คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10
ตอนที่ 10
ป๊อกๆๆ!
เสียงดังมาจากกระจกรถ ร่างบางที่สะอื้นไห้อยู่จึงเงยหน้าขึ้นไปมองหลังจากที่ฟุ้บหน้าอยู่กับพวงมาลัยรถเนิ่นนาน ดวงตาคู่คมที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตากระพริบตาเพื่อไหล่ความพร่ามัว แล้วก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่ด้านนอก
ป๊อกๆๆ!
เสียงเคาะประตูนั้นดังขึ้นอีกครั้งจากชายร่างสูง ผิวขาว ท่าทางดูสมาร์ท สีหน้าที่ปลายนภาเห็นนั้นติดไปทางกังวลเล็กน้อย ปากของคนนอกกระจกพูดอะไรบางอย่างที่เธอฟังไม่ค่อยถนัดนัก เขาเป็นใคร?
ปลายนภาลดกระจกรถลง และก็เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้นถอนหายใจแบบโล่งอกออกมา
“คุณ! คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มด้านนอกเอ่ยถาม
ปลายนภาขมวดคิ้วมุ่น ขณะที่มือทั้งสองข้างลูบสำรวจไปยังแขนขา เพื่อเช็คความมั่นใจในคำตอบของตัวเองอีกครั้ง แต่เมื่อไม่พบว่าตัวเองเจ็บปวดตรงไหน ก็พลอยถอนหายใจเหมือนคนด้านนอกรถนั้นเหมือนกัน “ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร”
อีกครั้งที่เห็นว่าคนด้านนอกถอนหายใจแบบโล่งอก สีหน้าที่มีความกังวลอยู่ก่อนหน้าคลายลงเป็นปรกติแล้ว
“คุณเป็นใคร” เป็นพลเมืองดีที่ขับรถตามก้นเธอมาหรือไร เขาอาจจะเห็นฉากหวาดเสียวของเธอกับรถบรรทุกเมื่อกี้นี้ใช่ไหม เขาถึงถามว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า คงคิดว่าเธอได้รับบาดเจ็บเลยลงมาดู
“ผมชื่อธาม ขับรถตามหลังคุณมา”
ปลายนภาพยักหน้าเข้าใจ ไม่ผิดจากที่หล่อนคิดไว้
“ค่อยโล่งอกไปที” ชายหนุ่มตรงหน้ายกมือลูบที่อกตัวเอง “เมื่อกี้คุณคิดจะทำอะไร ผมนึกว่าคุณจะฆ่าตัวตายเสียอีก ขับรถตามคุณมาดี อยู่ๆ คุณก็เปลี่ยนเลนส์เร่งเครื่องพุ่งเข้าไปหารถบรรทุกที่สวนมาซะงั้น” ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต “คุณคงไม่คิดจะทำอย่างที่ผมพูดหรอกใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ” ปลายนภาเอ่ยเสียงเบา หลบสายตาพลเมืองดีด้านนอก ขณะที่ธามแอบมองสำรวจใบหน้าที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาอยู่เงียบๆ
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง” หญิงสาวเอ่ยตัดบทพร้อมค่อมหัวให้อีกฝ่าย รู้สึกว่าคนด้านนอกเริ่มจ้องมองเธอแบบเอาเป็นเอาตาย ผิดจากปรกติทั่วไป “ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอตัวนะคะ” ปลายนภาเอื้อมมือไปกดปุ่มเลื่อนกระจก แต่อีกฝ่ายใช้มือห้ามเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิครับคุณ” ธามเอ่ยรั้ง “ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
ปลายนภาชักสีหน้ายุ่ง ไม่จำเป็นมั้งที่เธอและชายคนนี้จะต้องทำความรู้จักกัน “เราจำเป็นจะต้องทำความรู้จักกันด้วยหรือค่ะ” น้ำเสียงที่เป็นมิตรก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแข็งเล็กน้อย เพราะรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของอีกฝ่าย ที่ดูจดจ้องเธอไม่วางตา ไม่แน่ใจว่าจะต้องรักษามารยาทที่ดีไว้เพื่อในอนาคตหรือเปล่า แต่เมื่อคิดว่าไม่จำเป็นทั้งเธอและเขาคงไม่ได้พบกันอีก เธอจึงเลือกให้เสียงแข็งซึ่งดูจะค่อนข้างไปทางเสียมารยาทถ้าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นเพียงพลเมืองดี ที่คิดดีต่อเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่งเท่านั้น
ธามหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย
“ขอตัวนะคะ และขอบคุณอีกครั้ง” หญิงสาวเอื้อมมือไปยังพวงมาลัย กระจกรถเลื่อนขึ้นอีกครั้ง รถเริ่มเคลื่อนตัว
“เดี๋ยวสิครับคุณปลายนภา”
กึก! ปลายนภาเหยียบเบรก
