ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เดชาวู

    ลำดับตอนที่ #2 : หญิงสาวกับตำนานพราย

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 49


    ทุกสิ่งทุกอย่างมืดสนิท ไม่มีภาพ ไม่ได้ยินสรรพเสียงสำเนียงใดๆทั้งสิ้น

    เวลาผ่านไปชั่วครู่ แสงสว่างเป็นประกายปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า ผมกำลังแหวกว่ายไปที่แสงนั่น ใช่ครับ ผมกำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำทะเล ว่ายด้วยท่วงท่าสวยงามราวกับปลาโลมา ปลาโลมาท่าเป็นยังไงน่ะเหรอครับ? เอาน่ะ..เอาเป็นว่าว่ายในน้ำได้คล่องเหมือนปลาก็แล้วกัน  

                เมื่อว่ายเข้าไปใกล้จะเห็นว่าแสงที่เห็นคือแสงสว่างของปลายอุโมงค์  ผมว่ายผ่านออกมาสู่พื้นที่ใต้ทะเลกว้างใหญ่ เมื่อหันกลับไปมอง  อุโมงค์ที่ออกมาเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาใต้ทะเล ที่ลักษณะลาดชันมีพืชพรรณสาหร่ายทะเลปกคลุมจนถ้าไม่สังเกตดีๆก็จะไม่มองเห็นโพรงดังกล่าว

    ฝูงปลาฝูงใหญ่จำนวนนับพันตัวเกาะกลุ่มว่ายผ่านหน้าผมไป  สีสันสวยงามน่ามอง น้ำทะเลสีครามเข้ม ปะการังหลากสีดูอุดมสมบูรณ์ยังไม่มีร่องรอยถูกทำลายด้วยน้ำมือมนุษย์  ข้างล่างนั่นเต่าทะเลตัวใหญ่อายุคงจะไม่น้อยว่ายต้วมเตี้ยมผ่านไป  น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกอึดอัด ยังคงหายใจได้เหมือนไม่ได้อยู่ในน้ำทะเล ภาพทุกอย่างทำให้ผมรู้สึกว่ากำลังอยู่ในความฝัน แต่ก็เป็นฝันที่เหมือนจริงราวกับจะสัมผัสทุกอย่างรอบตัวได้

    แหวกว่ายไปข้างหน้าชั่วครู่ พื้นข้างใต้เริ่มลาดขึ้น ความสมบูรณ์ของพืชพรรณและสัตว์ใต้ทะเลมีให้เห็นน้อยลง น้ำทะเลสีจางลงเป็นสีเขียวคราม แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านลงมา เริ่มเห็นภาพเลือนๆของพื้นผิวเหนือน้ำทะเล รู้สึกได้ว่าผมกำลังจะว่ายขึ้นฝั่ง

    พื้นใต้เท้าเปลี่ยนสภาพจากพื้นทรายเป็นพื้นหินระเกะระกะ ผมว่ายขึ้นมาจนพ้นน้ำ จุดที่ผมโผล่ขึ้นมาเป็นบริเวณโขดหินริมฝั่งของเกาะดูคุ้นตา มองคล้ายกับบริเวณโขดหินที่ผมเจอกับท่อนแขนแห้งๆสวมนาฬิกานั่น จนอดเหลียวมองรอบตัวแบบหวาดๆว่าคราวนี้จะเจอกับเจ้าของท่อนแขนข้างนั้นหรือเปล่า ยังดีที่ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไรให้เห็น

    แล้วผมก็มองเห็นเธอ เธอคนที่ว่าคือหญิงสาวร่างระหงในชุดสบายๆ เสื้อขาวผ้าพริ้วเบาเปลือยแขน ผ้าโสร่งลวดลายแปลกตาสีสดใสสะบัดเบาๆตามแรงลม  เธอก้าวออกมาจากหลังโขดหินที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล ยืนกอดอกมองทะเลปล่อยผมยาวสลวยพลิ้วไปตามลมที่พัดผ่าน แสงแดดสีทองอบอุ่นอาบร่างของเธอจนดูราวกับว่าเธอมีรัศมีเรืองรองรอบตัว

