ก่อน อื่น ขอหาความหมายซะก่อน คำว่า
Hiki 引きนี้ แปลว่า ดึง ดูด เป็นรูป ธนู กับลูกดอก ถ้าจำง่าย ๆ ก็คือ
เราดึงคันศร นั่นเองครับ โหด บวนจินตนาการ เอาเป็นว่าสอนคำนี้เลยละกัน
อย่างเช่น คำว่า inryuku 引力แปลว่า แรงดึงดูด อ้อ ในภาษาญี่ปุ่น
คันจิตัวเดียวมันอ่านได้หลายแบบนะครับ กล่าวคือ มันทั้ง แบบ อน- คุน ส่วน
คำว่า 篭もりอันนี้ไปค้นดู ไม่เจอครับ ก็เลยยังแปลคำนี้ไม่ออก ผมเองก็จำ ๆ
ลืม ๆ บ้างนะ ตัวคันจิตัวนี้ รูปคันธนูนั่นแหละ มันคือ in ส่วน ryuku
แปลว่ากำลัง รวมกัน เป็น คำว่าแรงดึงดูด ครับ อ่าว นอกเรื่องจนได้
อะ ขออีกคำละกัน เพราะตอนแรกผมก็สับสนเล็กน้อย เพราะความหมายเหมือนกัน
เช่น คำว่า พจนานุกรม คำว่า jibiki กับ jisho 字書ไปถามคนญี่ปุ่น เขาว่า
jibiki 字引นั่น เป็นภาษาของคนเก่า ครับ อ่าว เป็นงั้นไปกรรม อุตสาห์ จำมา
แต่ก็ดีจำเยอะก็ยิ่งดีครับ นอกเรื่องจนได้
เข้ามาที่ hikikomori ดีกว่า ละกัน โรคนี้
หลายคนเป็นอยู่อาจเป็นโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นทางการหน่อย เรียกว่า โรค
ตัดขาดจากสังคม หรือ ถ้าชาวบ้านหน่อย ก็ไม่ชาวบ้านเท่าไหร่ครับ jisho ก็มี
แปลว่า หมกตััว โรค นี้ อืม.. ผมขอเรียกว่า อาการนี้ จะเหมาะสม กว่า
สำหรับ นักเล่น เกมส์ แหม ตอนนี้ play 3 วางจำหน่าย ถืงเกมส์
จะไม่เยอะก็เหอะ 25 เกมส์ เอง ถ้าจำไม่ผิดนะเออ
อาการหมกตัว นี้ จะเกิดสำหรับ คนที่ อยุ่แต่ที่เดิม ๆ นั่นแหละ
หลายคนก็เคยเป็น รวมถึง ผมด้วย ยอมรับตรง ๆ แต่ บางครั้ง นะ โดยเฉพาะ
คนเล่น เกมส์ ออนไลน์ แล้ว ก็ ถือว่า เป็นเช่นเดียวกัน คือ อยุ่แต่หน้าจอ
ทั้งวันทั้งคืน ลืมกินข้าวกินปลา ลืม แม้แต่ ไปห้องน้ำ รอให้ปวดหนัก ๆ
จนทนไม่ไหวแล้วค่อยไป แล้วปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อไปเล่นต่อ
เดี๋ยวพลาดโอกาสทอง ยังกับ ไปเก็งกำไรยังงั้น แต่นี่สำหรับคนทั่วนะครับ
อาการนี้ ก็คือ อยู่แต่ในห้องนั่นเอง แต่ นะครับ แต่ ว่า
สำหรับคนที่เล่นนี้ จะออกจากห้องได้ ติดต่อคนในสังคมได้ ยกเว้น เกมส์
ออนไลน์ อันนี้แน่นอน กับ อินเตอร์เน็ต อันนี้ก็เช่นกันอีกนั่นแหละ
การปฏิสัมพันธ์ กับครอบครัว อันนี้ ก็พอทน เพื่นฝูง ก็ยอมรับได้ ไปบ้าง
แต่อาจน้อยลง คือ เห็นคอมดีกว่าเพื่อน ก็ว่าได้
แต่เขาก็ยังออกไปนอกห้องได้อยู่ดี โดยปกติ
เอแล้วมันน่าแปลกตรงไหนกัน อันนี้ สำหรับคนเป็นหนัก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น
