คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7
บทที่ 7
การประชุมทีมแพทย์ผ่านพ้นไปด้วยดี เห็นชัดจากรอยยิ้มของนายแพทย์ผู้เสนอโครงการ ร่างสูงที่ยืนขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับเก็บเอกสารบนโต๊ะมาถือไว้ในมือนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความโล่งอก เพราะได้รับข่าวดีตั้งแต่เช้าของวัน ‘เฮ้อ...เด็กเส้นก็อย่างงี้แหละ’ นายแพทย์หนุ่มแอบขำตัวเองในใจ
“ขอบคุณมากนะครับ ท่านผู้อำนวยการ” ประโยคที่ดูเล่นดังขึ้นหลังจากที่คณะประชุมคนอื่นๆ ออกจากห้องประชุมไปทั้งหมดแล้ว ในห้องมีเพียงเขาและผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านผู้อำนวยการ เห็นฝ่ายนั้นนั่งกุมขมับอยู่ตรงหัวโต๊ะ
รอยยิ้มคนพูดจึงหุบฉับ พร้อมกับขมวดคิ้วกับท่าทีของคนตรงหน้า
“นายเป็นอะไรไป ท่าทางดูไม่ค่อยดี ไม่สบายหรือเปล่าเพื่อน” ร่างสูงนั้นไม่พูดเปล่า แต่ตรงดิ่งมาตบไหล่เพื่อนที่นั่งทิ้งตัวเอนหลังไปยังเบาะของเก้าอี้อย่างหมดสภาพ
“รู้สึกมึนๆ” น้ำเสียงเบาๆ ดังมาจากคนที่นั่งอยู่พร้อมกับหลับตา
“นอนไม่พอหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
“เฮ้ย...เมื่อคืน...” อยู่ๆ น้ำเสียงนั้นก็หายไป ดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ‘หรือว่า...’ “แกเฝ้าคุณปลายถึงเช้าเลยหรือวะ”
“เปล่า ก็ออกตามนายมาติดๆ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ แต่ในใจกลับวาบลึกขึ้นมา จะยอมบอกได้ไงว่าเมื่อคืนเขาเข้ามาดูคนเจ็บเป็นระยะๆ ไม่ใช่อะไร...ก็แค่กลัวว่าคนเจ็บจะมีไข้ตามที่คนตรงหน้าบอกไว้ และก็โชคดีที่คนเจ็บก็ไม่ได้มีไข้อย่างที่นึกห่วง....และที่ห่วงก็เพราะนิสัยและตามหน้าที่ของความเป็นแพทย์ที่ต้องห่วงใยคนไข้เป็นปรกติธรรมดา
“ฉันก็ว่า คนอย่างนายจะไปทำอย่างนั้นทำไมจริงป่ะ” ปากก็เอ่ยไปอย่างนั้น แต่ความคิดในใจนั้นกลับตรงข้าม อยากจะแย้งแต่ก็ไม่อยากจะทำให้คนปากแข็งตรงหน้าเพลียไปกว่านี้ เห็นสภาพแล้วก็ยังรู้สึกเหนื่อยแทน
“วันนี้วันหยุดของนายนี่ กลับไปพักเสียสิ วันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วนี่”
“อืม...” น้ำเสียงตอบรับนั้นยังคงเบาและแถมยังดูเหมือนมีรอยเหนื่อยในน้ำเสียงให้ได้ยินอีกด้วย คิดอยู่ว่าก่อนจะขับรถกลับไปบ้านคงจะต้องพึ่งกาแฟสักแก้วก่อนกลับ ไม่งั้นหลับในขึ้นมากลางทางเดี๋ยวจะยุ่ง
“ขับรถไหวไหม ดูท่าทางไม่น่าจะไหว” ถามเองแล้วก็ตอบเองเสร็จสรรพ “หรือนายจะให้ไปส่งก็ได้นะ ฉันว่าง”
“ไม่เป็นไร ว่าจะไปดื่มกาแฟสักแก้วก่อนกลับ” คนตอบใช้มือยันร่างสูงขึ้นจากเก้าอี้แล้วยืนขึ้น โบกมือปฏิเสธ “นายเองก็กลับพักเถอะ เดี๋ยวจะน็อกไปอีกคน”
คนถูกบอกพยักหน้ารับ พร้อมกับเปิดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเพียงลำพัง
“เดี๋ยวก่อนกลับจะแวะเข้าไปดูอาการคุณปลายสักหน่อย นายสนใจจะไปด้วยกันไหม”
มือที่กำลังรวบเอกสารบนโต๊ะหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะขยับเป็นปรกติเหมือนเดิม พร้อมกับเอ่ยบอกสั้นๆ ด้วยเสียงราบเรียบ
“คิดว่าไม่”
ทันทีที่เจ้าของร่างสูงในชุดสูทสีดำเนียบทั้งตัวก้าวพ้นมุมอาคารเข้ามาก็ดูจะเป็นที่สนใจต่อคนที่อยู่ ณ บริเวณดังกล่าวกันถ้วนทั่ว ไม่เว้นแม่แต่อดิรุธที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วมานั่งดื่มกาแฟก่อนที่จะกลับบ้านดังที่ตั้งใจ มือที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบค้างนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับเป็นปรกติ ร่างสูงหันไปสนใจในหนังสือพิมพ์ตรงหน้าสายตาจ้องนิ่งไปยังพาดหัวข่าวใหญ่ของเช้าวันนี้
