คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
มีเพียงปลายนภาเท่านั้นที่รู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกับการร่วมวงสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ทำอย่างกับว่าไม่เคยมีเรื่องน่าอายที่หลุดออกมาจากปากของเธอในก่อนหน้านี้อย่างนั้นแหละ หญิงสาวแอบค่อนขอดทุกคนที่มานั่งร่วมโต๊ะสนทนากันอยู่ในใจ
ก็คงจะไม่มีใครรับรู้ถึงความว้าวุ่นที่อยู่ในใจของเธอสักเท่าไหร่ อดิรุธกำลังคุยจ้อกับหนูติ่งและหนูต่อ ซึ่งดูทั้งสองสาวเทียมจะติดอกติดใจและสนุกสนานไปกับการได้นั่งสนทนากับคุณหมอหนุ่มรูปงามจนลืมคนรอบข้างอย่างเธอที่นั่งหน้านิ่งแต่ร้อนวาบที่อก จะมีก็เพียงหมอหนุ่มอีกคนที่เพียงแค่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ออกความคิดเห็นบ้างเป็นบางครั้งและหันมายิ้มอ่อนๆ ให้เธอเป็นระยะๆ
ไม่มีอะไรที่ให้ปลายนภาได้ทำ ทนนั่งฟังจนกาแฟในแก้วหมดหญิงสาวจึงขอตัวมาเข้าห้องน้ำ
“คนหนึ่งหมอกระดูก อีกสองคนก็ดีไซเนอร์ มีอะไรที่ต้องคุยกันนักหนา” หญิงสาวแอบบ่นต่อหน้ากระจก ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดิรุธเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มมักจะตระหนี่คำพูดกับเธอแต่สำหรับคนอื่นกลับพูดเป็นต่อยหอยไปได้ ผู้ชายคนนี้เป็นคนสองบุคลิกหรือยังไงนะ!
ตอนที่เธอลุกจากเก้าอี้เห็นว่าเขาตวัดสายตามามองที่เธอเพียงแวบเดียวก่อนจะหันกลับไปอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องกระดูกที่สองดีไซเนอร์สาวเทียมสนใจใคร่รู้ต่อ ซึ่งเธอแอบตาขวางกับสองสาวเทียมอย่างลับๆ เมื่อเดินผ่านหมอหนุ่มตอนที่เธอเดินมาเข้าห้องน้ำ ปลายนภาก็แอบทิ้งประโยคสั้นๆ ให้เพียงเขาได้ยินหนึ่งประโยค ‘หมอกระดูกนี่มันเกี่ยวอะไรกับการออกแบบเสื้อผ้ามิทราบ’
บ่นอยู่คนเดียวจนพอใจแล้วจึงยอมออกจากห้องน้ำ ดูเหมือนว่าหล่อนจะใช้เวลาอยู่ในนี้นานเกินไปเสียสักหน่อย เมื่อเดินออกมาก็เจอร่างสูงของอดิรุธยืนรออยู่
หญิงสาวชะงักไปเล็กน้อย
“คุณมาทำอะไรตรงนี้ค่ะ” เพื่อความมั่นใจปลายนภาจึงหันไปมองที่ป้ายทางเข้าอีกครั้ง เห็นชัดว่ามีคำว่า ‘lady’ ติดอยู่ที่ป้ายทางเข้า “นี่มันหน้าห้องน้ำหญิงนะคะ”
“มารอคุณ”
“รอฉัน!” ปลายนภาชี้ที่ตัวเอง พร้อมส่ายหน้าไม่เช้าใจ “รอฉันทำไมคะ!” มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องมายืนเฝ้าหล่อนที่หน้าห้องน้ำหญิงแบบนี้ด้วย
“ทุกคนจะกลับกันแล้ว ก็เลย…”
“ค่ะ” หญิงสาวเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วเอ่ย “ขอโทษทีนะคะ ฉันเติมหน้านานไปหน่อย”
คำพูดของปลายนภาทำให้อดิรุธเกือบอ้าปากค้าง คำว่า ‘เติมหน้านานไปหน่อย’ ทำให้เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แต่เห็นร่างบางทำท่าจะก้าวเดิน มือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ก็รีบชักออกมาคว้ามือบางของหญิงสาวไว้ทันที
