คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8
ตอนที่ 8
ปาวิการณ์หลับตาลง ไม่อยากเห็นและไม่ยอมจำนนกับภาพที่เห็นเต็มตาอยู่ตรงหน้า
นั่นมัน! ชาลล์ เฟเดนริค กับพี่สาวของเธอกำลังหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่กลางสวนหย่อมของโรงพยาบาล
สีหน้าท่าทางของหญิงสาวที่อยู่บนรถเข็นเบื้องหน้าดูแจ่มใส เต็มไปด้วยความสุขที่ฉายชัดขณะตั้งใจฟังเรื่องราวบางอย่างจากชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแทบจะสะกดผู้หญิงทุกคนให้สิโรราบได้แค่เพียงปรายตามามอง
ใจคอเริ่มไม่ค่อยดี เมื่อเห็นท่าทีแสดงออกของหญิงสาวเบื้องหน้า
“อย่านะพี่ปลาย อย่าหลงเสน่ห์นายคนนั้นนะ” ร่างบางในชุดกาวน์สีขาวเดินไปเดินมา สีหน้าท่าทางนั้นแสดงอาการความร้อนรุ่มใจจนปิดไม่มิด
“ตายจริง!” หญิงสาวตาเบิกโพลงแถมเผลออุทานเสียงดัง “จับมือถือแขนกันด้วย!”
“จะทำยังไงดี จะบ้าตายอยู่แล้ว”
รู้สึกทรมาน...อยากจะระเบิด...แต่กลับต้องเก็บ
“ว้าย!” เกือบหลุดปากเสียงดังออกไปแล้วเชียว นี่ดีนะที่ยกมือปิดปากของตัวเองได้ทัน
“ทำไมต้องกอดกันด้วย!”
“แล้วทำไมเราต้องมายืนแอบดูพวกเขาด้วย”
เสียงที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้ปาวิการณ์สะดุ้งเฮือกกก....ตาโตที่เบิกกว้างอยู่ก่อนหน้าก็ยิ่งเบิกโตขึ้นไปอีกทันทีที่หันไปเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง รู้ทันทีว่าประโยคคำถามเมื่อกี้มาจากใคร
“พี่รุธ!”
ปาวิการณ์ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้กับคนตรงหน้าพร้อมกับเกิดความรู้สึกอยากเป็นลมขึ้นมาทันทีทันใด แต่เพราะความที่ร่างกายของเธอแข็งแรงและมีสุขภาพดีเกินไปจึงทำให้ความต้องการไม่บรรลุอย่างที่อยากจะให้เป็น
“พี่รุธมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ปาไม่เห็นรู้เลย”
“สักพัก” คนถูกถามตอบเพียงสั้นๆ พร้อมกับเปลี่ยนสายที่มองเธอไปยังภาพที่ปาวิการณ์มองอยู่ก่อนหน้า
ปาวิการณ์ยิ่งร้อนวาบขึ้นมา พยายามคิดหาทางออกแต่ก็ยังหาไม่ได้และคงไม่ทันแล้วล่ะ
“มาได้สักพักแล้วหรือคะ” น้ำเสียงที่ถามนั้นแห้งเบาหวิวเหมือนคนเส้นเสียงอักเสบ
“อือหึ” อดิรุธพยักหน้ารับ แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังจุดหมายเดิม สีหน้านั้นเรียบนิ่ง ซึ่งตรงข้ามกับความคิดในใจของปาวิการณ์ ความรู้สึกแวบแรก...หล่อนคิดว่าระเบิดกำลังปะทุอยู่ในใจของนายแพทย์หนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ บ้างละนะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ความรู้สึกแรกของเธอกลับเริ่มสั่นคลอนเมื่อเห็นแต่ความว่างเปล่า เรียบนิ่ง อย่างคงเส้นคงว่าจากนายแพทย์หนุ่มคนนี้
ปาวิการณ์สูดลมหายใจลึกๆ ยาวๆ พยายามรวบรวมความกล้า
“พี่รุธคิดอะไรอยู่หรือคะ”
ความไม่อาจคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายทำให้คุณหมอสาวอึดอัด อยากจะล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ชายคนนี้ได้จริงๆ ให้ตายเถอะจอร์จ! ยิ่งคิดยิ่งเครียด โอ๊ย...เครียดได้โล่เลยนะเนี้ยยัยปาเอ๋ย!