กระจกรถถูกเลื่อนลง “คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไง” ทั้งที่เธอยังไม่บอกชื่อของเธอกับเขาเลยแม้แต่น้อยแต่อีกฝ่ายกลับเรียกชื่อเธอถูก
ธามเดินเข้ามาใกล้ประตูรถอีกนิดเพื่อที่จะคุยกับหญิงสาวได้ถนัด
“สาวไฮโซอย่างคุณ คงไม่มีใครไม่รู้จักหรอกครับ”
อ้อ..ถ้างั้นเขาคงรู้จักหล่อนทางหน้าหนังสือพิมพ์หรือจากพวกนิตยสารสินะ ปลายนภากดกระจกขึ้นอีกครั้ง
“เฮ้ย!...เดี๋ยว” ธามหลุดปากพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นห้าม “ฟังผมให้จบก่อนสิคุณ”
“นี่คุณจะเอายังไง ฉันบอกแล้วไงว่าไม่จำเป็นที่เราต้องรู้จักกัน ลาก่อนค่ะ” หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดกลับไปจับพวงมาลัย
“ผมชื่อร้อยตำรวจตรี ธาม วัชวงศ์ เป็นน้องชายของร้อยตำรวจเอก ราม วัชวงศ์ คนที่คุณบินไปตามหาเขาที่ญี่ปุ่นยังไงล่ะ”
ครั้งนี้ปลายนภาเหยียบเบรกเท้าจนสุดแรง “อะไรนะ!” สีหน้านั้นเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว ปลายนภาปลดล็อคที่เบลล์เปิดประตูออกไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านนอกรถ
“คุณบอกว่าคุณเป็นน้องชายของคุณรามอย่างนั้นหรือคะ” นี่เธอไม่ได้ฝันไปใช่ไหม! มันคือความจริงใช่ไหม?
ธามเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน ทันที่หญิงสาวตรงหน้าตกลงขับรถตามเขามาและเข้ามานั่งในร้านเป็นเรียบร้อยแล้ว ปลายนภานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง
ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนเอ่ย
“ผมแอบสะกดรอยตามดูคุณมาหลายอาทิตย์แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไปดักพบคุณอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่สบโอกาสได้คุยกับคุณเสียที”
ปลายนภานั่งฟังอย่างตั้งใจ ความทรงจำครั้งเก่าลอยเข้ามา ครั้งที่แม่บ้านเคยบอกเอาไว้ ว่ามีคนในเครื่องแบบไปถามหาเธอที่บ้าน ที่แท้เป็นชายหนุ่มตรงหน้านี่เอง เขาไปถามหาเธอแต่ไม่พบเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเธอยังอยู่บ้านหลังเดิม
“ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วค่ะ”
“ครับ”ธามพยักหน้ารับรู้ “ทีแรกผมเข้าใจผิดว่าคุณอยู่ที่นั่น แต่เพิ่งสืบรู้ว่าคุณแต่งงานและย้ายออกจากบ้านหลังเดิมของคุณแล้ว”
ปลายนภาพยักหน้า
“คุณสืบเรื่องฉันไปทำไมค่ะ” เป็นประโยคคำถามแรกที่เธออยากจะถาม ตั้งแต่รู้ว่าเขาเป็นน้องชายของคนที่เธอเฝ้าตามหามาตลอด 5 เดือนเต็ม
“ผมเป็นตำรวจอยู่ที่อเมริกา” ชายหนุ่มเริ่มแนะนำตัว “ตอนนี้ผมลาพักร้อนกลับมาที่เมืองไทย เพราะมาทำตามความต้องการสุดท้ายให้พี่ชายของผม”
“ความต้องการสุดท้าย” ปลายนภาทวนคำอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก “มันคืออะไร เกี่ยวกับตัวฉันหรือเปล่า”
“ครับ” นายตำรวจหนุ่มตอบรับ
“คุณรามรู้เรื่องที่ฉันตามหาเขาอย่างนั้นหรือค่ะ”
“ครับ พี่รามรู้ทุกอย่าง แต่เพราะตอนนั้นเขาไม่สามารถไปพบคุณได้”
หัวใจของปลายนภาเริ่มเต้นแรงขึ้นทุกทีๆ ปากบางนั้นแทบจะสั่นขณะที่เอื้อนเอ่ยในแต่ล่ะประโยค มือบางที่ประสานกันไว้บนตักนั้นเย็นเฉียบ
“ทำไมคุณรามถึงมาพบฉันไม่ได้ค่ะ” ห้าเดือนเต็มที่เธอไปญี่ปุ่นเพราะตามหา ร้อยตำรวจเอก ราม วัชวงศ์ หลังได้ข่าวว่าบุคคลผู้นั้นอยู่ที่ญี่ปุ่น ตระเวนไปทั่วญี่ปุ่น ทั้งสถานกงสุล ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง ห้าเดือนเต็มกับความว่างเปล่า เธอหาเขาไม่พบ อีกทั้งข่าวคราวของเขาเริ่มหายไปจนเธอตามเบาะแสไม่ได้ ในที่สุดก็ถอดใจแล้วบินกลับไทยในเดือนที่ห้า
“เพราะอาการที่ทรุดหนัก” สีหน้าคนพูดสลดลงเล็กน้อย “มะเร็งขั้นสุดท้าย”
มือบางยกที่ขึ้นทาบอกตัวเองนั้นสั่นเล็กน้อย
“มะเร็งหรือคะ” เสียงที่เอ่ยนั้นเบาไร้น้ำหนัก
นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า
“แล้วตอนนี้คุณราม...”
