คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
“ฉันฉีดยากันบาดทะยักให้แล้ว”
หมอเจ้าของไข้เอ่ยบอกเพื่อนสนิทขณะจรดปากกาเขียนข้อมูลลงในแฟ้มประวัติผู้ป่วย แอบเผลอแวบไปมองใบหน้าซีดที่เห็นชัดว่าคงเพลียจัดจนงีบหลับไปแล้วก่อนที่เขาจะฉีดยาและทำแผลที่บนเตียงคนไข้อยู่ชั่วครู่ แล้วก็ก้มหน้าลงไปจดอะไรขยุกขยิกอีกเล็กน้อย “แผลลึกเอาการ” คนพูดเสียบแฟ้มที่เขียนเสร็จเข้าที่ แล้วเดินมายังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในโซฟาที่ไว้สำหรับนั่งเฝ้าไข้ในห้อง ร่างสูงในชุดเสื้อการ์ดหยุดยืนพิงผนัง มือทั้งสองข้างกอดอก สีหน้านั้นจ้องเขม็งไปยังเป้าหมาย
“ถามจริง นายไปทำอีท่าไหน คุณปลายถึงได้ถูกกระเบื้องบาดลึกซะขนาดนี้”
“ฉันไม่ได้ทำอะไร” เสียงที่นิ่งเรียบเอ่ยขึ้นค่อนข้างเบา เพราะไม่อยากให้เสียงสนทนานั้นดังรบกวนคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง
“แล้วใครทำ”
“ไม่รู้” คนตอบส่ายหน้า “ฉันยังไม่ได้ถาม เธอเพลียจนหลับไปก่อน”
ปลายนภาเผลอหลับไปตอนไหน เขาเองก็ไม่ทันได้สังเกต สีหน้าซีดเซียวที่เห็นขณะที่เขากำลังปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เธอนั้นทำให้เขาไม่อยากเสียเวลามาตั้งข้อซักถามกับเธออีกต่อไป ร่างที่อ่อนปวกเปียกซบอยู่บนไหล่ไร้แรงขัดขืนไม่เป็นเหมือนเช่นทุกครั้งที่เธอจะพยายามเลี่ยงและจงใจทิ้งระยะห่างของความใกล้ชิดระหว่างสามีภรรยาให้ได้เห็น ดวงตาของเธอที่สะท้อนสบมาขณะที่เขาอุ้มเธอขึ้นรถนั้นดูว่างเปล่าจนเขาต้องรีบบึ่งรถมายังโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ถ้าช้ากว่านี้เลือดที่ไหลไม่หยุดนั้นอาจจะส่งผลอันตรายต่อตัวคนที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นได้
หมอเจ้าของไข้พยักหน้าแล้วก็ถอนหายใจ “เสียเลือดไปเยอะพอสมควร โชคดีที่นายห้ามเลือดไว้ก่อนมา ไม่งั้นคงอันตรายมาก”
คนฟังพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย
“คืนนี้จะให้ใครมาเฝ้าดี พยาบาลเวรไหม” หยุดพูดไปเล็กน้อยพร้อมกับแอบจับปฏิกิริยาของคนฟังอย่างเงียบๆ แต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่พูดอะไร “หรือว่านายจะเฝ้าเอง”
คนถูกถามหันไปมองที่เตียงคนไข้แวบนึง เหมือนกำลังใช้ความคิด
“คืนนี้คงต้องคอยดูอาการอีกหน่อย” หมอเจ้าของไข้รีบเอ่ยชี้แจง “อาจจะมีไข้เพราะแผลคงจะเริ่มระบม”
อีกครั้งที่คนฟังพยักหน้าเพื่อบอกว่าตนรับรู้ ไม่มีคำพูดใดออกจากปากอดิรุธ
ดนัยเห็นท่าทีที่ตกอยู่ในความภวังค์ลึกของเพื่อนแล้วก็นิ่วหน้า ‘ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียบนิ่งจนยากเกินที่เขาจะจับความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ ดนัยอดนึกในใจ ห่วงหรือเปล่าวะ...หรือว่าไม่รู้สึกอะไร? ถ้าไม่ห่วง ทำไมต้องตัดสินใจนาน แต่ถ้าห่วง...ท่าทางที่แสดงออกก็ไม่น่าดูเหินห่างเย็นชาจนชัดเจนซะขนาดนั้น’
