ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I want to see you again

    ลำดับตอนที่ #7 : Special Chapter : Cold (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 57


    ยุคปัจจุบัน ประเทศ นอร์เวย์ ที่ปราสาทน้ำแข็ง

     

             เนื้อเรื่องตอนพิเศษนี่เป็นเหตุการณ์หลังจากที่เอลซ่าได้ฟื้นขึ้นมา โดยฝีมือบุรุษบนดวงจันทร์ ทำให้ตอนนี้สมาชิกครอบครัวฟรอสต์ได้อยู่พร้อมหน้า หลังจากวันที่เอลซ่าได้จากไปด้วยโรคชราเมื่อประมาณ 200 ปีก่อน ตอนนี้ครอบครัวฟรอสต์( Frost family )ประกอบด้วย

     

    แจ็ค ฟรอสต์(Jack Frost) (Mr.Frost)

    อลิส เดอ แอเรนเดลล์ ฟรอสต์ (Alize de Arendelle Frost) (Little Frost)

    และสุดท้าย เอลซ่า เดอ แอเรนเดลล์ ฟรอสต์ (Elsa de Arendelle Frost) (Mrs.Frost)

    ………………………………………………………………………………………………………

                       

    ความหนาวไม่ทำให้เดือนร้อนซักเท่าไหร่
    ใช่ประโยคนี้ฉันเป็นคนพูดเอง ความจริงต้องขอบคุณ
    ความหนาว เพราะมันทำให้เรารู้ว่า ความอบอุ่นคืออะไร”

                                                                                    Elsa

    ……………………………………………………………………………………

     

    Elsa de Arendelle Frost :

             อลิส นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วนะ ลูกจะให้แม่ออกไปเจอพ่อเขาได้รึยังคะคนดี” ฉันถามลูกสาวตัวดีของฉัน อลิส ทำไมนะหรือ ก็ลูกสาวของฉันดันขังฉันไว้ในห้องเพื่อไม่ให้ฉันออกมาข้างนอกเจอหน้าสามีของฉันหรือพ่อของเธอ แจ็ค ฟรอสต์ นะสิ
     

             “ยังคะ ยังไงก็ไม่ให้ออกตอนนี้หรอกคะ” นี่คุณลูกช่วยมาตอบดีๆหน่อยได้ไหม ตอนนี้ฉันเริ่มโมโหแล้วนะ แต่ยังไงก็ขอถามเหตุผลหน่อยเหอะ
     

             “ทำไมละคะคนดี” ฉันถามออกไป แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา
     

             “ถ้าลูกไม่ตอบแม่มา แม่โมโหจริงๆแล้วนะ” ฉันเริ่มทำเสียงดุใส่ซักพัก ลูกสาวของฉันก็ตอบกลับมา
     

             “ก็ในสี่เดือนที่ผ่านมานี้ ท่านแม่กับท่านพ่อก่อเรื่องอะไรไว้ละคะ” ลูกฉันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นกลัว
     

             ฉันก็ยืนนึกย้อนเหตุการณ์ที่ทำกลับไปเรื่อยๆ แต่ก็นึกไม่ออก ฉันเลยไปที่โต๊ะเพื่อไปเปิดสมุดบันทึกเพื่อที่จะอ่านมัน พบว่าเหตุการณ์ที่ฉันกับแจ็ค ได้ทำนั้นเยอะมากไม่ว่า ตอนฤดูหนาวประเทศอเมริกาอากาศติดลบ 50 กว่าองศา แคนนาดานะเหรอติดลบแค่ 36 เอง ไหนจะแช่แข็งทะเลอีก เกิดพายุหิมะที่ญี่ปุ่นและที่ฝรั่งเศสอีกที่ ฉันอ่านไปตกใจไปกับวีรกรรมที่ได้ทำไป ซักพักอลิสก็ทักกลับมา
     

             “รู้รึยังคะว่าทำไม” อลิส ลูกสาวตัวดีพูดขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน
     

             “จ้าๆแม่ยอมแพ้แล้ว” ฉันตอบกลับไปก่อนที่จะพูดต่อ
     

             “แล้วจะให้แม่ทำยังไงละ” ฉันถามลูกฉันไป
     

             ……….” ไม่มีเสียงตอบรับจากข้างนอก
     

             ฉันลองเปิดประตูออกไปดูปรากฏว่าประตูไม่ได้ล็อคเหมือนทุกที พอฉันออกจากห้องก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทำไมนะเหรอ ก็ลูกสาวตัวดีของฉันตกแต่งปราสาทน้ำแข็งหลังนี้ให้ดูดีขึ้นเข้ากับยุคสมัยแต่ยังคงเค้าโครงเดิมบ้างนี่คงกะจะเซอร์ไพรส์สินะ ฉันก็เดินดูไปยิ้มไป ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของตัวเองจะมีหัวทางด้านศิลปะเหมือนกันด้วยนี่สิ เห็นวันๆเอาแต่อ่านหนังสือ หรือไม่ก็ไปเที่ยวในเมืองเชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ     ฉันก็เดินชมปราสาทหลังใหม่นี้ไปเรื่อยๆพอชมถึงห้องโถงชั้นล่าง ฉันก็หยุดเดินลงแล้วหันหลังกลับมาเพราะรู้ว่าใครตามหลังอยู่
     

             “ฝีมือใช้ได้เลยนะ ลูกแม่” ฉันพูดกับลูกสาวฉันพลางลูบหัวเบาๆ
     

             “ก็หนูลูกใครนี่ค๊ะ” แหมช่างยอกันจริงนะเด็กคนนี้
     

             “แต่ที่ขังแม่ตั้งอาทิตย์กว่าๆ คงไม่ใช่แค่ตกแต่งปราสาทใช่ไหมค๊ะ” ฉันถามด้วยรอยยิ้ม
     

             “คะ อันนี้หนูให้ท่านพ่อกับท่านแม่นะคะ” อริสยื่นสมุดมาให้สองเล่มพร้อมกับการ์ดสองใบ
     

             “นี่คืออะไร” ฉันถามไปด้วยความสงสัยเพราะนี่มันคนละยุคกับตอนที่ฉันยังเป็นราชินีของแอเรนเดลล์
     

             “บัตรประชาชนกับพาสปอร์ตคะ เอาไว้แสดงตัวตนเวลาเดินทาง” อลิสตอบกลับมา
     

             “แต่แม่กับพ่อไม่จำเป็นต้องใช้นิ” ฉันถามกลับไปก็มันไม่จำเป็นจริงๆนิ
     

             “ท่านแม่ลืมแล้วหรือคะ ทุกคนเห็นท่านแม่เหมือนคนปกติทั่วไป ถึงตอนนี้ท่านแม่จะไม่แก่ไม่ตายเหมือนจิตวิญญาณ(Spirit)หรือเทพผู้พิทักษ์(Guardian)  แต่ท่านแม่ยังมีกายเนื้อเหมือนหนูอยู่นะคะ อยู่ยังไงก็จำเป็นคะ”
     

