ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมผลงานหลินโหม่ว - ซีเรีย

    ลำดับตอนที่ #20 : ข้อสังเกตและข้อวิจารณ์นิยายจีนแนวโบราณ ทั้งแนวข้ามมิติ และไม่ได้ข้ามมิติ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.06K
      17
      14 ก.พ. 53

    .

    ข้อสังเกตและข้อวิจารณ์นิยายจีนแนวโบราณ ทั้งแนวข้ามมิติ และไม่ได้ข้ามมิติ (ความเห็นส่วนตัว)

     

    ช่วง 1 ปีกว่าที่ผ่านมานี้ ได้อ่านนิยายจีนแนวโบราณหลายเรื่องมาก ทั้งแนวข้ามมิติและแนวโบราณเฉยๆ ทั้งที่ได้พิมพ์เป็นเล่มและไม่ได้พิมพ์เป็นเล่ม (อ่านจากในเน็ต) ทั้งเรื่องที่ดังและเรื่องที่ไม่ดัง พบข้อเด่น ข้อด้อย ข้อบกพร่องต่างๆ มากมายจนนึกอยากจะนำมาเขียน (แกมบ่น) สักที ซึ่งก็สบโอกาสในวันนี้ที่อู้งานด้วยความขี้เกียจ และเพิ่งจะอ่านนิยายแนวข้ามมิติที่เขียนได้ช่องโหว่เพียบ แต่ก็อ่านได้เรื่อยๆ แบบห้ามไปคิดอะไรมากเด็ดขาดจบไปอีกเรื่อง ข้อต่างๆ สารพัดข้อที่ว่ามีดังนี้

     

    1. ด้านสำนวนการเขียน หากเป็นนิยายแนวโบราณล้วน ห้ามหลุดสำนวนปัจจุบันออกมาเป็นอันขาด เช่น เมตร กิโลเมตร ตรรกะ (คำนี้ภาษาจีนจะใช้ทับศัพท์อังกฤษ) ฯลฯ ไม่อย่างนั้นจะบ่งบอกถึงความอ่อนหัด ไม่เป็นมืออาชีพของผู้เขียน

    หากเป็นนิยายแนวข้ามมิติ กรณีนางเอกเป็นคนยุคปัจจุบันข้ามมิติไป สำนวนภาษาแบบปัจจุบันจะโผล่มาได้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับนางเอกเท่านั้น เช่น ความคิดของนางเอก คำพูดของนางเอก หากเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวละครในยุคโบราณ ไม่ว่าจะเป็นคำบรรยาย ความคิด คำพูด ฯลฯ ห้ามหลุดสำนวนภาษาปัจจุบัน ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่คนในยุคนั้นไม่รู้จักออกมาเด็ดขาด เพราะไปเจอนิยายที่ตัวละครซึ่งเป็นคนยุคโบราณพูดคำว่า เมตร กิโลเมตร ตรรกะ แล้วแบบว่า...ข้องใจมากว่า คนแถวนั้นในยุคนั้นมีคำศัพท์แบบนี้อยู่ด้วยเรอะ?

     

    2. นิยายจีนแนวข้ามมิติหลายเรื่อง อาจจะครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่ง ชอบเขียนในแบบ เหมือนจะ เป็นมุมมองของบุรุษที่หนึ่ง ซึ่งก็คือตัวเอกเองเป็นคนเล่าเรื่อง และแทนตัวเองในคำบรรยายว่า ฉัน ตลอด (ใครที่เคยอ่านเรื่อง ไมรอน ของพัณณิดา ภูมิวัฒน์ คงจะนึกออก)

    ที่ว่า เหมือนจะ ก็เพราะว่า คนเขียนไม่มีปัญญาเขียนเนื้อเรื่องด้วยมุมมองของตัวเอกไปทั้งเรื่องโดยที่สามารถถ่ายทอดรายละเอียดทุกอย่างที่คนเขียนต้องการออกมาได้ เนื่องจากการเขียนเนื้อเรื่องผ่านมุมมองของตัวเอกเพียงคนเดียวนั้น จะมีข้อจำกัดเยอะมาก และทำให้มองไม่เห็นความคิด จิตใจ และพฤติกรรมของตัวละครอื่นในตอนที่ไม่ได้โผล่มาอยู่ต่อหน้านางเอก เว้นแต่ว่าตัวละครนั้นจะเล่าออกมาให้นางเอกฟัง หรือนางเอกไปได้ยินตัวละครนั้นพูดออกมา ดังนั้นคนเขียนฝีมืออ่อนหัดเหล่านี้จึงต้องเขียนสลับไปมาระหว่างมุมมองของตัวเอกกับมุมมองของพระเจ้า เรื่องเลยดูทะแม่งๆ สุดยอดขัดแย้งเป็นอย่างมาก และสู้เปลี่ยนเป็นมุมมองพระเจ้าทั้งเรื่องไปเลยยังจะดูไม่ลักลั่นและลื่นกว่า

     

    3. ข้อเท็จจริงในเรื่องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือไม่สอดคล้องกัน ขัดแย้งกันเอง อันบ่งบอกว่าคนเขียนไม่ได้อ่านตรวจทานต้นฉบับให้ดีๆ ก่อนส่งบรรณาธิการ และบรรณาธิการก็ทำงานชุ่ยพอกันที่ไม่ตรวจทานต้นฉบับให้ดีๆ ก่อนตีพิมพ์ออกมาเป็นเล่ม