ความร้อนวูบประทะเข้าที่ข้อมือ ปลายนภาร้อนวาบขึ้นมาที่หัวใจจนต้องรีบระงับการเต้นแรงของมัน “มีอะไรอีกคะ” น้ำเสียงนั้นดูจะสั่นเล็กน้อยขณะที่หันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม
“กลับไปที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ” หญิงสาวฝืนยิ้มบางๆ กลบเกลื่อนความร้อนลึกที่อยู่ในอก ไม่ชอบอยู่ลำพังสองต่อสองกับเขาคนนี้ ยิ่งเวลาที่เห็นเขาทำหน้าสงบลึกแบบที่หล่อนคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของเขาไม่ออกด้วยแล้ว ทำให้รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามาหาตัวหล่อนอย่างเงียบๆ โดยที่หล่อนก็ไม่สามารถเตรียมการรับมือได้ด้วย
“ก่อนจะกลับเข้าไป คุณกับผมต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“คุย” ปลายนภาเผลอเสียงสูง ไม่ทันคิดเสียด้วยซ้ำว่าเขาต้องการพูดกับหล่อนเรื่องอะไร เพราะความร้อนประหลาดยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วข้อมือแล้ว อดคิดไม่ได้ว่ามันจะเผาข้อมือเธอได้หรือไม่
“คุณปล่อยมือฉันก่อนสิคะ” พยายามดึงมือที่อยู่ในพันธนาการของเขาออก แต่ก็ไม่เป็นผล “จะคุยอะไรก็คุย แต่ไม่ใช่ที่นี่ นี่มันหน้าห้องน้ำ” เขาไม่ห่วงหน้าตา ชื่อเสียง ทางสังคมของเขาก็ช่าง แต่สำหรับหล่อนนั้นห่วง ห่วงมากๆ เสียด้วย ดูรอบกายของเขาและเธอตอนนี้สิ มีผู้คนที่ผ่านไปมาเยอะแยะแถมเริ่มมองมาอย่างสนใจใคร่รู้ บางสายตาดูเหมือนจะจำเธอและเขาได้จากข่าวหรือนิตยสารทั่วไป นี้ถ้าเผลอมีนักข่าวแถวนี้ด้วยล่ะก็ โอ๊ย…หล่อนไม่อยากคิด คงต้องไม่พ้นได้ขึ้นหราบนหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้งหลังจากได้ขึ้นมาแล้วตอนวันงานแต่งของเธอกับเขา ‘คู่สามีภรรยาตระกูลดังทำไมถึงมายืนยื้อยุดฉุดกระชากลากถูกันที่หน้าห้องน้ำแบบนี้ แว่วว่าขาเตียงเริ่มสั่นคลอนคงจะมีมูลความจริง ทั้งที่เพิ่งแต่งงานไม่ทันถึงครึ่งปี งานนี้ดูท่าว่าสาวๆ ทั่วประเทศคงได้กลับมาเฮกันยกใหญ่ หลังจากได้เสียน้ำตาเพราะอกหักดังเป๊าะกันมาแล้วตอนที่ชายในฝันแห่งปี อย่างนายแพทย์อดิรุธ พิรชลธุ์ ประกาศแต่งงานแบบสายฟ้าแลบกับไฮโซสาวแสนสวยอย่าง ปลายนภา ชีวกิตร’ เฮ้อ…ปลายนภาแอบถอนหายใจ ‘ถ้ามีข่าวออกมาจริง พรุ่งนี้คงมีคนยกหูโทรศัพท์มาถามเธอให้แซ่ด’
“คุณรุธ” ปลายนภาเอ่ยเร่งเสียงแข็ง “รีบปล่อยสิคะ ไม่เห็นหรือไงคนมองใหญ่แล้ว”
อดิรุธหยุดชะงักไปเล็กน้อยกับน้ำเสียงของคนตรงหน้า ก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากข้อมือบาง แล้วก็รีบเอ่ยบอก “รอให้ถึงบ้านแล้วเราคุยพูดกัน”
ทีนี้ร่างสูงของเขากลับขยับตัวเดินออกไปก่อนหล่อนเสียด้วยซ้ำ ทิ้งให้หล่อนยืนค้างในอารมณ์อยู่คนเดียว ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองควรจะต้องรีบออกจากบริเวณนี้ก็เนื่องจากเห็นฝูงคนเริ่มจับจ้องที่หล่อนเป็นตาเดียวแถมยังป้องปากทำท่าซุบซิบกันต่อหน้าต่อตาเธอโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด
บรรยากาศแปลกๆ...