             “แม่จำเป็นต้องใช้ แต่พ่อไม่จำเป็นต้องใช้หรือไม่ใช่?” จริงอยู่ที่คนอื่นเห็นฉันแต่แจ็คเป็นเทพผู้พิทักษ์ถ้าไม่มีใครเชื้อหรือศรัทธาในตัวเขาก็ไม่มีใครเห็นตัวเขาอยู่แล้ว

     

             “ท่านแม่ทำไมสิ่งสำคัญๆ ท่านแม่ชอบลืมอยู่เรื่อย จำตอนที่ท่านแม่มีชีวิตในสถานะมนุษย์อยู่ได้ไหมคะ”
     

             “จำได้สิ ทำไมหรือ”  ฉันตอบและถามกลับไปจู่ๆลูกสาววัย 18 ปี(ความจริงอายุหลายร้อยปีแล้วนะ) ก็กุมขมับแล้วส่ายหน้า
     

             “ลืมจริงๆด้วยสินะคะ” สรุปฉันลืมเรื่องอะไร
     

             “สรุปแม่ลืมเรื่องอะไรเหรอจ๊ะ”
     

             “ก็ตอนที่ท่านแม่มีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์ ทุกคนในเมืองเห็นท่านพ่อใช่ไหมคะ” ลูกฉันถามมา
     

             “ใช่สิแปลกตรงไหนเหรอ” ฉันถามกลับด้วยความสงสัย
     

             “ท่านแม่คะรู้บ้างไหมที่ทุกคนในเมืองเห็นท่านพ่อนั่นเป็นร่างเทียมที่ท่านแม่สร้างขึ้นมาทับร่างท่านพ่ออีกทีทุกคนเลยเห็นท่าน”
     

             “แล้วแม่สร้างขึ้นมาตอนไหนทำไมแม่ไม่รู้ตัวเลยละ” ฉันถามกลับไป
     

             “หนูไม่รู้หนูรู้แต่ว่าตอนที่ท่านแม่จากไปทุกคนก็ไม่เห็นท่านพ่ออีกเลย ยกเว้นน้าอันนากับน้าคริสตอฟเท่านั้นที่ยังเห็นท่านพ่ออยู่ตามปกติ”
     

             “สรุปคือลูกจะบอกว่าให้พกป้องกันไว้ดีกว่าแก้สินะ” ฉันถามกลับไป
     

             “ใช่แล้วคะ” อลิสพยักหน้าตอบ
     

             “แล้วสองใบใบที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้คือ?” ฉันหยิบใบที่แนบอยู่ในพาสปอร์ตออกมาแล้วถามลูกสาวฉัน
     

             “อ้อ สองในนี้สำหรับท่านพ่อกับท่านแม่คะ” ลูกสาวตัวดีตอบมาด้วยรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์
     

             “แล้วของลูกละ” ฉันถามลูกกลับไป
     

             “ไม่จำเป็นคะ” เธอตอบกลับมาพร้อมกับยักไหล่แบบเดียวกับที่แจ็คชอบทำ ก่อนที่จะพูดต่อ

     

             “ทำไมละ” ฉันถามด้วยความสงสัย
     

    “สองใบนั้นหนูจองให้สำหรับท่านพ่อกับท่านแม่ไป ฮันนีมูน กันอีกรอบเพื่อที่จะให้ท่านพ่อกับท่านแม่จะได้ย้อนถึงวันวานที่แสนอบอุ่นคะ” ลูกสาวตัวดีของฉันตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ
     

    “แล้วหน้าที่ของพ่อกับแม่ที่ต้องทำละ จะให้แม่กับพ่อเขาทิ้งหน้าที่ต้องทำแล้วไปทำเรื่องส่วนตัวเลยหรือ” ฉันถามกลับไป
     

    “ไม่เป็นไรคะ หนูทำแทนได้อยู่แล้วคะ อ๊ะ!! นั่นท่านพ่อกลับมาพอดี” อลิสตอบกลับมาก่อนที่จะชี้ไปที่หน้าต่างตรงที่แจ็คลอยลงมาพอดี
     

    พอแจ็คกลับมาหลังจากทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์ อลิสก็รีบวิ่งไปกอดทันทีนิสัยนี้คล้ายกับอันนามากที่ชอบวิ่งไปกอดคนที่ตนรักตอนที่เขากลับมาบ้าน ฉันเห็นสิ่งที่อลิสทำก็ได้ยิ้มออกมาบางๆ อลิสก็ยื่นพาสปอร์ตกับบัตรประชาชนให้แจ็ค ฉันตกใจเล็กน้อยว่าเอามาจากไหนอีก ฉันก็ก้มมองดูที่มือของฉันปรากฏว่าเหมือชุดเดียวหยิบไปตอนไหนเนี่ย ดูเหมือนแจ็คจะถามคำถามเดียวกับฉัน ลูกสาวของเราก็ตอบเหมือนเดิม ระหว่างที่แจ็คฟังลูกสาวตัวดีอธิบายอยู่ เขาก็มองมาที่ฉันแล้วยิ้มออกมา แล้วเขาหยับปากเหมือนจะพูด แต่ไม่มีเสียงออกมาฉันก็อ่านปากเขาเขาพูดว่า
     

    “ผมกลับมาแล้วที่รัก” เขาพูดกลับมา ตอนนี้ฉันก็ทำอะไรไม่ถูก ฉันก็เลยพูดโดยไม่เปล่งเสียงแบบเดียวกับที่แจ็คทำ
     

    “วันนี้เหนื่อยไหม” ฉันถามกลับไป พอแจ็คเห็นแจ็คก็พยักหน้าตอบ ก่อนที่จะตอบดด้วยวิธีเดิมกลับมาว่า
     

    “สุดๆ” ฉันได้ยินคำตอบฉันก็หัวเราะออกมาเบาๆ ซักพักอลิสก็หันกลับมาพร้อมกับกระชากข้อมือฉันไปหาแจ็ค
     

    “อลิสลูกดึงแม่มาทำไม” ฉันถามไป แต่อลิสไม่ตอบสุดท้ายฉันก็ต้องตามลูกไป พอฉันอยู่ข้างแจ็คอลิสก็บอกให้ฉันกับแจ็คเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะพาไปสนามบินส่วนเรื่องกระเป๋าและเงินที่ต้องพกไปไม่ต้องกังวล จัดการเตรียมให้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ให้ฉันกับแจ็คไปแต่งตัวใหม่ซะ
     

