ตอนที่ 11 : BLUE BELLs 10 [100%]
“ให้ไปด้วยเลยไหมจะได้ไม่ต้องรอกันไงพี่กลัวจะดึกด้วย” ต้นเสียงดังมาจากทางห้องน้ำ อัลฟ่าร่างสูงพาร่างกายที่ยังคงมีหยดน้ำเกราะพรมมาหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียงตรงกลางห้อง เอวสอบที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามมีผ้าขนหนูผืนสีดำพันไว้อย่างหมิ่นเหม่
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวพี่ค่อยไปรับมินทีเดียวเลยก็ได้” คนตอบยืนหันหลังให้แต่ใบหน้าสวยหวานนั้นเงยมองเงาสะท้อนในกระจกของคนตัวสูงที่ยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลัง
“เอางั้นจริงๆหรอ?”
“ครับ แต่จำได้ใช่ไหมว่าต้องเข้ามาทางด้านหลัง” จีมินเอ่ยย้ำประโยคนี้เป็นรอบที่สามของวันจนเขาเองก็ยังนึกแปลกใจ ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังงุ่นง่านอยู่กับอะไรสักอย่างในตู้เสื้อผ้าของเรา เห็นรื้อๆค้นๆมาสักพักเเล้ว
“หาไรอยู่? คุ้ยเหมือนแมว”
“พี่เห็นสร้อยข้อเท้ามินไหม คืนนั้นมินจำได้ว่าพี่ถอดใส่กระเป๋าเสื้อของมินไว้แต่มินจำไม่ได้ว่าตัวไหน”
“หื้มม นานล่ะนะมิน หายแล้วมั้ง” จองกุกแกล้งให้อีกคนใจหายทั้งที่เป็นตัวเองนั่นแหละที่เก็บสร้อยข้อเท้าเส้นนั้นไว้ เขาก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวก็ประชิดกับแผ่นหลังบางของโอเมก้าตัวเล็กที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าตัวเสื้อผ้า เขามองต้นขาเรียวสวยที่อวดผิวเนียนจากการที่จีมินใส่แต่เสื้อยืดตัวโคร่งกับแพนตี้ตัวเล็กตัวเดียว สังเกตหลายครั้งแล้วน้องจะไม่ค่อยใส่อะไรที่มันอึดอัด จะเน้นง่ายๆสบายตัวเอง แต่ทั้งหมดมันก็มีข้อแม้ว่าต้องแค่กับเขา
“ใช่ตัวนี้ป่าวว” จองกุกว่าชิดใบหนูเล็กทั้งยังแกล้งโน้มตัวทาบทับคนตัวเล็กตรงหน้าจนคนถูกแกล้งแถบผลุบหายเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้า
“เบียดอ่ะ มินเอื้อมไม่ถึงหรอกพี่หยิบให้มินหน่อย” จีมินจิปากเบาๆ พลางก็บ่นเมื่อจองกุกชี้ไปยังโค้ชตัวสีครีมที่ปกติมันควรจะถูกห้อยไว้บนราวเหมือนกับเสื้อตัวอื่นๆ แต่ไหงมันถึงถูกพับเก็บไว้ที่ชั้นบนสุดซึ่งอยู่สูงกว่าความสูงของเขา
“ช่วยได้แต่ให้หยิบเอง” จองกุกว่าพร้อมกัดเม้มเข้าที่ใบหูเล็กไปหนึ่งที สีหน้าเจ้าเล่ห์และน้ำเสียงแบบนี้จีมินคิดว่ามันไม่น่าไว้ใจเลย
ว๊ายยย!!
