คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9
ตอนที่ 9
คืนนี้...ผมคงนอนห้องนี้!
นั่นเป็นคำสั่งหรือเป็นคำบอกเล่ากัน? ปลายนภาถือหวีค้างอยู่กลางอากาศ สายตาจ้องเขม็งไปยังกระจกตรงหน้าที่สะท้อนให้เห็นร่างสูงที่ยืนผิงประตูห้องนอนของเธอ ร่างสูงที่เห็นดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงถึงกับทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปยังด้านหลัง
“คุณว่าอะไรนะคะ” มือที่แข็งค้างไปก่อนหน้าเริ่มกลับมาเป็นปรกติ หวีที่ยังไม่ได้แตะต้องบนเส้นผมสักเส้นก็ถูกเก็บเข้าที่ตามเดิมอย่างช้าๆ ก่อนจะรวบชุดนอนที่สวมอยู่ใช้มิดชิดแล้วจะหันกลับมายังร่างสูงที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“คืนนี้...ผมคงนอนห้องนี้”
“ทำไมต้องนอนห้องนี้คะ ห้องคุณก็มี”
“วันนี้คงไม่ได้” เจ้าของร่างสูงเอ่ยบอกเสียงเรียบ ดูเหมือนจะทำใจเอาไว้แล้วระหว่างเส้นทางที่เดินขึ้นมายังห้องนอนของเธอ “ผมกลับไปนอนห้องเดิมเหมือนทุกวันไม่ได้” แอบสังเกตว่าความขุ่นข้องที่เธอมีต่อเขาก่อหน้านั้นคงเบาบางลงบ้างแล้ว เพราะน้ำเสียงที่แข็งของหญิงสาวตรงหน้ากลับกลายมาเป็นเรียบนิ่งเหินห่างอย่างเช่นทุกวัน อย่างดีที่สุดระหว่างเขาและเธอก็คงมีเพียงความเรียบนิ่งและเหินห่างเท่านั้นที่สัมผัสได้ สายตาที่ดูไร้เยื่อใยก็กลับกลายมาเป็นความว่างเปล่า อดคิดไม่ได้ว่าอย่างไหนมันจะดีกว่ากัน
ทำไม! ปลายนภาขมวดคิ้วมุ่น ทำไมจะไม่ได้ ตลอดเวลาที่แต่งงานกันมาเธอกับเขาก็แยกห้องนอนกันมาตลอด ห้องนอนใหญ่ห้องนี้ตกลงว่าเป็นของเธอ ส่วนเขาใช้ห้องอีกฝากหนึ่งของบ้านซึ่งเล็กกว่าห้องเธอเล็กน้อย “นี่คุณจะมาไม้ไหนกันแน่”
อดิรุธส่ายหน้า เดินตรงดิ่งเข้ามานั่งที่ปลายเตียงเพื่อจะได้ใกล้กับร่างบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยหันหลังให้โต๊ะเครื่องแป้ง เพื่อลดเสียงการสนทนาให้เบามากที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่อยากให้เสียงการสนทนาระหว่างคนสองคนดังออกไปจากบริเวณห้อง “ผมไม่มีไม้ไหนทั้งนั้น” คนพูดถอนใจแล้วหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้เหตุผลกับคนตรงหน้า “คุณแม่จะค้างที่นี่”
จะค้างที่นี่!
วูบ...สีหน้าหญิงสาวตรงหน้าสลดวูบเมื่อได้ยินเหตุผล
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะ”
น้ำเสียงและท่าทีที่เต็มไปด้วยความกังวลของคนตรงหน้าทำให้อดิรุธยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เตรียมใจไว้แล้วตั้งแต่เดินขึ้นบันได้เข้ามาเคาะห้องนอนของเธอ รอจนคนข้างในห้องเอ่ยเสียงอนุญาต แต่เมื่อถึงเวลากลับก้าวขาไม่ออกซะอย่างนั้น เรี่ยวแรงหมดไปตั้งแต่บันไดขั้นแรกที่ก้าวผ่าน
“คงต้องไหลตามน้ำไปก่อน คุณคงไม่อยากให้คุณแม่หรือใครรู้ว่าเราแยกห้องนอนกัน” เขาเองก็ไม่อยากเหมือนกัน ดังนั้นความยุ่งยากใจจึงเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนนี้
“คืนนี้ผมคงต้องนอนห้องนี้ไปก่อน” ร่างสูงลุกขึ้นยืน “คุณจะให้ผมนอนตรงไหนก็เอาหมอนไปวางไว้แล้วกัน” แอบกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นพื้นหรือโซฟาตรงมุมห้อง แต่ถึงยังไงพอตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็คงจะปวดหลังอยู่ดี
แล้วตัวเธอล่ะ คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ปลายนภาแอบถอนใจ แล้วเงยหน้าสบตากับเขา ภายในใจครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ไม่เป็นไรคะ คุณนอนบนเตียงก็ได้”
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายถึงกับนิ่งอึ้งไปกับคำตอบที่ได้ยิน มันเกินความคาดหวังไปใช่ไหม?