“ให้พยาบาลเวรมาเฝ้าแล้วกัน” หมอเจ้าของไข้ตัดสินใจแทน “นายจะได้พักผ่อน” เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้มีประชุมคณะแพทย์แต่เช้า ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู สามทุ่มตรง “สามทุ่มแล้ววะ ไปพักเถอะ เดี๋ยวเรื่องคนเฝ้าฉันจัดการให้”
ร่างสูงยืนขึ้นพร้อมกับแปรเปลี่ยนสายตากลับมาที่คนเป็นเพื่อน “ไม่เป็นไร” เสียงเอ่ยนั้นเรียบนิ่ง “อาจจะค้างที่นี่”
ดนัยหูผึ่ง “ที่นี่” เสียงที่เอ่ยย้ำนั้นมีแววแปลกใจ “ห้องนี้หรือว่า…”
“ห้องพักแพทย์”
อืม...ดนัยรับทราบ พร้อมกับแอบส่ายหน้ากับคำตอบที่ได้ยิจากอดิรุธ
“กลับไปนอนบ้านไม่สบายกว่าหรือไง” ดนัยถามหยั่งเชิง “วันนี้นายยังไม่ได้นอนเลยนี่” อดิรุธเพิ่งทำการผ่าตัดคนไข้รายด่วนเมื่อคืนจนถึงตอนเช้าของวันนี้ ยังไม่ได้พักก็ต้องออกไปนั่งคุยงานที่ร้านกาแฟเจ้าประจำเพื่อพูดคุยรายละเอียดสำหรับการประชุมทีมแพทย์ของเช้าที่จะถึงนี้ ประจวบเหมาะเจอปลายนภากับสองหนุ่มแต่ใจสาวอย่างหนูติ๋งและหนูต่อที่นั่นพอดี ก็เลยจำเป็นต้องนั่งคุยกันอยู่สักพัก ก่อนจะแยกย้ายกันไป เขาเป็นสารถีขับรถไปส่งหนูติ่งและหนูต่อที่บ้านชีวกิตร เพราะทั้งสองสาวสั่งการมาว่า ให้ไปส่งที่นั่น มีเรื่องจะเมาส์กับลูกสาวเจ้าของบ้าน ส่วนอดิรุธและปลายนภาก็นั่งรถกลับไปที่บ้านอีกหลังที่เป็นเรือนหอของทั้งสองคน พอตอนหัวค่ำก็เห็นร่างสูงของอดิรุธอุ้มร่างบางที่หมดสติของปลายนภาเข้ามาที่ห้องฉุกเฉิน เขาที่กำลังเข้าเวรดึกอยู่จึงถูกเรียกตัวให้มาดูแลโดยอัตโนมัติ เมียผู้อำนวยการของโรงพยาบาลเจ็บทั้งที...แพทย์ที่เป็นลูกจ้างอย่างเขาต้องรักษาอย่างสุดเต็มความสามารถเป็นพิเศษ
“อย่าเป็นห่วงไปเลย ฉันจะดูแลคุณปลายอย่างดีที่สุด” หมอเจ้าของไข้รับปากแข็งขัน
“ฉันนอนที่นี่เพราะมีประชุมเช้า” ประโยคนั้นเอ่ยบอกเหตุผลทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็น
ดนัยเลิกคิ้ว ‘ฉันไม่ได้อยากรู้เหตุผลของนายเล้ย แบบนี้เขาเรียกว่าร้อนตัวนี่หว่า’
“เสร็จธุระแล้วก็ไปดูคนไข้คนอื่นเถอะ” อดิรุธไล่ดื้อๆ ทำเอาหมอหนุ่มถึงกับหน้าเหวอ
“โอ้โห...พอหมดค่าก็ไล่กันเลยนะครับท่าน”
“คนไข้คนอื่นไม่มีหรือไง”
เจอคำพูดนั้นเข้าดนัยถึงกับหลุดขำ “อ่อ...ครับๆ สุดแล้วแต่ท่านเถอะครับ เชิญท่านเฝ้าภรรยาตามสบายครับท่าน ผมไม่อยู่เป็นก้าง เอ๊ย!...ไม่รบกวนท่านแล้วครับ” โค้งตัวทำทีท่าเคารพให้กับคนที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาล
“คนเจ็บจะได้พักผ่อน” อดิรุธแย้งสีหน้าขรึมจัด
สีหน้าคนที่กำลังก้าวไปยังประตูทางออกเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยบางอย่าง
“ท่านเป็นห่วงเขาหรือวะ” ดนัยอดไม่ได้ที่จะแหย่คนที่ยืนตีหน้าขรึมอยู่กลางห้อง แต่พอได้ยินคำพูดโต้ตอบกลับมา...