    ผมมองไม่เห็นใบหน้าของเธอเพราะแสงอาทิตย์ที่สาดย้อนมาจนต้องหยีตา แต่จากเงาร่างของเธอช่างดูมีเสน่ห์น่าสนใจจนผมอยากเข้าไปใกล้กว่านี้ อยากเห็นหน้าของเธอให้ชัดๆสักหน่อย

    ผมแหวกว่ายไปข้างหน้าช้าๆกลัวว่าจะมีเสียงดังจนทำให้เธอหันมา ผมอยากแอบมองเธอให้นานกว่านี้ก่อนที่เธอจะรู้ตัว เธอยังคงยืนปล่อยอารมณ์ดื่มด่ำกับทะเลเบื้องหน้า ผมว่ายเข้าไปใกล้อีกนิด ใกล้จนมองเห็นรูปหน้าเธอได้รางๆ  ถึงจะอยู่ในเงาย้อนแสงแต่ก็เห็นเค้าของหน้าผากกลมกลึง จมูกที่เป็นสัน รูปปากดูอวบอิ่ม ผมกำลังพิศมองเพลินๆ คลื่นลูกหนึ่งก็ซัดโครมเข้ามาปะทะหน้าจนภาพของเธอหายไปจากสายตา เห็นเพียงความมืด

                ทุกสิ่งทุกอย่างมืดสนิทอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าหน้าของผมเปียก อ้าว...ก็ผมกำลังอยู่ในน้ำไม่ใช่เหรอ มันก็ต้องเปียกน่ะสิ แต่ทำไมความรู้สึกมันแปลกๆ ผมรู้สึกว่าผมเปียกๆเย็นๆบริเวณใบหน้า


               
    มีเสียงคนพึมพำเป็นภาษาแปลกๆจับใจความไม่ได้ เสียงใคร
    ? ผมสงสัย ตาที่หลับอยู่หรี่ขึ้นมองอย่างช้าๆ  ภาพที่เห็นคือหญิงชราคนหนึ่งในมือถือผ้าเปียกน้ำชะโงกหน้ามองผมใกล้ๆ แล้วหันไปพูดกับใครสักคนด้านหลังด้วยภาษาที่ครั้งแรกผมฟังไม่เข้าใจ  อ๋อ..ผมพอจะจับใจความได้แล้ว แกพูดด้วยสำเนียงท้องถิ่นภาคใต้ บอกกับอีกคนว่าผมรู้สึกตัวแล้ว


               
    ผมพยายามผงกหัวชันตัวขึ้นมา แต่แล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผากจนคิ้วขมวด ภาพมะพร้าวลูกนั้นลอยลิ่วลงมาปะทะแวบเข้ามาในความคิด  เจ็บและมึนจนต้องหลับตาเอนลงไปอยู่ในท่านอนตามเดิม

                "อย่าเพิ่งลุกขึ้นมา นอนพักไปก่อน ดูสิหน้าผากปูดซะขนาดนั้นน่ะ"

                เสียงพูดด้วยสำเนียงภาคกลางแบบไม่แปร่งไม่ทองแดง แต่ท่าทีแบบกัดแซวเล็กน้อยดังจากข้างหลังของหญิงชราคนที่ผมลืมตามาเห็น น้ำเสียงฟังดูสดใสร่าเริงจนผมอยากเห็นหน้าคนพูด


               
    แล้วเธอก็ก้าวเข้ามาในสายตาของผม  ใบหน้าที่เห็น วงหน้ารูปไข่ หน้าผากกลมกลึง จมูกเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่ม ผมยาวปล่อยสยาย ดูคล้ายกับเธอคนนั้นที่ผมเห็นในฝันเมื่อครู่เหลือเกิน ถ้าผมได้เห็นหน้าของเธอที่อยู่ในฝันชัดๆ ผมว่าคงจะต้องหน้าตาแบบเดียวกับเธอตรงหน้าของผมคนนี้แน่ๆเชียว


               
    "ผมอยู่ที่ไหน?" เป็นคำถามแรกที่ผมอยากรู้

                "ตอนนี้คุณอยู่ในบ้านของฉัน" หญิงสาวคนนั้นตอบคำถามแบบไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรกับผมสักนิดเลย

                "คือ..ผมพอจะเดาได้ว่าที่นี่เป็นบ้าน เพราะผมมองเห็นเพดานเห็นหลังคา แต่ผมอยากรู้ว่าบ้านคุณอยู่ส่วนไหนของโลก แล้วก็..ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"  ผมถามกลับอีกทีด้วยอารมณ์ยียวนเล็กน้อย