    “อลิสแม่นึกว่าจะไปวันพรุ่งนี้ซะอีกไปวันนี้เลยเหรอจ๊ะ” ฉันถามอลิสกลับไป
     

    “ใช่พ่อก็คิดแบบเดียวกับแม่เขานะ” แจ็คช่วยพูดเสริม
     

    “ท่านพ่อ ท่านแม่คะ ช่วยดูเวลาเดินทางด้วยคะ” พออลิสพูดเสร็จฉันกับแจ็คก็ก้มหน้าดูบัตรเดินทางปรากฏว่าออกเดินทางวันนี้ตอนบ่ายสองโมง ซึ่งอีกสองชั่วโมงจะถึงเวลาเดินทาง
     

    “แม่ว่าไปชุดนี้เลยไหม” ฉันถาม
     

    “ไม่ได้คะ เดี๋ยวคนเขาจะตกใจยิ่งท่านพ่อถ้าแต่งแบบนี้อีกในสนามบินมีแต่คนนินทาแน่” ฉันก็เห็นด้วยกับที่อลิสพูดมา ฉันมองไปที่แจ็คแล้วคิดภาพตามพอคิดเสร็จก็หัวเราะออกมา
     

    “ทำไม ชุดนี้มีปัญหาอะไร” แจ็คถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
     

    “เปล่าไม่มีอะไร” ฉันตอบด้วยเสียงที่สูงกลับไป
     

    “แล้วจะให้พ่อกับแม่ใส่ชุดอะไรไปละ” แจ็คเริ่มถามอลิสอีกครั้ง
     

    “หนูเตรียมไว้แล้วคะเชิญท่านพ่อกับท่านแม่ไปอาบน้ำก่อนเลยนะคะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่นี่นะคะ” อลิสสั่งพร้อมกับผลักฉันกับแจ็คออกไป
     

    “งั้นฉันไปอาบก่อนนะ” ฉันพูดพร้อมกับหันหลังไปอีกทางหนึ่ง
     

    “นี่ๆเดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน” เขาพูดงและเอาไม้เท้าคล้องเอวฉันกันไม่ให้ฉันไป แล้วพูดอีกประโยค
     

    “ไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์ จะไม่ให้อะไรให้หายอยากคิดถึงหน่อยเหรอ” แจ็คพูดออกมาพร้อมกับโน้มใบหน้าลงมา ฉันก็พยายามดันเขาออกไปสุดชีวิตก่อนที่จะพูดออกมา
     

    “แจ็คลูกมองอยู่ มันไม่เหมาะ” ฉันพูดออกไป พอแจ็คได้ยินเขาก็หันไปเจอเห็นอลิสที่ยืนมองพร้อมกับตั้งกล้องเพื่อเตรียมถ่ายรูปอยู่
     

    “ไม่ต้องเลยอลิสไปได้แล้ว” เขาพูดพร้อมกับสั่งให้อลิสออกไป
     

    “ก็ได้คะ หนูไม่อยู่เป็น ก ข ค ของท่านพ่อกับท่านแม่หรอกคะ” พออลิสได้ยินก็งอนเดินออกไป
     

    “แจ็คลูกงอนแล้วเห็นไหม” ฉันบอกเขาไป
     

    “เอาน่าเดี๋ยวก็หาย” เขาพูดเสร็จก็หันมาหอมแก้มฉันทีหนึ่งก่อนเดินออกไป
     

    “เมื่อกี้ค่ามันจำที่คิดถึง ส่วนที่เหลือไว้คืนนี้เจอกัน” เขาพูออกมาด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์
     

    “ตาบ้า” ฉันพูดออกไปด้วยความเขินอายก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องไปอาบน้ำ

     

    Jack Frost :

             หลังจากที่ข้าหอมแก้มเอลซ่า เธอก็เดินกลับไปที่ห้อง ระหว่างที่เธอเดินกลับไปที่ห้องข้าก็มองไปที่ชุดที่เธอใส่ เพราะชุดเดรสน้ำแข็งที่เธอใส่ตามปกติจะแหวกกลางหลังเล็กน้อยทำให้เห็นแผ่นหลังสีขาวที่น่าสัมผัส ข้าก็มองเธอเดินไปจนมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
     

             “ท่านพ่อคะ” ไม่ใช่เสียงใครอลิสลูกสาวสุดแสนจะน่ารักของผมเอง
     

             “หืม มีอะไรอลิส” ผมถามกลับไป
     

             “นี่ชุดของท่านพ่อคะ” อลิสยื่นไว้แขวนมาให้ ซึ่งมันแขวนชุดหนึ่งอยู่
     

             “เอ่อให้ใส่ชุดนี้จริงหรือ” ผมถามกลับไป ความจริงข้าก็ไม่อยากขัดใจลูกหรอกนะ แต่ชุดที่ให้มานี้แบบผมไม่รู้ว่าผมจะใส่ได้พอดีไหมหรือมันจะเข้ากับผมไหม
     

             “ชุดนี้ละคะ ดูเข้ากับท่านพ่อสุดแล้ว” อลิสตอบกลับมาด้วยสายตาที่อ้อนวอนให้ผมใส่ให้ได้ ซึ่งผมยอมใจอ่อนไหม แน่นอนที่สุด นี่ลูกนะลูกสาวด้วย เป็นใครๆก็ยอมสิ
     

             “ก็ได้พ่อจะลองใส่ดู” พอข้าพูดเสร็จก็หยิบชุดจากมือของอลิสแล้วถามต่อ
     

             “แล้วจะให้พ่อกับแม่ไปกี่วันละ”
     

    “สามวันสองคืนคะ” ลูกตอบกลับมา
     

    “งั้นพ่อไปแต่งตัวก่อนนะ จัดการให้เรียบร้อยด้วยละ” ข้าบอกไปก่อนจะขึ้นห้องไปแต่งตัว
     

    “ค่า เดี๋ยวหนูจัดการทุกอย่างให้รับรองการไป ฮันนีมูน ครั้งนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ต้องออกค่าอะไรเลยคะ” อลิสตะโกนตอบกลับมา ผมก็อมยิ้มหน่อยๆนิสัยแบบนี้คล้ายใครซักคน ขอย้ำใครซักคน
     

    พอข้าถึงห้องผมก็ถอดเสื้อผ้าที่ใส่ประจำออก ก่อนที่จะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เข้าไปแทน ชุดที่ใส่ตอนนี้คือ เสื้อยืดสีขาวไม่มีลายกับการเกงยีนและสวมเสื้อหนังสีน้ำตาลทับเสื้อยืดสีขาวนั้นอีกที(ข้าไม่ได้รูดซิบปิดเสื้อเพราะเดี๋ยวจะร้อน) พร้อมกับรองเท้าสีน้ำตาลหุ้มข้อยี่ห้อคลาร์ก(clarks) และก็ไม่ลืมที่จะหยิบไม้เท้าคู่ชีพไปด้วย พอแต่งตัวเสร็จข้าก็ลงไปที่ห้องโถงที่อลิสนัดไว้ แต่ไม่เจออลิสแต่เจอเอลซ่าภรรยาแสนสวยของผมแทน ตอนนี้เธอหันหลังให้อยู่ผมเลยเดินไปเงียบๆเพื่อที่จะได้แกล้งให้เธอตกใจเล่น พอได้โอกาสผมก็กอดเธอเข้าข้างหลังทันที
     