ฟึบ
“อื้อออ เดี๋ยวมินตก พี่จองกุก...” คนตัวเล็กเผลอร้องด้วยความตกใจเมื่ออัลฟ่าร่างสูงจู่ๆก็สอดตัวเข้าใต้หว่างขาของเขาก่อนมือใหญ่จะจับเข้าที่ข้อพับขาให้วางเหมาะเจาะบนไหล่ทั้งสองข้าง จากนั้นคนตัวสูงถึงยืดตัวขึ้นจนสุดทำให้ตอนนี้จีมินตัวลอยเหนือพื้นเพราะถูกจองกุกจับให้ขึ้นนั่งเกี่ยวบนต้นคอ
มือเล็กของโอเมก้าขยุ้มเส้นผมสีดำขลับไว้เพราะกลัวตกลงมา ซอกขาด้านในที่เปลือยเปล่าบีบเข้าหาต้นคอแกร่งเมื่อการทรงตัวบนที่สูงค่อนข้างจะลำบาก
“อย่าสั่นแรงเดี๋ยวตก” จองกุกก็ยังคงขี้แกล้งแต่เชื่อเถอะว่าเขาไม่มีวันปล่อยให้จีมินตกลงมาหรอก
“ไม่ต้องเลย ขยับไปข้างหน้าสิครับมันห่างมินเอื้อมไม่ถึง” จีมินว่าเมื่อลองเอื้อมมื้อออกไปตรงหน้าแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงโค้ชตัวสีครีมที่ถูกพับไว้ด้านในสุด ตอนนี้มันเริ่มรู้สึกวาบหวามไปหมดจากการที่ความโล่งปะทะเข้ามาเพราะเสื้อตัวที่ใส่ดันถูกพี่จองกุกเลิกขึ้นจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน มิหนำซ้ำคนที่แบกเขาไว้ยังแอบใช้มือบีบขย้ำผิวตรงต้นขาที่พาดไว้กับไหล่นั่นอีกด้วย
“เอื้อมถึงยังร้อนหมดล่ะเนี่ย” จองกุกบ่นหากแต่ก็ชอบใจเมื่อเริ่มรู้สึกร้อนตรงต้นคอที่สัมผัสเสียดสีกับตรงนั้นของจีมิน แม้จะมีชั้นในตัวเล็กกั้นอยู่แต่ก็นะ…มันให้ความรู้สึกเร่าร้อนจริงๆ
“ระ...ร้อนอะไรครับแอร์ยังเปิดอยู่เลย” จีมินขมวดคิ้วน้อยกับคำพูดแปลกๆของอีกคนก่อนพยายามเอื้อมแขนสุดฤทธิ์อีกครั้งเพื่อหยิบเอาโค้ชตัวที่ว่าจนในที่สุดมันก็มาอยู่ในมือ
“ได้แล้ว...” น้ำเสียงเหมือนดีใจยิ่งกว่าถูกหวยทำจองกุกอมยิ้มกับตัวเอง
“แต่ไม่เห็นจะมีสร้อยข้อเท้าของมินเลย” จีมินก้มถามคนที่ยืนสะท้อนในกระจกเงาทันที จากที่ดีใจเมื่อครู่ตอนนี้คืออารมณ์เริ่มบูดแล้ว มือเล็กลองสอดหาสร้อยข้อเท้าในกระเป๋าเสื้อแต่ก็พบว่ามันไม่มีอะไรในเสื้อโค้ชตัวนี้เลย ลองสั่นๆดูก็ไม่มีเสียงอะไรสักอย่าง ว่างเปล่า
“อ้าวว ไม่มีหรอกหรอ สงสัยจำผิดมั้งคงไม่ใช่ตัวนี้”
เพียะ ไปหนึ่งที
“เจ็บ...มิน” จองกุกโดนตีเข้าที่ไหล่ไปหนึ่งที ไม่คิดว่าฝ่ามือเล็กๆของจีมินจะแสบขนาดนี้
“พี่หลอกมินแน่ๆ ปล่อยลงเดี๋ยวนี้เลย” คนถูกหลอกหน้าง้ำหน้างอเข้าใส่อยากจะทึ้งศรีษะพี่เขาแรงๆ
“เดี๋ยวๆๆ หยุดก่อนมิน ล้มเจ็บทั้งคู่ทำไง” จองกุกรีบห้ามเมื่อโอเมก้าตัวเล็กที่นั่งเกี่ยวบนต้นคอกำลังดึงทึ้งเส้นผมของเขาเหมือนต้องการเอาคืน
“ก็พี่ชอบแกล้งมินก่อนอ่ะไม่ต้องมาทำเสียงดุใส่เลย” จีมินคาดโทษตามประสาเด็กน้อย และเหมือนจะดึงทึ้งเส้นผมจองกุกแรงไปหน่อยจนเป็นตัวเองที่เกือบเสียการทรงตัวและเกือบจะหงายหลังตกลงพื้น
“เกือบแล้วไหม น่าตีนัก” จองกุกติติงเสียงเข้มเมื่อคนที่เกือบจะหล่นลงพื้นรีบเกี่ยวขากับต้นคอของเขาไว้เเน่น เมื่อกี้นี้ถ้าเขาจับขาน้องไว้ไม่ทันก็คงได้เข้าเฝือกเป็นเดือนแน่
“จะอุ้มอีกนานไหม ไม่หนักเหรอปล่อยมินลงเถอะ” จีมินเอ่ยอีกครั้งเมื่อจองกุกยังไม่ยอมปล่อยให้เขาลงจากต้นคอแถมยังพาเดินวนจะรอบห้องแล้ว และพึ่งสังเกตว่าพี่เขายังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า พอได้เห็นหุ่นแน่นๆชัดๆแบบนี้เเล้วมันก็เขินเหมือนกันนะ