‘ชาลล์ เฟเดนริค หลานชายเจ้าพ่อบริษัทยายักษ์ใหญ่ที่มีสาขาในหลายประเทศทั่วโลกอย่างแพททริต เฟเดนริค ได้เดินทางมาไทยเพื่อมอบทุนการศึกษาให้เด็กพิการ พร้อมกันนี้ยังมอบทุนการศึกษาให้แก่มหาวิทยาลัยอีก 8 แห่งทั่วประเทศ รวมให้ทุนการศึกษา 10 สถาบันการศึกษาเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน’
“ดูเหมือนข่าวจะช้าไป” อดิรุธส่ายหน้าพร้อมหันไปมองร่างสูงที่เดินไปไกลมากแล้ว เห็นได้ชัดว่าร่างสูงในชุดสูทเนียบสีดำนั้นก้าวตรงไปยังตึกที่ดนัยเอ่ยบอกว่าจะไปก่อนหน้า รอยยิ้มหยันๆ ที่น้อยครั้งหนักที่จะได้เห็นจากคนอย่างอดิรูธผุดขึ้นมาขณะที่พับเก็บหนังสือพิมพ์ในมือแล้วร่างสูงของเขาก็ยืนตรง ก้าวมั่นคงออกไปจากโรงพยาบาล
ร่างโปร่งบางในชุดสีขาวชะงักเท้าเมื่อเห็นคนตรงหน้า ร่างสูงในเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คสีดำคุ้นตายืนกอดอกพิงรถยนต์ที่จอดอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มอบอุ่นที่คุ้นใจก็ยังส่งมาให้เธอแม้ว่าสิ่งที่ได้รับตอบนั้นมีเพียงสีหน้าที่นิ่งจัดแทน
“มาทำไมค่ะ” เสียงที่เอ่ยถามนั้นก็แข็งไม่แพ้สายตา เลิกงานเธอก็รีบปลีกตัวกลับเร็วกว่าที่ผ่านมา เพื่อไม่อยากจะเจอกับเหตุการณ์เหมือนอย่างวันนี้อีก แต่แล้วเธอก็ไม่รอดอย่างที่คิดไว้ เมื่อร่างสูงของคนตรงหน้ายังคงมาคอยรอรับส่งเหมือนอย่างที่ผ่านมาหลายปี แม้ว่าบางช่วงชายหนุ่มตรงหน้าจะห่างหายไปบ้างเนื่องจากเวลาของงานที่ต้องรับผิดชอบนั้นเลื่อมล้ำกันอยู่บ้าง
คนถูกถามขยับตัว “มารับคุณครับ”
“ไม่จำเป็นค่ะ” น้ำเสียงคนพูดเกือบสะบัด “ฉันกลับเองได้คะ ไม่จำเป็นต้องรบกวนคุณ”
“รบกวนตรงไหนกัน ผมเต็มใจที่จะทำเพื่อคุณ” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นหนักแน่นมั่นคง จนคนที่ได้ฟังอดสะท้านในอกไม่ได้ ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนอที่หัวใจของเธออ่อนปวกเปียกทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดที่สะท้อนความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ ทั้งๆ ที่พยายามหลีกหนีจากเขาแต่ดูเหมือนยิ่งหนีเธอก็ยิ่งใกล้เขามากขึ้นเท่านั้น และที่สำคัญกว่านั้นหัวใจของเธอเองต่างหากที่เข้มแข็งไม่พอต่อการวิ่งหนีจากเขา หัวใจของเธอยังคงโหยหาเขาตลอดเวลา แม้จะเคยขาดรอนมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเขาต้องกลายเป็นของคนอื่นด้วยความจำเป็นที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงไปได้
“คุณอย่าทำอย่างนี้เลยค่ะ ฟ้าขอร้อง”
“ผมเองก็อยากจะขอฟ้าเหมือนกัน อย่าพูดอะไรทำนองนี้อีกได้ไหม” ประโยคต่อมานั้นถอดอาลัย เสียงที่ฟังนั้นก็เศร้าจนหน้าสงสาร “ผมไม่อยากให้ระหว่างเราต้องเป็นอย่างนี้เลย บางอย่างมันอาจไม่เหมือนเดิม แต่เราไม่จำเป็นต้องโกรธกันไม่ใช่หรือครับ”
“คุณจะพูดอะไรค่ะ”
อดิรุธครุ่นคิดในใจอยู่เงียบๆ ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาเพื่อช่วยในสถานการณ์ตรงหน้า
“ผมคงจะบังคับและเปลี่ยนใจใครไม่ได้รวมกระทั่งฟ้า ฟ้าเองก็บังคับให้ผมไม่คิดอะไรกับฟ้าไม่ได้เหมือนกัน”
“คุณรุธ!”