    “ว้าย แจ็ค คุณเล่นอะไรเนี่ย” เอลซ่าตกใจเล็กน้อยกับการกระทำของผม
     

    “ทำไมจะเล่นไม่ได้ละ” ผมถามกลับไปตอนนี้ผมยังกอดเธออยู่ แต่ดูเหมือนเธอจะพยายามแกะ
    มือออก

     

    “แจ็ค…..ปล่อยมือออกฉันหายใจไม่ออก” เธอพูดออกมา ข้าก็คลายกอดออกแต่ไม่ปล่อย
     

    “ฉันบอกให้ปล่อยไง” เธอขึ้นเสียงเล็กน้อยพร้อมกับเอามือตีมาที่แขน ข้าก็ไม่ตอบสนองอะไร ก่อนที่จะก้มหัวลงเพื่อจูบศีรษะของเธอเบาๆ ก่อนที่พูดประโยคหนึ่งออกมา
     

    “กลิ่นยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ ที่รัก”
     

    ………ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ปล่อยมือออกเดี๋ยวนี้นะ” ดูเหมือนเธอจะนิ่งเงียบไปซักครู่หนึ่งก่อนที่จะดิ้นต่อ
     

    “โอเคปล่อยก็ได้” พอข้าพูดเสร็จก็ปล่อยมือออกทำเอาเอลซ่าเซเล็กน้อย
     

    พอผมปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด เธอเซเล็กน้อย พอเธอทรงตัวได้ เธอก็หันมาหาผม ตอนนี้เธอช่างดูน่าหลงใหล เธอสวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินแขนกุด กับเลกกิ้งสีดำ สะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลอ่อน และใส่รองเท้าบูทสีดำหุ้มข้อ ซักพักเธอก็เสยผมที่ปรกหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางในแบบของเธอ โดยรวมเธอช่างดูน่ารักน่าหลงใหล ผมก็จ้องมองใบหน้าของเธอเรื่อยๆ จนเธอสังเกตได้
     

    “หน้าฉันมีอะไรหรือ” เอลซ่าถามขึ้นมาก่อนที่จะเอามือมาแตะหน้าของตัวเอง ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์
     

    “ห๊ะ……เอ่อ….ไม่มีอะไรหรอก” ผมพูดออกไป แต่เธอยังทำหน้าสงสัยอยู่ ผมเลยพยายามเปลี่ยนเรื่อง เลยพูดออกไป
     

    “แล้วนี่ คุณเห็นอลิสไหม”
     

    “อ้าวฉันนึกว่าอยู่กับคุณเสียอีก” เธอถามกลับมาด้วยความสงสัย ซักพักอลิสก็ตะโกนมา
     

    “ท่านพ่อคะ ท่านแม่คะ ออกมาได้แล้วคะ” พอพวกเราได้ยินเสียงอลิส ก็เดินออกไปหน้าปราสาท ที่หน้าปราสาทลมพัดแรงมากจนต้องเอามือมาบังหน้า แล้วจู่อลิสก็จูงมือพวกเราไปยังพาหนะ ชนิดหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา
     

    “เดี๋ยวเฮลิคอปเตอร์ลำนี้จะพาท่านพ่อกับท่านแม่ไปที่สนามบนนะคะ แล้วทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกทุกอย่างด้วยนะคะ ส่วนเรื่องกระเป๋าและทรัพย์สินต่างๆอยู่บนเครื่องบินแล้วคะ เจอกันอีกสามวันนะคะ” อลิสตะโกนบอกพวกเรา แต่เนื่องจากลมมันแรงมากจึงทำให้ไม่ค่อยได้ยินซักเท่าไหร่แต่ก็พอจับใจความได้ พอผมกำลังจะก้าวขึ้นเครื่องอลิสก็ฉุดแขนของผม
     

    “มีอะไรอลิส” ข้าตะโกนถาม
     

    “หนูขอไม้เท้าของท่านพ่อด้วยคะ” ลูกสาวผมตอบกลับมา
     

    “เอาไปทำไม” ถามต่อ
     

    “หนูต้องทำหน้าที่แทนท่านพ่อตอนที่ท่านไม่อยู่นี้คะ หนูขอนะคะ” พอลูกพูดเสร็จผมก็ยื่นไม้เท้าให้
     

    “ขอบคุณคะ  ไปฮันนีมูนกันสนุกนะคะ” อลิสโบกมือลา พอกล่าวลาเสร็จเฮลิคอปเตอร์ก็บินขึ้นยังสนามบิน

     

    ณ ที่สนามบิน

             ตอนนี้พอเฮลิคอปเตอร์ลงจอด ผมกับเอลซ่าที่ลงมาก็เห็นพนักงานต้อนรับมากมายยืนรออยู่ เป็นทางไปยังเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่ลูกผมจองไว้ให้(ลูกเอาเงินมามากมายจากไหน)
     

             “คุณชายและคุณหญิง ฟรอสต์(Mr.&Mrs.Frost)ใช่ไหมครับ” พนักงานต้อนรับคนหนึ่งถามขึ้นมา
     

             “ใช่แล้วครับ” ผมตอบกลับไป
     

             “ผมขอตรวจบัตรประชาชนและพาสปอร์ตด้วยนะครับ” พนักงานคนนั้นขอ เราก็ยื่นให้
     

    พนักงานคนนั้นมองดูรูปในบัตรและในพาสปอร์ตแล้วมองมาที่ผมกับเอลซ่า หลังจากนั้นที่จะส่งต่อให้พนักงานคนอื่นต่อ พนักงานและเจ้าหน้าที่ต่างคุยกันและสุดท้ายพนักงานก็อนุญาตให้ขึ้นเครื่อง
     

    “เชิญครับคุณชายและคุณหญิงฟรอสต์”
     