อดิรุธเลิกคิ้วเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งเหยิงของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้านั้นติดจะเฉยเป็นกิจจะลักษณะเผยออกมาพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กับหญิงสาวที่เฝ้ารอคำตอบที่ได้ถามไว้ก่อนหน้า
“บอกปลายด้วยแล้วกัน ถ้าเสร็จธุระแล้วให้ตามขึ้นไป พี่รออยู่บนห้อง”
บนห้องที่อีกฝ่ายหมายถึงคงเป็นห้องพักคนไข้พิเศษที่ปลายนภาพัก ปาวิการณ์พยักหน้ารับช้าๆ น้ำเสียงที่เอ่ยรับก็แผ่วเบา
“คะ แล้วปาจะบอกให้คะ”
แววตาคร้ามคมผิดจากที่เคยเรียบนิ่งอย่างทุกครั้งทำให้คนที่เปิดประตูเข็นรถเข็นเข้ามาถึงกับรู้สึกหวาดหวั่นในอกอย่างไม่มีสาเหตุ
“ผมมารับ” ประโยคบอกเล่าสั้นๆ ไม่มีการอธิบายอะไรต่อ แม้คนพูดจะอยากอธิบายเหตุผลของการกระทำ ‘ที่เขามาเพราะรับปากผู้เป็นมารดาไว้’ ซึ่งหญิงสาวตรงหน้าก็รับทราบมาก่อนหน้านั้นแล้วจากการที่มารดาของเขาโทรมาสอบถามอาการและจัดเตรียมทุกอย่างไว้เป็นที่เรียบร้อยตามแบบฉบับของคุณหญิงดวงแข
ปลายนภาพยักหน้ารับรู้ “ขอเวลาฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่ค่ะ”
ในที่สุดก็ได้ออกจากโรงพยาบาลหลังจากที่ต้องทนอยู่เป็นอาทิตย์เต็มๆ ความรู้สึกดีใจที่จะได้กลับบ้านทำให้สีหน้าของเธอสดใสกว่าทุกวันที่
ร่างระหงรั้งตัวเองขื้นจากรถเข็น ฝ่าเท้าข้างที่โดนกระเบื้องยังคงเจ็บแปลบยามขยับหรือใช้แรง จังหวะการเดินจึงค่อยๆ ก้าวไปอย่างช้าๆ พยายามหลีกเลี่ยงการทิ้งน้ำหนักลงไปยังเท้าข้างที่เจ็บ ถึงตู้เสื้อผ้าหญิงสาวจึงหยิบชุดที่เตรียมไว้เพื่อเปลี่ยนกับชุดคนไข้ที่สวมอยู่ ก้าวต่อไปก็เพื่อตรงไปยังห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุด ความเสียวแปลบร้าวขึ้นที่ขาเพราะเผลอทิ้งน้ำหนักลงไป ปลายนภาเม้มปากแน่นฝืดใจก้าวต่อไป อีกแค่ก้าวเดียวก็จะถึงประตูห้องน้ำ
“โอ๊ย!” ความอ่อนแรงที่ขาทำให้ร่างของเธอเสียหลัก
ร่างของเธอเกือบจะกระแทกกับพื้นแล้วถ้าไม่ได้ร่างของใครคนหนึ่งมารองรับด้านหลังของเธอไว้ก่อน ถึงอย่างนั้นแต่ปลายนภาก็ยังรู้สึกเจ็บที่เท้าเหมือนเดิม สีหน้านั้นจึงเหยเก
“ระวังหน่อยสิ” น้ำเสียงนั้นดังจากด้านหลังขณะที่เจ้าของน้ำเสียงช่วยพยุงเธอลุกขึ้นยืน มือแข็งแรงด้านหนึ่งโอบอยู่ที่เอวบางส่วนมืออีกด้านจับข้อมือบางเพื่อช่วยให้เธอทรงตัวได้
“ขอบคุณคะ” เสียงที่เอ่ยนั้นแผ่วเบา ร่างสูงเห็นว่าอีกฝ่ายยืนทรงตัวได้แล้วก็ปล่อยมือแล้วก้มไปเก็บผ้าที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมายื่นให้ หญิงสาวยื่นมือไปรับ แล้วร่างสูงนั้นก็ยื่นมือไปเปิดประตูห้องน้ำ
