คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
ปลายนภายกมือไหว้พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนหวานตอบรับรอยยิ้มเอ็นดูที่ส่งมาจากผู้เป็นมารดาของสามี ในขณะที่แหวนในนิ้วนางข้างซ้ายได้ถูกสับเปลี่ยนเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนที่จะนั่งลงเคียงข้างคุณหญิงดวงแข ส่วนอดิรุธเดินอ้อมไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่ห่างจากเธอ
“แม่นึกว่าวันนี้จะต้องคอยทั้งลูกชายและลูกสะใภ้จนเก้ออีกแล้ว” เสียงเอ็นดูผู้ที่มีวัยอ่อนกว่าของคุณหญิงดวงแขเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาที่ฉายชัดให้เห็นถึงความปิติที่มีต่อการมาของคนสองคน “แม่นะรอหนู รอแล้วรออีก ถามตารุธ เขาก็บอกว่าหนูไปทำธุระที่ญี่ปุ่น”
คนที่ถูกอ้างถึงขยับตัวเล็กน้อย แต่สายตานั้นมีเพียงความเรียบนิ่งไม่สะท้อนความคิดให้ใครเข้าใจในความรู้สึก ส่วนมือก็เอื้อมไปรับกาแฟที่สาวใช้ยกมาเสิร์ฟ
ปลายนภาหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย แอบตวัดสายตาไปยังคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีแวบหนึ่ง เห็นท่าทางที่เขายกกาแฟขึ้นจิบอย่างไม่หือไม่อือกับสิ่งที่มารดาของเขาถามหล่อนเลยสักนิด แล้วก็ได้แต่แอบปริ๊ดแตกในใจ ‘หึ!...ตั้งใจจะโยนขี้ให้หล่อนรับผิดชอบเพียงคนเดียว โดยไม่คิดจะช่วยเหลือกันเลยใช่ไหมเนี้ย! ได้...ได้เลย! แล้วมาดูกันว่าใครมันจะชนะ’
ปลายนภาหันกลับมาปรับสีหน้าให้ดูอ่อนเศร้าพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “ค่ะคุณแม่ ปลายต้องขอโทษคุณแม่ด้วยนะคะที่ทำตัวไม่เหมาะสมอย่างนั้น” มือทั้งสองข้างพนมขึ้นมาไหว้ผู้สูงวัยกว่า “ปลายมีเหตุจำเป็นที่ต้องไปกะทันหันในคืนนั้นจริงๆ ค่ะ โรงแรมที่นั่นมีปัญหา” เว้นจังหวะไปเล็กน้อยเพื่อจับกิริยาท่าทางของผู้สูงวัยกว่า แต่เมื่อไม่เห็นว่าท่าทางที่เอ็นดูนั่นแปรเปลี่ยนไป หญิงสาวก็ค่อยโล่งอก “พอจัดการเรียบร้อย ปลายก็รีบกลับมาค่ะ” ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใดๆ มาอ้างมากหรอก เพียงแค่ทำเสียงอ่อนลงแล้วเอ่ยความจริง....แต่ความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้นนะ ไม่จำเป็นต้องแจกแจงรายละเอียดให้ถี่ถ้วนหรอก เพราะเดี๋ยวเรื่องมันอาจจะยาวและเธอเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อนหากทุกคนรู้เหตุผลที่แท้จริงของการไปญี่ปุ่นตั้งห้าเดือนในครั้งนี้
“เอาเถอะๆ” คุณหญิงเอ่ยขึ้นมาตัดบท
‘นั่นไงล่ะ’ ปลายนภาแอบยิ้มในใจ
เห็นท่าทีของคุณหญิงที่ดูว่าไม่ได้โกรธเคืองต่อการกระทำของหญิงสาวตรงหน้าแต่อย่างใด ความเอ็นดูเมตตาที่มีต่อปลายนภานั้นมากพอที่จะมองข้ามการกระทำที่ดูว่าไม่เหมาะสมบางอย่างไปจนหมดสิ้น รอยยิ้มเอ็นดูนั้นยังแต่งแต้มอยู่ที่ใบหน้า
ตรงข้ามกับอดิรุธที่แอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่เงียบๆ
“แม่แค่กังวลแทนลูกชายของแม่เท่านั้นแหละ” คุณหญิงเว้นจังหวะการพูดไปเล็กน้อยแล้วหันไปทางลูกชายพร้อมรอยยิ้มแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมาที่ปลายนภาอีกครั้ง “เป็นห่วงว่าลูกชายของแม่จะเหงา เข้าหอทั้งทีแทนที่จะได้นอนกอดเมียแต่ต้องมานอนกอดหมอนข้างแทน” คุณหญิงหัวเราะออกมาต่อหน้าลูกสะใภ้โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าที่นิ่งจัดของผู้เป็นบุตรชาย
ความซวยนั้นจึงมาตกที่ปลายนภาแทน หญิงสาวต้องปั้นยิ้มทำทีท่าเอียงอายกับคำพูดที่คุณหญิงได้เอ่ยขึ้น