    ตัวอย่างเช่น นิยายแนวข้ามมิติเรื่องที่เพิ่งอ่านจบไป เรื่อง เฟิ่งฉิวหวง (หงส์ผู้จีบหงส์เมีย) เจอข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกันเองคร่าวๆ ดังนี้

    3.1 เนื้อเรื่องบอกว่านางเอกและน้องชายกำพร้าพ่อแม่ตอนนางเอกอายุ 14 ปี หลังจากนั้น นางเอกได้รับสืบทอดบริษัทยักษ์ใหญ่ของพ่อแม่ และพยายามทุ่มทำงานเต็มที่เพื่อไม่ให้มันล้ม แต่ว่า...ผู้เยาว์ที่อายุยังไม่ครบ 20 ปี ยังไม่สามารถทำนิติกรรมเองได้ ดังนั้น ขอถามว่านางเอกเซ็นเอกสารได้ยังไง? ใครเป็นผู้ปกครองเซ็นเอกสารแทนนางเอก? ในเรื่องไม่มีเอ่ยถึงเลย ผู้เขียนเขียนในทำนองว่า นางเอกเซ็นเอกสารเองทั้งหมดโดยไม่มีผู้ปกครอง

    3.2 เนื้อเรื่องบอกว่า นางเอกไปปีนเขาคนเดียว แล้วตกเขาตายเพราะญาติที่อยากได้มรดกแอบตัด แถมยังตัดแบบนางเอกตรวจสอบไม่พบ ทั้งที่นางเอกชำนาญการปีนเขามาก จากนั้นน้องชายนางเอกที่อายุ 18 ปีก็เข้ารับสืบทอดบริษัทแทนนางเอก คำถามเดิม อายุยังไม่ถึง 20 ปี เซ็นเอกสารเองได้ยังไง? และคำถามใหม่ นางเอกที่ฉลาดรอบคอบ ไปปีนเขาบ่อยๆ ตรวจเชือกแล้วไม่รู้ว่าโดนแอบตัด แล้วญาติที่ลงมือ ผู้เขียนไม่ได้บอกว่า เป็นนักปีนเขาที่ชำนาญ เขามีปัญญาแอบตัดเชือกโดยไม่ให้ขาดในทันทีโดยนางเอกที่แสนฉลาดตรวจหาพิรุธไม่เจอได้เนี่ยนะ? แถมแอบเข้ามาสืบในห้องส่วนตัวนางเอกจนรู้ที่ซ่อนของเชือก + แอบตัดเชือกโดยที่นางเอกไม่รู้เลยว่ามีคนเข้ามาแอบแตะต้องเชือกปีนเขาของตัวเองด้วย

    3.3 ในเรื่อง มีตัวละครหญิงคนหนึ่ง เป็นองค์หญิง แต่งงานตอนอายุ 12 กับสามีที่ตอนนั้นอายุ 15 ปี หลังคืนแต่งงาน สามีซึ่งเป็นแม่ทัพที่เก่งมากก็ถูกส่งไปรบ แล้วตาย เธอตั้งท้องแล้วคลอดลูกชาย ในเนื้อเรื่องจะมีฉากที่ลูกชายเธอบ่นว่า เมื่อก่อนแม่เขาเป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยนมาก แต่ตั้งแต่หลังจากไปออกรบในฐานะแม่ทัพครั้งแรกกลับมา แม่ก็เหมือนพ่อมากขึ้นทุกที ขอถามว่าตอนที่พ่อตาย นายยังอยู่ในท้องแม่ แล้วเคยเห็นพ่อได้ยังไงไม่ทราบ?

    3.4 องค์หญิงคนเดิม ที่ลูกชายบอกว่า เมื่อก่อนเรียบร้อยนุ่มนวล แต่มีฉากหนึ่ง ตอนองค์หญิงแม่ทัพคนนี้มาหานางเอก แล้วพบพระอาจารย์ของฮ่องเต้ (ฮ่องเต้เป็นพี่ชายองค์หญิง) เดินสวนออกไป องค์หญิงเอ่ยถึงพระอาจารย์ว่า เป็นตาแก่ที่ชอบว่านางว่าไม่มีมาดองค์หญิงมาตั้งแต่เด็ก แล้วที่ลูกชายบอกว่าก่อนจะเริ่มออกรบ แม่เป็นแม่ที่นุ่มนวล อ่อนโยน ใจดีล่ะ?

    3.5 ตอนต้นเรื่อง ผู้เขียนบอกว่า ตอนที่นางเอกตกเขาตาย นางเอกอายุ 28 ปี ส่วนน้องชายอายุ 18 ปี แปลว่านางเอกแก่กว่าน้องชาย 10 ปี แต่ตอนที่นางเอกคลอดลูก คนเขียนกลับบอกว่า ตอนที่น้องชายเพิ่งคลอด นางเอกอายุ 8 ขวบแล้ว จึงจำหน้าตาตอนน้องชายเพิ่งเกิดได้ดี ตกลงว่านางเอกแก่กว่าน้องชาย 8 ปีหรือ 10 ปีกันแน่?