                "นี่คุณพูดกับคนอื่น โดยเฉพาะกับคนที่ช่วยคุณไว้แบบกวนตีนอย่างนี้ทุกครั้งเหรอ"

    เธอทำให้ผมสะดุ้งด้วยคำพูดที่เธอใช้ จนต้องพูดเสียงอ่อยลง

    "เปล่า...ผมขอโทษ แหมหน้าตาก็น่ารักดี ทำไมพูดจาสุภาพจัง"

    "ทำไม ตีน เป็นคำไทยแท้ไม่เห็นหยาบตรงไหน"เธอยังพูดยิ้มๆเหมือนหยอก" ถ้าคุณอยากรู้ว่าที่นี่อยู่ส่วนไหนของโลก ฉันคงจะบอกตำแหน่งเป็นองศา เป็นลิปดาไม่ได้ บอกได้แค่ว่าที่นี่เป็นเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งในทะเลอันดามัน ทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งเล็กมากจนไม่ปรากฏชื่อให้เห็นในแผนที่"

    ฟังดูจากที่เธอตอบผมว่าเธอไม่น่าจะเป็นสาวชาวเกาะธรรมดานหน้าตาผิวพรรณของเธอถึงจะตาคมผิวออกจะคล้ำไปบ้าง แต่ก็ดูไม่เหมือนสาวชาวเลที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเกาะนี้แน่ๆ

    ผมต้องละสายตาจากเธอชั่วคราว เพราะคุณยายที่ยืนข้างเธอหันมาถามอะไรสักอย่าง  พอดีผมมัวแต่ใจลอยคิดเรื่องเธออยู่เลยไม่ทันฟัง สำเนียงแกก็ออกจะฟังยากสักหน่อยผมเลยหันไปมองคุณยายแบบหน้างงๆ

    "ยายแสงแกถามว่าคุณหิวหรือยัง ยายแกทอดปลาต้มข้าวเตรียมไว้พักหนึ่งแล้ว รอคุณตื่นมากิน" หญิงสาวเอ่ยเมื่อเห็นหน้ามึนๆของผม

    พอเธอพูดขึ้นมาผมเลยรู้สึกหิวขึ้นมาทันควัน ไม่มีอาหารตกถึงกระเพาะมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้  ผมว่าผมน่าจะหลับไปนานทีเดียว พอคิดแล้วท้องเจ้ากรรมมันก็ส่งเสียงลั่นดัง..โครกกก..ได้ยินชัดแจ๋ว

    ทั้งหญิงชราทั้งหญิงสาวหัวเราะกันขำ ส่วนผมทำหน้าไม่ถูกได้แต่หัวเราะไปด้วยแก้เขิน

    "สงสัยไม่ต้องถามอีกแล้วมั้ง ให้ยายแกรีบยกอาหารมาท่าจะดีกว่า" หญิงสาวพูดเจือรอยยิ้ม

    หลังจากนั้นผมก็แทบไม่ได้พูดไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะมัวแต่จัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้า อาหารที่ยกมาถึงจะเป็นข้าวต้มกับปลาทอดธรรมดาแต่ผมรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เป็นอาหารมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว เอ่อ..ที่พูดนี่เป็นสำนวนเปรียบเทียบนะครับ เพราะผมตื่นขึ้นมาผมก็ยังคงนึกไม่ออกอยู่ดีว่าผมเป็นใครมาจากไหน  ขี้เกียจจะคิด เอาเป็นว่าอร่อยที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิตช่วงนี้แล้วกัน โดยเฉพาะการได้ทานอาหารโดยมีสาวสวยแบบ มุก(ชื่อที่เธอบอกกับผม) กับเอ่อ..สาวที่อาจจะเคยสวยอย่าง ยายแสง

    ระหว่างที่ทานอาหารก็ได้สังเกตสถานที่ไปด้วย พบว่าที่นี่เป็นกระท่อมริมทะเล มองออกไปจะเห็นชายหาดทอดยาวตรงหน้า ห่างออกไปมีกระท่อมลักษณะเดียวกันอีก 4-5 หลัง แต่ก็ไม่เห็นคนอื่นๆนอกจากหญิงสาวและหญิง(เคย)สาว 2 คนที่คุยกับผมอยู่นี่