มือผอมบางเอื้อมมือมาแตะมือเรียวบางที่เกาะกุมกันไว้บนตัก “อันที่จริง รัมภาเขาเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังแล้วล่ะ เรื่องที่หนูไปญี่ปุ่น” คุณหญิงเอ่ยบอกเรื่องราวที่ได้รับฟังจากเพื่อนสนิทที่รักใคร่กันมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนล่วงเลยมาหลายสิบปีทั้งสองคนก็ยังเป็นเพื่อนรักที่คอยดูแลซึ่งกันและกันเมื่อต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในสถานะหม้ายสามีตายด้วยกันทั้งคู่ และปัจจุบันก็ยังได้ดองเป็นทองแผ่นเดียวกันอีก
“เล่า!” คนเป็นลูกสะใภ้หูผึ่งทันที “คุณแม่ของหนูเล่าอะไรหรือคะ” ชักเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก นี่มารดาของเธอไปเล่าอะไรให้คุณหญิงดวงแขฟังเนี้ย ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเล่าหรือส่งซิกบอกกล่าวกันไว้บ้างเลย ‘คุณแม่นะคุณแม่...รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังหาเรื่องลำบากให้ลูกสาวตัวเองอยู่’
“รัมภาเขาบอกกับแม่ว่า”
“ว่าอะไรค่ะ” ความกดดันทำให้ปลายนภาโพล่งขึ้นถามด้วยความร้อนใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าตนเองเสียมารยาทพูดขัดผู้ใหญ่แล้วก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ
แต่ฝ่ายคุณหญิงดวงแขกลับเปิดยิ้มกว้างกว่าเดิม ไม่ถือสาเพราะเข้าใจไปอีกอย่าง
“ไม่เป็นไร ไม่เห็นอายเลยนี่นา
‘ฮ่ะ!’ ปลายนภาแอบสะดุ้งในใจ ‘เปล่านะ หล่อนไม่ได้อาย แล้วทำไมหล่อนต้องอาย’
“ตารุธเองที่ไม่ได้ว่าอะไรก็เพราะรู้อย่างนี่ใช่ไหม” คุณหญิงหันไปถามชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่นั่งนิ่งอยู่ในห้อง
ปลายนภาหันไปมองยังผู้ถูกถาม สายตาของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้ ‘ตกลงมันเรื่องอะไรกัน แม้แต่อดิรุธก็รู้ รู้อะไร! ไม่มีใครรู้เหตุผลของหล่อนได้แน่ แล้วนี่มันอะไรกัน’
คนถูกถามขยับตัวอีกครั้ง ก่อนจะตอบสั้นๆ ออกมา
“ครับ”
ขณะที่กำลังเดินดูต้นกล้วยไม้ที่ปลูกอยู่ในเรือนเพาะ ซึ่งห่างจากบริเวณบ้านเล็กน้อย เสียงถอนหายใจหนักๆ โผล่พ้นปากบางออกมาได้หลังจากขอตัวเดินตามอดิรุธที่เอ่ยขอตัวต่อมารดาว่าจะแวะไปดูอาการของลุงยิ้มคนสวนเก่าแก่ของบ้านที่เมื่อสองวันก่อนได้ตกบันไดขณะปีนขึ้นไปตัดกิ่งต้นไม้ ในขณะที่คุณหญิงก็เอ่ยปากว่าจะไปตรวจความเรียบร้อยของอาหารเย็นที่แม่ครัวจะทำขึ้นโต๊ะอาหารในมื้อค่ำนี้ด้วยตัวเองหลังจากที่พูดคุยกับเธอเสร็จ
ความรู้สึกบางอย่างยังคงแปลบปลาบในอกจนรู้สึกรำคาญตนเองเพราะเพียงแค่เห็นท่าทีนิ่งลึกของใครบางคน และเกิดความกระดากอายกับเรื่องราวที่เพิ่งได้รับฟังมา ‘เธอไปญี่ปุ่นเพื่อไปขอลูก! เฮ้อ...อยากจะบ้าตาย นี่มารดาของเธอคิดหาทางออกให้ลูกสาวได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองเกินความจำเป็นไปแล้วมั้ง แถมยังสร้างเรื่องเป็นตุเป็นตะ ว่ายัยแป้งร่ำที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอที่ท้องลูกแฝดสี่ไปตอนต้นปีทั้งที่หมอบอกว่าเป็นโรคมีบุตรยากแต่กลับท้องได้ก็เพราะไปขอลูกที่วัดศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการขอลูกแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ส่วนการไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ของปลายนภาก็เพราะไปธุระและตั้งใจไปไหว้ขอพรที่วัดศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั่นแหละ’
ความรู้สึกอยากให้แผ่นดินสูบเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่ใช่อายแต่กระดากใจ คืนเข้าหอยังไม่ได้ฟิตเจอริ่งกับสามีเลยแต่กลับวิ่งแจ้นไปขอลูกอย่างนั้นเหรอ เอ่อ...ใครเขาจะนึกว่าเธอปัญญาอ่อนไปไหมเนี้ย เฮ้อ...’