“ถ้าขืนยังไม่ไป พรุ่งนี้ในที่ประชุม ถ้านายเสนออะไรมา อย่าหวังว่าฉันจะอนุมัติให้ผ่าน”
เฮือก! ...แค่เท่านั้นแหละ ร่างสูงของดนัยรีบตรงดิ่งออกไปจากห้องคนไข้แทบจะทันที
เดินออกมาจากโซนห้องคนไข้วีไอพีของโรงพยาบาลไม่เท่าไหร่ สายตาที่ไวของเขาก็ปะทะเข้ากับร่างโปร่งที่กำลังเดินดิ่งตรงมายังทางที่เขาหยุดยืนอยู่
โชคดีที่ตรงจุดที่ยืนอยู่มีตู้บริการน้ำดื่มฟรี ดนัยหันควับเข้าตู้กดน้ำ หยิบกรวยกระดาษกดน้ำขึ้นมาดื่ม ดึงเวลาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสาวงามในชุดผ่าตัดสีเขียวเต็มเซตที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แอบแวบไปมองก็เห็นว่าร่างบางนั้นเดินผ่านเขาไปอย่างง่ายดาย ไม่มีทีท่าแม้แต่จะสายตาแลมาที่เขาเสียด้วยซ้ำ ความรู้สึกเสียหน้าเกิดขึ้นฉับพลัน...
“เดี๋ยวก่อน คุณปาวิการณ์!”
คนถูกเรียกชื่อหยุดเท้า แต่ก็ไม่ได้หันกลับมา
“นั่นคุณจะไปไหน” เอ่ยถาม ทั้งๆ ที่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายนั้นดี ขณะที่สายตาก็กวาดสำรวจการแต่งกายของคุณหมอสาวตรงหน้าอยู่เงียบๆ ‘หมออยุรกรรม ทำไมมาใส่ชุดหมอผ่าตัด’
ปาวิการณ์พ่นลมหายใจ แล้วหันกลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“คุณจะรู้ไปทำไม”
“ก็ถ้าหากคุณจะไปเยี่ยมพี่สาวคุณ ผมจะได้บอกไว้ก่อนเลยว่า พรุ่งนี้ค่อยมาน่าจะดีกว่า” หมอหนุ่มอธิบายต่อ “ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้วครับคุณ คุณเองก็เป็นหมอ ทำไมไม่รู้”
คำอธิบายธรรมดาๆ แต่ปาวิการณ์กลับรู้สึกเหมือนถูกตีแสกหน้า
“ทำไมฉันจะต้องฟังคุณ คุณมีสิทธิ์อะไร!”