“ไม่ต้องล็อคประตู” น้ำเสียงราบเรียบดูเหมือนจะสั่ง ปลายนภาชะงักค้างไปเล็กน้อย จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความกังขา
“ผมบอกว่าไม่ต้องล็อคประตู” อดิรุธบอกซ้ำอีกรอบ
“แต่ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“เปลี่ยนก็เปลี่ยน แต่คุณก็แค่ปิดประตูไว้เฉยๆ”
ปลายนภาส่ายหน้าดิก “ไม่คะ”
อดิรุธถอนใจเฮือก
“คุณกลัวอะไร” คนพูดเว้นระยะเพื่อสังเกตคนฟังครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “ผมไม่ใช้ไอ้โรคจิต ที่ชอบแอบดูผู้หญิงแก้ผ้า และอีกอย่างถ้าจะอยากดูจริงๆ ก็น่าจะขอคุณดีๆ ก็น่าจะได้”
“คุณรุธ!” ปลายนภาหน้าแดงก่ำ ไม่ใช้อายแต่เพราะกำลังโกรธกับถ้อยคำที่อีกฝ่ายนั้นเอ่ย
“กรุณาให้เกียรติฉันด้วย”
“ผมให้เกียรติกับคนที่ให้เกียรติกับผม แต่คุณไม่ใช่”
“ฉันไม่ให้เกียรติคุณตรงไหนกัน ตลอดเวลาฉัน...”
“ถ้าคุณให้เกียรติผมจริงอย่างที่ว่า คุณก็ไม่ควรไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ชายกลางโรงพยาบาลแบบนั้น” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นห้วนบ่งบอกอารมณ์ “ผมไม่สนหรอกนะว่าคุณจะไปทำอะไรกับผู้ชายคนไหน ที่ไหน ยังไง แต่ที่นี่มันโรงพยาบาลของผม และช่วยเห็นแก่นามสกุลของผมที่มันอยู่ต่อท้ายชื่อของคุณด้วย”
ปลายนภานิ่งอึ้ง...
“อยากมากหรือไง ถึงต้องแสดงกลางสวน...”
เพี้ยะ!
ใบหน้าของอดิรุธหันไปตามแรงตบ ใบหน้าหล่อเหล่าปรากฏรอยแดงลากยาวไปตามสันกราม
เสียงเครื่องยนต์ดับลงไม่ถึงนาทีเสียงแข็งก็ดังขึ้นมา
“คุณคิดจะทำอะไร!”
เป็นแบบฉบับของปลายนภาที่มักจะตบะแตกก่อนคนที่นั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ หล่อนอดรนทนรอไม่ได้ ในที่สุดก็โพล่งทำลายความเงียบที่อัดแน่นไปด้วยความดึงเครียดระหว่างคนสองคน “กระชากฉันออกมาแบบนั้น คนอื่นเขาจะคิดยังไง!” มือทั้งสองข้างหล่อนกำแน่นขณะที่พูด ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งถูกคนข้างๆ กระชากออกจากห้องคนไข้ทันทีที่เปลี่ยนชุดเสร็จ ทั้งให้ร่างบางถึงกับซวนเซเพราะก้าวตามร่างสูงนั้นไม่ทัน รำคาญใจนักอดิรุธก็ซ้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มเดินตัวลอยมายังลานจอดรถด้วยหน้าตาที่เฉยไม่แคร์สายตาของคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างสนใจใคร่รู้
“คุณแม่ของคุณกับคุณแม่ของผมท่านรออยู่ในบ้าน ถ้าคุณจะโกรธผม ก็ค่อยโกรธหลังจากที่ท่านสองคนกลับไปแล้ว”
“ไม่! ฉันไม่สน ก็ดีเหมือนกันให้ทุกคนรู้ไปเลยว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นคนยังไง” ร่างบางสะบัดพรืดเปิดประตูจะก้าวลงจากรถแต่ก็ถูกอดิรุธคว้าแขนไว้ได้ก่อน
“ปลาย!”