    3.6 คนเขียนบอกว่า พระเอกของเรื่องฉลาดเหมือนขงเบ้ง วิทยายุทธ์เป็นที่หนึ่งในยุทธจักร เป็นประมุของค์การลับใต้ดินของยุทธจักร ส่วนฮ่องเต้พี่ชายพระเอกก็โคตรฉลาด วางแผนเก่งพอกัน แต่ในเนื้อเรื่อง มีตอนที่ฮ่องเต้ไปเที่ยวบ้านนางเอกกับพระเอกแล้วมีคนร้ายลอบบุกเข้ามาฆ่า ฮ่องเต้โดนฟันแขนแผลลึกถึงกระดูก พร้อมกันนั้นมีข่าวจากเมืองหลวงว่า รัชทายาทที่บริหารบ้านเมืองแทนฮ่องเต้ถูกลอบฆ่าบาดเจ็บสาหัส ฮ่องเต้จึงต้องรีบกลับเมืองหลวงด่วน โดยเพื่อให้ปลอดภัยจากการถูกลอบฆ่าและความเร็วในการเดินทาง จึงใช้วิธีปลอมตัวเร่งเดินทาง พระเอกกับนางเอกตามไปส่งด้วย แต่เมืองที่ผ่านระหว่างทางทุกเมือง โรงเตี๊ยมเต็มหมด ร้านยาทุกแห่งหาซื้อยาทำแผลธรรมดาๆ ไม่ได้ บาดแผลของฮ่องเต้จึงเลวร้ายลงเรื่อยๆ

    อ่านแล้วแบบว่า...ไอ้ที่บรรยายถึงความแสนเก่ง แสนฉลาด ทำโน่นทำนี่ได้สารพัด มีลูกน้องเก่งกาจเยอะแยะทั้งในที่ลับและที่แจ้ง วางสายลับไปแทบจะข้างตัวทุกคนรวมทั้งคนร้ายตัวการ กลับจัดการแก้ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้แบบเร่งด่วนไม่ได้เนี่ยนะ? ตกลงว่าทั้งเก่งทั้งฉลาดทั้งมีอิทธิพล หรือสุดยอดกระจอกทำอะไรไม่เป็นเลยกันแน่?

    อีกอย่าง ปกติแล้ว หากรีบเดินทาง มันก็ต้องเตรียมพวกยาทำแผล ผ้าพันแผลเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว อะไรจะคิดรอซื้อระหว่างทางทั้งหมด แถมเมืองที่จากมายังเป็นเมืองใหม่ที่การค้าเจริญรุ่งเรือง มีทุกอย่างที่ต้องการด้วย

    3.7 ในเรื่องจะมีฉากราชทูตจากรัสเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แล้วนางเอกแสดงความสามารถพูดและเขียนภาษารัสเซีย กับพูดภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษกับทูตอย่างคล่องแคล่ว แล้วคนเขียนบอกว่า ตอนก่อนตาย บริษัทของนางเอกมีสาขาในสามประเทศนี้อยู่หลายบริษัท เอกสารธุรกิจจากบริษัทลูกในสามประเทศนี้เป็นภาษาของสามประเทศนี้ทั้งนั้น และเวลาเขียนจดหมายตอบไป นางเอกก็ใช้ภาษาสามภาษานั้นตอบ

    แต่ว่า...ในยุคนั้นมันยุคโบราณ สำนวนต่างๆ ก็ต้องเป็นสำนวนโบราณ ซึ่งจะแตกต่างจากภาษายุคปัจจุบันแทบจะโดยสิ้นเชิง แถมยังเป็นสำนวนทางการทูตด้วย ไม่ใช่สำนวนธุรกิจ

    เอาง่ายๆ พวกเราคนไทยที่พูดภาษาไทยอยู่ทุกวัน ถ้าหลุดไปอยู่ในงานเลี้ยงทางการทูตของยุครัชกาลที่ 5 ที่ห่างออกไปแค่ร้อยกว่าปีก็พอ มีกี่คนที่สามารถใช้สำนวนการทูตภาษาไทยนี่แหละ ของยุคนั้นได้อย่างถูกต้องไม่มีที่ติ? อย่าว่าแต่หลุดไปในอดีต 1,000 ปีก่อนเลย

    สิ่งนี้บ่งบอกว่าคนเขียนไม่ได้มีความเข้าใจในความลึกล้ำของภาษาที่มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย แต่ดันแค่นจะยัดเยียดความสามารถนี้ให้นางเอกได้เด่นได้หน้าโดยลืมสร้างเหตุผลที่ฟังขึ้นให้แก่ข้อเท็จจริงข้อนี้ไป

    3.8 ในเรื่อง นางเอกจะสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา ทำกำไรมหาศาลมากจนเริ่มสะเทือนซางฮ่องเต้ ฮ่องเต้พี่ชายนางเอกจึงวางแผนฮุบกิจการของนางเอกมาเป็นของตัว โดยให้พี่ชายที่นางเอกสนิทด้วยมากคนหนึ่งลอบดำเนินการอยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ ซึ่งนางเอกรู้มาอยู่ก่อนแล้วว่าพี่ชายคนนี้เก่งทำการค้า และพ่อ (อัครเสนาบดี) เคยบอกว่า พี่ชายทำการค้าใหญ่โตไม่ใช่เล่น แต่นางเอกกลับไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้ออะไรของพี่ชายมาก่อน และเคยส่งคนไปสืบ แต่ไม่ได้เบาะแสร่องรอยอะไร ซึ่งจุดนี้แหละที่รั่ว

    ระดับนางเอก ความจริงแค่สืบไม่พบ มันก็ชวนให้สงสัยแล้ว และระดับพระเอก ฉลาดขนาดนั้นมีหรือจะไม่สืบเรื่องของคนรอบตัวคนที่ตัวเองรักจนทะลุปรุโปร่ง แต่กลับไม่ได้รู้เรื่องที่พี่ชายนางเอกเป็นคนของพี่ชายตัวเอง และแอบลอบเล่นงานธุรกิจของนางเอกอยู่ลับหลังเลย