    พอเราขึ้นไปบนเครื่องบิน พนักงานก็ออกมาบอกให้พวกเราทำอะไรบ้างให้เวลาเครื่องถึงที่หมายแล้วให้ไปที่ไหน ส่วนสัมภาระนั้นได้อยู่ที่โรงแรมที่จองไว้ให้เรียบร้อย พอเครื่องบินขึ้นได้ซักพักพนักงานก็ยื่นกระเป๋าใบหนึ่งให้เรา กระเป๋าในนั้นเป็นกระเป๋าเงินที่ลูกสาวเตรียมไว้ให้ ไม่รู้ว่าลูกสาวตัวดีได้จองเครื่องบินให้พวกเราไป ฮันนีมูน กันที่ประเทศอะไร แต่ก็ไม่สำคัญข้าหันไปมองเอลซ่า ดูเหมือนเธอจะหลับไปแล้ว(หลับง่ายชะมัดภรรยาผม) ข้าก็ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ  พอเดินไปก็ได้ยินพนักงานต้อนรับภาคอากาศจับกลุ่มนินทาเราอยู่ แต่ข้าก็ไม่สนใจเรื่องนินทาเลยเดินผ่านไปเข้าห้องน้ำ
     

    พอข้าเข้าห้องน้ำเสร็จก็กลับมาที่นั่งของตัวเองข้าก็มองเอลซ่านอนคอพับอยู่เลยจัดท่านอนเสียให้ใหม่
     

    “นอนแบบนี้เดี๋ยวปวดคอหรอกเอลซ่า” ข้าพูดกับร่างที่นอนอยู่ของเธอ ทำเอานึกถึงเรื่องในอดีตที่ข้าจะพูดกับร่างไร้วิญญาณของเธอราวกับว่าเธอนอนอยู่ ข้ารีบสะบัดหัวไล่ความคิดที่อกุศลออกจากหัว ตอนนี้เธอกลับมาแล้วและข้าจะไม่ยอมเสียเธอไปอีก
     

    “ท่านผู้โดยสารครับ นี่ผมกัปตันฟิลลิปพูด ตอนนี้เราอยู่เหนือน่านฟ้าแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลีแล้วนะครับ อีก15นาทีเราจะถึงท่าอากาศยานนานาชาติมาร์โค โปโล ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านท่องเที่ยวโดยไร้อุบัติเหตุนะครับ อย่าลืมสำรวจสำภาระก่อนลงจากเครื่องด้วยนะครับ สวัสดีครับ” กับตันพูดเตือนออกมา
     

    “เอลซ่าๆ ใกล้ถึงแล้วนะ” ข้าสะกิดนางให้ตื่น พอเอลซ่าได้ยินก็สะลึมสะลือนิดๆ  ก่อนที่จะบิดขี้เกียดเล็กน้อย
     

    “ใกล้ถึงแล้วเหรอ” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังง่วงอยู่
     

    “อีก15นาทีนะ เตรียมตัวเถอะ” ข้าพูดตอบกลับไป

     

    Elsa de Arendelle Frost :

            

             “ในที่สุดก็ถึงซะที” ฉันพูดเสร็จก็บิดขี้เกียดออกมา ให้ทำไงละ นั่งเครื่องบินตั้งนานไหนพอถึงแล้ว จะต้องตรวจเอกสารเสียวุ่นวาย กว่าจะถึงที่พักก็บ่ายสามพอดี ตอนนี้ก็บ่ายสามครึ่ง
     

             “คนที่ควรบ่นคือข้ามากกว่านะเอลซ่า” แจ็คบ่นขึ้นมา ทำไมนะหรือ เพราะแจ็คนี่แหละที่เป็นจัดการเรื่องต่างๆให้นะสิ ไม่ว่าที่พัก ยานภาหนะรับส่ง ตารางนัดหมายต่างๆ เขานี่แหละอาสาทำให้ทุกอย่าง ทั้งๆที่เรื่องพวกนี้ฉันทำก็ได้แต่แจ็คอาสา ฉันก็ลองให้แจ็คทำดูก็ทำได้ดีกว่าที่คิด
     

             “โทษทีๆ มีอะไรให้ช่วยไหม” ฉันเดินไปหาแจ็คที่ยืนกอดอกอยู่
     

             “หมดแล้วละ พร้อมที่จะไปกันรึยัง” แจ็คพูดมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ฉันไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้มากี่วันแล้วนะ
     

             “แล้วเราจะไปไหนเหรอ” ฉันถามเขา
     

             “ที่นี่เวนิสนะ คิดว่าจะให้ดินลัดเลาะคลองไปรึไง ตามมาสิ” เขาเรียกฉันให้ตามไป
     

             “แจ็คจะพาฉันไปไหนหรือ” ฉันถามแจ็ค แต่แจ็คก็เงียบไม่ยอมตอบ ทำให้ฉันคิดไปเองคนเดียวไปต่างๆนาๆ จนในที่สุดแจ็คก็หยุดเดินแล้วหันหลังกลับมา
     

             “ถึงแล้วละที่ๆเราจะเริ่มย้อนรอยอดีตของเราแล้วนะ” แจ็คพูดขึ้นพร้อมกับเผยมือไปข้างๆตัวทำให้ฉันมองตามมือของเขาไป พอฉันเห็นที่นี่แล้วฉันรีบเอามือปิดปากเพราะไม่อยากให้เสียงหลุดออกมา ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะพาฉันมาที่นี่ ที่แห่งความทรงจำระหว่างฉันกับเขา ฉันยังจำบรรยากาศ อาคาร ผู้คน และทุกการกระทำในช่วงเวลานั้นได้หมด เพียงแต่มันเป็ฯช่วงระยะเวลาเฉยๆ ตอนนี้ฉันก็ได้แต่ยืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
     

             “ยังจำกันได้ไหม ที่แห่งนี้นะ” เสียงของแจ็คได้ปลุกฉันตื่นจากความทรงจำ ฉันก็ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบคำถามเขา
     

             Jeg glemmer aldri våre minner” ฉันพูดภาษานอร์เวย์ใส่ให้แจ็ค แจ็คก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดตอบมาว่า
     

             meg også” แจ็คก็ตอบมาเป็นภาษาเดียวกัน ทำเอาฉันน้ำตาไหลด้วยความซึ้ง
     

             “อย่าร้องไห้สิที่รัก นี่ยังไม่ได้เริ่มเลยนะ” แจ็คพูดขึ้นพร้อมกับปาดน้ำตาฉันออก และเขาก็จูงมือฉันข้ามสะพานไปยังที่เรือกอนโดราลำหนึ่ง
     

    “ยังจำเรือลำนี้ได้ไหม” แจ็คชี้ไปยังเรือกอนโดล่าลำนั้น ซึ่งเรือลำนั้นตกแต่งแบบเดียวกับที่เราเคยนั่งด้วยกันอีก เรือลำนี้ตกแต่งแบบเดียวกับเมื่อตอนนั้นทุกอย่าง ไม่ว่าเบาะนั่งหรือที่วางเท้า ฉันก็เดินไปยังเรือลำนั้น แต่มีการ์ดสองคนมากันไม่ให้ฉันกับแจ็คเดินเข้าไป
     