“คนไข้ของผมจำเป็นต้องพักผ่อน มากๆ” คำหลังเน้นย้ำเป็นพิเศษ
อ้อ...ทีนี้ปาวิการณ์รับรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของไข้พี่สาวตนเอง รู้สึกเบาใจขึ้นมาเมื่อรู้ว่าพี่สาวอยู่ในการดูแลของผู้ชายคนนี้ ท่าทีนิ่งขรึมของคนตรงหน้าทำให้ปาวิการณ์ชั่งใจอยู่แปบนึง สักพักก็เอ่ยขึ้น “พี่ปลายเป็นอะไรมา เห็นพวกพยาบาลที่หวอดบอกว่าเลือดอาบไปทั้งตัว เกิดอะไรขึ้น” ทันทีที่ออกมาจากห้องผ่าตัด เธอก็รีบแจ้นข้ามตึกมาทันที ใจที่ร้อนรุ่มเป็นห่วงพี่สาวทำให้เธอมาทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดผ่าตัดที่ใส่อยู่ แม้แต่ผ้าปิดปากนั้นก็ยังไม่ได้ถอด
คนถูกถามกลับหัวเราะกับสิ่งที่ได้ยินจากคนตรงหน้า
“แค่เท้าถูกกระเบื้องบาด คงไม่หนักขนาดที่เลือดออกท่วมตัวหรอกครับคุณหมอ”
ปาวิการณ์รู้สึกว่าตัวเองกำลังกลายเป็นตัวตลกเพราะการที่ได้รับข่าวมาแบบผิดๆ แท้ๆ แต่สีหน้าที่แสดงออกนั้นก็ยังคงเรียบนิ่ง แม่ในใจจะรู้สึกโมโหกับท่าทีและสายตาที่จ้องเหมือนกับว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เด็กก็ยังเป็นเด็ก เหมือนที่เขาเคยพูดไว้อย่างนั้นแหละ ปาวิการณ์เม้มปากแน่น ภายใต้ผ้าปิดปากอีกฝ่ายคงไม่สังเกตเห็น
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ” น้ำเสียงนั้นติดจะห้วนด้วยอารมณ์ “ก็ทุกคนบอกอย่างนี้ ฉันก็เข้าใจไปตามนี้สิ”
“ผมว่าผมพอจะรู้ครับคุณหมอ ว่าคุณเป็นคนยังไง” คนพูดเว้นจังหวะไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ “คุณหมอเป็นคนเชื่อคนง่ายครับและก็หูเบาเสมอต้นเสมอปลายเสียด้วย”
ร่างสูงที่นั่งอ่านงานในมือถืออยู่ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นคนที่นอนนิ่งมาเนิ่นนานบนเตียงพลิกตัวกลับมา แล้วก็ยันร่างบางของตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงคนไข้ สายตาเรียบนิ่งที่จับจ้องมาไร้ความง่วงงุนแต่กลับมีแววไม่พอใจกับบางสิ่งบางอย่างรวมอยู่แทน
“ทำไมคุณยังไม่ไปที่ห้องคุณอีก” น้ำเสียงคนเจ็บเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบก่อน พร้อมกับเอี้ยวตัวไปด้านขวาใช้มือกดสวิตซ์ไปข้างเตียง
ดูเหมือนคนถูกถามจะยังตั้งตัวไม่ทัน เพราะทำได้แค่หันซ้ายหันขวา ดูเหมือนกำลังมองหาคำตอบแต่ก็ยังหาไม่เจอ
“ผม...”