“เตียงใหญ่น่าจะพอสำหรับนอนสองคน” หญิงสาวให้เหตุผลเสียงเรียบ ทั้งที่ในใจกลับหนักอึ้งไปกับสถานการณ์ที่ตัวเองต้องตัดสินใจ ไม่เคยคิดมาก่อน ไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เธอมึนงงไปหมด จะให้เขานอนที่พื้นก็น่าเกลียดเกินไป จะให้เป็นที่โซฟาก็ดูเหมือนเธอจะไว้ตัวเกินเหตุไปอีก แต่จะให้ชิดใกล้เธอก็ไม่ต้องการอีก ทุกทางออกรู้สึกจะสร้างความหนักใจให้เธอทั้งสิ้น
“บ้านนี้ก็เงินของคุณครึ่งหนึ่ง สมบัติทุกอย่างของบ้านนี้ก็เป็นของคุณครึ่งหนึ่ง คุณมีสิทธิ์ในเตียงนี้ครึ่งหนึ่งอีกเช่นกัน ฉันคงไม่กล้าไล่ให้คุณลงไปนอนที่พื้นอย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ” น้ำเสียงที่อธิบายนั้นราบเรียบสีหน้าตื่นตะลึงหายไปหมดแล้วเหลือเพียงสายตาและสีหน้าที่บ่งบอกเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ปลายนภาเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลในทุกๆ เรื่อง การตัดสินใจทำทุกสิ่งทุกอย่างของเธอไม่เคยใช้อารมณ์ร่วมในการตัดสินใจ ความถูกต้องความเหมาะสมนั้นใช้ความเป็นจริงตัดสิน เธอเป็นอย่างนั้นอย่างที่เขารับรู้ได้เสมอมา แม้สิ่งที่ตัดสินใจทำจะทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ยังจะเลือกความถูกต้องเหมาะสมอยู่นั่นเอง และครั้งนี้ก็เหมือนกันความถูกต้องความเหมาะสมได้เอาชนะความรู้สึกที่คัดค้านต่อต้านของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ถ้ามันฝืนใจของคุณมากไป ก็ไม่เป็นไร ผมเป็นผู้ชายนอนที่ไหนก็ได้”
“ไม่ฝืนหรอกคะ แค่อาจไม่ชิน” ร่างบางเปลี่ยนสายตาไปทางอื่น “คุณเองก็ทนฝืนใจหน่อยแล้วกันค่ะ แค่คืนเดียว”
เขาใช้เวลาในอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นาน พอออกมาก็เห็นว่าปลายนภาหลับไปแล้ว ร่างบางนอนตะแคงข้าง เว้นพื้นที่อีกฝากหนึ่งของเตียงไว้ให้เขาตามที่ตกลง
ภาพของวันนี้คลับคล้ายกับภาพที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อต้นสัปดาห์ ร่างบางที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้เหมือนกันกับที่เธอนอนหลับอยู่บนเตียงนี้ และที่เหมือนกันยิ่งกว่านั้นคือการที่เขายืนมองร่างบางที่หลับไม่รู้ตัวทั้งที่โรงพยาบาลและบนเตียงขณะนี้
สายตานิ่งแปรเปลี่ยนจากร่างบางไปสำรวจภายในห้องเงียบๆ ก่อนจะก้าวตรงไปยังเตียงกว้างกลางห้อง พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับกรอบรูปที่ตั้งไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง รอยยิ้มของคนในรูปดูคุ้นตาหลายคนเคยบอกว่ารอยยิ้มนั้นเป็นพิมพ์เดียวกันกับตัวของเขาแป๊ะ อดิรุธถอนหายใจเอื้อมมือปิดไฟหัวเตียงแล้วทิ้งตัวแล้วหลับตาลง พยายามเคลื่อนตัวให้เบาที่สุดขณะหันตะแคงข้างเพื่อที่จะไม่รบกวนคนอีกฝากหนึ่งของเตียง
