วิญญาณครั้งนี้ก็ตกใจเล็กน้อย เพราะร่างที่ข้าให้ผู้พิทักษ์คนอื่นๆดูเมื่อเข้ามาที่ปราสาทนั้นเป็นร่างปลอมที่ข้าสร้างขึ้นมาเพราะพวกเขาไม่มีทางลงมาที่นี่ได้ ที่ข้ารู้สึกประหลาดใจเพราะผมของนางนั้นได้เปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลเป็นสีบรอนซ์แพล็ตตินัมแบบทุกทีและอีกอย่านางจากข้าไปตอนที่นางอายุ 61 แต่ตอนนี้ใบหน้าของนางแทบไม่ต่างกับเมื่อที่ข้าพบครั้งแรกไม่มีผิด ข้าเห็นดังนั้นก็ลูบหัวของนางเบาๆ
     

             “แหม่เอลซ่า ไม่เจอตั้งนานสาววันสาวคืนเลยนะที่รัก” ข้าถามไปเชิงหยอกล้อทั้งๆที่รู้ว่ายังไงนางก็ไม่มีทางตอบ
     

             “ผมกลับมาแล้วนะ” ข้าพูดต่อ
     

             “ผมมีเรื่องมากมายเลยละข้างนอกนั่นคุณจะฟังไหม” ข้าถามนาง แต่ก็มีแต่ความเงียบตอบกลับมา
     

             “นี่ช่วยตอบผมหน่อยได้ไหมที่รัก” ข้าเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง
     

             “ทำไมละคุณไม่อยากฟังเหรอเอลซ่า” ข้าพูดอีกครั้ง
     

             “ช่วยตอบผมหน่อยได้ไหม” ข้าพูดออกมาและพยายามที่จะกลั้นร้องไห้
     

             “เอลซ่า” ข้าเรียกชื่อของนางพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
     

             “ขอร้องเถอะนะ”
     

             “ตอบผมหน่อยสิ” ข้าเริ่มพูดไม่เป็นภาษา
     

             “ถึงเวลามันผ่านไปแล้วทำไมผมยังทำใจไม่ได้ซะทีละเอลซ่า”
     

             “ตอบผมหน่อยสิ”
     

             “ได้ไหม”
     

             “ผมขอร้อง”
     

             “ตอนนี้ผมอยากเจอคุณนะ”
     

             “เจอกันที่ไม่ใช่แบบนี้”
     

             “ผมต้องการเจอคุณแบบที่สามารถสื่อสารกันได้”
     

             “ทำไมนะเหรอ”
     

             “ผมคิดถึงคุณนะ”
     

             “ผมอยากมีความสุขร่วมกับคุณเหมือนเมื่อก่อน”
     

             “ผมอยากคุยกับคุณ ผมอยากกอดคุณ ผมอยากจูบคุณ”
     

             “ขอร้องละเอลซ่า” ตอนนี้ข้าล้มลงก้มหน้าร้องไห้
     

             “ช่วยกลับมาได้ไหม” ข้าปล่ออยให้น้ำตาที่อัดอั้นไหลออกมา
     

             “ได้โปรด” ข้าพูดออกไป
     

             “ขออีกสักครั้งได้ไหม”
     

             ขอให้ผมได้พบคุณอีกครั้งหนึ่ง” ข้าพูดประโยคนี้ออกมาพร้อมกับร้องไห้

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    To Be Continued
     

    ……………………………………………………………………………………………………………………….
     

             จบไปแล้วนะครับสำหรับตอนนี้เป็นยังไงกันบ้างครับพอใจกันไหมเอ่ย หวังว่าจะชอบกันนะครับ ความเป็นจริงคุณผู้อ่านอาจจะคิดว่าฟิคนี้จบไปแล้วนะครับ ยังเหลืออยู่นะครับฟิคนี้ยังเหลืออีกสองตอนนะครับ โดยที่ตอนต่อไปที่จะถึงนี้เป็นการข้ามฟิคไปฟิคของชาวบ้านก็คือใครไม่ได้ คุณ Papermail นั่นเองครับ อันนี้ลิงค์ของพี่เขานะครับ
     

    http://my.dek-d.com/papermail/writer/view.php?id=1090051
     

             โดยเนื้อเรื่องในตอนถัดไปจะเป็นมุมมองของอลิสนะครับใครอยากรู้จักตัวละครตัวนี้ก็อย่าลืมเข้ามาอ่านกันนะครับ ตอนต่อไป Chapter 12 : Alize Story (Crossover melt your heart) นะครับสำหรับตอนนี้ขอลาไปก่อนสวัสดีครับ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×