“มีประชุมเช้าไม่ใช่หรือคะ” น้ำเสียงนั้นเรียบจนจับความรู้สึกของคนพูดไม่ได้
อดิรุธไม่ตอบ หลังจากที่ประเมินสภาพของหญิงสาวตรงหน้าแล้วเขาก็เข้าใจในอะไรบางอย่าง ท่าทีหรี่ตานั้นแสดงให้เห็นอีกครั้ง
“คุณไม่ได้หลับ” น้ำเสียงที่ถามขึ้นนั้นแข็งกว่าครั้งไหนๆ
แต่ปลายนภาไม่สะทกสะท้าน “คะ ไม่ได้หลับ” หล่อนตอบสั้นๆ “ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว คุณเองก็ควรกลับไปพักผ่อน” น้ำเสียงนั้นยังคงราบเรียบสม่ำเสมอ “หรือถ้าจะทำงาน” สายตาเรียบนิ่งเลื่อนไปยังมือของอีกฝ่าย “คุณก็ควรจะเปิดไฟ แต่นี่ คุณมานั่งทำงานมืดๆ ได้ยังไง เสียสายตากันพอดี”
‘นั่นเรียกว่าห่วงใยหรือเปล่า...’ อดิรุธอดคิดไม่ได้ ‘ถึงประโยคคำพูดจะดูเป็นเช่นนั้น แต่น้ำเสียงที่ได้ยินกลับทำให้รู้สึกว่าน่าจะเป็นการประชดมากกว่า’ ความคิดหลังชนะในที่สุด อดิรุธก้มไปกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ที่เปิดค้างไว้แล้วใส่เข้าในกระเป๋ากางเกง ตัดสินใจหยุดงานที่ยังติดพันอีกต่อไป
“คุณทำแบบนี้ทำไม”
“ก็เพราะไม่อยากมาคอยตอบคำถามนะสิคะว่าไปโดนอะไรมา” หญิงสาวตอบตามตรง “เหนื่อยค่ะ มัวแต่ตอบคำถามเดิมๆ ซ้ำซาก”
อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่
“มันเป็นธรรมดา เพราะทุกคนเขาเป็นห่วงก็ต้องถาม ส่วนหมอเขาต้องถามเพื่อจะได้รักษาให้ถูกโรคถูกอาการ”
“รวมถึงตัวคุณด้วยหรือเปล่า” ถามไปแล้วก็แทบจะกลั้นใจรอคอยคำตอบ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นเสียงที่เอ่ยว่า...
“คุณพักผ่อนเถอะ ผมก็จะกลับไปที่ห้องแล้วเหมือนกัน” อดิรุธตัดบทเสร็จสรรพจนอีกฝ่ายเกือบทำหน้าเหวอเพราะเปลี่ยนโหมดตามไม่ทัน ร่างสูงฉวยโอกาสที่คนบนเตียงนิ่งงันก้าวเดินออกจากห้อง แต่ไม่ทันที่จะพ้นประตู สติของคนเจ็บก็ประมวลกลับมาเป็นปรกติได้ทันเวลา
“เดี๋ยวคะ ยังมีอีกเรื่อง ที่ฉันควรต้องบอกคุณ”
ร่างสูงตรงประตูหยุดเท้าแล้วหันกลับมา พร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเพื่อเช็คเวลา ‘เกือบเที่ยงคืนแล้ว’ เพิ่งรู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ในห้องนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว
“คุณมีอะไรก็ว่ามา”
“คราวหน้าคราวหลังอย่าเผอเรอหรือประมาทอย่างที่ทำวันนี้อีก”
อดิรุธขมวดคิ้วมุ่น
“การที่คุณกับฟ้าลดามายืนคุยกันกลางสวนแบบนั้น พวกคุณทำพลาดอย่างมหันต์เลยนะคะ” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นเรื่อยๆ จังหวะที่พูดก็ดูสม่ำเสมอฟังคล้ายกับว่าผู้พูดไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับคำพูดที่ตัวเองกำลังพูดเลยแม้แต่น้อย
“คนอื่นมาเห็นนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าคุณแม่มาเห็นเข้า พวกคุณสองคนนั้นแหละที่จะเดือนร้อน”
อดิรุธเงียบ ขณะที่เกิดคำถามในใจ เขาอยากจะถามคนตรงหน้า ‘แล้วคุณล่ะ เดือนร้อนกับสิ่งที่เห็นบ้างหรือเปล่า’ แต่เมื่อเห็นสายตาที่ทอดมองมานั้นราบเรียบดูว่างเปล่ากว่าทุกครั้ง อดิรุธก็พอจะรู้คำตอบทั้งๆ ที่ไม่ต้องถาม
“คุณเห็น” เสียงที่เอ่ยนั้นเบา รู้สึกแน่นอกขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
“คะ ฉันเห็น” หญิงสาวพยักหน้าแล้วก็เปลี่ยนสายตาไปอีกทาง เหม่อมองออกไปที่ระเบียงไม่สบตากับคู่สนทนาอีกต่อไป “แค่เห็นนะคะ แต่ไม่ได้ยินหรอกค่ะว่าคุณสองคนคุยอะไรกันบ้าง ก็แค่เดินผ่านไปพอดีและก็ไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น”
ว้าย!
