คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
“ยัยปลาย”
เสียงคุณหญิงรัมภาดังมาจากทางประตูคฤหาสน์ของตระกูลชีวกิตร ทันทีที่มองเข้ามาเห็นร่างโปร่งของบุตรสาวคนโตของบ้าน ปลายนภา ชีวกิตร หรือนามสกุลใหม่ พิรชลธุ์ กำลังนั่งทานลูกตาลลอยแก้วของโปรดของตนอยู่อย่างเอร็ดอร่อย
คุณหญิงรัมภาสาวเท้าตรงดิ่งไปยังบุตรสาวด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ยัยปลาย” เสียงเข้มเอ่ยเรียกอีกครั้งขณะทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ปลายนภาเหลือบตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจของโปรดตรงหน้าต่อ
“นี่ แม่พูดกับเราอยู่นะ!”
ปลายนภาวางช้อนในมือ “คุณแม่มีอะไรก็พูดมาสิคะ” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ท่าทีไม่อาทรร้อนใจ ต่อให้เห็นสีหน้าบูดบึ้งของผู้เป็นมารดาแล้วก็ตาม “ป้าบัว ขอเปิ้นอีกถ้วยนะคะ” คำหลังหันไปสั่งแม่ครัวที่ยืนค่อยรับคำสั่งอยู่ข้างๆ คุณหญิงจึงต้องหยุดรอไปโดยปริยายพร้อมกลับแอบค้อนกับกิริยาท่าทีของลูกสาวไปในตัว ป้าบัวหันกลับออกไปทำตามคำสั่งแล้ว ปลายนภาจึงหันกลับมา
“ว่าไงค่ะ คุณแม่มีอะไรจะพูดกับหนู”
“มีน่ะมีแน่” คุณหญิงเลิกค้อนเปลี่ยนกิริยามาทำเสียงแข็งหน้าบึ้งตึงเหมือนอย่างตอนต้น “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครบอกแม่”
คนถูกถามเลิกคิ้วเมื่อเจอคำถามที่ไม่คาดคิด “ที่คุณแม่โมโหปลาย ก็เพราะเรื่องนี้เองหรือคะ” อดจะระบายยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าเรื่องร้อนใจของคนเป็นมารดากลับกลายเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยมากกว่าที่เธอคาดการณ์ไว้มาก
คุณหญิงรัมภาเลยค้อนให้ลูกสาวเสียงวงใหญ่ ปลายนภาอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้เธอจะโดนคนเป็นมารดาค้อนให้หลายวงอยู่เป็นแน่ ด้วยนิสัยทำอะไรไม่ได้ก็ชอบทำตาค้อนเข้าให้และมันมักจะเกิดขึ้นกับตัวเธออยู่เป็นประจำ ซึ่งการกระทำนั้นจะบ่งบอกให้รู้ว่า แม่โกรธและไม่พอใจแล้วนะยัยปลาย!
“ใครบอกแก ว่าฉันโมโหเรื่องนี้” ปลายนภาทำปากเหมือนกับร้อง ‘เอ้า’ “ฉันโมโหเรื่องที่แกไปญี่ปุ่นแล้วไม่บอกฉันต่างหาก” กิริยาเอาเรื่องนั้นเริ่มลดลงแล้วถ้าหากฟังจากน้ำเสียงที่อ่อนลง
“หนูก็ไปประจำอย่างนี้อยู่แล้วนี่คะ” หญิงสาวทักท้วง “คุณแม่ก็ทราบดี”
“เรื่องนั้นแม่รู้ แต่ที่แม่ไม่พอใจ ก็คือเรื่องที่เราวิ่งแจ้นไปญี่ปุ่นตั้งแต่คืนเข้าหอของตัวเอง”
ปลายนภาทำหน้าเหรอหรา
“ธุระอะไรมันจะสำคัญนักหนา มีใครจะเป็นจะตายรึก็เปล่า”
“ปลายเลื่อนนัดมิสเตอร์ทานากะไม่ได้นี่ค่ะ” เอ่ยบอกเหตุผลเสียงเรียบแต่ดูเหมือนยังไม่เป็นที่พอใจของคนเป็นมารดา