“เสียแล้วครับ”
ปลายนภาใจหายวูบ นอกจากจะเสียใจกับการจากไปของรามแล้ว เธอยังเสียใจกับความหวังชิ้นสุดท้ายของตัวเองที่ต้องหมดไปพร้อมกับการตายของราม
มือที่เย็นเฉียบก่อนหน้ายิ่งเย็นขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“แล้วฉันจะทำยังไง” ปากบางนั่นเอ่ยพึมพำกับตัวเอง แต่ธามก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง เพราะด้วยเข้าในในท่าทางและคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าดี พี่ชายของเขาเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาได้รับรู้ทั้งหมดก่อนที่จะจากไป มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่ดูเหมือนว่าพี่ชายเขาอาจจะไม่รู้หรือไม่ได้เล่าให้เขาฟัง เช่นเรื่องที่เธอแต่งงานใหม่ไปแล้ว แถมยังแต่งงานกับนายแพทย์อดิรุธ พิรชลธุ์ ซึ่งนายตำรวจหนุ่มดูเหมือนจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้
“พี่รามเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ผมฟังก่อนที่เขาจะเสีย” สิ่งสุดท้ายที่พี่ชายเขาต้องการคือการที่เขาเข้ามาสานต่อสิ่งที่รามทำค้างอยู่ แหละเมื่อเขารับปาก รามคงหมดห่วงและจากไปอย่างสงบ
“แล้วยังไงละคะ”
“ผมรับปากพี่ชายผมไว้แล้ว ว่าจะช่วยคุณ หากคุณยังต้องการที่จะทำมันอยู่”
นัยน์ตาของคนฟังถึงกับสั่นระริก “คุณพูดจริงๆ หรือคะ”
ธามพยักหน้ายืนยันหนักแน่น
“แต่ก่อนอื่น คุณต้องเล่าเรื่องราวที่คุณรับรู้ในมุมของคุณให้ผมฟังทั้งหมดก่อน”
ปลายนภาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา รอยยิ้มนั้นเปิดออกด้วยความหวังที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งโดยคนตรงหน้า แล้วน้ำเสียงที่ฟังดูสั่นเครือและเจ็บซ้ำก็ค่อยๆ พรุ่งพรูออกมา
“ฉันไม่เชื่อค่ะว่าการตายของตฤณเป็นอุบัติเหตุ” มือบางที่กุมกันไว้แปรเปลี่ยนเป็นกำแน่นแทน “และฉันก็ไม่เชื่อว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าดารริน ฉันไม่เชื่อ! ไม่มีวันเชื่อ!”
“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อว่าเขาทำ หรือเพราะว่าคุณเป็นคนรักและเป็นคู่หมั้นของเขา” น้ำเสียงที่ถามนั้นเป็นไปอย่างแบบฉบับที่เขาใช้สอบถามผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัย
ปลายนภาเงยหน้าที่อาบด้วยน้ำตามาที่ธาม น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นแข็งห้วน “เพราะเขาไม่มีวันที่จะฆ่าใครได้ยังไงล่ะ พี่ชายคุณเองก็บอกนี่ค่ะว่าเขาไม่เชื่อว่าตฤณจะเป็นฆาตกร”
“นั่นก็เพราะว่าคุณตฤณกับพี่ชายผมเป็นเพื่อนที่รักกันมาก บางทีความเป็นเพื่อนก็อาจจะทำให้การเป็นตำรวจสืบสวนในคดีที่เพื่อนตัวเองเป็นผู้ต้องสงสัยนั้นเอนเอียงไปบ้าง”
“ไม่จริง!”