หนูติ่งกับหนูต่อใจตรงกันขณะยืนมองมองสองสามีภรรยาเดินไปขึ้นรถหลังจากกล่าวทักทายและกล่าวลาพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หนูต่อมีสีหน้าครุ่นคิด ส่วนหนูติ่งก็ดูเคร่งเครียด มีเพียงแค่ดนัยเท่านั้นที่ยืนสังเกตการณ์ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม รอจังหวะให้คู่สามีภรรยาตระกูลดังเดินไปถึงที่จอดรถแล้ว เขาจึงสบโอกาสเอ่ยขึ้น
“ยืนคิดอะไรอยู่ครับสาวๆ ไปขึ้นรถเถอะครับ รถผมอยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มชี้มือไปยังรถที่จอดห่างจากที่ทุกคนยืนอยู่แต่สองก้าว “เดี๋ยวสารถีสุดหล่อคนนี้จะบริการไปส่งให้ รับรองถึงบ้านอย่างปลอดภัยหายห่วง” คนที่รับอาสาเป็นสารถีกล่าวเชื้อเชิญแต่ไร้การตอบสนองจากผู้โดยสาร คิ้วหนาของชายหนุ่มจึงเลิกขึ้น พร้อมกับหันไปจ้องยังสิ่งที่ทำให้ผู้โดยสารของเขาสนอกสนใจจนไม่ยอมละสายตามาสนใจอย่างอื่น ดนัยเปิดยิ้มเมื่อเข้าใจในเหตุผลก่อนจะเอ่ยเย้าปลุกสติสองสาวเทียมที่เอาแต่ตกอยู่ในความคิดนั้นอีกครั้ง
“อย่าเป็นห่วงไปเลยครับ เมื่อกี้ก็ได้ยินจากคุณปลายแล้วนี่ครับ ว่านายรุธน่ะ ทั้งแซ็กซี่ทั้งร้อนแรง” ดนัยกลั้นหัวเราะเมื่อหวนนึกถึงน้ำเสียงของปลายนภาที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ไม่รู้สิ ทำไมมันรู้สึกตลกเมื่อเป็นคำพูดที่มาจากผู้หญิงที่ชื่อปลายนภาคนนี้ก็ไม่รู้
คำพูดของดนัยได้ผล หนูติ่งกับหนูต่อหันมายังผู้พูดพร้อมกัน “น้องนัยแน่ใจนะ!” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงความประหลาดใจ “แต่พวกพี่ไม่คิดอย่างนั้นเลยค่ะ” ภาพที่เห็นมันขัดกับความรู้สึกชอบกล ภาพหนุ่มหล่อที่เดินโอบเอวภรรยาสาวสวยที่เห็นเบื้องหน้ามันดูสมจริงไหลลื่นแต่ก็ขัดตาเล็กน้อยกับท่าทีขัดเขินของปลายนภาที่ปิดไม่มิด ความแคลงใจจึงติดค้างอยู่ที่สายตาของหนูติ่งและหนูต่อ “บอกตามตรงนะคะ ถ้านั้นไม่ใช้ฉากหนึ่งที่ทั้งสองคนนั้นแสดงตบตาพวกเรา พี่จะดีใจมากเลยค่ะ”
“ผมถามจริง ทุกคนคาดหวังและเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตครอบครัวของพวกเขาสองคนจนเกินความเหมาะสมไปหรือเปล่าครับ” ดนัยออกความเห็น
ประโยคนั้นทำให้คนที่เหลือได้แต่เงียบงันไป
“ทุกคนคิดหรือครับ ว่าการช่วยเหลือของพวกเราจะทำให้คนสองคนที่เอ่อ…” หมอหนุ่มหยุดพูดไปเล็กน้อยแล้วตัดสินใจพูดออกมาด้วยเสียงที่เบากว่าตอนแรก “ไม่ได้รัก จะเปลี่ยนมารักกันได้ ผมว่ามันดูฝืนธรรมชาติของคนสองคนเกินไป ความใกล้ชิดและแรงเชียร์อย่างเดียวมันไม่พอหรอกครับ ถ้าคนสองคนนั้นไม่มีสารตั้งต้นของความรักให้กันและกันอยู่เลย”
บ้านที่อดิรุธบอกก่อนหน้า หมายถึงบ้านที่มารดาของเขาอาศัยอยู่ ซึ่งผิดกับความเข้าใจแรกของปลายนภาที่คิดว่าเขาหมายถึงบ้านที่เป็นเรือนหอของเขาและเธอ ปลายนภาขยับตัวเมื่อรถเลี้ยวผ่านประตูเข้ามาจอดตรงหน้าคฤหาสน์พิรชลธุ์