เมื่อก่อนนี้ ผมว่าน่าจะเป็นเฉพาะชาวญี่ปุ่นนะ อ้อ เกาหลีไม่แน่ ครับ
แต่คิดว่า ก็คงจะมี ส่วนคนไทย แบบหนัก ๆ คิดว่าคงไม่มีนะครับ คือ
ไม่ออกนอกห้อง แม้แต่ก้าว เดียว จนกลัวการออกนอกห้องเลยทีเดียว ราวกับว่า
การออกนอกห้องนี้ เป็นเรื่องน่ากลัวสุด เลย เช่น ผู้หญิงบางคน
อาจกลัวแมลงสาบ แมงมุม ผี หรือสิ่งที่หยะแหยง อันนี้เป็นเรื่องปกติครับ
เพราะมันไม่น่าคบ เท่าไหร่ และนี่ก็เป็นอาการเดียวกัน คือ กลัวมาก
บางคนเมื่อเห็นประตูเปิดอยู่ตรงหน้า ถ้าจะก้าวออกมาแล้ว ถึงกับ
หัวใจเต้นแรง ยังกับ ว่า คนที่กลัวแมลงสาบ ถูกมันเกาะยังไงยังงั้น หรือ
ถูกบังคับให้จับ ตัวขยะแขยงก็ว่าได้ ครับ
สำหรับคนที่เป็นหนัก ก็ถือว่าเป็นโรคจิตก็ว่าได้ครับ แต่ เฉพาะ
ไม่กล้าออกนอกห้องเท่านั้น บางคน อาจไม่คุยกับ พ่อ - แม่ก็ได้ แต่บางคน
ดีหน่อย คุยกันรู้เรื่อง บางคน ก็ให้คนอื่นเข้ราไปได้ คุยกันเรื่องต่าง ๆ
โดย ไม่เคอะเขิน เหมือนคนปกติทั่วไป แต่ถ้าชวนออกไปนอกห้อง เมื่อไหร่
เขาจะไม่ไป ครับ คือกลัวนั่นเอง
คนที่เป็นหนัก ๆ จริง ๆ ก็ ประมาณ 5 ปีนะครับ ปกติก็ประมาณนี้แหละ 3 ปี
เยอะนะ เขาจะไม่ออกไปเลย จะออกมาห้องบ้าง เฉพาะเวลาอาบน้ำ
ทำภาระกิจส่วนตัว แต่ มีข้อแม้ ว่า ต้องออกไปโดยไม่มีใครเห็น ก็คือ
ออกมาตอนกลางคืน ครับ คนในบ้านต่างหลับแล้ว ก็ค่อยออกมา หากิน เอ๊า
กลายเป็น มนุษย์ค้างคาวไปได้ พวกนี้ แต่บางคน เขาก็ไม่อาบน้ำครับ
นี่ถึงเรียกว่า หมกตัวอย่างแท้จริง เอาไว้อารมณ์ดี ก่อน ค่อยไปอาบน้ำ
แต่บางคนก็อืม อาบไปทำไม วันนี้คืนดี ค่อยแปลงกายเป็นมนุษย์ค้างดาวออกมา
อาบซะดี บ้างก็เว้นไว้ สัก 3 เดือน ค่อยอาบ
ที่อยู่นั่นนะเหรอ ครับ สำหรับคนเรียบร้อยหน่อย ห้องก็จะเก็บกวาด สม่ำเสมอ
บ้างก็ดูทีวี เล่นเกมส์ ตามประสาคนอยู่คนเดียวนั่นแหละครับ แต่บาง สุด ๆ
ครับ หมกจนซกมก ก็คือ เศษกระดาษ หนังสือ ถุง ขนม ขวด เหล้า ขวดเบียร์
(ถ้ามี) มันอยู่ยังไงก็อยู่ยังงั้น ครับ น่าเดิม เหมือนสร้างปฏิมากรรม
ซกมก ปล่อยตัวเอง ว่างเปล่า เหมือนบ้างก็ไม่สวมเสื่อผ้า เอ๊าท์
อยู่คนเดียวยุ่งอะไรด้วย อืม.. ปล่อยมันไปครับ
อาหารการกิน ส่วนใหญ่ จะมาจากแม่ ครับโดยเฉพาะแม่บ้าน มักจะเรียกแล้ว
แต่ก็ไม่เปิด จนกว่า จะหิวจริง ๆ แบบแสบใส้ จนให้แม่ต้องเอาวางไว้หน้าห้อง
เมื่อ มนุษย์ค้างคาวผู้นี้ ออกหากินเมื่อไหร่ ก็แน่ หละครับ ตอนกลางคืน