“แกทำอย่างนั้นมันถูกต้องเสียที่ไหน มันไม่สมควรเลย รู้บ้างไหม” คุณหญิงตำหนิ และปลายนภาเองก็จนใจที่จะหาคำมาโต้แย้งให้อารมณ์ของผู้เป็นมารดาต้องขุ่นมัวขึ้นมาอีก จริงอยู่ที่หล่อนเองอาจจะทำไม่ถูกในคืนวันนั้น คืนแต่งงานคืนแรก หล่อนเล่นเผ่นแน๊บออกจากห้องหอ ทันทีที่ญาติผู้ใหญ่ทุกคนออกจากคฤหาสน์หลังงามที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเรือนหอของบ่าวสาวคู่ใหม่ แต่จะให้ทำยังไงได้ หล่อนมีธุระสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจจริงๆ นี่นา อีกอย่างการเข้าหอคืนแรกมันสำคัญมากน้อยเพียงใดเธอไม่เคยที่จะรู้หรอก คำโบราณว่าไว้อย่างไรนะ ‘คืนแรกของการแต่งงาน ห้ามเจ้าบ่าวเจ้าสาวออกจากห้องหอ’ อย่างนั้นใช่ไหม อืม...แล้วยังไง คิดหรือว่าต่อให้เธอเชื่อถือคำโบราณและปฏิบัติตามคำเหล่านั้นแล้วชีวิตการแต่งงานของเธอจะดีขึ้น...เฮ้อ คงรอชาติหน้าล่ะมั้ง ปลายนภาแอบถอนใจเบาๆ
“คุณแม่คะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อน “หนูขอโทษคุณแม่ก็แล้วกันค่ะ คุณแม่เลิกตำหนิหนูเรื่องนี้เถอะนะคะ กลับมาเหนื่อยๆ หนูไม่อยากปวดสมองเพิ่ม”
คุณหญิงถอนหายใจออกมาบ้าง จ้องมองใบหน้าที่ขาวผ่องแม้จะปราศจากเครื่องสำอางนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ความสวยเด่นของคนตรงหน้ายังปรากฏให้เห็นชัด ดวงตาคมกริบแต่แฝงไว้ซึ่งความหวานซึ้งเฉกเช่นเธอเมื่อครั้งสาวๆ นั้นไม่ผิดเพี้ยน จมูกโด่งเป็นสันนั้นเชิดขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกถึงความรั้นให้เห็น ริมฝีบางสีชมพูอ่อนดูสุขภาพดี เครื่องหน้าที่รวมกันเป็นปลายนภานั้นช่างสมบูรณ์แบบ สวยแทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่ติ หากแต่จะมีติอยู่บ้างก็ตรงที่เจ้าของใบหน้านั้นไม่ค่อยยิ้มก็เท่านั้น เวลาอยู่นิ่งๆ จึงดูเหมือนจะเป็นคนดุไปบ้างก็เพราะดวงตาคมคู่นั้นแหละที่เป็นเหตุ ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นหรอก คุณหญิงรัมภาอดเศร้าอยู่ลึกในใจ รอยยิ้มที่เคยสดใสอยู่เป็นนิตย์ของลูกสาวคนโตของเธอเริ่มจางหายไปตั้งแต่ต้นปีก่อน
“แม่กลัวว่าคนบ้านนั้นเขาจะตำหนิเราเอาได้” คุณหญิงเอ่ยเหตุผลออกมาในที่สุด
“ไม่หรอกค่ะ” ปลายนภาทอดสายตานิ่งอยู่ที่ช่อกุหลาบขาวที่จัดไว้อยู่ในแจกันกลางโต๊ะ เพราะความสวยเมื่อมองแล้วดูบริสุทธิ์และสะอาดตาของมันทำให้เธอเลือกใช้ตกแต่งในงานแต่งงานของเธอ
“ไม่ใช่อะไรหรอกนะ” เสียงคุณหญิงนั้นอ่อน “ทีหลังจะทำอะไรก็ควรบอกแม่บอกน้องเอาไว้ก่อน เผื่อมีอะไรแม่กับน้องจะได้ช่วยได้” เหมือนจะเอ่ยปลอบไปเพียงแค่นั้นทั้งๆ ที่ยังคิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าจะช่วยอะไรหากเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้า ส่วนคนบ้านนั้นที่เธอหมายถึงก็เป็นบ้านเพื่อนรักของเธอ แถมยังสนิทสนมกันเป็นที่สุด