ไฟในห้องดับลงสักพักแล้ว ปลายภาจึงลืมตาขึ้น รู้สึกเหมื่อยขบที่แขนข้างที่นอนทับมาเกือบชั่วโมง ร่างบางค่อยๆ พลิกตัวนอนหงาย
“นึกว่าคุณหลับแล้วเสียอีก”
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะยังไม่หลับ แต่เมื่อมาคิดๆ ดู คงจะหลับลงยากอยู่หรอก ก็คนมันทำเพราะความฝืนใจนี่นะ
“หลับแล้วค่ะ” หญิงสาวปด “แต่รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำก็เลยตื่น”
“ให้ผมช่วยไหม”
“ช่วยอะไรคะ”
“ขาคุณเจ็บอยู่ ให้ผมช่วยประคองดีกว่า เดี๋ยวก็ล้มไปเหมือนตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาลหรอก”
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลทำให้รอยยิ้มมุมปากของคนที่ยันตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียงผุดขึ้นมา
“แล้วต่อมาคุณก็จะถูกฉันตบหน้าอีกหรือเปล่าคะ”
ไฟหัวเตียงสว่างขึ้นเพราะร่างสูงนั้นเอื้อมไปเปิด
“คราวนี้คงไม่” ร่างสูงลุกจากเตียงแล้วเดินมาใกล้
“ไม่เป็นไรค่ะ” เอ่ยปฏิเสธขณะที่ลุกขึ้นยืน มือด้านหนึ่งเอื้อมไปจับไม้ค้ำช่วยเหลือในการทรงตัว “ฉันช่วยตัวเองได้”
“ถือว่าตอบแทนคุณ ที่คืนนี้ยอมเสียสละเตียงให้ผมครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน”
ปลายนภาถอนหายใจ
“ก็คิดเสียว่าฉันทำหน้าที่ภรรยาที่ดีก็แล้วกัน”
“ใช่สินะ คุณเป็นภรรยาที่ดี” ประกายบางอย่างผุดขึ้นในดวงตาคู่คมของคนพูด แต่เพราะมันจางหายเร็วเกินไปปลายนภาจึงไม่ทันสังเกตเห็นมัน
“ถ้าคิดว่าฉันดีก็จงช่วยคิดต่อไป คิดให้มากๆ ว่าฉันดีขนาดไหน ถ้าวันหนึ่งไม่มีฉันอยู่ อย่างน้อยคุณก็จะได้คิดถึงความดีที่ฉันเคยมีต่อคุณบ้าง”
ร่างบางนั้นขยับเบี่ยงไปให้พ้นร่างสูงที่ยืนประจันหน้าอยู่
“ผมขอถามคำถามคุณอีกข้อสิ”
“คุณจะถามอะไรอีกค่ะ ฉันจะเข้าห้องน้ำ” บ้าจริง! ช่วงนี้อดิรุธเกิดอารมณ์ปรวนแปรอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี้ย ถามโน้นถามนี้เต็มไปหมด
“ทำไมคุณถึงยอมแต่งงานกับผม”
เท้าที่กำลังก้าวอยู่ชะงัก ไม่คิดว่าอยู่ๆ เขาจะถามคำถามนี้ขึ้นมา
“แล้วทำไมคุณถึงขอฉันแต่งงาน”
แทบจะกลั้นใจรอคอยคำตอบ แต่ก็เห็นเพียงการส่ายหน้าของอีกฝ่าย หญิงสาวจ้องมองคนตรงหน้านิ่งก่อนภาพความทรงจำบางอย่างจะผุดขึ้นมา
‘แต่ผมไม่ได้รักเขา และไม่มีวันจะรักได้ด้วย’
‘แต่ยังไง เธอก็แต่งงานกับคุณแล้ว’
‘ฟ้าให้โอกาสคุณได้เลือกแล้วนะคะ แต่คุณไม่เลือกเอง'
‘ผมทำไม่ได้ ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ฟ้าก็รู้’
‘เพราะคุณทำไม่ได้ คุณจึงต้องแต่งงานกับเธอ’
‘ผมจำเป็น’
ทุกประโยคทุกถ้อยคำมันชัดเจนในความทรงจำ ปลายนภารู้สึกว่าตัวเองเผลอกำมือแน่น
“ถ้าคุณไม่มีคำตอบให้ฉัน ฉันก็ไม่มีคำตอบให้คุณเหมือนกัน”
หญิงสาวสาวเอื้อมมือไปรับกาแฟที่ยื่นมาตรงหน้า
“ขอบคุณค่ะ”