    “ขออภัยด้วยครับคุณผู้หญิงเรือลำนี้มีคนจองแล้วครับ” การ์ดคนหนึ่งพูดกับฉันด้วยภาษาที่สุภาพ ซักพักแจ็คก็โชว์บัตรใบหนึ่งแล้วพวกการ์ดก็มองดูแล้วคืนบัตรให้ ก่อนที่จะพูดบางอย่าง
     

    “พวกเราขออภัยที่ล่วงเกิน เชิญคุณชายและคุณหญิงฟรอสต์เดินขึ้นเรือเลยครับ” การ์ดคนเดิมพูดออกมาก่อนที่จะเปิดทางให้ฉันกับแจ็คไปยังเรือลำนั้น
     

    “ระวังตกเรือด้วยนะครับ คุณผู้หญิง” แจ็คพูดออกมาด้วยน้ำเสียงในแบบของเขา พร้อมกับยื่นมือมาให้ฉันจับ
     

    “ถ้าฉันตกฉันจะลากนายตกไปด้วย” ฉันพูดตอบพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของเขา ตอนนี้ต่างคนต่างยิ้มไปกับการกระทำของตนเอง
     

    พอฉันนั่งไปบนเรือพร้อมกับแจ็คคนพายเรือก็เริ่มพายออกจากฝั่งไปยังกลางแม่น้ำ ระหว่างที่เรือร่องไปก็มีเสียงดนตรีเบาๆลอยตามลมทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ฉันกับแจ็คเหมือนย้อนรอยอดีตดูตัวเองเพียงแต่ตอนนี้ที่มันแตกต่างคราวนั้นเขาบอก….กับฉันครั้งแรกที่เมืองๆนี่ เราพูดคุยกันเหมือนตอนที่เรายังเริ่มรักกันใหม่ บางประโยคฉันก็พูดภาษานอร์เวย์บ้าง ภาษาเยอรมันบ้าง แจ็คก็ตอบมาเป็นภาษาเดียวกันแต่บางทีแจ็คก็แกล้งมาพูดภาษาฝลั่งเศสใส่ทำเอาฉันตอบไปไม่ถูก ระหว่างที่ฝีพายพายไปคนพายก็แนะนำสถานที่ต่างๆให้เรารู้จัก บางทีแจ็คก็กวนคนพายบ้างทำเอาฉันหัวเราะออกมา จู่ๆคนพายเรือก็พูดขึ้นมา
     

    “หิมะตกหรือ” คนพายเรือพูดออกมาด้วยความสงสัยที่จู่หิมะก็ตกลงมา ฉันก็ตกใจเล็กน้อยนี่ฤดูใบไม้ผลินะจะฤดูร้อนแล้วด้วยทำไมหิมะถึงตกละ ฉันเลยยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูของแจ็ค
     

    “แจ็คฝีมือคุณรึเปล่า” ฉันถามด้วยความสงสัย
     

    “นี่ไม่ใช่ฝีมือเจ้าหรอกหรือ แต่ไม่ใช่ฝีมือข้านะ อีกอย่างข้าไม่ได้พกไม้เท้ามาผมเสกอะไรไม่ได้ด้วย” แจ็คกระซิบตอบกลับมา
     

    “แล้วนี่ฝีมือใครละ” ฉันถามอีกครั้ง
     

    “คนที่เรารู้จักนี่ละ จะใครอีกละลูกสุดที่รักของเราไงละ” แจ็คตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มออกมา
     

    “ต้องขอบคุณลูกเรานะ ที่อุตส่าสร้างบรรยากาศแบบนี้ให้”  แจ็คพูดมาก็ถูกอย่างหนึ่งฉันมองดูรอบๆ ดูเหมือนทุกคนในเมืองไม่ได้กลัวหิมะอย่างที่คิดฉันสังเกตเห็นคู่รักหลายคู่ยืนกอดกันตอนที่หิมะตกแบบนี้  ฉันก็อยากทำดูบ้างแต่บอกตรงๆมันจะหน้าด้านหน่อย ฉันเยบอกอ้อมๆ
     

    “แจ็ค ฉันหนาว” ฉันพูดออกไปพร้อมกับเอามือกอดตัวเองและทำตัวสั่น เพื่อที่เขาจะได้สังเกตเห็นและเข้าใจว่าฉันต้องการอะไร
     

    “เอลซ่า ปกติความหนาวไม่ทำให้เราเดือดร้อนซักเท่าไหร่นี่นาแล้วทำไมวันนี้ถึงหนาวละ” แจ็คตอบกลับมาทำเอาฉันหน้ามุ่ยทีเดียว
     

    “คุณไม่เข้าใจความหมายเลยใช่ไหม” ฉันพูดเสร็จก็นั่งหันหลังให้เขาซักพักแจ็คก็เอาเสื้อหนังของเขามาคลุมตัวฉันและสวมกอดฉันจากด้านหลัง
     

    “ทำไมผมจะไม่รู้ละ ว่าคุณต้องการอะไร ที่รัก” แจ็คพูดออกมาพร้อมกับห้อมแก้มของฉันเบาๆ และเขาก็วางคางมาที่ไหล่ของฉัน ก่อนที่จะพูดต่อ
     

    “คุณยังจำที่ผมสัญญากับคุณได้ไหม” เขาพูดถึงคำสัญญาที่เขาเคยให้กับฉัน ซึ่งฉันจำได้ว่าเขาพูดว่าอะไร
     

    “จำได้สิแจ็ค” ฉันตอบเขากลับ และฉันก็หันหน้าไปกระซิบข้างหูของเขาและถามคำถามเดียวกับคำถามที่ฉันเคยถามกับเขาเมื่อวันนั้น
     

    “ถึงยังไงข้าก็จะตอบแบบเดิมที่รัก ต่อให้ผ่านไปกี่ปีข้าก็จะตอบเหมือนเดิม” เขากระซิบตอบกลับมา ทว่าความสุขมันช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกิน จู่ๆคนพายเรือก็หยุดพายพร้อมกับบอกว่า
     

    “ถึงปลายทางแล้วครับ ขอบคุณที่ใช้บริการนะครับ” คนพาพูดกลับมาก่อนที่จะพายออกไป
     

    “แล้วเราจะกลับยังไงละแจ็ค” ฉันถามโดยคิดคำตออบที่แย่ที่สุดเอาไว้
     

    “เดินไง จะได้ดูวิวรอบๆด้วย” แจ็คตอบมาตรงกับคำตอบที่ฉันคิดพอดี แต่ก็ไม่เป็นไรระยะทางจากที่นี่ไปที่พักก็ไม่ไกล ฉันก็เดินไปพร้อมกับแจ็ค ระหว่างทางเราก็คุยกันบ้าง ชมวิวบ้างบางทีแจ็คแกล้งโดยการอุ้มฉัน ซึ่งต่างคนต่างมองในการกระทำของเราส่วนใหญ่จะชอบเสียด้วยเพราะส่วนใหญ่จะทำตมเรา สุดท้ายฉันกับแจ็คก็ถึงที่พัก ห้องของพวกเราอยู่ชั้นบนสุด เป็นชั้นที่สามารถมองเห็นวิวได้รอบๆเมืองซึ่งเป็นชั้นที่ดีที่สุด(ค่าห้องแพงสุดด้วย) ฉันกับแจ็คก็ไปสะดุดกับใบรับเชิญใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดูเหมือนจะเป็นใบรับเชิญไปงานเลี้ยงของคู่รัก ฉันก็ลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดีไหม เพราะในงานเป็นงานของคนชั้นสูง ฉันไม่รู้จะมีเสื้อผ้าแบบนั้นรึเปล่า แต่แจ็คก็เข้ามากอดที่เอวฉัน
     