“ค่ะ แล้วหนูจะบอก”
“แล้วอีกอย่างอย่าไปไหนนานๆ แบบนี้อีกเข้าใจไหม”
“นานที่ไหนกันคะ” รอยยิ้มอ่อนๆ ผุดขึ้นมา
“ตั้งห้าเดือนนะยัยปลาย ตั้งแต่คืนแรกของงานแต่งแก จนกระทั่งวันนี้ แม่นับได้ห้าเดือนเต็มๆ เลยนะที่แกไปสิงสถิตอยู่ที่ญี่ปุ่นน่ะ”
ทีนี่รอยยิ้มที่อ่อนอยู่กลับเจื่อนลงอย่างทันตาแต่คุณหญิงรัมภาไม่ทันสังเกตเห็น
“ก็แค่ห้าเดือน” เสียงปลายนภาแผ่วเบาและคุณหญิงเองก็คงไม่ได้ยิน เมื่อพูดต่อทันที
“ตารุธนี่ก็แปลก เมียทำขนาดนี้ ไม่เห็นจะว่าอะไรสักคำ ไม่รู้จะตามใจอะไรเมียนักหนา”
ตอนนี้จากรอยยิ้มที่เคยเจื่อนกลับนิ่งเฉยราบเรียบ
“โชคดีนะที่เขาเข้าใจ แกนะโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้แต่งงานกับคนดีๆ แบบนี้”
ปลายนภานิ่งเงียบ หญิงสาวไม่ได้แม้แต่จะฟังคำพูดของมารดาเสียด้วยซ้ำ มีเพียงแค่การพยักหน้าตอบรับเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนกำลังรับฟังและยอมโอนอ่อนตามคำบอกกล่าวเหล่านั้น คุณหญิงเห็นท่าทีนั้นก็พอใจขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยปลายนภาก็ไม่ได้ขัดใจเธอไปซะทุกเรื่อง ท่าทีบึ้งตึงจึงลดหายไปจนหมดสิ้นด้วยความวางใจและสบายใจ
“เดี๋ยวแม่ขอตัวก่อน กลับมาเหนื่อยๆ เหนียวตัวเต็มทน” คุณหญิงขยับตัวเรียกสาวใช้ในบ้านมาหิ้วข้าวของที่ซื้อมา จากที่ปลายนภาเห็นมันมีมากกว่าเจ็ดถุงขึ้นไป ถุงหนึ่งจำได้ว่าเป็นถุงที่มาจากร้านเครื่องเพชรของคุณเกดแก้ว ร้านเพชรเจ้าประจำของมารดาของเธอ นี้คงไปช๊อปแล้วได้ติดมือกลับมาอีกแล้วล่ะสิ
“ไปล่ะ แม่ขอตัว” ร่างของมารดาผละจากโต๊ะ ก้าวตรงไปยังบันได้ขึ้นชั้นสองของตัวตึก แต่ยังไม่ทันถึงครึ่งทางก็หันกลับมา เอ่ยถาม
“แล้ววันนี้ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องของตัวเองหรือยังไง” มองเห็นสีหน้าของบุตรสาวเข้มขึ้นเล็กน้อย คุณหญิงรีบแก้สถานการณ์ “นี่ อย่ามามองแม่แบบนั้นนะ แม่ไม่ได้ไล่นะ แม่แค่คิดว่าเราควรจะกลับบ้านไปให้ตารุธเขาเห็นหน้าเห็นตาบ้างสักนิดก็ยังดี”
“ค่ะ” แม้ปากจะเอ่ยบอกไปอย่างนั้น แต่สายตาของปลายนภากลับนิ่งเรียบไร้แววตอบสนอง
“รับปากแม่แล้วนะ”
ปลายนภาพยักหน้าตอบรับเนือยๆ คุณหญิงเห็นดังนั้นจึงสบายใจขึ้นมาอีกครั้ง เท้าที่ก้าวไปหยุดอยู่กลางทางบันไดจึงขยับต่อไปได้
“นอนที่นี่ก็ได้ค่ะคุณปลาย” ป้าบัวแม่ครัวของบ้านเข้ามาทันพอที่จะได้ยินประโยคสนทนาสุดท้ายระหว่างสองแม่ลูก นางวางถ้วยลูกตาลลอยแก้วตรงหน้าหญิงสาวเสร็จ ก็เอ่ย “ป้าให้นังแววมันไปเตรียมห้องให้แล้วค่ะ”
นายสาวเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ออกความเห็นต่อคำพูดนั้น แต่เปลี่ยนเรื่องแทน “ยัยปาไม่อยู่หรือคะ ไม่เห็นหน้าเลย วันนี้อยู่เวรหรือค่ะ”
“อ้อใช่ค่ะ” แม่บ้านเก่าแก่เอ่ยรับ “ช่วงนี้เห็นคุณปาบอกว่าต้องอยู่เวรดึก ก็เลยค้างที่หอพักของโรงพยาบาลแน่ะค่ะ”
“มิน่าถึงไม่ได้ยินเสียงแวดๆ เลย” หล่อนละสายตากลับมาที่ถ้วยของหวานตรงหน้าอีกครั้ง ในขณะที่ป้าบัวถอยกลับยืนสังเกตหญิงสาวตรงหน้าอยู่เงียบๆ
“คุณปลายผอมลงนะคะเนี้ย”
ปลายนภาเงยหน้า “ผอมลงหรือคะ”
“ค่ะ นี่คงเป็นเพราะคุณทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ค่อยได้พักได้ผ่อนอย่างนี้นี่แหละ เฮ้อ...” ป้าบัวถอนหายใจ “ป้านะไม่เห็นถึงความจำเป็นที่คุณจะต้องลำบากตรากตรำทำงานหนักเสียขนาดนี้เลย” สายตาอ่อนโยนนั้นทอดมองมา “พักบ้างสิคะ ป้าน่ะเป็นห่วงคุณนะคะ คุณท่านเองก็เถอะ เห็นท่านไม่ค่อยพูดหรือสนใจใยดีอะไรคุณมาก แต่แท้ที่จริงแล้วท่านห่วงคุณมากนะคะ”
“ขอบคุณค่ะป้าบัว” หญิงสาวยิ้มอ่อนโยน “ถ้าเป็นห่วงปลายขนาดนี้ ป้าบัวก็คอยทำของอร่อยๆ ให้ปลายทานบ่อยๆ ก็พอแล้วล่ะค่ะ แค่ปลายได้ชิมฝีมือป้า ต่อให้ปลายใกล้ตาย รับรองปลายฟื้นแน่นอนค่ะ”
“แหม คุณปลายนี้ก็ชอบพูดเอาใจคนแก่อย่างป้าอยู่เรื่อย” แม่บ้านเก่าแก่ยิ้มแก้มปริขณะที่มือก็รินน้ำใส่แก้วให้กับนายสาว พลางก็นึกขึ้นได้ “อ้อ ป้าลืมบอกไปค่ะ เมื่อวันก่อนมีตำรวจคนหนึ่งมาถามหาคุณปลายที่บ้านนะคะ ชื่ออะไรนั้นป้าก็ลืมถาม พอป้าบอกคุณปลายไม่อยู่ก็เท่านั้นแหละ แกขับรถออกไปเลย ชื่ออะไรเป็นใครป้ายังไม่ทันได้ถามเลยค่ะ”
ดวงตาคมของคนฟังรี่ลงด้วยความสงสัย “หน้าตาเป็นยังไงค่ะ พอจะจำได้หรือเปล่า” อยู่ๆ ก็มีตำรวจมาถามหาตนเองถึงที่บ้าน น่าแปลกใจแต่ก็คิดไม่ตก เธอไม่เคยรู้จักมักจี่หรือคุ้นเคยกับพวกสวมเครื่องแบบเลยแม้แต่น้อย หรือทำอะไรผิดเธอก็ไม่ได้ทำ อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอทำผิดอะไรโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอย่างนั้นหรือ ไม่น่าจะใช่ เพราะเท่าที่จำได้ก็ไม่มีอะไรนี่นา
“สูงๆ ขาวๆ หน้าตาดูดีค่ะ” เท่าที่นางจำได้ก็มีเท่านี้ ส่วนบทสนทนาอื่นๆ นั้นก็มีเท่าที่เล่าให้นายสาวฟังก่อนหน้านั้นหมดแล้ว
หลังจากนั่งคุยอยู่กับป้าบัวสักพัก ปลายนภาก็ขอตัวกลับ หญิงสาวตัดสินใจไม่ค้างที่คฤหาสน์ของตระกูลชีวกิตร เหตุผลหลักๆ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงคำถามที่จะตามมาจากปากของมารดาอีกหลายคำถาม ถ้าขืนเธอยังดื้อรั้นที่จะค้างที่บ้านหลังนี้ สู้กลับไปที่คฤหาสน์หลังงามที่ถูกใช้เป็นเรือนหอของหล่อนแทนดีกว่า อย่างน้อยก็คงไม่ต้องมีเรื่องปวดหัววุ่นวายหรือหาคำแก้ตัวใดๆ ออกมาแก้ต่างให้กับตัวเอง ส่วนความสงสัยที่คุยกับแม่บ้านก่อนหน้าก็ทิ้งไปโดยไม่ใส่ใจใดๆ อีก