เท้าที่ก้าวตามร่างสูงออกมาติดๆ สักพักจึงผ่อนจังหวะลง ทิ้งให้ร่างสูงของเขาก้าวไปยังเรือนคนงานของบ้านที่ปลุกแยกไว้ด้านหลังของตัวบ้านอย่างเป็นสัดเป็นส่วนแต่เพียงลำพัง อันที่จริงดูเหมือนว่าเจ้าของร่างสูงนั้นจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีหล่อนเดินตามเขาออกมาด้วย ปลายนภาหมุนกายเดินออกมาอีกทางเพื่อแวะเข้ามายังสวนกล้วยไม้ที่คุณหญิงดวงแขปลูกเป็นงานอดิเรก ตะวันคล้อยต่ำลงตามช่วงเวลา แสงที่ราลงแล้วสาดส่องเข้ามาบริเวณเรือนเพาะชำที่เธอก้าวเข้ามาพอดิบพอดีแต่ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนผิว ปลายเท้าที่ก้าวเดินนั้นมีจังหวะสม่ำเสมอแต่ก็ดูไร้พลังอย่างน่าใจหายเมื่อเทียบกับวัยเพียงยี่สิบปลายๆ ของเจ้าตัว กล้วยไม้ขนาดเล็กหลากหลายสายพันธุ์ปลูกเรียงรายอยู่ในกระถางดินเผาทรงสูงขนาดต่างๆ ที่ใช้ตามความเหมาะสมของพันธุ์ไม้แต่ละสายพันธุ์
สายตาเรียบนิ่งอย่างเป็นกิจจะลักษณะนั้นมองสำรวจไปทั่ว แต่แล้วก็หยุดไป สายตาที่เรียบนิ่งก่อนหน้ามีความรู้สึกแสบพร่าขึ้นมาจนเจ้าตัวต้องหลับตาลงแล้วค่อยลืมตาขึ้นใหม่ช้าๆ ปลายนภายื่นมือที่สั่นระริกของตนไปยังกระถางทรงสูงที่ตั้งไว้แยกออกมาจากส่วนที่เป็นกระถางกล้วยไม้ทั้งหมด ความทรงจำบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในห้วงคำนึง….
‘White rose สำหรับผู้หญิงอันเป็นที่รักของผม’ น้ำเสียงนุ่มละมุนลอยเข้ามาให้เธอได้ยิน แล้วน้ำเสียงที่อ่อนหวานไม่แพ้กันก็ถามออกไป
‘กุหลาบสีขาว’ น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นเจือไปด้วยความพึงพอใจกับสิ่งที่ได้เห็น
‘ครับ กุหลาบขาว’
‘มีความหมายว่ายังไงหรือคะ’
‘ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน’
‘แล้วจำนวนของมันล่ะคะ’ เสียงหวานถามกลับไปอีกครั้ง
‘ดอกกุหลาบห้าสิบดอก หมายถึงความรักที่ยืนยาวชั่วนิรันดร….’
รัก...ที่ยืนยาวชั่วนิรันดร...