“ปล่อยฉัน”
“ผมผิดเอง”
ปลายนภาชะงักไปกับประโยคที่ได้ยิน
“รู้ตัวหรือคะว่าผิด หรือคุณพูดเพื่อที่จะให้ฉันยอมทำตามที่คุณสั่ง”
“เปล่า” อดิรุธปฏิเสธ “ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยเห็นคุณโกรธขนาดนี้มาก่อน” น้ำเสียงนั้นสะท้อนความรู้สึกของคนฟังที่เคยรู้สึกมาเนิ่นนาน
“ถ้างั้นก็เห็นซะ”
“อย่าเป็นแบบนี้เลย ผมไม่คุ้นจริงๆ กับสีหน้าที่คุณมองผมแบบนี้” ต่อให้หญิงสาวตรงหน้าจะโกรธ โมโหเขามากแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เธอจะมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เหลือเยื่อใยแบบที่เห็นตรงหน้านี้ เมื่อเห็นความรู้สึกวาบลึกในอกก็ตีขึ้นจนเขาเริ่มรู้สึกกลัวกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นและไม่สามารถอธิบายได้
ปลายนภานิ่งเงียบ ไม่หือไม่อือกับคำพูดของคนข้างๆ สะบัดข้อมือที่ถูกพันธนาการได้ ร่างบางนั้นก็ก้าวออกจากรถเปิดประตูที่นั่งด้านหลังหยิบไม้เท้าค้ำยันออกมาจัดแจงท่วงท่าให้ถนัดกับอุปกรณ์ช่วยเหลือที่ต้องทนอยู่ด้วยกันอีกสักพักใหญ่ๆ จนกว่าร่างกายเธอจะหายดี ปลายนภาก้าวเดินเข้าบ้านอย่างช้าๆ อย่างระมัดระวังคิดไปเองว่าจะหกล้มเพราะพื้นค่อนข้างลื่น
ร่างสูงของอีกฝ่ายก้าวตามเข้ามา หลังจากที่ทนมองสภาพของคนตรงหน้าที่พยายามพึ่งตัวเองมากกว่าเรียกร้องความสนใจและความช่วยเหลือจากเขาอยู่สักพัก
สีหน้าร่างสูงนั้นอ่อนลงขณะที่ก้าวมาถึงตัวของเธอ
“ผมขอโทษ”
น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นดังอยู่ใกล้ขมับ เพราะร่างสูงนั้นยืนโอบเอวช่วยประคองอยู่ด้านหลัง
ปลายนภาถอนหายใจเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“คุณจะแคร์ไปทำไมคะ ฉันชื่อปลายนภา ไม่ใช่ฟ้าลดา สายตาของฉันจะมองคุณอย่างไรมันคงไม่สำคัญเท่าสายตาที่ฟ้าลดามองคุณหรอก จริงไหม?”
อดิรุธทิ้งตัวลงบนโซฟากลางห้อง มองร่างบางที่ก้าวไปยังชั้นบนของบ้านจนหลับตา คุณหญิงรัมกับคุณหญิงดวงแขมองหน้ากันสักพักก็พยักหน้าส่งสัญญาณบางอย่างให้กันเงียบๆ เสียงสนทนาของหนุ่มสาวทั้งสองคนไม่ได้รอดพ้นการได้ยินของผู้สูงวัยทั้งสองคน ก่อนหน้านั้นก็ได้รับรายงานเบื้องต้นจากปาวิการณ์มาบางส่วนแล้ว แต่เรื่องราวตื้นลึกกว่านี้ยังไม่ได้รู้ชัดเจนนัก
“ตารุธ นั่นหน้าเราไปโดนอะไรมา” รอยปื้นแดงที่ซีกแก้มยังเห็นเป็นรอยเด่นชัดจนคุณหญิงดวงแขต้องเอ่ยทักบุตรชาย
คนถูกถามยกมือขึ้นมาลูบที่แก้ม ความรู้สึกชายังมีอยู่นิดหน่อย ‘แม้ขาจะเจ็บแต่แรงตบของปลายนภาไม่ได้ลดอนุภาพลงเลยแม้แต่น้อย “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ไม่มีอะไรได้ยังไง ก็เห็นๆ อยู่ ดูสิเป็นรอยมือเชียว ไปโดนใครตบมา”