“ตัวแค่นี้จะเอาไรมาหนัก ให้แบกทั้งวันยังได้เถอะ”
“ดูพูดเข้าสิครับ ถามหรือยังว่ามินจะให้แบกไหม...ขี้ตู่”
“เอา!! ก็ถ้าผัวไม่แบกเมียแล้วใครจะแบก หื้มม“
เพียะ ไปอีกหนึ่งครั้ง
“มันสองครั้งล่ะนะมินต้องเอาคืนบ้างล่ะ”
“อื้อออ พี่…” จีมินดันใบหน้าคมออกแทบไม่ทันเมื่อจองกุกฝังปลายจมูกลงที่ซอกขาด้านในที่พาดไว้บนไหล่แรงกดสูดดมชวนให้จั๊กจี้ที่ผิวกายและมัน...เกินไปแล้ว
“อย่ากัด มินเจ็บ” เขาร้องห้ามเมื่อสัมผัสได้ถึงไรฟันคมๆของอัลฟ่าตัวสูงที่กัดเม้มลงบนผิว มันค่อยๆไต่ระดับขึ้นมาจนถึง…
“มะ ไม่ ปล่อยมินลงเลยนะ พี่จองกุก” เขาร้องท้วงแทบไม่ทันเมื่อต้นขาที่บีบแน่นเข้าหาต้นคอแกร่งถูกพี่จองกุกบังคับให้แยกออกจากกัน คนตัวสูงที่ไม่รู้ว่าต้องการเล่นอะไรเอี้ยวใบหน้ามาทางด้านซ้ายก่อนฝังปลายจมูกกดลงเบาๆผ่านเนื้อผ้าชิ้นบาง แทบจับจังหวะการหายใจไม่ได้เมื่อความวาบหวามเล่นเข้ามาจุกอยู่ที่อกจนรู้สึกมวนท้อง ฝ่ามือน้อยๆขยุ้มลงบนกลุ่มผมเพื่อระบายความคับแน่นภายในกายที่เริ่มตีรวนขึ้นมา
“หอมเฉยๆ สั่นไรขนาดนั้น” จองกุกเอ่ยแซวพร้อมมองเงาสะท้อนของจีมินในกระจก เห็นน้องหลับตาพริ้มทั้งยังกัดเม้มปากตัวเองแล้วมันก็…
“เดือนนี้ฮีทรึยัง?”
“ยะ...ยังครับ” ถามแบบนี้หมายความว่าไง
“งั้นก็ดีแล้ว” จองกุกว่ามาสั้นๆเขาถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก คนตัวสูงปล่อยเขาลงยืนบนพื้นก่อนจัดแจงเสื้อยืดตัวโคร่งที่เลิกไปถึงไหนต่อไหนให้กลับเข้าที่เดิม
“สร้อยข้อเท้าอยู่ในลิ้นชักที่หัวเตียง เอาไปซ่อมให้แล้วน่าจะใส่ได้” จองกุกชี้นิ้วไปยังลิ้นชักที่ว่าแต่จีมินกลับไม่ได้มองตาม โอเมก้าตัวเล็กยืนยิ้มมองเขาเงียบๆก่อนจะ...
“รักมากๆเลยนะครับรู้ใช่ไหม” จู่ๆก็พูดประโยคนี้แล้วก็เข้ามาหอมแก้มเขา ซึ่งมันดูแปลกๆไปหน่อย
“ปกติไม่เห็นหอมแก้มก่อน?”
ฟอด จุ๊บ จุ๊บ
“แล้วเจอกันคืนนี้นะ...มินจะรอ”
17.00
สนามแข่งรถ
“เฮียว่ามันแปลกๆไหมวะ พรุ่งนี้ก็จะเริ่มพิธีล่ะแต่ไม่เห็นคนของจ่าฝูงเคลื่อนไหวเลย ฮุนว่ามันทะแม่งๆไงไม่รู้ว่ะ”
“เออเนี่ย มึงคิดเหมือนเฮียเลยไอ้ฮุน เงียบจนเเม่งใจไม่ดี” แทฮยองตบเข้าที่บ่าของคนน้อง เขาคิดเหมือนกันว่ามันเงียบเกินไป มันเเปลกมากที่จ่าฝูงจะไม่ทำอะไรเลย
“กูว่ามันก็จริงเหมือนที่ไอ้น้องฮุนมันพูดแหละเหมือนจ่าฝูงเขามั่นใจเลยว่ะว่าพรุ่งนี้มึงต้องมา” หันไปเอ่ยพูดกับคนที่นั่งตรงหัวโต๊ะในห้องรับรองวีวีไอพี จองกุกพึ่งจะมาถึงสนามแข่งรถเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหลังจากไปส่งจีมินที่ฝูงเหนือ น้องบอกว่าขอกลับไปเอาของใช้ส่วนตัวที่ลืมไว้แล้วค่อยให้เขาไปรับอีกทีตอนดึกๆ
บอกเลยว่าเขาไม่ค่อยสบายใจ เห็นน้องยิ้มให้แต่ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้มันเศร้าจนไม่รู้ว่าอีกคนคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
“กูก็ต้องมาอยู่แล้วใครมันจะกล้าขัดคำสั่งจ่าฝูงวะ”
“อ้าวว ไหนบอกจะไปที่อื่นสักพักกับมินไงเฮีย” จีฮุนเริ่มไม่เเน่ใจว่าพี่ชายคนนี้จะเอายังไงกันเเน่
“เออ มึงเอาดีๆดิวะพวกกูสับสนหมดล่ะเนี่ย” แทฮยองเองก็เช่นเดียวกัน
“ก็มา...แต่ไม่ใช่กูที่มา...”