    สรุปว่านางเอกกับพระเอกฉลาดรอบคอบมาก หรือโง่และสะเพร่าเลินเล่อมากกันแน่

    ยังมีอีกหลายจุดมากที่อ่านแล้วสุดยอดจะขัดแย้ง ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่คู่ควรแก่การแปล ความจริงคู่ควรแค่การเช่าอ่านเอามันฆ่าเวลาด้วยซ้ำ ห้ามไปเชื่อเป็นจริงเป็นจังกับข้อเท็จจริงในเรื่องเด็ดขาด

     

    4. นิยายจีนแนวข้ามมิติที่ดี ตัวเอกที่ข้ามมิติไป ไม่ควรแอบอ้างผลงานของคนโบราณเป็นของตัวเอง ถึงจะเป็นการไม่ได้บอกตรงๆ ว่าตัวเองไม่ได้แต่ง แต่ก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดของคนอื่น ทำให้คนอื่นคิดว่าตัวเองแต่งกลอนนั้น และยกย่องในความเก่งกาจด้านอักษรศาสตร์ของตัวเอง ก็ไม่สมควร มันบ่งบอกถึงความไร้ความสามารถของผู้เขียน ว่าไม่มีปัญญาหาความสามารถเจ๋งๆ อื่นที่สมเหตุสมผลมาใส่ตัวของตัวเอกได้แล้ว ถึงต้องหน้าด้านไปแอบอ้างผลงานของคนอื่นมาเป็นผลงานของตัวเอง ตัวอย่างนิยายจีนแนวข้ามมิติที่ตัวเอกหน้าด้านอย่างที่ว่ามา และเป็นเรื่องที่ดัง ก็เช่น เซียวหรานเมิ่ง มู่จิ่นฮัวซีเยว่จิ่นซิ่ว หว่านชิงซือ ฯลฯ

    นิยายลักษณะนี้ มักจะมีจุดร่วมอยู่อย่างหนึ่งคือ คนเขียนเขียนนิยายเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องแรก เขียนแล้วดัง และดังอยู่แค่เรื่องเดียว แถมตอนท้ายเรื่องยังเหมือนพยายามยืดพยายามแถจนความสนุกลดลงทุกที (เรื่อง หว่านชิงซือ จะชัดเจนมาก ดังเรื่องเดียวแล้วดับ) แม้ว่าเรื่องเซียวหรานเมิ่งจะจบได้ดีและคนเขียนเขียนอีกเรื่องที่เป็นแนวข้ามมิติเหมือนกันและพยายามดันให้ดัง แต่ระดับความสนุกและเข้าท่าเทียบไม่ได้เลยกับเซียวหรานเมิ่ง แถมคนเขียนยังพยายามเอามาโยงกับเซียวหรานเมิ่ง เพื่อให้คนที่ซื้ออ่านซื้อรวดเดียวทั้งสองเรื่องอีกด้วย

     

    5. ในนิยายแนวข้ามมิติ การใส่ความสามารถให้ตัวเอก ต้องคำนึงถึงความสมเหตุสมผลให้มากๆ เช่น

    5.1 ในเรื่องม่านม่านชิงหลัว บอกว่าพ่อแม่นางเอกเป็นข้าราชการชั้นสูง มีฐานะพอควร จึงให้นางเอกเรียนดีดพิณดีดเจิงเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ อันนี้สมเหตุสมผล เพราะนี่เป็นสิ่งที่ลูกคนพอจะมีฐานะนิยมเรียนกัน เนื่องจากพ่อแม่มีงานยุ่ง นางเอกต้องอยู่บ้านคนเดียว ต้องดูแลตัวเองมาแต่เด็ก พ่อแม่จึงให้เรียนคาราเต้ อันนี้ก็สมเหตุสมผล เพราะการเรียนศิลปะป้องกันตัวไม่ใช่สิ่งที่แปลก และเด็กสมัยนี้เรียนโน่นเรียนนี่กันหลายอย่างเป็นเรื่องปกติ

    5.2 ในเรื่องม่านม่านชิงหลัว นางเอกในร่างใหม่มีพรสวรรค์ในการดีดพิณ ฝึกจนเก่งเทพตั้งแต่อายุแค่ 12 ปี ก็เป็นสิ่งสมเหตุสมผล เนื่องจากแม่ของนางเอกในร่างใหม่เก่งในด้านนี้อยู่แล้ว ตามสายเลือดของร่างใหม่ + พื้นฐานด้านการดีดพิณที่นางเอกเคยเรียนมาบ้างในชาติก่อน + สมองในการเรียนรู้แบบรู้จักวิเคราะห์จับหลักของผู้ใหญ่ ทำให้นางเอกสามารถเรียนได้เร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ ที่อายุเท่ากันมากเป็นธรรมดา

    5.3 ในเรื่องม่านม่านชิงหลัว ตอนอยู่ในโลกปัจจุบัน นางเอกถนัดทำอาหาร ทำได้อร่อยหลายอย่าง เนื่องจากต้องอยู่คนเดียวและดูแลตัวเองเป็นประจำ แต่ฝีมือก็อยู่ในระดับที่คนทั่วไปซึ่งไม่ใช่เชฟหรือคนมีอาชีพทำอาหารจะสามารถทำได้ ในเรื่องก็ให้นางเอกได้โชว์ความสามารถนี้ แต่ไม่ได้โอเวอร์ อยู่ในระดับพอเหมาะและสมเหตุสมผล