“อาดีใจมากที่ปลายยอมเข้ามาที่บริษัท” เจ้าของคำพูดในชุดสูทสีเทาเนียบเดินไปนั่งฝั่งตรงข้างกับหญิงสาวที่กำลังยกกาแฟที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่ขึ้นดื่ม
“ก็อาภพเล่นโทรหาแทบจะทุกวัน เป็นใครก็ต้องยอมล่ะคะ” รอยยิ้มหวานล่ำส่งไปให้คนตรงหน้า อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบเช่นกัน
“เพราะอามีเรื่องร้อนใจที่ต้องให้ปลายช่วย”
“ช่วย” ปลายนภาชักสีหน้า ความสงสัยปรากฏชัดในดวงตา “เรื่องอะไรค่ะ”
ธนภพขยับตัวนั่งหลังตรง สีหน้านั้นแปรเปลี่ยนจากดูสบายๆ เป็นตึงเครียด จนคนที่เห็นยิ่งเพิ่มความสงสัยใคร่รู้ คิ้วได้รู้เริ่มขมวดมากยิ่งขึ้น
“อย่าบอกนะคะว่าจะให้ปลายเข้ามาทำงานที่นี่ ฮึ...” หญิงสาวรีบส่ายหน้าดิก “ไหนเราตกลงกันแล้วนี่ค่ะ ว่าปลายจะดูสาขาที่ญี่ปุ่น ส่วนคุณอาก็ดูสาขาที่เมืองไทย”
“ไม่เชิงว่าจะต้องให้มาดูที่เมืองไทยหรอก แต่อาอยากให้ปลายเข้ามาช่วยในบางส่วนเท่านั้น เพราะตอนนี้ส่วนนี้มันมีปัญหา และอาก็คิดว่าปลายเท่านั้นที่จะแก้ไขมันได้”
“ส่วนไหนกันค่ะ” ปลายนภาคิดไม่ออก กิจการโรงแรมในเครือชีวกิตรเติบโตจนต้องขยายสาขาไปในหลายๆ ประเทศ ยิ่งในประเทศไทยนับได้ว่าสร้างกำไรได้มากที่สุดในแต่ละไตรมาส ไม่ว่าจะช่วงไฮหรือโลวซีซั่นก็ตาม โรงแรมที่เมืองไทยไม่เคยสักครั้งที่จะได้รับผลกระทบเหมือนโรงแรมอื่นๆ แต่นี่คุณอาของเธอกำลังบอกว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในบางส่วน ส่วนไหนกัน!
“โครงการขยายโรงแรมที่หัวหิน”
“ที่หัวหิน” สีหน้าสวยบาดใจนั่นหมองลงจนคนที่เห็นรีบเอ่ย
“อารู้ว่าปลายลำบากใจ แต่ถ้าไม่ใช้ปลายก็คงไม่มีใครต่อยอดโครงการนี้ให้สำเร็จไปได้”
“แต่ปลายเคยบอกแล้วนี่ค่ะว่าโครงการนี้ปลายจะไม่แตะต้องมันอีก”
“ปลาย” ธนภพพยายามหว่านล้อมอีกครั้ง “คิดซะว่าเป็นการสานฝันของตฤณให้สำเร็จเถอะนะ”
ชื่อของคนที่ธนภพเอ่ยขึ้นกระทบความรู้สึกของคนฟังจนรู้สึกแสบกระบอกตาขึ้นมาดื้อๆ อาการเสียดแทงที่อกแวบขึ้นจนเจ้าตัวต้องยกมือกุมที่หัวใจ
เสียงที่พยายามเอ่ยออกไปนั่นดูเครือๆ
“ไม่ค่ะ มันจะไม่เกิดขึ้น ปลายขอโทษนะค่ะแต่ปลายขอปฏิเสธ”
ฟังเจตนารมณ์ของคนตรงหน้าแล้วธนภพก็ร้อนใจขึ้นมา “ปลาย อาอยากให้ปลายทบทวนอีกครั้งนะ”
ปลายนภายังคงส่ายหน้า ไม่อยากรับรู้อะไรอีก
“ความจริงถ้าอาจัดการเองได้ อาก็คงไม่มารบกวนปลายให้ลำบากใจอย่างนี้หรอก” อีกฝ่ายสารภาพตามตรง “อาพยายามต่อรอง เจรจามาเป็นปีๆ แต่พวกชาวบ้านก็ยังไม่ยอมย้ายออกไปจากที่ดินผืนนั้นเสียที”
ปลายนภานั่งนิ่งเงียบ ต่อสู้กับความรู้สึกที่ตีบตันขึ้นมา
“โครงการนี้ปลายกับตฤณริเริ่มมาตั้งแต่ต้น และมันคงจะสำเร็จไปแล้วถ้ามันไม่เกิดเรื่องกับตฤณก่อน”
“อาภพ!” เสียงที่ได้ยินนั้นกร้าวจนธนภพตกใจ สีหน้าของปลายนภาแดงจัดเหมือนโกรธใครมานานหลายชาติ
“หยุดพูดเรื่องนี้! แล้วอย่าพูดเรื่องนี้ให้ปลายได้ยินเรื่องนี้อีก”
“ปลาย”
เอี๊ยดดด!