“มึงช่วยพูดยาวๆให้เข้าใจทีเถอะ อยู่กับเฮียกิบ่อยไง” แทฮยองบ่นพร้อมพาดพิงถึงคนตัวขาวที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่านั่งหลับไปกลางอากาศหรือยัง
“พาดพิงไร กุตกลงกันกับน้องมันเเล้วแต่ขี้เกียจพูด” ยุนกิที่นั่งฟังอยู่นานพึ่งจะได้เอ่ยพูดประโยคแรก เขาตกลงกับจองกุกไว้แล้วว่าจะเป็นตัวลวงให้เอง จ่าฝูงน่ะไม่ยอมถูกหักหน้าง่ายๆเพราะฉะนั้นมันก็ต้องใช้แผนนี้เเหละ
“เออไอ้ฮุน เฮียมีเรื่องจะถามมึงหน่อยวะ” จองกุกนึกบางอย่างขึ้นได้ในระหว่างที่นั่งรอเวลาลงเเข่ง
“ถามไรอ่ะ เรื่องมินอีกอ่ะดิ” จองกุกพยักหน้า
“คือเมื่อคืนจู่ๆเขาก็ถามเฮียว่าผิดหวังหรือเสียใจไหมที่เขาเป็นโอเมก้า...”
“อ่อ…แล้วทำไม? เฮียมึงตอบมินไปว่าไง”
“กูยังไม่ได้ตอบเขา มินมันหลับไปก่อนคือถามจบก็หลับไปเลย”
“อ้าวว แบบนี้ก็เหมือนไม่ได้ต้องการจะฟังคำตอบไหมอ่ะ แต่มินมันก็ไม่ใช่คนคิดไรซับซ้อนนะเฮียอาจจะแบบงอนๆเลยถามป่าว หรือเฮียไปพูดอะไรไม่ดีไว้ป่ะ” จีฮุนเอานิ้วชี้หน้าพี่ชายตัวดี
“เท่าที่นึกได้ก็ไม่มีนะ แต่ตอนที่ถามเหมือนเขาคิดว่าเฮียผิดหวังที่เขาเป็นโอเมก้าว่ะ”
“เนี่ย กูก็ว่าจะถามมึงหลายครั้งล่ะว่ามึงยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม” แทฮยองโด่หน้ามาถามเมื่อนั่งฟังแล้วชักจะรำคาญ มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลยที่น้องมันถามก็คงเเค่อยากลองใจไอ้จองกุกดูก็เเค่นั้น
“ก็คิด...”
"เหี้ยยย"
"หมายถึงเคยคิด" จองกุกรีบต่อความเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของคนทั้งสาม
ที่บอกว่าคิดเพราะเคยคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ก่อนเขามักจะถูกจ่าฝูงปลูกฝังให้จำขึ้นใจว่าโอเมก้าเป็นชนชั้นที่ต่ำกว่าและไม่คู่ควรกับอัลฟ่า สมัยเด็กๆเขาแทบไม่ได้คบกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นเบต้าและโอเมก้าเลยสักคน จ่าฝูงตีกรอบให้เขาอยู่แค่ในวังวนของคนที่แกร่งและเป็นใหญ่ ความเป็นผู้นำ ความเสียสละ ทุกอย่างถูกฝึกให้เขาคิดและจำแบบนั้นมาตลอด
ความรู้สึกในวันนั้นที่มีคนทำนายว่าคู่ของเขาเป็นโอเมก้าบอกตามตรงว่าเขารู้สึกผิดหวัง ผิดหวังมากจนมีความคิดที่ว่าไม่อยากเจอคู่ชะตาของตัวเอง แต่ไม่อยากจะโทษว่าเป็นเพราะบางสิ่งเหล่านั้นที่ถูกจูนเข้าใส่สมองเพราะตัวผมเองลึกๆแล้วก็อยากได้ตำแหน่งนั้นมาครอบครองเหมือนกัน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป...ผมได้มาเจอกับเฮียยุนกิ ไอ้น้องฮุนและไอ้เเท ความคิดด้านลบพวกนั้นถึงได้เริ่มเปลี่ยนไป
"งานหยาบล่ะ น้องมันคงรู้สึกได้จริงๆแหละกูว่า และถึงตอนนี้มึงไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วก็จริง แต่ลึกๆในใจมึงก็ยังอาวรณ์กับคำว่าจ่าฝูงอยู่...กูพูดถูกไหม"
*******************
50% LOADING
เวลาล่วงเลยมาจนใกล้สี่ทุ่ม
ผมนั่งตากลมอยู่ที่เรือนหลังเล็กด้านหลังฝูง วันนี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวงแสงของมันที่สาดส่องตามธรรมชาติทำให้ตรงที่ผมนั่งอยู่ไม่ได้ดูมืดและเปลี่ยวสักเท่าไหร่ ตรงหน้าของผมเป็นทุ่งดอกบลูเบลที่ไม่มีดอกของมัน อาจเพราะไม่ใช่ฤดูที่ดอกไม้จะออกดอกและส่งกลิ่นทำให้ทุ่งกว้างด้านหน้ามีเพียงหญ้าที่ขึ้นรกรังเท่านั้น
ก่อนหน้าเมื่อสองชั่วโมงก่อนจะมาที่นี่ผมได้คุยกับแม่และพี่นีน ไม่รู้เลยว่าคนในครอบครัวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะรู้มากกว่าที่ผมรู้ด้วยซ้ำไป ตอนที่เรานั่งคุยกันสามคนแม่ลูกไม่มีใครยอมสบตาผมเลย ซึ่งไม่รู้ว่ารู้สึกผิดกับสิ่งที่กำลังขอหรือสงสาร เห็นใจ แต่จำได้ว่าตัวเองตอนนั้นนั่งร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด แม่เข้ามากอดและพูดปลอบพักใหญ่ ส่วนพี่นีนก็เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนกัน แต่คนที่ไม่มีน้ำตาเลยสักหยดก็คือแม่ ผมจำได้ว่าพูดตอบแม่ไปเพียงประโยคเดียว ประโยคเดียวที่ขอว่า...