    “ข้าว่าเราไปงานด้วยกันก็ดีนิ” แจ็คพูดออกมา
     

    “แต่เรามีชุดหรือแจ็ค คุณกับฉันต้องใส่ชุดที่ราคาแพงนะ” ฉันถามเขา
     

    “นี่เจ้าดูตู้เสื้อผ้ารึยัง อลิสเตรียมไว้ให้แล้ว” พอฉันได้ยินที่แจ็คพูด ฉันก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ดูเหมือนเขาจะรู้เขาเลยปล่อยมือออกและเดินตามฉันไป ในตู้ทีชุดที่ต้องใส่พรุ่งนี้กับชุดอีกสองชุดที่อยู่ในถุงคลุมเสื้ออีกที พอฉันหยิบออกมาฉันก็รูดซิบเปิดดู มีชุดราตรีสีน้ำเงิน กับชุดสูทสีน้ำเงินพร้อมเสื้อกั๊ก ฉันยื่นชุดสูทให้แจ็คก่อนที่จะไปแต่งตัวในห้องน้ำ ฉันแต่งตัวในห้องน้ำนานสมควรเพราะต้องติดเครื่องประดับไม่ว่าต่างหู แหวน และสร้อยคอพอฉันแต่งเสร็จก็เดินอออกมาจากห้องน้ำเจอแจ็คกำลังวุ่นอยู่กันเนกไทอยู่
     

    “มาให้ฉันช่วยใส่ให้สิแจ็ค” ฉันถามและเดินเข้าไปเพื่อจัดเนกไทให้
     

    “ขอบใจนะ” แจ็คขอบคุณ ก่อนที่กยายามมาจูบฉันแต่ฉันเอากระเป๋ามาบังไว้ทัน
     

    “อดทนหน่อยสิ ไว้คืนนี้นะคะ” ฉันพูดออกไป แจ็คก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจก่อนที่จะหันไปสวมชุดต่อ
     

    พอเราถึงชั้นล่างที่ห้องรับรอง มีแขกมากมายนั่งรอกันอยู่ต่างคนก็แต่งชุดที่ตนคิดว่าดูดี่สุด พอเราเดินเข้าไปหลายคนหันมามองมาที่ฉันกับแจ็ค ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไร  ชุดที่ฉันแต่งก็แค่ชุดราตรีสีน้ำเงินแกนกุด กับรองเท้าส้นสูงสีเดียวกับชุดส่วนเครื่องประดับก็สร้อยเงิน กับต่างหูมุก ส่วนแจ็คสวมชุดสูทสีน้ำเงิน กางเกงกระบอกสีเดียวกับสูทสวมเสื้อเชิร์ตสีขาว เนกไทสีน้ำเงินกับเสื้อกั๊กสีเดียวกับสูทและจดกระดุมเสื้อสูทสองเม็ด(จากทั้งหมดสามเม็ด) และใส่รองเท้าสีดำขลับ เราสองคนแต่งตัวอย่างเรียบง่าย แต่ยังมีคนมาทักว่าชอบแบบที่เราสองคนใส่
     

    ตอนนี้ต่างคนอยู่ที่โต๊ะของคู่ใครคู่มัน ระหว่างที่นั่งอยู่ในนั้นก็มีดนตรีบรรเลงเพลงเบาๆ ฟังสบายหู ซักพักพนักงานก็เสิร์ฟอาหารมาทีละอย่าง ซึ่งเราอยู่ในห้องนี้สามสี่ชั่วโมง ซักพักพิธีกรก็ออกมาพูดและให้ทุกคนลุกขึ้นยืน
     

    “ขอให้คู่รักทุกท่านลุกขึ้นยืนด้วยครับ วันนี้เรามีบทเพลงเพราะๆมาให้คู่รักทุกท่านได้รับฟังกันนะครับ เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายที่ดีนะครับ เพราะเนื้อหาของเพลงนี้เกี่ยวกับรักนิรันดร์ การรอคอย และอยากให้ทุกคู่ในห้องนี้เข้าจังหวะด้วยกัน ซึ่งเพลงนี้มีชื่อว่า
     

    A Thousand Years” เชิญรับฟังได้เลยครับ
     

    พอพิธีกรพูดเสร็จแจ็คก็ลุกขึ้นก่อนที่จะยื่นมือมาให้ฉันจับ ฉันก็จับมือเขาและลุกขึ้นยืนซักพักเพลงก็เริ่มบรรเลง

     

    (อันนี้จะแบ่งเป็นการอธิบายของตัวละครทั้งสองตัวนะครับดูด้วยว่าสีไหนเป็นของใครของแจ็ค ของเอลซ่า)

    http://www.youtube.com/watch?v=9RbcR_KSRB8#t=15 (คลิ๊กเลยครับจะได้มีอัทรสมากขึ้น)

    พอเพลงเริ่มบรรเลงฉันกับแจ็คก็จับมือกันก่อน

    The day we met
    Frozen I held my breath
    Right from the start I knew it I found a home for
    My Heart beats fast Colors and promises

     

     

     

    พอเพลงเริ่มขึ้น ฉันกับแจ็คก็เดินย่ำอยู่กับที่ช้าๆ ปล่อยให้คนอื่นเขาเต้นในแบบของพวกเขาไป

    How to be brave   
    How can I love when I’m afraid to fall
    But watching you stand alone
    All of my doubt suddenly goes away somehow

     

     

     

    พอฉันได้ยินเพลงฉันก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะเนื้อร้องที่ผ่านมามันใกล้เคียงกับชีวิตฉันเมื่อตอนยังเป็นมนุษย์มาก

    One Step closer

     

     

     

    พอถึงท่อนนี้ฉันก็แจ็คได้เดินเข้าหากัน

    I have died everyday waiting for you 
    Darling don't be afraid I have loved you
    For a thousand years
    I'll love you for a thousand more

     

     

     

     

             เพลงบรรเลงไปเรื่อยๆ พอจบท่อนนี้ฉันก็ยิ้มออกมาพร้อมกับมองไปที่หน้าสามีของฉัน แจ็ค ฟรอสต์