    5.4 ในเรื่องม่านม่านชิงหลัว นางเอกไม่เคยแอบอ้างบทกลอนของใคร เพราะในความเป็นจริง หลังจากสอบเสร็จ มีใครสักกี่คนที่ยังคงจำกลอนที่ต้องท่องไปสอบได้ครบถ้วนทุกบท? และแม้จะเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ ผู้เขียนก็ไม่ได้ให้นางเอกโชว์ภาษาอังกฤษ เนื่องจากในความเป็นจริง การเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ ไม่ได้แปลว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้น้ำไหลไฟดับเหมือนโตมาในประเทศเจ้าของภาษา

    5.5 ในนิยายข้ามมิติเรื่องหนึ่ง ให้นางเอกเป็นนักศึกษาแพทย์ที่เพิ่งเรียนจบ มีพ่อเป็นมหาเศรษฐี นางเอกเป็นลูกสาวคนเดียว เมื่อข้ามมิติไป ความสามารถที่นางเอกมีคือ 1. ดีดพิณเก่งมาก เพราะภพก่อนก็ดีดเก่งอยู่แล้ว ภพนี้ร่างใหม่ก็ดีดเก่งมาก พอรวมร่างกันเลยยิ่งดับเบิ้ลเก่ง 2. ชาติก่อนเรียนแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณบ้าง (นศ.แพทย์จีนต้องเรียนทั้งแพทย์จีนแผนโบราณและปัจจุบันควบคู่กัน มหาโหดมาก) มายุคนี้ร่างใหม่เก่งแพทย์แผนโบราณ นางเอกเลยแทบจะเป็นหมอเทวดา 3. เนื่องจากมีพ่อเป็นนักธุรกิจใหญ่ ดังนั้นนางเอกจึงมีความสามารถด้านการบริหารคนและทำธุรกิจอยู่ในสายเลือด 4. เนื่องจากทั้งภพเดิมและร่างใหม่ต่างก็เป็นคุณหนู นางเอกจึงมีมาดสง่าโดยธรรมชาติ 5. เพราะเรียนหมอต้องจบสายวิทย์มา นางเอกจึงเก่งคำนวณและพอรู้วิชาเคมีมากพอที่จะลองสร้างดินระเบิดได้ ซึ่งความสามารถที่ว่ามาทั้งหมดนั้น สมเหตุสมผลทั้งสิ้น

    5.6 ในเรื่อง เฟิ่งฉิวหวง (หงส์ผู้จีบหงส์เมีย) ผู้เขียนบอกว่า นางเอกมีความสามารถดังนี้ 1. พูดภาษารัสเซีย อังกฤษ ญี่ปุ่นได้คล่องมาก เพราะบริษัทมีสาขาอยู่ในสามประเทศที่ว่านี้ 2. นางเอกรู้ส่วนผสมและวิธีทำแก้วเจียระไน เพราะนางเอกมีบริษัทที่ทำเครื่องประดับอยู่ 3. นางเอกรู้สูตรอาหารที่ทำจากยาสมุนไพร เพราะนางเอกมีร้านอาหารแบบนี้อยู่ และคลุกคลีกับหัวหน้าเชฟบ่อยๆ เลยได้สูตรมา 4. นางเอกรู้จักประเมินค่าและตีราคาภาพปักและสิ่งทอ เพราะนางเอกมีบริษัทที่ทำด้านนี้อยู่ 5. นางเอกรู้เรื่องหินอ่อนและเหมืองหินอ่อนดี เพราะมีบริษัทด้านนี้อยู่ 6. นางเอกเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวแบบเป็นวิชาฆ่าคน พ่อแม่ให้เรียน จึงมีวิชานี้ติดตัว 7. นางเอกเคยแกะปืนและประกอบดู เลยลองสร้างปืนเลียนแบบ แต่ทำออกมาได้ไม่ดี สุดท้ายเลยดัดแปลงเป็นปืนยิงลูกดอก 8. นางเอกรู้สูตรทำดินระเบิด 9. นางเอกมีบริษัทผลิตยา 10. นางเอกในภพก่อนจีบสาวเก่งมาก มีสาวน้อยมาหลงรักเยอะแยะ 11. นางเอกเต้นรำทุกแขนงเก่งมาก เพราะต้องใช้ในการเข้าสังคม อ่านแล้วกุมขมับอย่างมากที่คนเขียนพยายามยัดเยียดความสามารถพวกนี้ให้นางเอกโดยไม่นึกถึงความเป็นจริงเอาเลย แบบนึกอยากใส่อะไรก็ใส่เข้าไป นึกอยากเขียนอะไรก็เขียน

    ปกติ ธุรกิจนั้น มีหลายอย่างได้ แต่มักจะต้องเป็นแบบเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน จำพวกธุรกิจครบวงจร หรือไม่ก็เป็นไปในทางเดียวกัน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารก็ทำแต่พวกเรื่องอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องประดับก็ทำแต่พวกเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอก็สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยางก็ทำแต่ด้านยาง ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ทำแต่อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะการทำข้ามเขตมันยากมาก ทั้งการค้นคว้า วิจัย สำรวจตลาด ฯลฯ เสียเวลากันเป็นปีๆ แต่นี่ นางเอกทำทั้งเครื่องประดับ ทั้งอาหาร ทั้งยา ทั้งสิ่งทอ ทั้งเหมืองแร่ แถมการเริ่มธุรกิจแต่ละอย่างเหล่านี้ในโลกใหม่ เป็นไปแบบไม่มีการทดลองสำรวจตลาดโดยสิ้นเชิง เห็นชัดมากว่าคนเขียนเขียนแบบเอามัน ฉันอยากจะให้เป็นแบบนี้นี่ ใครจะทำไม? ซึ่งคนที่พอจะมีความรู้ในด้านนี้ จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยากมาก อย่างน้อยก็ไม่มีทางทำได้ในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี

    นอกจากนี้ ถ้านางเอกเก่งขนาดมีบริษัทสารพัดแขนงธุรกิจนั่น มีสาขาในหลายประเทศ แล้วยังมีเวลาไปเรียนภาษาพวกนั้นจนคล่อง มีเวลาเรียนความสามารถพิเศษสารพัดอย่างจนฝีมือดีเลิศ เช่น เล่นเปียโน เต้นรำทุกรูปแบบ ฝึกวิชาฆ่าคนสำหรับป้องกันตัว แถมยังมีเวลาไปจีบผู้หญิงอีก แสดงว่านางเอกอัจฉริยะมาก และอัจฉริยะระดับนี้ น่าจะเรียนจบปริญญาเอกตั้งแต่อายุ 14-15 ปีแล้ว และน่าจะเริ่มหัดทำงานคุมบริษัทมาตั้งนานแล้วด้วย ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมากระเสือกกระสนหัดทำทุกอย่างเอาหลังจากที่พ่อแม่ตายตอนอายุ 14 ความสมเหตุสมผลของเนื้อเรื่องจึงขัดแย้งกันอย่างมาก

     

    6. ในนิยายแนวข้ามมิติ เท่าที่อ่านมา ทุกเรื่องจะมีตัวละครชายรวมทั้งพระเอกแห่กันมารุมชอบนางเอกเรื่องละไม่น้อยกว่า 2 ราย ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นการไม่สมควรอะไร หากผู้เขียนจะทำให้คนอ่านเชื่อได้ว่า นางเอก คู่ควร แก่ความรักที่ตัวละครชายเหล่านั้นมอบให้

    6.1 ในเรื่องม่านม่านชิงหลัว นางเอกฉลาด น่ารัก ตาสวยสะดุดตามาก และความจริงก็หน้าตาสวยมาก ตรงไปตรงมา จริงใจ ไม่มีจริตที่น่ารำคาญ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นคุณสมบัติที่ไม่สร้างความรู้สึกขัดแย้งในการที่มีตัวละครชายหลายคนมาหลงรักนางเอก

    6.2 ในเรื่องหย่งเยี่ย นางเอกสวยมาก มีความลึกลับที่น่าค้นหา คาดเดายาก ลื่นเป็นปลาไหล โดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นคุณสมบัติที่ไม่สร้างความรู้สึกขัดแย้งในการที่มีตัวละครชายหลายคนมาหลงรักนางเอกเช่นกัน

    6.3 เรื่องมณีนพเก้า นางเอกสวย เก่ง ฉลาด มากความสามารถ รักอิสระ ในความร่าเริงมีความสำรวม พิเศษกว่าผู้หญิงทุกคนในเรื่องโดยอยู่ในกรอบของความสมเหตุสมผล จึงไม่แปลกที่ตัวละครชายหลายตัวในเรื่องจะมาหลงรักนางเอก

    6.4 เรื่องเซียวหรานเมิ่ง นางเอกหน้าตาเสียโฉม แต่นิสัยร่าเริง ฉลาด อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ถึงอย่างนั้น จากคุณสมบัติที่ผู้เขียนร่ายมา ก็ยังรู้สึกแปลกๆ และเวอร์อยู่ดีที่พวกผู้ชายชั้นเลิศในเรื่องจะพากันแห่มารักนางเอกจะเป็นจะตาย เพราะนางเอกยังไม่โดดเด่นพอที่จะไม่มีผู้หญิงคนไหนในยุคนั้นสามารถเทียบได้

    6.5 เรื่องหว่านชิงซือ นางเอกหน้าตาไม่ได้สวยอะไรมาก แค่อาศัยความรู้ของคนในยุคปัจจุบันสร้างชื่อเสียง สร้างความทึ่งให้คนอื่น แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ยังไม่มีเสน่ห์พอที่จะดึงดูดให้ผู้ชายระดับท็อปมาชอบได้ แต่คนเขียนก็เขียนให้หนุ่มๆ ระดับท็อปทั้งเก่งทั้งหล่อทั้งฉลาดเหล่านั้นแห่กันมารุมรักนางเอกแบบหัวปักหัวปำ อ่านแล้วก็...เฮ้อ...

    6.6 เรื่องมู่จิ่นฮัวซีเยว่จิ่นซิ่ว นางเอกหน้าตาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทีแรกคนเขียนบอกไม่สวย ต่อมาบอกฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าคนเขียนไม่สวย แค่บอกว่าสวยสู้จิ่นซิ่วไม่ได้ (อ้อ เรอะ) และพอแต่งหน้าแล้วสวยขึ้นเยอะเหมือนกัน นางเอกใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันมาสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองเป็นคนเก่ง คนฉลาด และทำให้ตัวเองรวย แต่เนื้อแท้ข้างใน นอกจากเรื่องที่เป็นคนดีแล้ว นอกนั้นหาข้อดีลำบากมาก และข้อเสียสุดๆ คือเรื่องใจโลเล อีกอย่างคือ ตอนที่อ่าน ดูไม่ออกเลยว่านางเอกเริ่มชอบเฟยเจว๋ตอนไหน เหมือนอยู่ๆ คนเขียนนึกขึ้นได้ว่า ให้นางเอกชอบเฟยเจว๋ดีกว่า ก็เขียนบรรยายไปเลยว่านางเอกรักเฟยเจว๋โดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว นี่เพิ่งจะมารู้ตัว (เล่นง่ายดีนะคนเขียน)