“มินไม่ปฎิเสธได้ไหม” แล้วแม่ก็ส่ายหน้าให้เพียงเงียบๆ น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็พร้อมใจกันทะลักออกมา แม่เข้ามาสวมกอดและพูดปลอบว่า “ทำเพื่อฝูงและครอบครัวให้แม่สักครั้งได้ไหม” เท่านั้นมันก็ไม่มีคำพูดใดอีกแล้ว ผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไงต่อเพื่อไม่ให้แม่ต้องเอ่ยขอร้องจนกลายเป็นเห็นแก่ตัว ผมพยักหน้าให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แกะแขนแม่ที่โอบกอดผมให้หลุดออกไป หันไปยิ้มให้พี่นีนแล้วก็พูดกับเธอว่า...
“ฝากดูแลเขาด้วยนะครับ” ซึ่งไม่รู้ว่ามันเหมาะสมไหมเพราะจากนี้ไปผมก็คงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดคำนี้ได้
จนถึงตอนนี้ที่ผมคิดว่าจัดการสภาพจิตใจของตัวเองจนเป็นปกติแล้วก็ออกมานั่งรอพี่จองกุกที่เรือนหลังเล็กด้านหลังฝูง เรานัดกันไว้ที่เวลาสี่ทุ่มครึ่งซึ่งเหลือเพียงอีกสิบห้าหน้าทีก็จะถึงเวลานัดหมาย ผมก้มมองสร้อยข้อเท้าที่ขาข้างซ้ายซึ่งพี่จองกุกเป็นคนซื้อให้เมื่อสามวันก่อน มันเป็นวัสดุสีเงินเล็กๆที่ถูกเจียระไนให้เป็นรูปหงษ์สยายปีกและระฆังคว่ำห้อยไว้คู่กัน ผมยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงตอนที่งอแงจะซื้อสร้อยเส้นนี้ จำได้ว่าพี่จองกุกถามว่า...
"จะซื้อไปทำไมใส่ไม่กี่วันก็คงขาด" ด้วยราคามันที่ไม่ถึงร้อยก็เลยทำให้พี่เขาคิดแบบนั้น วันนั้นเลยกลายเป็นว่าเรายืนเถียงกันที่หน้าร้าน พี่จองกุกบอกจะพาไปซื้อในห้างแบบสั่งทำพิเศษให้แต่ผมก็ไม่ยอม ยืนกรานว่าจะเอาเส้นนี้ที่ขายในตลาด จนสุดท้ายพี่เขาก็ยอมและซื้อให้แต่โดยดี แถมยังขู่อีกว่าถ้าขาดแล้วมาอ้อนให้พามาซื้อใหม่ก็จะไม่ซื้อให้แล้ว
ไม่รู้ว่านั่งเผลอคิดถึงเรื่องเก่าๆไปนานแค่ไหนผมถึงไม่รู้ตัวเลยว่าพี่จองกุกมาถึงแล้ว ที่รู้ว่ามาถึงก็เพราะจำกลิ่นได้ ทันทีผมก็หันมองไปด้านหลังก็เจอว่าเป็นเขาจริงๆที่กำลังลงจากรถ วันนี้พี่เขาไม่ได้ขับบิ๊กไบค์มาแต่เป็นรถเก๋งสปอร์ตแทน และไม่ใช่คันที่พี่เขาขับประจำด้วยเพราะรถคันที่จอดอยู่เป็นสีขาวไม่ใช่สีดำ
“มานั่งรอนานยัง…” พี่เขาล็อคประตูรถเสร็จก็เดินตรงมาหา คำถามแรกถูกเอ่ยขึ้น ผมยิ้มให้แล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ที่จริงแล้วมานั่งรอที่นี่ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
“ขับรถมาตั้งไกลเหนื่อยหรือเปล่าครับ” ถามพี่เขาเมื่อเขาเดินมานั่งลงข้างกัน พึ่งสังเกตว่าพี่จองกุกถือผ้าพันคอติดมือมาด้วย
“ยังไม่ตอบเลยว่านั่งรอนานรึยัง ลมหนาวขนาดนี้เสื้อตัวแค่นี้จะอุ่นอะไร” เขาเหมือนบ่น ว่าจบเขาก็พันผ้าพันคอผืนสีครีมที่ถือไว้ในมือจนรอบคอของผม มันนุ่มเเละอุ่นมากๆ