“เอาล่ะๆ ในส่วนของข้อสันนิษฐานพวกนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า เรามาพูดในเรื่องที่เป็นจริงโดยไม่ต้องใช้การสันนิษฐานเอาเองดีกว่านะรับ อย่างเช่นว่า เขามีศัตรูที่ไหนหรือเปล่า”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ใครๆ ก็รักเขา ตฤณเป็นที่รักของทุกคน ไม่มีใครที่ไม่รักเขา”
“แล้วเรื่องของเขากับดารริน คุณรู้เรื่องอะไรบ้าง”
อีกครั้งที่ปลายนภารู้สึกว่าแรงกำที่มือตัวเองนั้นแน่นขึ้น อาการส่ายหน้าช้าๆ ของเธอทำให้ธามถอนหายใจ
“คุณสองคนกำลังจะแต่งงานกัน อีกแค่เดือนเดียวเท่านั้น” ธามครุ่นคิดในหัวสมองกำลังประมวลเหตุการณ์เป็นฉากๆ “วันสอบปากคำคุณตฤณยอมรับสารภาพว่าเขาเคยมีความสัมพันธ์กับผู้ตายซึ่งเป็นเด็กในบ้านจริง” คิ้วหนาของตำรวจหนุ่มขมวดมุ่น “ส่วนคุณก็เป็นคนพบศพผู้ตายเป็นคนแรกใช่ไหม”
หญิงสาวส่ายหน้า
“ไม่ใช่ เป็นฉันกับอาภพค่ะที่มาพบศพพร้อมกัน”
“คุณกับอาของคุณเหรอ”
“ค่ะ” ปลายนภาพยักหน้ารับ “วันนั้นเราประชุมงานกับจนถึงเย็นค่ะ พอเลิกฉันกับอาภพก็จะกลับ พอไปถึงลานจอดรถ เราก็พบศพของดารรินค่ะ”
และที่สำคัญกล้องวงจำปิดเกิดเสียอีกด้วย นายตำรวจหนุ่มส่ายหน้าปวดหัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น “จากพยานวัตถุต่างๆ สันนิษฐานว่าก่อนผู้ตายจะเสียชีวิตนั้นได้ต่อสู้กับคนร้ายและหลักฐานที่พบก็ชี้ชัดว่าดีเอ็นเอที่ติดอยู่ที่เล็บมือของผู้ตายเป็นของคุณตฤณ และก็ตรงกับแผลที่คอของคุณตฤณ”
“ต่อให้หลักฐานทั้งหมดจะชี้ไปที่ตฤณ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกนะคะว่าตฤณจะฆ่าคนได้”
“แล้วถ้าคุณตฤณถูกใส่ร้ายจริง คุณคิดว่าใครที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้บ้าง”
ปลายนภาครุ่นคิดแต่ก็ยังมืดแปดด้าน “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันคะ”
“แล้วพี่ชายของเขาล่ะครับ”
“สามีของฉันหรือคะ” ปลายนภาส่ายหน้าทันที “ไม่มีทาง เขาเป็นพี่น้องที่รักกันมาก”
“แต่ผมทราบมาว่า เขาทั้งสองคนไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา สามีของคุณเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่คุณหญิงดวงแขเก็บมาเลี้ยง แต่คุณตฤณนั้นเป็นลูกชายแท้ๆ ของคุณหญิงเพียงคนเดียว”
“แล้วมันเกี่ยวกันยังไงคะ เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้”
“มันจะเป็นไปได้ไหมครับ ที่ระหว่างพี่น้องนอกสายเลือดกัน จะตกลงเรื่องมรดกไม่ลงตัว”
ปลายนภาส่ายหน้าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วกับการที่ต้องทนรับฟังคำสันนิษฐานที่ไร้สาระเหล่านี้ ‘อดิรุธฆ่าดารรินแล้วใส่ร้ายว่าตฤณเป็นคนฆ่า แบบนั้นมันโหดร้ายเกินไปแล้ว’
“คุณอย่าลืมสิครับ ถ้าไม่มีคุณตฤณสมบัติทุกอย่างของตระกูลพิรชลธุ์จะตกเป็นของใคร ถ้าไม่ใช่สามีคุณ”
อยู่ๆ ปลายนภาก็รู้สึกวาบขึ้นมาที่อก
ประโยคที่เขาบอกกับฟ้าลดาว่าที่เขาต้องแต่งงานกับเธอเพราะ ‘จำเป็น’ ลอยเข้ามา
“ตอนนี้ทั้งโรงพยาบาล ทั้งหุ้นในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมแล้วที่ดินอีกมากมาย ก็เป็นชื่อสามีคุณทั้งหมด”