“เอาเป็นว่าฟ้ายืนยันที่จะบอกว่าไม่รักผมแล้ว” น้ำเสียงเอ่ยนั้นเรื่อยๆ พร้อมกับแอบสังเกตท่าทีของคนตรงหน้า “ไม่รัก แต่ฟ้าคงจะไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับผมใช่ไหม”
เห็นอีกฝ่ายถึงกับทำหน้าตกใจอดิรุธแอบยิ้มในใจเงียบๆ มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้หญิงสาวตรงหน้าปฏิเสธไม่ได้อีก
“เป็นเพื่อนกันหรือค่ะ” ฟ้าลดาเอ่ยถามย้ำเพราะไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน เห็นอีกฝ่ายพยักหน้า
“ครับ” อดิรุธส่งยิ้มให้หญิงสาวพร้อมเอ่ย “ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน ทีหลังถ้าผมมารับฟ้าอีก ฟ้าก็คิดเสียว่าเพื่อนมีน้ำใจมารับเพื่อนก็เท่านั้น”
ฟ้าลดาส่ายหน้าดิก “เราลดสถานะเหลือแค่คำว่าเพื่อนนั้นก็ถูกต้องแล้วค่ะ แต่การกระทำนั้นก็ขอให้เป็นอย่างที่เพื่อนพึงมีต่อเพื่อนเท่านั้นพอค่ะ” ประโยคหลังนั้นบาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟังแต่เขาก็เก็บอาการเจ็บซ้ำนั้นได้อย่างมิดชิด
“ตกลงครับ ถ้างั้นเราไปเลี้ยงฉลองให้กับการที่เราสองคนเป็นเพื่อนกันวันแรก หลังจากที่เคยแฟนกันมาก่อนดีไหม” อดิรุธยักคิ้วให้อีกฝ่าย “ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนกัน ฟ้าคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม”
ฟ้าลดาอึกอัก มองท่าทีของชายหนุ่มอย่างไม่วางใจ
“ไว้ใจผมได้ ผมไม่พาฟ้าไปทำอะไรไม่ดีหรอก”
“ฟ้าไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกค่ะ”
“ถ้างั้นฟ้าตกลงนะครับ ถือว่าสงสารคนตาดำที่ยังไม่ได้ทานข้าวมาตั้งแต่เมื่อวาน”
“ตั้งแต่เมื่อวาน” ฟ้าลดาร้องตกใจและเมื่อหันไปสบตาที่จ้องมองมาแล้วก็ใจอ่อนยวบ
“ทำไมไม่ดูแลตัวเองบ้างเลยละค่ะ” อดแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่เคยทำในครั้งก่อนๆ เสียไม่ได้ ความคุ้นเคยความคุ้นชินมันลบเลือนไปไม่ได้เสียที ฟ้าลดาถอนหายใจ ความใจแข็งและรักความถูกต้องของเธอจะอ่อนยวบลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าเธอไม่เคยหมดรักชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว แม้เขาจะเป็นของคนอื่นไปแล้วแต่เธอก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจจากเขาไปได้
ชาลล์!
ร่างบางที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ถึงกับตาค้างไปชั่วขณะ เมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นเคยดีก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า
ปากบางนั้นสั่นระริกขณะที่เอื้อนเอ่ยชื่อของคนตรงหน้า
“ชาลล์”
“ผมมาเยี่ยม” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นก้าวมาใกล้ก่อนจะนั่งข้างๆ เตียงคนเจ็บ ท่าทีนั้นสบายๆ สายตาที่มองมาอย่างนิ่งงันปนแปลกใจหรือดีใจก็ไม่รู้ได้ เห็นเพียงแต่น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นทางจากดวงตาที่คมแต่ก็แฝงความหวานล้ำไว้อย่างประหลาดของอีกฝ่าย
“คุณมาได้ยังไงค่ะ” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน ไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะปรากฏกายให้เห็นในขณะนี้ ตรงนี้ได้ ชาลล์ เฟเดนริค กลับมาอยู่ตรงหน้าเธออีกครั้ง นี่เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?