ร่างโปร่งระหงกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศสบายๆ ในอ่างน้ำอุ่นที่ตนนอนแช่ตัวเพื่อช่วยให้ร่างกายได้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางไกล เสียงเพลงที่มีจังหวะสบายๆ เย็นๆ ที่เปิดคลอพร้อมกับกลิ่นลาแวนเดอร์อ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยที่จุดไว้ก็ช่วยคลอเคล้าจิตใจให้สงบและให้ความผ่อนคลายไม่แพ้น้ำอุ่นในอ่างจาร์กุชชี่ ปลายนภาหลับตาพริ้ม รอยยิ้มน้อยๆ เจืออยู่บนสีหน้า บรรยากาศรอบตัวค่อยๆ กล่อมให้เธอดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ เสียงลมหายใจเริ่มเป็นจังหวะจนเกือบจะสม่ำเสมออยู่แล้ว แต่จู่ๆ ร่างที่กำลังนอนแช่ในอ่างกลับลุกพรวดขึ้นจากอ่างแล้วสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ เสียงหายใจที่เกือบสม่ำเสมอกลับกลายเป็นเสียงถอนหายใจหนักที่มาพร้อมกับอาการส่ายหน้าและยกมือขึ้นกุมขมับแทน ไมเกรนของเธอกำเริบอีกแล้วหลังจากห่างหายไปหลายเดือน
อาการเจ็บปวดที่หัวเริ่มคลายลงแล้วและอาการเหมื่อยล้าจากการเดินทางก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกอยากนอนพักเอาแรงมากกว่าทำอย่างอื่น ตั้งใจหมุนร่างที่อยู่ในชุดลำลองสบายๆ ออกจากบานกระจกแล้วก้าวดิ่งไปยังเตียงนุ่มที่ตั้งรออยู่กลางห้อง แต่ด้วยความไม่ทันระวัง มืออีกข้างกลับปัดไปโดนกรอบรูปที่ตั้งวางอยู่ใกล้ๆ โต๊ะเครื่องแป้งเข้า เพล้ง! กรอบรูปขนาดกลางหล่นลงพื้น ความเสียหายเกิดขึ้นทันที กรอบด้านข้างหัก เศษกระจกแตกกระจายออกจากผลึกเดิม เหลือเพียงรูปภาพที่เคยอยู่ในกรอบดังกล่าว หล่อนเห็นว่ามันไม่ได้เสียหายเหมือนสิ่งอื่นๆ ความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ปรากฏในสีหน้าของปลายนภาแต่ความนิ่งเรียบกลับฉายชัดแทน
รูปของหญิงสาวในชุดสีขาวยืนเคียงคู่ชายหนุ่มที่สวมชุดสูทสีดำ ทั้งคู่ไร้รอยยิ้ม สิ่งที่สะท้อนออกมาจากภาพนั้นมีเพียงความว่างเปล่าทางความรู้สึก
เอื้อมมือไปหยิบรูปแต่งงานของตนที่อยู่ภายใต้เศษกระจกขึ้นมา เสียงระบายลมหายใจอ่อนๆ ดังขึ้น แล้วคำพูดของผู้เป็นมารดาก็ลอยวืดเข้ามารบกวนจิตใจในนาทีสุดท้ายตอนที่เธอกำลังจะเก็บรูปลงในลิ้นชัก
‘ตั้งห้าเดือนนะยัยปลาย ตั้งแต่คืนแรกของงานแต่งแก จนกระทั่งวันนี้ แม่นับได้ห้าเดือนเต็มๆ เลยนะที่แกไปสิงสถิตอยู่ที่ญี่ปุ่นน่ะ ตารุธนี่ก็แปลก เมียทำขนาดนี้ ไม่เห็นจะว่าอะไรสักคำ ไม่รู้จะตามใจอะไรเมียนักหนา โชคดีนะที่เขาเข้าใจ แกนะโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้แต่งงานกับคนดีๆ แบบนี้’