‘ก็ลูกสะใภ้สุดที่รักของคุณแม่นั่นแหละครับ’ คำตอบนั้นเอ่ยบอกอยู่ภายในใจเพียงเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น บอกแม่มาซะดีๆ”
“มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอกครับ”
“เรื่องเข้าใจผิด กับใคร กับหนูปลายใช่ไหม ทะเลาะกันกับหนูปลายมาใช่ไหม”
“แข” น้ำเสียงจากคนที่นั่งนิ่งเอ่ยปรามน้ำเสียงที่กำลังคุกรุ่นเบาๆ “ใจเย็นๆ ให้ตารุธได้อธิบายก่อน” ประโยคหลังเอ่ยพร้อมกับหันไปยังร่างสูงของคนเป็นลูกเขย
“ตารุธอธิบายมา เอาเท่าที่อยากจะเล่า”
ประโยคบอกเล่าของผู้เป็นมารดาของภรรยา ทำให้เขาอดแวบไปคิดถึงน้ำเสียงของคนที่ขึ้นไปบนห้องนอนได้พักนึงแล้ว
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเอ่ยปากเล่าเท่าที่จะเล่าได้ตามที่คุณหญิงรัมภาอนุญาตไว้ โดยที่ไม่ได้เอ่ยเล่าเรื่องราวการกระทำของหญิงสาวที่เขาเห็นกลางสวน อธิบายคร่าวๆ เพียงแค่ว่าเขาเข้าใจหญิงสาวผิดแต่ไม่บอกว่าเรื่องอะไร หญิงสาวเลยโกรธก็เท่านั้น
เสียงถอนหายใจจากผู้สูงวัยทั้งสองคนดังขึ้นพร้อมกัน
“ง้อน้องหรือยัง” คุณหญิงดวงแขเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะคาดคั้นมากกว่าถามดีๆ
อดิรุธพยักหน้ารับ
“แค่ขอโทษก็หายแล้วล่ะ เชื่อแม่ ยัยปลายนะใจอ่อนจะตาย” คุณหญิงรัมภาออกความเห็น
แต่คนถูกบอกกลับทำหน้าเหวอ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ฟัง
“ง้ออีกนิด เดี๋ยวหนูปลายก็ใจอ่อนแล้วล่ะ เชื่อแม่”
อดิรุธทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเพื่อให้ทั้งสองท่านสบายใจ
“ส่วนคืนนี้เราก็ทำตัวดีๆ หน่อย สามีภรรยากันต่อให้ทะเลาะกันแค่ไหน พอได้นอนคุยกันเดี๋ยวก็ดีกันเองล่ะจ้ะ” คุณหญิงรัมภาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่อดิรุธเห็นแล้วรู้สึกหนาวๆ ขึ้นมา
อดิรุธเริ่มรู้สึกมีลางสังหรณ์ในเรื่องไม่ดีขึ้นมา ร่างสูงขยับตัว
“นี่ก็จะมืดค่ำแล้ว คุณแม่จะกลับเลยหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”
รีบเสนอตัวเลือกกันไว้ก่อนเลย เพราะโดยปรกติแล้วลางสังหรณ์ที่มีของเขานั่นไม่เคยพลาด ยิ่งมองเห็นประกายสายตาของคนตรงหน้าทั้งสองคนแล้ว เขายิ่งมั่นใจว่าทั้งสองคนจะต้องมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจอย่างแน่นอน
“จะให้แม่ไปไหนกัน หนูปลายยังไม่หายดีเลย พวกแม่เป็นห่วง คืนนี้ว่าจะนอนค้างที่นี่ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยได้” คุณหญิงดวงแขร่ายยาวเป็นวาในขณะที่อดิรุธร้อนก้นขึ้นมาทันที
“แต่...” อยากจะค้านแต่ก็ไม่ทัน
“มีปัญหาอะไรตารุธ หรือว่าเราสองคนมีอะไรปิดบังแม่อยู่”
อดิรุธส่ายหน้าพร้อมกับแอบถอนหายใจเมื่อมองขึ้นไปยังห้องนอนที่อยู่ฝั่งด้านขวาของบ้าน
ความคิดเห็น