ปากบางที่สั่นนั้นเอ่ยทวนเบาๆ เหมือนจะย้ำความรู้ที่เคยรับรู้มาเมื่อครั้งนานมาแล้วให้จดจำขึ้นมาใหม่ และภาพในความทรงจำอื่นๆ ก็ไหลทะลักเข้ามา
‘สัญญากับผมนะ สัญญา’
‘คุณต้องเชื่อผม คุณต้องเชื่อผมสิ’
ปลายนภายืนคว้าง อยู่ๆ ก็รู้สึกหมุนติ้วที่หัว และรู้สึกว่าโลกเริ่มหมุนเร็วขึ้น
‘ผมไม่ได้ทำ ๆ’
‘ไม่นะไม่....ไม่’
หญิงสาวยกมือกุมขมับ โลกหมุนเร็วขึ้น...เร็วขึ้น
เพล้ง...! เสียงกระถางกุหลาบขาวในมือร่วงหล่นกระทบพื้น ก่อนที่ร่างบางจะซวนเซไปปะทะเข้ากับโครงเหล็กที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นโรงเรือนในการเลี้ยงกล้วยไม้
ร่างสูงนั้นก้าวมาทันร่างบางที่พยายามเดินหนีเขาก่อนหน้า แล้วจับข้อมือบางของอีกฝ่ายนั้นไว้
“ปล่อยฟ้าค่ะ” น้ำเสียงนั้นแข็งแต่แววตาของคนพูดกลับอ่อนโยนเมื่อยามที่สบตากับเจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจนั้นอ่อนยวบทุกครั้งที่เจอหน้าเขา
“ทำไมต้องหลบหน้าผมด้วย” น้ำเสียงที่ถามออกไปสะท้อนความอ่อนเศร้าอยู่ลึกๆ
“ฟ้าไม่ได้หลบคะ” หญิงสาวให้เหตุผล “ก็อย่างที่บอก ฟ้ามีงานที่ต้องทำ ไม่มีเวลามาพูดคุยกับคุณ” ข้อมือบางสะพัดหลุดออกจากการเกาะกุม แล้วเบี่ยงตัวก้าวออกไปให้พ้นทางที่ร่างสูงยืนขวางกั้นอยู่ มืออีกด้านของเธอเกร็งแน่นจับกล่องบรรจุอุปกรณ์ทำแผลที่ดูเหมือนจะมีอยู่แค่ผ้าก็อตและผ้ายืดพันเคล็ดเท่านั้นไว้ ทำอย่างกับกว่าอีกฝ่ายจะมาเยื้อแย้งมันไปจากหล่อนก็ไม่ปาน
“อย่าทำให้ฟ้าต้องลำบากใจเลยคะ ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
“ไม่เหมือนเดิมยัง ความรู้สึกของผมยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
คนฟังส่ายหน้า ปฏิเสธสิ่งที่ได้ยิน
“อย่าพูดอย่างนั้นอีกนะคะ” คุณปลายเธอเป็นคนดี คุณไม่ควรทำให้เธอเสียใจ” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นเบาหวิวเมื่อเอ่ยประโยคต่อไป “คุณควรจะรักเธอให้มากๆ”
กึก! ...เท้าที่ก้าวกะเผลกผ่านมา จำต้องหยุดยืนกะทันหันหลังซุ้มไม้ที่ทำเป็นทางทอดยาวเชื่อมกับทางเดินเข้าตัวบ้าน โชคดีที่วันนี้ฟ้ามืดเร็วกว่าทุกครั้ง เพราะฝนตั้งเค้าว่าจะตกในไม่ช้านี่ ทำให้บริเวณที่ยืนอยู่นั้นรอดตาคน โดยเฉพาะบุคคลทั้งสองที่กำลังยืนสนทนากันอยู่เงียบๆ หากแต่เป็นเพราะว่าซุ้มไม้ตรงที่ยืนอยู่นั้นใกล้กับที่ทั้งสองคนยืนอยู่แค่คืบ เสียงที่สนทนาแม้จะเบาแค่ไหนก็ยังทำให้คนที่ยืนฟังอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ ไฟสนามที่เปิดอยู่รอบๆ ก็พอที่จะทำให้เห็นสีหน้าท่าทางของคนพูดผ่านช่องเล็กๆ ของซุ้มไม้นี้ได้ด้วย
“แต่ผมไม่ได้รักเขา และไม่มีวันจะรักได้ด้วย” ประโยคหลังเหมือนคนพูดจะเอ่ยย้ำความรู้สึกบางอย่างของตัวเองมากกว่าจะต้องการบอกกับคนตรงหน้า
“แต่ยังไง เธอก็แต่งงานกับคุณแล้ว”