ปลายนภาเกิดคำถามขึ้นทันที ครั้นจะอ้าปากเขาก็เอ่ยขึ้นมาก่อน เหมือนหยั่งรู้ความคิดของหล่อน
“ผมรับปากคุณแม่ไว้ ว่าวันนี้จะแวะมาทานข้าวที่นี้” เสียงที่เอ่ยนั้นเรียบนิ่ง
“เมื่อไหร่คะ” เสียงเครื่องยนต์ดับลงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเปิดประตูก้าวลงจากรถ
“ตอนที่รอคุณอยู่หน้าห้องน้ำ”
“เอ๊ะ…แล้วทำไมคุณไม่บอกตั้งแต่นั้น”
“ผมก็กำลังจะบอก แต่คุณเองไม่ใช่หรือที่บอกว่าให้มาคุยกันที่บ้าน”
“อ่ะ…”
“นี้ก็ถึงบ้านแล้ว”
“แล้วอย่างนี้จะทำไงล่ะคะ ฉันไม่ได้เตรียมของมาไหว้คุณแม่ด้วย เสียงมารยาทตายเลย มาหาผู้ใหญ่ทั้งทีแต่มามือเปล่า” ประโยคนั้นห้วนด้วยอารมณ์ ไม่พอใจกับการกระทำของคนข้างๆ
“คุณอย่าห่วงไปเลย คุณแม่ไม่ใช่คนชอบหยุมหยิมกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอก”
“แต่มันจะดูไม่สมควรนะสิคะ ตั้งแต่แต่งงานฉันยังไม่ได้มากราบคุณแม่ของคุณเลย แล้วนี้พอจะมาก็...” อดกระดากในใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่คืนเข้าหอ หล่อนก็แจ้นบินไปที่ญี่ปุ่นถึงห้าเดือน นี่กลับมาได้เกือบอาทิตย์แล้วแต่ก็ยังไม่ได้เข้ามากราบผู้เป็นแม่สามีตามกฎหมาย ซึ่งหล่อนควรจะทำเพราะเป็นมารยาทที่ดีที่สังคมเขาปฏิบัติกัน
“เอาเถอะคุณ” อดิรุธตัดบท “เข้าไปในบ้านกันดีกว่า ส่วนถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมจัดการเอง”
เพียงคำพูดของเขาแค่นั้น แต่ปลายนภากลับรู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดเหล่านั้นอย่างหมดใจ ใบหน้าสวยพยักตอบรับก่อนจะหันไปเปิดประตูรถออกไป แต่แต่ก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่ ต้นแขนข้างขวาก็ถูกอดิรุธคว้าไว้ก่อน มันเป็นอีกครั้งที่หัวใจเธอเต้นแรงผิดปรกติ
“ค่ะ คุณมีอะไรอีก” ดูเหมือนคำถามของปลายนภาจะเป็นเพียงลมปากเมื่อเขาไม่สนใจที่จะตอบแต่พุ่งคำถามที่เขาสนใจเท่านั้นมายังหล่อน
“แหวนของคุณไปไหน”
“แหวน แหวนอะไร” สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“แหวนแต่งงาน” อดิรุธถอนลมหายใจ “คุณจะเข้าไปพบคุณแม่ทั้งๆ ที่ไม่มีแหวนแต่งงานไม่ได้” น้ำเสียงที่อธิบายต่อนั้นราบเรียบ “ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ เรื่องที่คุณจะสวมหรือไม่สวมมัน แต่ผมขอ...ถ้าอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งคุณแม่ของผมและคุณแม่ของคุณ คุณช่วยสวมมันไว้หน่อยก็ดี ผู้ใหญ่เขาจะได้ไม่สงสัย”
“สงสัยเรื่องอะไรค่ะ เรื่องแหวนแค่นี้นี่นะ”
ปลายนภาถอนหายใจบ้าง แล้วเบี่ยงตัวหลบออกมาอีกทาง พยายามก้าวเท้าให้ยาวและเร็วพอเพื่อที่จะให้พ้นการประจันหน้ากับเขาอีก แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คาดเพราะร่างสูงของอดิรุธก้าวพรวดมาทัน ยังไม่ทันเห็นร่างผู้เป็นเจ้าของบ้าน ร่างปลายนภาก็ลอยหวือไปปะทะอกกว้างของอดิรุธทันที
มันเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ทันและเพราะไม่คิดว่าคนอย่างอดิรุธที่ทั้งสุภาพและอ่อนโยนในสายตาของทุกคนกลับหยาบคายด้วยการออกแรงกระชากร่างอันบอบบางของเธออย่างนี้
ปลายนภาพูดไม่ออก สมองไม่สามารถประมวลผลได้ว่าตอนนี้หล่อนควรจะรู้สึกอย่างไร โกรธ โมโห หรือว่าเสียใจต่อการกระทำที่ไม่คาดคิดจากผู้ชายตรงหน้านี้
“อย่าเดินหนีแบบนี้ ทั้งๆ ที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง”
“นี้คุณโมโหหรือค่ะ” ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ให้มากที่สุดก็แค่ทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึก แต่นี่...ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยแววตาที่เอาเรื่อง “ทำไมคุณต้องโมโหขนาดนี้ด้วย” เกิดบ้าอะไรขึ้นมากับอดิรุธ ทำไมจู่เขาถึงกล้าใช้กำลังกับหล่อน “คุณจะทำอะไร!”
“เตือน”
สั้นๆ ได้ใจความ แต่ปลายนภาถึงกับปริ๊ด
“เตือน!” ปลายนภาทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ผมจะพูดดีๆ ก็ต่อเมื่อคุณรับปากผมก่อน และอย่าเดินหนีผมทั้งๆ ที่ผมยังคุยธุระกับคุณไม่เสร็จ”
“อะไรนะ!” ปลายนภาครางอย่างไม่เชื่อหู แค่นี่นะเหรอที่ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และกล้าออกแรงใช้กำลังกับหล่อนได้ บ้าไปแล้ว นี่มันใช่เหตุผลจริงๆ แล้วใช่ไหม นี่เป็นเหตุผลที่ดีแล้วหรือ มันไม่ดูงี่เง่าไปหน่อยหรือ
“แค่นี้เนี้ยนะคือเหตุผลของคุณ!” ให้ตายเถอะ! นี้คือเหตุผลของเขา พวกไอคิวสูงเขาคิดอะไรเหมือนชาวบ้านกันบ้างไหมนี้ ปลายนภาพยายามระงับอารมณ์ด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ “เรื่องแหวน” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋า แล้วก็ยื่นมันมาข้างหน้าชายหนุ่ม “ถึงฉันไม่สวมมันแต่ฉันก็พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา เข้าใจไว้ซะด้วย!”
“ก็ดี...อย่าให้ผู้ใหญ่ต้องถาม ผมไม่อยากตอบคำถามซ้ำซากเกี่ยวกับเรื่องเดิมๆ”
“เรื่องเดิมๆ” ปลายนภาเลิกคิ้ว เป็นครั้งที่ร้อยแล้วใช่ไหมที่เธอต้องประสบปัญหากับการไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด “คุณหมายความว่ายังไง”
“ช่วยเปลี่ยนแหวนที่คุณสวมอยู่ให้เรียบร้อยก่อนเข้าไปพบคุณแม่”
“เปลี่ยนนะเปลี่ยนแน่ แต่...” คำพูดต่อไปติดอยู่ที่คอ เมื่อรับรู้ได้ว่าตนเองหลงลืมอะไรบ้างอย่างไปเสียสนิท แหวน...ที่เธอสวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายเป็นแหวนอื่นที่ไม่ใช้แหวนแต่งงานของเขา แต่นั่นไม่เท่ากับที่ว่าแหวนวงนั้นเป็นแหวนของใครต่างหาก...ครานี้หล่อนคงจะต้องเป็นฝ่ายนิ่งเงียบเสียแล้ว ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาปวดหัว เขาเป็นพี่ชายและก็อยู่ในงานหมั้นครั้งนั้น...ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนหมั้นของน้องชายของเขาเอง
ความคิดเห็น