    Time stands still Beauty in all she is

    I will be brave I will not let anything take away

    What's standing in front of me

    Every breath Every hour has come to this

     

     

     

             ตอนนี้ข้ายิ้มตอบนาง ข้าก็จ้องใบหน้าของเธอ ถึงแม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านไปเธอก็ยังสวยงามที่สุดในสายตาของข้าเสมอ ถึงแม้ว่าเวลาจะเคยพรากเราจากกัน แต่ตอนนี้เธออยู่ตรงหน้าแล้ว จากนี้ทุกๆลมหายใจ ข้าจะอยู่กับเธอเสมอ

    One Step closer

     

     

     

    ผมเริ่มลดมือลงมา และโอบเอวของเอลซ่าอย่างหลวมๆ

    พอแจ็คลดมือลงฉันก็เปลี่ยนไปกอดคอของแจ็คแทน

    I have died everyday waiting for you 
    Darling don't be afraid I have loved you
    For a thousand years
    I'll love you for a thousand more

     

     

     

     

    ข้าก็ฟังเพลงบรรเลงไปเรื่อยๆ ตอนที่นักร้องสองคนร้องคู่กันจนถึงท่อนนี้อีกครั้ง ข้าก็ย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่รอนางกลับมา เนื้อเพลงมันช่างตรงกับชีวิตของข้า เพราะต่อให้ผ่านไปกี่ปีข้าก็รักนางเหมือนเมื่อครั้งแรกที่รักกัน

    And all along I believed I would find you

    Time has brought your heart to me

    I have loved you for a thousand years

    I'll love you for a thousand more

     

     

     

     

     

             พอถึงเพลงท่อนนี้ ฉันก็มั่นใจว่าในช่วงเวลาสองร้อยกว่าปีมานี้แจ็คต้องหาวิธีที่ทำให้ฉันฟื้นขึ้นมาให้ได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี เขาก็ยังรักฉันเหมือนเดิม
     

             พอจบท่อนนี้ก็จะทีแต่เสียงดนตรีฉันก็เริ่มพูดกับเขาเบาๆ
     

             “แจ็ค คุณนัดให้พวกเขาไว้รึเปล่า” ฉันถามแจ็คออกไปด้วยความสงสัย
     

             “ข้าไม่ได้นัด แต่เพลงนี้เหมือนชีวิตของเราเลยนะว่าไหมที่รัก” ข้าพูดออกไปตามจริง ดูเหมือนเธอจะหน้าแดงนิดๆ
     

             “แจ็ค ถ้าฉันจากคุณไปอีกคุณจะตามหาฉันเหมือนในเนื้อเพลงนี้ไหม” ฉันถามออกไป
     

             “แน่นอน ต่อให้เวลาผ่านไปกี่ปีข้าตามหาเจ้าจนกว่าจะเจอ” คำตอบที่ข้าตอบนางไป ข้าพูดจริง เพราะถ้านางหายไปจากข้าไปอีก ข้าก็จะตามหานางจนเจอไม่ว่าจะผ่านอีกกี่ปี
     

             “แล้วเจ้าละ ถ้าข้าต้องออกไปทำหน้าที่ของข้าเป็นเวลาหลายปี เจ้าจะรอข้าไหม”
     

             “ต่อให้ผ่านไปกี่แสนปี ฉันก็จะรอ” ฉันตอบแจ็คกลับไป ฉันไม่คิดว่าฉันจะพูดคำเหล่านั้นออกไป ได้อย่างไรแต่ถ้าเป็นความจริงฉันก็จะทำตามที่พูด ซักพักนักร้องก็ร้องต่อ

    One Step closer

     

     

     

             แจ็ดเริ่มกอดฉันแน่นขึ้นฉันก็กอดเขาตอบ

    I have died everyday waiting for you 
    Darling don't be afraid I have loved you
    For a thousand years
    I'll love you for a thousand more/
    I'll love you for a thousand more

     

     

     

     

             ท่อนนี้เอลซ่าร้องเพลงขึ้นมาพร้อมกับนักร้อง ราวกับเธอต้องการตอกย้ำคำตอบที่ตอบข้าไปเมื่อครู่ ข้าก็ร้องไปพร้อมกับเธอในท่อนI'll love you for a thousand moreดูเหมือนเธอจะชอบเพราะข้าเห็นเธอยิ้มออกมา ร้อยยิ้มแบบนี้ละที่ข้าโหยหามาหลายต่อหลายปี

    And all along I believed I would find you

    Time has brought your heart to me

    I have loved you for a thousand years

    I'll love you for a thousand more

     

     

     

     

     

             ข้าก็ร้องเพลงท่อนนี้ตอบนางกลับไป เพื่อยืนยันคำตอบที่นางถามมา พอจบท่อนนี้แล้ว เพลงก็บรรเลงไปซักพักข้าก็ค่อยๆก้มหน้าลงมาเป็นจังหวะเดียวกับที่เอลซ่าดึงคอข้าลงมาด้วย สุดท้ายข้ากับนางก็จูบกัน ในช่วงที่จบเพลงพอดี เพราะนี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี สำหรับวันต่อๆไป

     

     

    ………………………………………………………………………………………………………..

    เอาละครับจบไปแล้วนะครับสำหรับตอนพิเศษ คนที่รอ NC ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ผิดหวัง ผมอยากให้จบแบบนี้มากกว่านะครับเพราะรักกันไม่จำเป็นต้องได้เสียกันครับ

    ถึงอย่างไรก็ขอโทษจริงๆนะครับที่ผิดสัญญา แถมยังลองทำอะไรไม่รู้อีก ผมก็ลองบรรยาไปพร้อมเพลงดู ผมไม่รู้ว่าโอเคไหม ถ้าไม่ผมก็จะแก้ใหม่เอา NC ลงเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ไม่พอใจคนเดียว ผมจะเปลี่ยนนะครับ ต้องแจ้งมา 5 คน ขึ้นไปครับ ถึงจะยอมแก้ให้ใหม่

    ถึงตอนนี้นะครับ ตอนนี้ผมว่าผมแต่งนานสุดละ แก้บ่อยสุดละ เพราะบางทีดันจะแต่งเป็นตอนยาว เลยต้องลบและพิมพ์ใหม่อยู่หลายครั้ง ผมลองเอาเพลงมาเปิด และใส่เนื้อเพลงลงไปด้วยไม่รู้ว่าเข้ากันไหม เพราะลองทำครั้งแรก ถ้าผิดพลาดอะไรขออภัยด้วยนะครับ

    ตอนต่อไป Chapter 7 : feeling จะมาวันไหนไม่รู้แต่อย่างช้าหลังสงกรานนะครับ

    สำหรับตอนนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×