“เฮ้อ” เสียงระบายลมหายใจหนักๆ ดังออกมาจากริมฝีปากบางได้รูป
“หนูโชคดีจริงๆ หรือคะแม่” หญิงสาวเอ่ยออกมากับตัวเอง “ความโชคดีมันหมายถึงอะไรคะ มันหมายถึงการที่หนูจะได้รับความสุขจากการแต่งงานกับคนเขาอย่างนั้นหรือคะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงในชุดเสื้อกาวน์สีขาวก้าวผ่านพ้นประตูเข้ามา พร้อมเอ่ยถามคนที่อยู่ในห้อง
“เสร็จยัง”
“อืม” คนในห้องเอ่ยรับสั้นๆ ขณะที่ยังเพ่งมองแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ในมือ
“เป็นไงเคสนี้ ตกลงว่าร้าวหรือหัก”
อดิรุธละสายตาจากแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ที่ยกขึ้นส่องแล้วหันกลับมายังร่างเจ้าของเสียงที่ก้าวเข้ามาในห้องและยังถือวิสาสะไปนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ของเจ้าของห้องอย่างไม่มีความกริ่งเกรงใดๆ
“ร้าวหรือหักมันก็เหมือนกัน การรักษาก็เหมือนกันคือเข้าเฝือก” เจ้าของห้องอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น พร้อมกับก้าวเท้าไปหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงาน มืออีกข้างกวักบอกสัญญาณให้เพื่อนลุกออกจากเก้าอี้ซึ่งอีกฝ่ายก็ลุกให้ แล้วร่างสูงเจ้าของเก้าอี้ตัวจริงก็ได้ครอบครองเก้าอี้ของตัวเอง อดิรุธวางแผ่นฟิล์มในมือลง “แต่เคสนี้ก็น่าเป็นห่วงอยู่นะ เพราะเท่าที่ได้ดูฟิล์มเมื่อกี้ก็เห็นว่าหักไปหลายส่วน”
“ถึงกับต้องดามทั้งตัวไหม” คนถามลุกไปยืนกอดอกพิงโต๊ะ สีหน้าเหมือนจะเจิดจ้าขึ้นเล็กน้อยขณะรอฟังคำตอบ
“ไม่ถึง” หมอเจ้าของไข้ส่ายหน้าแล้วอธิบาย “แค่แขนสองข้าง ขาสองข้าง และคอ ก็แค่นั้น”
เสียงตบโต๊ะดัง ปั้ง!
“แค่นั้น!”
“อืม”
“สภาพรถยุบขนาดนั้นเนี้ยนะ!”
“อืม”
“โธ่เอ้ย เสียดายชะมัด!” เสียงบ่นเสียดายดังขึ้นทันที
อดิรุธแอบเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของคนพูดแล้วส่ายหน้า “ผิดหวังมากหรือไง”
“ก็ออน่ะสิ ไอ้เราก็หวังอยากจะให้ถูกดามทั้งตัว” คำพูดทีเล่นทีจริงของดนัยทำให้อดิรุธหัวเราะร่า เข้าใจเหตุผลที่เพื่อนเขาพูดออกมาอย่างนี้ เพราะดนัยนั้นไม่ค่อยกินเส้นกันกับอดีตพี่เขยของเขาคนนี้สักเท่าไหร่ ความตื้นลึกหนาบางในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นเขาเองก็พอรับรู้มาบ้าง หากแต่ว่าเขาเป็นหมอซึ่งมีหน้าที่ทำการรักษา จะใช้ความรู้สึกส่วนตัวหรือความสัมพันธ์ใดๆ มาเกี่ยวข้องกับการรักษาชีวิตคนไข้ไม่ได้
“ไอ้บ้า นายเป็นหมอประสาอะไร มาแช่งคนไข้เอาหน้าตาเฉย”