    ผมได้รับรู้จากการบอกเล่าของมุกว่าที่นี่เรียกว่าเกาะนาคเป็นเกาะที่ค่อนข้างห่างไกลจากเกาะอื่นๆ และไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว จึงไม่มีเรือผ่านไปผ่านมานัก
                คนที่พักอาศัยอยู่ก็เป็นผู้หญิงและเด็กไม่กี่คน ผู้ชายในเกาะ(ซึ่งจริงๆก็มีแค่ 4 คน)จะออกไปทำงานที่เกาะซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ห่างออกไป ทุก 2 อาทิตย์จะกลับมาพร้อมเสบียงและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
               และโชคไม่ค่อยดีสำหรับผม เพราะเรือเพิ่งจะไปจากเกาะเมื่อ 3 วันที่แล้วซึ่งนั่นก็หมายความว่ากว่าผมจะสามารถออกจากเกาะนี่ไปได้อย่างเร็วก็อีกตั้ง 10 กว่าวัน

    แต่จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้จะซีเรียสกังวลเรื่องออกจากที่นี่ไปทำไม ในเมื่อผมเองยังนึกไม่ออกว่าตัวเองเป็นใคร ออกจากที่นี่ไปได้แล้วจะไปที่ไหนยังไม่รู้เลย สู้ใช้เวลานี้ใกล้ชิดสาวใต้ตาคมผมสลวยคนนี้ให้มากขึ้นอีกนิดดีกว่า

    ในตอนเย็นที่ผมหายจากอาการปวดมึนเพราะฤทธิ์ลูกมะพร้าว ก็ได้มีโอกาสนั่งมองท้องฟ้ายาม เย็นกับมุกคนสวย อากาศกำลังดีลมโชยเบาๆพาคลื่นจากทะเลมากระทบฝั่ง อาทิตย์ดวงกลมโตกำลังจะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม เมฆจับตัวกันเป็นรูปร่างสวยงามแปลกตา  การได้นั่งบนโขดหินเคียงข้างสาวสวยมองพระอาทิตย์ตกยามเย็น ด้วยกัน ว้าว...ช่างโรแมนติคเสียนี่กระไรหาไหนปาน 
      

    "คุณรู้ไหม ที่เกาะนี่เขามีตำนานเล่ากันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ" มุกเอ่ยแทรกเสียงซ่าของคลื่นที่กระทบโขดหินเป็นจังหวะ

    "ตำนานอะไรเหรอ เกี่ยวกับเรื่องรักๆหรือเปล่า" ผมถามกึ่งหยอด ทำเก๊กเสียงให้นุ่มโรแมนติค พยายามส่งสายตาซึ้งชวนฝันไปให้เธอ แต่เธอเหมือนรู้แกวไม่ยอมหันมาสบตาเอาแต่มองทะเล

    "จะว่างั้นก็ได้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพรายทะเลที่มาหลงรักหญิงสาวชาวเกาะ..." มุกเริ่มต้นเล่า

    "เอ่อ...เดี๋ยวนะ พรายทะเลนี่ผีพรายใช่ไหม อ่า..แล้วจะมีอะไรน่ากลัวๆหรือเปล่า เดี๋ยวผมไม่กล้านอนคนเดียวนะ" ผมแทรกขัดจังหวะ

    "อ๋อ ไม่น่ากลัวหรอก แต่ถ้าเกิดคุณกลัวผี เดี๋ยวจะให้ยายแสงนอนเป็นเพื่อน" เธอหันมาหลิ่วตา

    "ไม่เป็นไรหรอก พูดเล่น กลัวที่ไหนเล่าผีเผอน่ะ เล่าต่อสิ ไม่ขัดแล้ว" ผมตอบยิ้มๆ

    "นานมาแล้ว ในท้องทะเลลึก มีชาวพรายอาศัยอยู่ในเมืองบาดาลที่ไม่มีมนุษย์คนใดเคยย่างกรายไปถึง พรายหนุ่มตนหนึ่งแอบหนีแหวกว่ายออกมาเที่ยวเล่นใต้ทะเลอย่างเพลิดเพลินจนมาถึงเกาะแห่งหนึ่งซึ่งมีมนุษย์อาศัยอยู่  เขาได้พบกับหญิงสาวสวยลูกสาวของหัวหน้าเกาะและหลงรักเธอทันทีเมื่อแรกเห็น"