เสียงเบรกดังขึ้นหลังจากที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะหักหลบรถบรรทุกที่วิ่งกินเลนส์เข้ามา ร่างบางเบิกตาโพลงขณะที่เห็นว่าไม่สามารถควบคุมรถให้วิ่งตรงไปในวิถีทางที่ถูกต้องของมันได้แล้ว
กรี๊ดดด! ปลายนภากรีดร้องด้วยความตกใจ แต่ยังพอมีสติ เท้าที่วางอยู่บนเบรกเหยียบลงไปจนสุดแรงอีกครั้ง รถที่กำลังส่ายและพุ่งเข้าชนขอบกั้นถนนหยุดอยู่ห่างจากขอบแค่คืบเดียว
ชั่วนาทีนั้นรู้สึกว่าได้ตายแล้วเกิดใหม่ ปลายนภาเงยหน้าที่ฟุบอยู่บนพวงมาลัยขึ้น สำรวจร่างกายของตัวเองอย่างช้าๆ แล้วก็เห็นว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มองจากกระจกหลังก็เห็นว่ารถบรรทุกที่เธอเกือบประสานงานเข้านั้นวิ่งหายลับไปแล้ว
หญิงสาวทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนที่เบาะนั่ง แล้วน้ำตาก็ไหลริน
แค่เสี้ยววินาทีเดียวที่ตัดสินใจหักหลบรถดังกล่าว แค่เสี้ยววินาทีเดียวที่เธอเปลี่ยนใจ เพียงเพราะนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
“ตฤณ” ปากบางพึมพำเบาๆ
“ฉันคิดถึงคุณ ฉันคิดถึงคุณได้ยินไหม” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นแทบจะขาดเป็นห้วงๆ เพราะแรงสะอื้น
“ฉันรักคุณ คุณได้ยินไหม ฉันรักคุณ”
‘ผมก็รักคุณ’
น้ำเสียงแว่วๆ ลอยเข้ามาให้ได้ยิน ใบหน้าที่เจือไปด้วยรอยยิ้มส่งมาให้ ปลายนภาหลับตาลงไม่อยากให้ภาพตรงหน้ามลายหายไป
“ทำไมคุณไม่ปล่อยให้ฉันตายไปซะ” คำถามนั้นยังดังอยู่ในมโนภาพ
“คุณสัญญากับผมแล้วนะ อย่าผิดสัญญา”
“ฉันจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีคุณ”
“เชื่อผมสิ พี่รุธจะดูแลคุณได้”
“ไม่จริงหรอก! คุณกำลังโกหกฉัน”
“แล้วสักวันคุณจะรู้เอง”
“แต่ฉันรักคุณ รักคุณคนเดียว”
“ผมรู้”
“รู้แล้วทำไมคุณถึงไล่ฉันให้ไปรักคนอื่น”
“แล้วสักวันคุณจะรู้เอง”
“ไม่มีทาง!”
“ผมอยากดูแลคุณแต่คงทำไม่ได้แล้ว” เสียงที่ได้ยินนั่นแผ่วเบา
“ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้ แค่คุณอย่าทิ้งฉันไปไหนอีก”
“ปลาย คุณก็รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่มโนภาพของคุณ”
“ไม่จริง!”
“ผมไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว”
“ไม่ คุณยังอยู่ตรงนี้ อยู่ในใจฉันเสมอ ได้ยินไหมคะ”
ภาพของคนตรงหน้านั้นเจือไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ผมรู้ รู้เสมอ”
“นั่นคุณจะไปไหนค่ะ” ภาพข้างหน้าเริ่มเลือนหายไปจากสายตา
“ไม่นะ อย่าทิ้งฉันไป ไม่นะ”
ความรู้สึกวาบลึกตีขึ้นที่อกอีกครั้ง ปลายนภาลืมตาช้าๆ มือที่เอื้อมไปจับพวงมาลัยนั้นเกร็งแน่น แรงสะอื้นนั้นยังไม่ได้หายไปและน้ำตานั้นก็ยังไหลพราก
ความคิดเห็น