ประตูที่เปิดออกทำให้ร่างที่เอาหูแนบกับประตูห้องคนไข้พิเศษถึงกับเสียหลักไปชนเข้ากับร่างสูงที่ก้าวออกมา
อดิรูธเลิกคิ้วด้วยความตกใจ
“เอ่อ...” ปาวิการณ์รีบตั้งหลักถอยออกมายืนตรง สีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าสบตากับร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เอ่อ...ปาไม่ได้แอบฟังนะคะ ปา...ปา...” ปาวิการณ์เกิดติดอ่างขึ้นมาเสียดื้อๆ
อดิรุธมองท่าทีหญิงสาวตรงหน้าแล้วก็ส่ายหน้า เปิดยิ้มน้อยๆ “ได้ยินอะไรบ้างละ”
“ก็เรื่องที่พี่รุธกับฟ้าลดายืนคุยกันที่สวน แล้วพี่ปลายไปเห็นเข้าก็เท่านี้แหละคะ อุ๊บ!” ปาวิการณ์ยกมือบิดปากไวของตัวเอง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
อดิรุธพยักหน้าพร้อมกับร้อยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม
“ก็ได้ยินไม่มากเท่าไหร่สินะ” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นก็เจือไปด้วยรอยขัน คนที่ได้ฟังเงยหน้าขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อในสายตาและหูของตัวเอง ‘อดิรุธไม่โกรธและไม่ได้กล่าวโทษในการกระทำที่ดูจะไร้มารยาทของเธอเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังเห็นว่าการกระทำของเธอดูเป็นเรื่องตลกอีกต่างหาก’
“ปาขอโทษคะ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหวคนที่มีอายุมากกว่า รู้สึกกระดากใจกับสิ่งที่ตนได้ทำและถูกจับได้เพราะว่าตนนั้นทำพลาด แอบก่นด่าตัวเองในใจ ว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงเดินของอดิรุธเลย หูนะหูจะตึงเกินไปแล้ว!
“พี่รุธไม่โกรธปาใช่ไหมค่ะ” รู้สึกยังหายใจไม่ทั่วท้องขณะที่เอ่ยถาม
อีกฝ่ายส่ายหน้า พร้อมกับรู้สึกมึนๆ และล้าที่หัวขึ้นมา คงเพราะอดนอนต่อเนื่องกันมานานแบบข้ามวันข้ามคืน
“ไม่โกรธแน่นะค่ะ”
“ไม่หรอก” รู้สึกเหนื่อยขณะที่เอ่ยตอบ “จะเข้าไปข้างในหรือเปล่าแต่พี่ว่าพรุ่งนี้ค่อยมาดีกว่า”
ปาวิการณ์พยักหน้า คงไม่กล้าเข้าไปแล้วล่ะ “พี่ปลายปลอดภัยดีใช่ไหมค่ะ”
“ปลอดภัย ไม่เป็นอะไรมาก อยู่ในความดูแลของคุณหมอดนัย ปาวางใจได้”
ไม่รู้ว่าคนตรงหน้ามีจุดประสงค์อะไรถึงต้องเอ่ยชื่อคนๆ นั้น หล่อนไม่อยากคิดและไม่อยากหาคำตอบ รับรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ตนเองกำลังรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาตงิดๆ
ความคิดเห็น