“อุ่นยัง…” เขาถามเมื่อจัดการกับผ้าพันคอตรงหน้าเสร็จ…
“กอดอุ่นกว่า” พูดพร้อมกับเข้าสวมกอดเขาไว้ ส่วนพี่จองกุกก็ทำเพียงกอดตอบนิ่งๆ เรา…ไม่ได้พูดอะไรกันอีก กลายเป็นกอดกันเงียบๆแทน เนิ่นนานพี่เขาถึงเอ่ยขึ้น
“เราจะไปกันเลยไหม วันนี้พี่เอาเก๋งมาด้วยกลัวเราจะตากน้ำค้าง” ผมนิ่งไป…พูดไม่ออก รู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นข้างใน ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม อย่าดีไปกว่านี้ได้ไหม เพราะกลัวเหลือเกินว่าจะตัดมันไม่ได้
“ไหนกระเป๋าเราล่ะพี่ขนขึ้นรถให้ก่อน” พี่จองกุกถามและพยายามมองหากระเป๋าของผม แต่มันไม่มีสักใบหรอกเพราะผมไม่ได้เอามันมาด้วยตั้งแต่แรก ถึงจะเก็บของทุกชิ้นใส่กระเป๋าจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตาม
“มิน…” เขาเรียกชื่อผมเมื่อเห็นเงียบไป ผมไม่ยอมสบตาที่กำลังมองมาด้วยการหันมองสิ่งอื่นที่อยู่รอบกาย
“มิน!!…” พี่จองกุกเรียกอีกครั้ง
“จีมิน” และอีกครั้ง ผมถึง…
“เราปฏิเสธคู่กันเถอะ” ตัดสินใจพูดมันออกมา ทุกอย่างเงียบงันและนิ่งเหมือนถูกหยุดเวลาไว้ ผมหันกลับมามองใบหน้าคมที่ชะงักค้างเหมือนคนช็อค พี่จองกุกเขา…ไม่แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ
“มินคิดมาดีแล้วและมันก็เป็นผลดีต่อตัวพี่ด้วย…”
"พี่ยังมีหลายอย่างที่ต้องทำ อย่าทิ้งมันมาเพราะมินเลย..."
“เหรอ” ทั้งที่คิดว่าพี่เขาคงจะเงียบแต่เขาก็เอ่ยตอบมาสั้นๆ ตามคมเปลี่ยนมาจ้องผมนิ่งๆเหมือนต้องการรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
“คิดไปเองคนเดียวรึเปล่า” พี่เขาถาม ไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงตอนนี้ เสียงเขาสั่นแต่ดวงตาที่จ้องกันนั้นแทบไม่เคลื่อนไหว
“…” ผมกลายเป็นพูดไม่ออก นิ่งงันเหมือนคนใบ้ พยายามดึงสติให้จดจ่อกับสิ่งที่ตั้งใจและต้องการที่จะทำแต่ก็เหมือนเปล่าประโยชน์เมื่อน้ำตาเริ่มไหล
“มินว่าเราก็โตกันแล้ว พี่มีครอบครัวของตัวเอง มินก็มีครอบครัวของมิน ถึงจะอยากทำตามใจตัวเองแค่ไหนแต่เรา…” ผมสะอึก ไม่สามารถพูดต่อให้จบได้ ปากสั่นจนฟันกระทบกันซึ่งไม่รู้ว่าจากอากาศหนาวหรือเพราะกำลังกลั้นความรู้สึกของตัวเองอยู่
“พูดต่อสิ” พี่จองกุกเหมือนคนไร้ความรู้สึกไปแล้ว เขาพูดด้วยเสียงที่เป็นปกติแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเย็นชา เรียบนิ่ง มัน…จุกในอกเหลือเกินที่ต้องพูด