ทีนี่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ เหมือนเจ้าตัวจะจนมุมกับกล่าวที่เป็นจริงยิ่งกว่าจริงเหล่านั้น
“ฟ้าให้โอกาสคุณได้เลือกแล้วนะคะ แต่คุณไม่เลือกเอง”
“ผมทำไม่ได้” ชายหนุ่มส่ายหน้า “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ฟ้าก็รู้”
“เพราะคุณทำไม่ได้ คุณจึงต้องแต่งงานกับเธอ”
“ผมจำเป็น”
เพียงเท่านี้หญิงสาวตรงหน้าก็เปิดยิ้มที่ฝืดฝืนเกินจะทนออกมา
“ว้าย! เลือด”
มะลิหน้าตาตื่นทันทีที่มองไปเห็นเท้าที่มีเลือดอาบอยู่ของปลายนภา ขณะที่หญิงสาวก้าวเข้ามายังตัวบ้าน ร่างเล็กของมะลิแทบจะถลามาชวยพยุงร่างบางที่ยืนไม่ปรกติ “คุณปลายไปโดนอะไรมาคะ” เสียงที่ถามนั้นยังตื่นเต้นไม่หาย
“ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกมะลิ แผลแค่นิดเดี๋ยวเอง”
“นิดเดียวที่ไหนกันค่ะ” มะลิแย้งทันทีเพราะสิ่งที่เห็นขัดแย้งกับสิ่งที่ปลายนภาบอก “ดูสิคะ เลือดอาบซะขนาดนี้ แผลต้องลึกมากแน่ๆ ค่ะ” มะลิวิเคราะห์พร้อมกับทำหน้าแหย เห็นเลือดเห็นแผลแล้วรู้สึกเจ็บแทน
“นั่งลงก่อนค่ะ นั่งก่อน”
หญิงสาวนั่งลงเมื่อถูกประคองมาถึงที่นั่ง อาการเสียวแปลบวิ่งขึ้นที่ฝ่าเท้าจนต้องเม้มปากแน่น อดนึกเห็นด้วยกับมะลิว่าแผลต้องลึกมากก็ตอนนี้แหละ เจ็บจัง...เจ็บไปหมด เจ็บทั้งกาย...เจ็บทั้งใจ!
“เดี๋ยวมะลิจะไปเรียนคุณท่าน แล้วจะไปตามคุณรุธมาดูแผลให้คุณปลายนะคะ”
“ไม่เป็นไร อย่าเพิ่งรบกวนเขาเลย” ประโยคที่ไม่ได้ผ่านความคิดนั้นพุ่งพรวดออกไปเพราะใช้ความรู้สึกล้วนๆ เห็นสีหน้าของมะลิชะงักงั้นไปเล็กน้อย คงเพราะไม่เข้าในในประโยคที่ได้ยินสักเท่าไหร่
“แผลนิดเดี๋ยว ไม่เป็นไร” รอยยิ้มบางๆ นั้นส่งมา
“ขาคุณปลายเลือดออกนะค่ะ เยอะด้วย คงไม่เรียกว่ารบกวนหรอกค่ะ คุณรุธเธอเป็นหมอ ให้เธอมาดูให้เถอะค่ะ” แม้จะสงสัยในสำเนียงที่ติดจะห้วนและแข็งที่เอ่ยถึงอดิรุธของปลายนภา แต่มะลิก็ไม่มีเวลามาหาคำตอบของมันอีก เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของคนตรงหน้าแล้วก็ยิ่งทำให้มะลิเป็นกังวล
“อดทนหน่อยนะค่ะ เดี๋ยวมะลิมาค่ะ” ร่างเล็กเอ่ยเสร็จก็วิ่งลับหายไป ทิ้งให้คนเจ็บนั่งหน้าซีด ใช้ทิชชูมากดที่บาดแผลเพื่อห้ามเลือด ขณะที่ปากบางที่มีสีซีดเพราะเสียเลือดนั้นบ่นขมุบขมิบกับตัวเอง
ซุ่มซ่ามเพื่อเอาโหล่หรือยัยปลาย...ตาบอดหรือไงถึงมองไม่เห็นว่ามีกระเบื้องแตกอยู่ตรงนั้นน่ะ กระเบื้องบานใหญ่จนจะเท่าหน้าอยู่ล่ะ ยังสามารถเอาเท้าไปจิ้มมันเข้าไปได้
“โอ๊ย!...” จี๊ดดด...อีกครั้งที่อาการปวดแปลบวิ่งเข้ามาที่เท้า โอ๊ย...เจ็บอ่ะ! เจ็บจนรู้สึกโมโห
กระดาษทิชชูหลายชั้นที่ซับเลือดเริ่มชุ่ม จนต้องเปลี่ยนเซตใหม่
“นั่นคุณไปโดนอะไรมา”
น้ำเสียงที่ดังขึ้น ทำให้มือที่กำลังใช้ทิชชูซับเลือดที่แผลนั้นหยุดชะงัก เมื่อหันกลับมาก็เห็นว่าร่างสูงของอดิรุธก้าวตรงดิ่งเข้ามาหาตัวเธอ
ความคิดเห็น