    สรุปคือคุณสมบัติของนางเอกไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอ่านเชื่อได้เช่นกันว่า ทำไมหนุ่มหล่อแสนเก่งแสนฉลาดพวกนั้นถึงได้แห่กันมาหลงรักนางเอก แถมยิ่งไปเล่มหลังๆ ประเด็นนี้ยิ่งน่าคิดเข้าไปใหญ่ เพราะคนเขียนหมดมุก ไม่รู้จะให้นางเอกแสดงความสามารถทางสมองยังไงแล้ว เหลือแต่ความเป็นคนดี นอกนั้นก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงตัวละครชายที่มาหลงรักทุกคน ไม่สามารถยืนเคียงคู่เขาอย่างหยิ่งผยองได้เลย

    6.7 เรื่องเฟิ่งฉิวหวง (หงส์ผู้จีบหงส์เมีย) นางเอกจากหน้าตาสวยธรรมดา กลายเป็นโคตรรสวยมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนความสามารถก็สารพัดอย่างที่ร่ายมาแล้วข้างต้น แต่...พระเอกน่ะช่างเถอะ เพราะคนเขียนเขียนมาทำนอง เป็นคู่กันมาแต่ชาติก่อน เลยเจอกันแล้วปิ๊ง แทบจะเป็นรักแรกพบ จากนั้นพระเอกก็ตามจีบนางเอกตลอด อันนี้โอเค เพราะมันเป็นเรื่องของบุพเพฯผูกพันกันมาแต่ชาติก่อน สามารถรับได้ แต่พี่ชายพระเอกนี่สิ...ทั้งที่ก็สนิทกับน้องชายมาก รู้ว่าน้องพยายามช่วยดันตัวเองเป็นฮ่องเต้สุดฤทธิ์ ก็ยังคิดจะแย่งผู้หญิงคนเดียวที่น้องชายรัก ทั้งที่ตัวเองก็แต่งงานมีเมีย 2 ลูก 2 แล้ว แถมยังเข้าทำนองรักแรกพบนางเอกเหมือนน้องชายตัวเองอีก คนเขียนก็ออกจะพยายามแถ + ยัดเยียดเพิ่มจำนวนหนุ่มที่มาหลงรักนางเอกมากเกินไป

    6.8 เรื่องเฟิ่งฉิวหวง (หงส์ผู้ขังหงส์เมีย) เรื่องนี้ขึ้นต้นมาแบบพิสดารที่สุดก็ว่าได้ วิญญาณนางเอกมาเข้าร่างองค์หญิงที่ชื่อฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เป็นองค์หญิงที่มี สนมชาย อย่างเปิดเผยถึง 30 คน และตื่นมาบนเตียงที่มีหนุ่มเปลือยนอนอยู่ด้วย 5 คน (รวมพระเอก) กรี๊ดบ้านแตกสิคะ เรื่องนี้ ถ้าไม่นับที่ว่า เขียนแบบยืดน้ำท่วมทุ่งจนน่าจับย่อเหลือแค่ 1 เล่มครึ่งจากเดิม 3 เล่มจบจะพอดีมาก ถือว่าเขียนได้น่าสนใจทีเดียว ความสมเหตุสมผลของการที่พระเอกจะรักนางเอก และการที่ตัวละครชายอีกสองคนจะมารักนางเอก รวมถึงเงื่อนไขด้านเวลาที่ตัวละครชายเหล่านั้นหันมารักนางเอก ไม่มีที่ติทั้งหมด

     

    7. ในนิยายเรื่องใดก็ตาม หากคนเขียนวางปมเอาไว้ ก็ควรจะคลายปมที่วางเอาไว้ให้หมดในตอนจบ หรือไม่ก็ในตอนพิเศษหรืออะไรก็ตามที่จะมีต่อมา พูดง่ายๆ คือ เมื่อรวมเนื้อเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกันของนิยายเรื่องนั้นหรือชุดนั้นทั้งหมดแล้ว ควรจะเคลียร์

    ในนิยายแนวข้ามมิติเรื่องหนึ่งที่อ่านก่อนหน้านี้ ซึ่งซื้อมาเพราะคำโปรยความเห็นของคนอ่านคนหนึ่งพูดทำนองว่า อ่านนิยายแนวข้ามมิติมาก็ตั้งมาก มีแต่แบบเหล้าเก่าในขวดใหม่ทั้งนั้น มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่แปลกใหม่ และเป็นนิยายแนวข้ามมิติที่สนุกที่สุดที่เคยได้อ่านมา แต่พอดิฉันอ่านจบแล้ว อยากเห็นหน้าคนเขียนคำวิจารณ์นี้จริงๆ อยากจะถามเธอว่า คุณเคยอ่านนิยายแนวข้ามมิติแต่ไอ้ที่เป็นนิยายขยะทั้งนั้นใช่ไหม ถึงได้มองว่าเรื่องนี้เจ๋งที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา?