“ก็ต้องทำเพื่อครัวครัวของตัวเอง เพราะงั้น…ช่วยปฏิเสธคู่และหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ ถือว่ามิน...ฮึก...ขอพี่ก็ได้” สุดท้ายผมก็ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวังเมื่อไม่สามารถเลือกทางที่ดีไปกว่านี้ได้
“ครอบครัวเหรอ…” พี่เขาพูดขึ้นในตอนที่ผมเลือกหันหลังให้ ตอนนี้เรายืนอยู่ด้านนอกของเรือนหลังเล็ก ในตอนนี้คงเกือบจะห้าทุ่มเพราะน้ำค้างเริ่มลงเม็ดและผมเหมือนจะเป็นหวัดเพราะอยู่ๆก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
“ที่พูดมา…คงไม่มีพี่อยู่ในคำว่าครอบครัวนั้นด้วยสินะ เพราะพี่จะเสียใจมันก็คงจะไม่เป็นไร พี่จะพยายามเพื่อเรามันก็คงจะไม่มีค่า และถึงพี่จะทิ้งทิ้งครอบครัวมาก็คงเปลี่ยนใจเราไม่ได้อยู่ดี…ใช่ไหม ”
“ฮึก” ผมร้องไห้หนักกว่าเดิม อยากจะหันไปกอดเข้าไว้แน่นๆ บอกเขาว่ามันไม่ใช่ บอกเขาว่าไม่ได้อยากที่จะทำแบบนี้ แต่มัน…ทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“พี่คงจะเสียใจนะ…ถ้าคนที่พี่ให้เขาเป็นคนในครอบครัวแต่เขาไม่เคยเห็นพี่เป็นคนในครอบครัว” เข้าใจแล้ว ผมเข้าใจทุกอย่าง เข้าใจที่พี่จองกุกต้องการจะบอก...เขาให้ผมเป็นคนในครอบครัวของเขาแล้วทำไมเขาถึงยังไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของผม ตอนนี้ผมทั้งจุกและเจ็บยิ่งกว่าโดนคนในครอบครัวเมินซะอีก
“....” ผมเบนสายตามามองเขา ส่งสายตาบอกพี่เขาให้หยุดพูด
“เคยบอกไปแล้วว่าอย่าทำมันเพราะคนอื่น ถ้ามันยากก็แค่ตัดสินตามเสียงหัวใจตัวเองมันยากเหรอมิน พี่ก็ยืนอยู่ตรงนี้หันหลังมาสิ...” ผมส่ายหน้าร้องไห้ ถ้าหันหลังกลับไปได้ผมทำไปนานแล้ว
“มิน ฮึก ทำไม่ได้”
“…”
พี่เขาเงียบไปอีกครั้ง มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของผมที่ยังคงดังอยู่ ผมได้ยินเสียงเท้าเหมือนคนขยับเดิน และก็เป็นพี่เขาที่เอื้อมมือมาคว้าตัวผมไว้ผมถึงรีบเอ่ยขึ้น
“ข้าเห็นดวงจันทร์ ปาร์คจีมิน โอเมก้าที่เกิดในฝูงเหนือผู้นี้…”
“มิน!!” พี่จองกุกตวาดเสียงดังเหมือนให้ผมหยุดพูด แต่…
“มีประสงค์ต่อผู้กำหนดดวงชะตา ข้าขอ…”
ฟึบบบ
“อื้อออ” พี่จองกุกคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของผม กระชากเข้าหาตัวเองก่อนประกบปากจูบในทันทีเพื่อหยุดสิ่งที่ผมกำลังจะพูด มือที่จับไหล่ไว้บีบแน่นเหมือนจะเรียกสติผม เขายังคงระดมจูบจนปวดตุบๆจากแรงที่บดขยี้ เขา…ไม่ปล่อยให้อากาศได้ผ่านเข้ามาเลย
“อึก อื้อออ” ผมสะอึกในลำคอ เสียงอื้ออึงเมื่อเขาเคลื่อนตำแหน่งจากปากลงมาที่ซอกคออย่างรวดเร็ว เขาดูดดึงผิวตรงบริเวณนั้นซ้ำไปซ้ำมา ดวงตาสีเข้มจดจ้องเข้ามาในดวงตาผม มันทั้งดุและแข็งกร้าวเหมือนต้องการที่จะ...