“ก็มันจริงไหมล่ะ ไอ้พวกเมาแล้วขับอย่างนี้ สมควร” ดนัยออกความเห็น “นี่ดีเท่าไหร่ ที่ไม่ไปชนคนอื่นเขาเข้า เออ…ทางที่ดีเวลานายรักษา ก็ช่วยแกล้งเข้าเฝือกให้มันผิดรูปผิดท่าอะไรบ้างก็ได้ ไม่ต้องห่วงจรรยาบรรณอะไรมันมากนักหรอก”
ที่นี้แผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์แทบจะลอยหวือมาตรงหน้าของดนัย โชคดีที่เขาเอามือรับไว้ได้ทัน
“เออนะ ความคิดแกมีแต่ดีๆ ทั้งนั้น” อดิรุธเอ่ยประชด ในขณะที่ดนัยหัวเราะหน้าตาระรื่นเหมือนไม่แคร์ท่าทีโกรธของเพื่อน
“ถ้าเกิดคนไข้เขาฟ้องร้องฉันขึ้นมา เดี๋ยวฉันจะลากคอนายไปนั่งกินข้าวแดงในคุกด้วยกัน”
“ขอให้แกทำจริงเถอะว่ะ” คนพูดยกมือไหว้สาธุขึ้นท่วมหัว “ฉันจะเลี้ยงฉลองให้สามวันสามคืนเลยเอ้า”
“เออ เลี้ยงเสร็จก็พากันเข้าซังเต”
“ได้ เข้าก็เข้า! ว่าแต่ว่า ฉันควรเตรียมเขียนใบลางานให้แกเซ็นอนุมัติไว้ก่อนเลยดีไหม”
“ไม่ต้อง”
“อ้าว ไม่ดีหรือไง”
“ไม่ดี” อดิรุธส่ายหัว “ถ้าให้ดีต้องใบลาออกเลยดีกว่าไหม เดี๋ยวฉันจะเซ็นอนุมัติให้เดี๋ยวนี้เลย”
“โอ๊ะๆ เอาไว้ก่อนดีกว่าครับท่านผู้อำนวยการ แหม...ถึงกับต้องไล่ออกกันเลยทีเดียว” ดนัยหัวเราะไม่ออกเมื่อเจอคำพูดของคนเป็นเพื่อนสนิทและเป็นทั้งผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งนี้ที่ซึ่งตนทำงานอยู่ ทั้งเขาและอดิรุธเรียนมารุ่นเดียวกัน จบมาจากมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดอันดับว่าเป็น 1 ใน 10 ของมหาลัยวิทยาลัยสายการแพทย์ที่ดีที่สุดในโลกพร้อมด้วยคะแนนเกียรตินิยมทั้งคู่ ห่างหายกันไปอยู่พักใหญ่เนื่องจากเลือกเรียนสายเฉพาะทางที่ต่างกัน อดิรุธเชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ ส่วนเขานั้นเชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ก่อนจะกลับมาพบกันอีกครั้ง ณ โรงพยาบาลแห่งนี้ หากแต่จะประเมินความสามารถนั้นดูเหมือนอดิรุธจะได้มาเหนือกว่าเขาอยู่นิดหน่อย อดิรุธสอบชิงทุนได้ในขณะที่เขาใช้ทุนทรัพย์ของครอบครัว
“ป่ะๆ ไปดื่มกาแฟกันดีกว่า” รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้วชวนอีกฝ่ายไปดื่มกาแฟที่ล๊อบปี้ของโรงพยาบาล บ่ายนี้เขาว่างไม่มีเคสด่วนส่วนอดิรุธก็ออกเวรพอดี อดิรุธเดินนำหน้าออกไปในขณะที่เขาก็ก้าวตามแต่ความที่ตาไว้ก็เกิดไปสะดุดเข้ากับการ์ดสีชมพูบนโต๊ะทำงานของเพื่อนรักเสียก่อน มองแค่ผ่านๆ ก็คงจะไม่คิดอะไรมาก แต่หากพิจารณาดูถึงตำแหน่งที่มันอยู่จะเห็นว่าการ์ดเชิญใบนี้ไม่ได้รับความสำคัญมากนัก เอกสารและแผ่นฟิล์มคนไข้ทับอยู่ ไม่ได้จัดไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมเท่าที่ควร ดูเหมือนจะโยนๆ และวางๆ ไปอย่างนั้น จนเมื่อมีเอกสารงานอื่นๆ เข้ามาแทนที่ มันก็ถูกวางทับบนตำแหน่งของการ์ดใบนั้นไปโดยปริยาย
ความคิดเห็น