    นิยายเรื่องที่ว่านี้ นอกจากสำนวนการเขียนที่เห็นได้ชัดว่าคนเขียนยังอ่อนหัด สำนวนยังไม่ใช่มืออาชีพ เป็นได้แค่เรื่องที่เช่าอ่านเอามันส์ก็พอ ไม่ควรไปเสียตังค์ซื้อแล้ว ปมแรกที่คนเขียนวางเอาไว้ ว่าฮ่องเต้พี่ชายต่างแม่ของนางเอกดูเหมือนจะหลงรักนางเอกอยู่ จนจบเรื่องก็ไม่ได้เอ่ยถึงอีกเลยเหมือนคนเขียนลืมไปแล้วว่าใส่ปมนี้ไว้ แถมบุคลิกหน้าตาของนางเอก (หน้าตาธรรมดา ไม่มีความรู้อะไรเป็นพิเศษ แค่พูดเก่ง บ้าผู้ชาย หน้าหนาไม่รู้จักอาย เกี้ยว + แต๊ะอั๋งหนุ่มหล่อได้หน้าตาเฉย จากนั้นหนุ่มหล่อที่ถูกแต๊ะอั๋งก็หันมาหลงรักนางเอก ทั้งที่ตอนแรกเกลียดนางเอกมาก) ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนอ่านคนนี้เชื่อได้ว่า นางเอกมีตรงไหนที่คู่ควรให้ตัวละครชายที่โดดเด่นในเรื่องมาหลงรักจะเป็นจะตายในเวลาอันสั้น

    เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องเป็นแบบ ฉันคือคนเขียน ฉันคือพระเจ้า ฉันอยากจะใส่อะไรก็ใส่ ฉันอยากจะให้เป็นยังไงก็ต้องเป็นอย่างนั้น ช่างหัวความสมเหตุสมผล ช่างหัวว่าจะขัดแย้งกันเองสิ อ่านแล้วเสียดายเงินที่ซื้อมาอย่างแรงค่ะ นิยายเรื่องนี้ชื่อ เหอชินกงจู่ (องค์หญิงที่ถูกส่งไปแต่งงานเพื่อผูกสัมพันธไมตรี)

     

     

    นึกไม่ออกแล้ว ที่เหลือขอวิจารณ์แบบทั่วๆ ไป

    ปกติแล้ว นิยายที่เขียน มักจะสะท้อนถึงอะไรๆ หลายๆ อย่างในตัวของผู้เขียนออกมา ทั้งความรู้ ระดับการใช้ภาษา แนวความคิด ประสบการณ์ ฯลฯ

    สังเกตมานานแล้วว่า ผู้อ่านมักจะชอบอ่านนิยายแนวตลก คงเพราะอ่านแล้วสบายใจดี แต่การเขียนนิยายตลกที่มุกตลกไม่ฝืด เป็นธรรมชาติ และไม่ซ้ำใคร ไม่ใช่เรื่องง่าย นักเขียนที่มือไม่ถึงหลายคนเขียนออกมาเห็นเลยว่า จงใจเขียนให้ตลก แต่เพราะมุกมันเฝือ จึงกลายเป็นตลกฝืด เหมือนเรื่อง เหอชินกงจู่ คนอ่านชาวจีนหลายคนอาจจะอ่านแล้วชอบมาก แต่สำหรับคนอ่านคนนี้ ได้แต่ถอนใจด้วยความเสียดายเงิน ว่ารู้งี้โหลดจากในเน็ตมาอ่านฟรีก็พอ

    สังเกตอีกแหละ ถึงตัวละครที่ฉลาดในนิยายแต่ละเรื่อง เหมือนจะสะท้อนถึงประสบการณ์ต่อคำว่า ฉลาด ของผู้เขียนมากเป็นพิเศษ ตัวละครที่ฉลาด เป็นตัวละครที่สร้างสถานการณ์ให้ยาก และควบคุมยากค่อนข้างมากตัวหนึ่ง ส่วนใหญ่ที่เห็น คนเขียนบอกว่าตัวละครฉลาดเลิศลอย แต่กลับไม่สามารถสร้างสถานการณ์ให้ตัวละครนั้นคงความฉลาดเอาไว้ได้อย่างคงเส้นคงวา และกลายเป็นโง่บ้างฉลาดบ้าง แถมทำท่าว่าจะโง่มากกว่าฉลาดเสียด้วยอยู่บ่อยๆ

    ความฉลาดนี้ก็แบ่งเป็นหลายอย่าง เช่น ฉลาดในการเรียน ฉลาดในการใช้ชีวิต ฉลาดในการทำงาน ฉลาดในการวางแผน ฉลาดในการแก้ปัญหา มีแต่คนที่เคยมีประสบการณ์ ไม่ว่าจะจากการอ่านหนังสือ หรือพบเจอมาเองกับตาตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่า ต้องทำได้ในระดับไหนถึงจะเรียกว่า น่าทึ่ง และ ไม่โอเวอร์

    ขณะเดียวกัน ก็มีแต่คนอ่านที่เคยมีประสบการณ์ ไม่ว่าจะจากการอ่านหนังสือ หรือพบเจอมาเองกับตาตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่า ความฉลาด ที่คนเขียนเขียนมา ฉลาดจริง (ต้องอย่างสมเหตุสมผลด้วยนะ) หรือเป็นแค่ความฉลาดเท่าที่ความรู้อันจำกัดของผู้เขียนรู้มา

    ดังนั้นหากนิยายเรื่องไหนที่คนเขียนบอกว่าตัวละครฉลาด ในเนื้อเรื่องคนเขียนพยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่าตัวละครฉลาดมากๆ และตัวละครก็สามารถทำให้คนอ่านรู้สึกว่าเขาฉลาดจริงๆ เสมอต้นเสมอปลายได้ ก็นับว่านักเขียนคนนั้นมีฝีมือดีพอตัว เช่น ม่านม่านชิงหลัว หย่งเยี่ย บันทึกฮองเฮาออกจากวัง มณีนพเก้า หัวใจนี้ไร้พรมแดน ฉิงเหออี่คาน เฉินกง เฟิ่งฉิวหวง (หงส์ผู้ขังหงส์เมีย) ฯลฯ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×