“มะ ไม่นะ…อื้ออ” ผมรีบห้ามและยกมือปิดที่ต้นคอเมื่อรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อจากนี้ ความนิ่งของพี่จองกุกทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวกว่าเดิม เขาเปลี่ยนมากระชากแขนผมออก เหมือนจะออมแรงเพราะคงกลัวผมเจ็บ มือที่บีบข้อมือผมก็กำไว้เพียงหลวมๆ
“อย่า..” ผมร้องเสียงหลงออกมาในตอนที่ฟันคมสัมผัสลงที่ต้นคอ เกือบจะกลั้นหายใจกลับความเจ็บที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดลง
ผัวะ
“ตั้งสติหน่อย” เสียงนั้น…คือจ่าฝูง เขาเป็นคนกระชากพี่จองกุกไม่ให้กัดผม และเขาก็คืออีกคนที่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อขอร้องผมให้ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
“หึ…” พี่จองกุกพยายามจะลุกขึ้น เขาตัวเซและมีเลือดออกตรงมุมปาก ผมที่ยืนมองทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อแม่วิ่งเข้ามากอดผมไว้
“เป็นอะไรไม่ลูก” เธอถามคงเพราะเป็นห่วง ผมปาดน้ำตาตอบไปแค่ไหนใจว่าเป็นสิ เป็นมากด้วย เป็นจนแทบขาดใจอยู่เเล้ว
“ทำกันถึงขนาดนี้ไม่สงสารบ้างหรอ” เป็นเสียงพี่จองกุกเอ่ยขึ้น เขาปาดเลือดตรงมุมปากด้วยหลังมือ ยกยิ้มขึ้นตรงมุมปากแลดมองคนตรงหน้าที่เป็นพ่อของเขาด้วยสายตาที่ท้าทาย
“ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าผู้นำ?” เขาดูก้าวร้าวเเละโกรธในคราวเดียวกัน
“หุบปากของแกซะ” ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นความรุนแรงนี้กับตาตัวเอง พี่จองกุกโดนจ่าฝูงซัดเข้าที่หน้าไปอีกหนึ่งทีแต่เข้าก็ยังยิ้ม ทำเหมือนตัวเองไม่ได้เจ็บอะไร
“หนูจีมินเขาตัดสินใจแล้วก็เหลือแต่แกที่ต้องทำตาม อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งไปกว่านี้เพราะแกก็รู้ว่าฉันทำอะไรได้มากกว่าที่แกคิด”
“หึ” เขาหัวเราะหึในลำคอก่อนเบนสายตามาที่ผม รอยยิ้มเขาหุบลง สายตาจากที่เคยท้าทายและเเข็งกร้าวกลายเป็นเรียบนิ่ง เขาเดินตรงมาที่ผมโดยที่แม่ยังยืนกอดผมไว้อยู่
“มิน…” เขาเรียกชื่อผม กระชากแขนผมออกมาแม้ว่าแม่จะยังยืนอยู่ตรงนี้และกอดผมอยู่ แต่เขาก็สะบัดมันออกโดยไม่ได้สนใจ
“ไปกับพี่…ขอร้อง” ผมเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ส่ายหน้าว่าทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“พี่พอแค่นี้เถอะนะ มินไม่อยากเห็นพี่เจ็บตัว...”
“แล้วที่ทำอยู่คิดว่าพี่ไม่เจ็บเลยหรอ”
“ปล่อยกันเถอะ…มินตัดสินใจแล้ว” รั้งกันไว้ก็มีแต่เราทั้งคู่ที่ต้องเจ็บ จากกันวันนี้มันก็คงมีสักวันแหละที่ดีขึ้น
“จะไม่เปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม” พี่จองกุกเสียงสั่นไม่แพ้กัน เขา…เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ออกมา
“จะไปจริงๆใช่ไหม” ผมพยักหน้าให้ กัดปากตัวเองจนชาและไร้ความรู้สึก
“ถ้างั้นก็ขอคืน….” ว่าจบเขาก็ก้มลงนั่งตรงหน้าผม มือของเขายื่นมาจับที่ขาข้างซ้ายที่มีสร้อยข้อเท้าประดับอยู่ ปลายนิ้วของเขาลูบคลึงมันเบาๆก่อนจะ..
“ไม่นะ…” ผมขยับข้อเท้าถอยไปด้านหลังเมื่อพี่เห็นว่าเขากำลังจะถอดสร้อยข้อเท้าเส้นนั้นออก
“จะไปแล้วก็คืนเจ้าของเขาสิ” ผมส่ายหน้าไม่ยอม ถอยเท้าหนีสุดชีวิตแต่มือหนาก็คว้าและจับมันไว้ก่อนจะถอดออกอย่างไร้เหยื่อใย ทิ้งไว้เพียงเส้นวงกลมที่เป็นรอยจางรอบข้อเท้า
“ฮือออ” ผมทรุดตัวร้องไห้กับพื้นดินในตอนที่สิ่งของเพียงชิ้นเดียวที่เคยได้จากเขาถูกถอดออกไป พี่จองกุกไม่ได้หันมองผมอีกเลย เขาเดินหันหลังกำสร้อยข้อเท้าเส้นนั้นไปโดยไม่พูดอะไรแม้สักคำ
*********************
TALK
ความรักมันก็งี่เง่าแบบนี้เเหละพวกแก แต่เชื่อชั้นเถอะ เชื่อชั้น...
ปล.ก่อนอื่นต้องขอโทษเลยที่ทิ้งไปนาน ดองจริงๆค่ะ เพราะตอนนั้นปัญหาชีวิตเยอะล่ะเกิน แต่งอะไรคิดอะไรก็ไม่ออกก็เลยทิ้งไป แต่ตอนนี้ผ่านมาได้อย่างแฮปปี้ก็จะกลับมาอัพบ่อยๆเหมือนเดิมแล้วค่ะ อย่าลืมเม้นและส่งกำลังใจให้กันเยอะๆน๊าแล้วเจอกันตอนหน้าเร็วๆนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชองกุก มิน ฮือออ
คิดถึงมากๆเลยคูมไรท์