มันจะออกมากิน แล้ววางไว้หน้าห้องตามเดิมครับ เช้ามา อ้าว อาหารหายไป
ไร้ร้องรอย
มาดูสาเหตุ ดีกว่าครับ อาการนี้ มีหลายสาเหตุครับ บางก็เรียกว่า แรงกดดัน
จาก คนรอบข้าง เกิดการน้อยเนื้อต่ำใจ หรือเปล่า
บ้างก็ทนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของญีปุ่นไม่ทันครับ
ซึ่งมันค่อนข้างเร็วครับ จนเขารู้สึกว่า เขาปรับตัวไม่ทัน
และละเลยต่อสิ่งใหม่ ๆ รอบข้าง แต่ผมชอบนะ จน อยู่แต่ในบ้าน
เพราะเขาไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก จนกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้วบางคนเกิดจาก
การพยายามบางอย่าง ที่ไม่ได้ตามเป้าหมาย
หรือล้มเหลวกับสิ่งที่คาดหวังไว้สุงเกินไป อาการส่วนใหญ่ จะเป็นในเด็ก
มัธยมปลายครับ คิดว่างั้น เพราะต้องสอบเอ็น เข้ามหาวิทยาลัย
ซึ่งเขาเอาจริง เอาจังมาก พ่อ- แม่ จึงให้ไปเรียนกวดวิชา สถานที่กวดวิชาคน
คนญี่ปุ่น นี้ จะหนักมาก เรียกว่า หนักโคตรเลยครับ อย่างเช่น วิชาคำนวณ
แล้ว จะหนัก และจำเป็นในหลายวิชา ถ้าอาจารย์ ออกโจท์ตัวอย่าง มาให้ทำ
และให้ทำจนกว่า จะถูก เด็กบางคน ก็ทำให้ถูก
ก็กลับไปแก้จนมันถูกนั่นแหละครับ อันนี้ ดูสถาบันทั่วไปเขาทำกัน แต่
มันหนักกว่านั้นนะซิ คือ ก็คล้ายกันสอบเลย ก็กลับมาทำใหม่ ให้ถูก บางคน
แก้เป็นหลายสิบเที่ยว ก็ว่าได้ ลองคิดดูว่า
ถ้าเราทำอะไรหลายเที่ยวก็คงจะปวดหัวตายแน่เลย ถ้าใครทำถูกก็กลับบ้านได้
แต่บางคนนี่สิ ถึงกับ อยู่ถึงดึกดื่น เที่ยงคืน จนถึงเช้าก็มี
กว่าจะทำข้อสอบ หรือโจทย์ที่อาจารย์เขาให้มา
ทำยังกับวิชามาราธอนเลยครับ บางแห่ง ก็ให้เด็กอยู่กินที่นั่นเลย เลย เช้า
5-6 โมง ก็ต้องเข้เรียน จนถึง โน่น ตี 2-3 เลยครับ ถ้าเขาทำไม่เสร็จนะ
คนเสร็จก็สบายไป แต่ใช่ว่าเขาจะเก่งทั้งหมด
เฮ่อ นี่แหละครับ เขาจะไปอยู่ได้ไง วิชาโหด แต่ ทุกคนรู้ครับ พ่อแม่
อาจารย์ และ เด็กเองก็รุ้ตัวดีครับ ว่ามันโหด แค่ไหน
แต่ก็เพื่อให้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้ ก็ต้องลงทุนกันหน่อย
แม้บางคนก็สอบมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ก็มี จนคิดว่า ตัวเองพยายามไม่พอ
ก็กลายเป็น hikikomori ไปเลยครับ
เอาละผมก็เขียนต่อยืดยาวไปยังงั้นแหละ ให้เรื่องมันยาว รูปก็ไม่มี
ไม่รู้จะมีไปเพื่ออะไร แต่อาการนี้มันก็มีอยุ่และมีจริง ๆ ครับ ก็ใช้เวลา
สัก ชั่วโมง มาเขียน สักหน่อย ครับ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น