    ขณะฟังเธอเล่า แวบหนึ่งความคิดผมนึกถึงภาพในความฝันตอนที่สลบอยู่

    "..พรายหนุ่มตนนั้นขึ้นจากน้ำและบอกกับหญิงสาวคนนั้นว่า เรือโดนพายุซัดจนล่ม ตัวเองลอยมาติดเกาะที่นี่โดยที่จำอะไรไม่ได้เลยว่าตัวเองเป็นใครมาจากที่ไหน"

    อืมม์...ตำนานของเธอฟังดูคุ้นๆชอบกลแฮะ

    " เวลาผ่านไป  พรายหนุ่มมีความรักกับหญิงสาวผู้นั้น  ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะโดยความยินยอมของหัวหน้าเกาะ 

    วันหนึ่งพรายหนุ่มตัดสินใจบอกความจริงกับหญิงสาวที่ตนรักว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน  เขาไม่รู้เลยว่านั่นเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรม เพราะชายหนุ่มคนหนึ่งในหมู่บ้านแอบหลงรักหญิงสาวมานานเกิดรู้ความลับเรื่องพรายหนุ่มไม่ใช่มนุษย์  จึงไปยุยงชาวบ้านให้มาจับตัวพรายหนุ่มมาทรมานและขับไล่ออกจากหมู่บ้าน

    พรายหนุ่มพาร่างกายและหัวใจที่บอบช้ำกลับสู่เมืองบาดาล เขาไม่รู้ตัวว่าชายหนุ่มที่เป็นคู่แค้นของเขาแอบติดตามมาห่างๆจนรู้ที่ตั้งของเมืองบาดาล ในที่สุดเมืองบาดาลก็ถูกรุกรานโดยมนุษย์ด้วยความโลภในสมบัติของเหล่ามนุษย์ที่ถูกชักจูงโดยชายหนุ่มผู้คิดร้ายคนนั้น

    สงครามระหว่างชาวเกาะและเหล่าพรายก็เริ่มต้นขึ้นนับจากนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างเข่นฆ่ากัน พรายหนุ่มและหญิงสาวที่เขารักไม่มีโอกาสพบกันอีกเลย..."

    ผมกำลังมองปากบางๆรูปกระจับ(กระจับหน้าตาเป็นไงผมก็ไม่เคยเห็นหรอก มันเป็นสำนวนนะครับ) ฟังตำนานเพลินๆ  อยู่ๆเธอก็หยุดเล่า

    "จบแล้วเหรอ"ผมสงสัย

    "มันมีต่ออีกนิดหน่อย ไว้ค่อยเล่าวันหลังแล้วกัน พระอาทิตย์ตกดินแล้วคุณไปพักก่อนดีกว่า"

    "แหม..ยังอยากมอง..เอ๊ย..ยังอยากฟังต่อเลย"ผมเสียดาย แหมก็กำลังมองเธอเพลินๆนี่ครับ

    "ไปกันเถอะ" มุกตัดบทลุกขึ้นเดินไปทางบ้านพัก ผมก็เลยต้องตามเธอไป อาทิตย์ลับหายไปแล้วเหลือแต่แสงหม่นมัวใกล้มืด ผมรู้สึกเหมือนอยู่ๆเธอก็เศร้ามีอะไรในใจยังไงก็บอกไม่ถูก เฮ้อ..มุกเศร้าเรื่องอะไรรึเปล่าจ๊ะ เล่าให้ผมฟังได้ไหม  ประโยคนี้นี่ผมคิดในใจนะครับ ไม่ได้พูดออกไปหรอก

      คืนนั้น ผมหลับสนิทอย่างง่ายดายเมื่อหัวถึงหมอน จะเป็นเพราะผมอยากรีบๆนอนเพื่อจะได้ฝันถึงมุกคนสวยได้อย่างเต็มๆอย่างที่คิดไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้
                 แต่ก็คงต้องเรียกว่าโชคร้ายเอาการอยู่ เพราะในฝันของผมคืนนั้นมีแต่เรื่องราวการฆ่าฟันกันของเหล่าพรายกับชาวเกาะ เป็นฝันที่มีแต่ซากศพและน้ำตา 
    เฮ้อ..แต่ก็เรียกว่าสนุกดีเหมือนได้ดูหนังสงครามย้อนยุคอะไรสักเรื่อง แต่เป็นหนังสงครามแบบไทยๆนะครับ งบน้อยหน่อย ตัวประกอบออกจะโหรงเหรงอยู่ เอาน่า..พอไหว