“เห็นข่าวว่าคุณเขาโรงพยาบาล ผมจึงรีบมาเมืองไทยก่อนเวลา”
มือเรียวแข็งแรงเอื้อมไปเช็คน้ำตาของคนตรงหน้าอย่างไม่เคอะเขิน และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปัดป้องการกระทำจากอีกฝ่ายเช่นกัน
“มีข่าวฉันไปถึงอเมริกาเลยหรือค่ะ”
“ผมรู้เรื่องจากคนของผมที่เมืองไทย”
“หรือค่ะ” สายตาของเธอนั้นยังคงตรึงมั่นอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังมองสำรวจบาดแผลที่อยู่ภายใต้ผ้าพันแผลสีขาว
“เจ็บมากไหม” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยล้นพ้น ความอาทรนั้นไม่เคยลดลงเลยกับหญิงสาวตรงหน้านี้
คนเจ็บรีบส่ายหน้าดิกทั้งน้ำตา
“เขาไปไหน” น้ำเสียงที่เอ่ยครั้งนี้แข็งขึ้น “ทำไมไม่มาดูแลคุณ”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ชาลล์ เฟเดนริค หมายถึงใคร ปลายนภานิ่งไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่าย
“ผมเคยเตือนเขาไว้แล้วนี่ ว่าวันใดที่เขาทำคุณเจ็บผมจะขอคุณคืน”
“ชาลล์!” ปลายนภาตื่นตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน “คุณบอกเขาอย่างนั้นหรือค่ะ ต้องแต่เมื่อไหร่กัน”
“วันงานแต่งานของคุณ” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นราบเรียบไม่สะทกสะท้านกับสายตาที่จ้องมองมา
ขณะที่ภาพในวันแต่งงานก็ไหล่พรั่งพรูเข้ามาในห้วงความคิดของเธอ เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ทุกคนชื่นชมว่าเหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยกนั้นมีให้ได้ยินตลอดทั้งงานยืนรอกล่าวขอบคุณแขกบนเวที แสงรัวชัตเตอร์จากเหล่าสื่อมวลชนต่างประโคมแสงแฟลตมาที่คู่บ่าวสาวจนเถอะถึงกับแสบตาจนน้ำตาเอ่อคลอเล็กน้อย แหละนั่นก็เป็นเหตุให้เจ้าบ่าวของเธอต้องยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งมาให้ พร้อมกับคำพูดที่สุดแสนจะหวานล้ำต่อหน้าบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่ยืนชื่นชมอยู่ล่างเวลาหลังจากได้กล่าวขอบคุณ มาดาของเธอที่ได้มอบความไว้วางใจให้ ขอบคุณแขกทุกท่านที่เป็นเกียรติมาเป็นสักขีพยาน ขอบคุณมารดาของเขาที่รักและช่วยจัดงานให้ ขอบคุณเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เสียสละเวลามาช่วยงานแต่ง และสุดท้ายใบหน้าหล่อเหลานั้นก็หันมาที่เธอ เอ่ยเสียงนุ่มหวานอย่างน่าฟังว่า...
“ถึงแม้ผมอาจจะไม่เคยพูดหรือบอกรักคุณเลยสักครั้ง” คนพูดเว้นจังหวะไปเล็กน้อย พร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือบางไว้ “แต่ผมอยากจะบอกคุณวันนี้ว่าผมรักคุณมาก รักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบคุณและต่อไปนี้ก็ยังจะรักและรักตลอดไป ขอบคุณนะครับที่คุณเลือกและตกลงใช้ชีวิตร่วมกับผม”
เสียงปรบมือ เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วบริเวณที่จัดงาน เจ้าสาวในชุดลูกไม้เกาะอกสีขาวรู้สึกเย็นยะเยือกขณะที่ถูกเจ้าบ่าวจุมพิตตามคำเรียกร้องของแขกผู้มีเกียรติ ร่างบางรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงในร่างกายถูกดูดหายไปจากอะไรสักอย่าง เกือบจะเซล้มไปแล้วแต่เพราะมีอ้อมกอดจากเจ้าบ่าวประคองไว้จึงสามารถทรงตัวอยู่ได้
ความคิดเห็น