“แต่ฉันขอยืนยันอีกครั้งค่ะ ว่าไม่มีทาง สามีของฉันไม่มีวันทำเรื่องอย่างที่คุณว่าเด็ดขาด เราสามคนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ฉันรู้ว่าเขาทั้งสองคนเป็นคนยังไง คุณเป็นตำรวจคิดว่าจะปรักปรำใครก็ได้อย่างนั้นหรือคะ”
“ใจเย็นๆ สิครับ ผมแค่เล่าตามที่ผมได้รับทราบมา”
ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกเลื่อนมาตรงหน้า
“ลองดูนี่ก่อนสิครับ”
หญิงสาวทำตามที่บอก ล้วงมือเข้าไปหยิบบางสิ่งที่อยู่ในซองเอกสารนั้นออกมาดู มันเป็นรูปถ่ายจำนวนหนึ่ง ภาพถ่ายเหล่านั้นเป็นภาพถ่ายของบุคคลที่ปลายนภารู้จักดี
สีหน้าของปลายนภานิ่งเรียบ
“คุณเอารูปพวกนี้มาให้ฉันดูเพื่ออะไรค่ะ” มือบางเลื่อนรูปภาพทั้งหมดเข้าไปในซองสีน้ำตาลตามเดิม
“ผมไม่แน่ใจเรื่องชีวิตการแต่งงานของคุณสักเท่าไหร่ เท่าที่เห็นสามีคุณไปรับไปส่งผู้หญิงคนนี้ทุกวัน คุณทราบเรื่องนี้หรือเปล่า”
“คะ เธอชื่อฟ้าลดา” น้ำเสียงที่เอ่ยรับนั้นค่อนข้างห้วนแต่เธอก็ไม่ได้ชี้แจงเหตุผลใดๆ ในข้อสันนิษฐานนี้
“เธอเองก็เป็นเด็กในบ้านที่คุณหญิงดวงแขเก็บมาเลี้ยงเหมือนกัน ลูกเลี้ยงแอบรักกันแล้วก็วางแผนฮุบสมบัติแม่เลี้ยงล่ะ คุณว่าจะเป็นไปได้ไหม”
“นี่คุณธาม” ปลายนภาหมดความอดทน “คุณเลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว สิ่งที่คุณพูดมันไม่มีความเป็นจริงเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ถ้าการสันนิษฐานของผมทำให้คุณไม่พอใจผมก็ขอโทษ แต่การเป็นตำรวจเราไม่ควรมองข้ามประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เพราะนั่นอาจจะทำให้เราพลาดหลักฐานชิ้นสำคัญไปก็เป็นได้”
“แน่ใจหรือค่ะว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ เท่าที่ฟังมา ฉันว่ามันมีแต่เรื่องที่ไร้สาระทั้งนั้น”
“เอาล่ะครับๆ ถ้าเรื่องพวกนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้างั้นต่อไปนี้ คุณต้องฟังผมให้ดีๆ”
ธามจ้องนิ่งไปที่หญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง “นอกจากหลักฐานชิ้นอื่นๆ แล้ว ยังมีอีกชิ้นหนึ่งที่พี่รามเจอตอนทำการชันสูตรพลิกศพ แต่เขาไม่ได้บอกใคร”
ปลายนภาเบิกตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน หลักฐาน ยังมีหลักฐานอะไรอีก ยังมีเรื่องไร้สาระอะไรอีก!
“มันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้พี่รามเชื่อว่าคุณตฤณอาจถูกใส่ร้ายว่าฆ่าดารริน”
ปลายนภาตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน และดูว่าครั้งไม่ใช่เรื่องไร้สาระอย่างที่ผ่านมา
“อะไรหรือคะ”
“เส้นผม มันตกอยู่ที่เสื้อคลุมของผู้ตาย”
“ของใคร” น้ำเสียงที่ถามออกไปนั้นสั่นอย่างเห็นได้ชัด
คนถูกถามนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“สามีของคุณ นายแพทย์อดิรุธ”
เปรี้ยง! อย่างกับถูกสายฟ้าฟาดลงมาใส่ร่างตอนกลางวันแสกๆ ปลายนภาชาดิกไปทั้งร่าง ปากบางนั่นพึมพำอย่างไม่ได้ศัพท์
“ไม่จริง! เขาจะฆ่าดารรินแล้วโยนความผิดให้น้องชายตัวเองทำไม ไม่มีทาง!”
ความคิดเห็น