                 อ้อ ลืมบอกไป ในฝันคืนนั้น ผมเป็นคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ต่อสู้นี้ด้วยนะ แต่ดูไม่ค่อยตั้งอกตั้งใจต่อสู้กับใครยังไงไม่รู้ เหมือนจะเอาแต่หลบฉากแล้วส่ายตามองหาใครอยู่ท่าเดียว ผมเดาว่าคงจะมองหาว่าเมื่อไหร่มุกจะโผล่มาในฝันผมสักทีละมั้ง  โอโหเป็นเอามากเหมือนกันนะเรา

    ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น คืนนั้นผมจำได้ว่าอยู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก กระท่อมมีแต่เสียงซู่ซ่าเปาะแปะ แต่ผมเหนื่ออ่อนเกินกว่าจะลุกขึ้นมาสนใจความเป็นไปของดินฟ้าอากาศ ฝนตกก็ดีเหมือนกัน อากาศจะได้เย็นสบายน่านอน

    เช้าวันต่อมา ผมลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว ไม่ได้เมาเลือดจากในฝันหรอกนะครับ แต่มันมีอาการปวดศีรษะหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลม คาดว่าฤทธิ์ของมะพร้าวลูกนั้นคงยังไม่หมด หรือไม่ก็ผลพวงจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงแปรปรวนเมื่อคืนนี้ต่อเนื่องถึงรุ่งเช้า

    แล้วผมก็ต้องอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น กึ่งฝันกึ่งจริงไม่รู้ว่าอันไหนเรื่องจริงหรือว่าเป็นความฝันกันแน่ ด้วยสาเหตุพิษไข้จากสภาพอากาศ ต้องนอนซมไม่รู้วันเดือนปีอยู่อย่างนั้น ผมเห็นภาพซ้ำๆเรื่องพรายหนุ่มกับหญิงสาวที่บางครั้งผมก็เห็นภาพว่าพรายหนุ่มคนนั้นคือผม แล้วหญิงสาวที่รักกันกับพรายหนุ่มคนนั้นก็คือมุกคนสวยนั่นเอง โอ ช่างฝันได้ถูกใจผมจริงๆ ในบางครั้งผมก็รู้สึกว่ามุกกับยายแสงมาพูดอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่ถนัด รู้สึกว่าฝนก็ยังคงตกอยู่อย่างนั้น ท้องฟ้าภายนอกที่เห็นมืดครึ้มอยู่ตลอดไม่รู้ว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน

    ในฝันเท่าที่ผมจำได้ สงครามระหว่างมนุษย์กับพราย จบลงด้วยความย่อยยับของฝ่ายพราย เพราะมนุษย์ยิ่งนานยิ่งมีพวกที่ถูกระดมมาจากเกาะต่างๆเข้ามาเสริม แต่พรายมีจำนวนแค่น้อยนิด มนุษย์เป็นฝ่ายเข้ายึดครองสมบัติของเหล่าพราย ความตายถูกหยิบยื่นให้บรรดาพรายอย่างโหดเหี้ยม

    ผมเห็นภาพการสาปแช่งของผู้เฒ่าของเหล่าพราย
                เห็นภาพความตายที่พรากพรายหนุ่มจากหญิงสาว
                แล้วก็เห็นหญิงสาวเลือกการจบชีวิตตนเองเพื่อติดตามพรายหนุ่มไปพบกันในภพภูมิอื่น


               และในที่สุดภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือภาพของคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามาทำลายล้างภาพต่างๆให้สลายหายวับไป ซึ่งนั่นก็รวมถึงคลื่นเข้ามาทำลายสติสัมปชัญญะทั้งหมดทั้งปวงของผมไปด้วย 

            ผมไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป ภาพทั้งความฝันความจริงทุกสิ่งทุกอย่างมืดสนิทลงโดยสิ้นเชิง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×