ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เดชาวู

    ลำดับตอนที่ #1 : ผู้รอดตาย

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 49


    ทุกสิ่งทุกอย่างมืดสนิท ไม่มีภาพ ไม่ได้ยินสรรพเสียงสำเนียงใดๆทั้งสิ้น

    สติผมเริ่มคืนมาช้าๆ  เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงต่างๆเริ่มแว่วเข้ามาให้ได้ยิน ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงของแสงแดดที่ลอดผ่านเปลือกตาจนต้องเผยอตาขึ้น

    ภาพเลือนๆค่อยๆปรากฏชัดขึ้น ท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆขาวสะอาด  ผมอยู่ที่ไหนหรือ?

    เสียงที่ได้ยินเริ่มดังชัดขึ้น เสียงคลื่น? คลื่นกระทบฝั่งครืนครัน 
     

    ผมเริ่มรู้สึกถึงความเปียกแฉะ  รู้สึกถึงน้ำทะเลที่ซัดสาดร่างกายอยู่
              เริ่มรู้สึกถึงรสชาติขมเค็มของน้ำทะเลที่ค้างอยู่ในปาก
              เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากแผลที่โดนน้ำทะเลบนร่างกายบางส่วน
              และเริ่มรู้สึกอะไรอีกหลายๆอย่างที่ไม่รู้จะบรรยายไปทำไม...นั่นนะสิ


               
    ผมผงกหัวขึ้นมองสำรวจรอบๆตัว พบว่าผมกำลังนอนหงายอยู่ริมชายหาด ปล่อยให้คลื่นซัดร่างกายที่มีร่องรอยถลอกปอกเปิก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวเมื่อยขบจนแทบขยับตัวไม่ไหว รอบด้านเป็นเหมือนเวิ้งอ่าวที่ไหนสักแห่งที่โอบล้อมด้วยผาหินสูงชัน ต้นไม้แน่นทึบ  ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆในสายตา

                ทำไมผมถึงมานอนอยู่ที่นี่? ผมพยายามนึกค้นความทรงจำในลิ้นชักสมอง พบว่ามันว่างเปล่าไม่มีคำตอบในนั้น ภาพที่พยายามขุดค้นขึ้นมาได้ คือภาพความโกลาหล ผู้คนกรีดร้อง ผมอยู่ในที่นั่งของพาหนะอะไรสักอย่าง...

    เครื่องบิน...ใช่..ผมอยู่บนเครื่องบินที่ผู้โดยสารต่างตื่นตระหนก กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
                  "กริ๊ดดด...ช่วยด้วยยย...ฉันยังไม่อยากตาย..กริ๊ดดด...ว๊ายย...จะตกแล้ววว...อ๊า..." ภาพอาเจ๊ที่นั่งข้างๆหลับหูหลับตากรีดร้องตะโกนจนแสบแก้วหูยังรู้สึกติดตาและติดหู

    ผมจำได้ถึงความสั่นสะเทือนและความรู้สึกสุดท้ายของแรงกระแทกมหาศาลที่ฉุดให้สติและสำนึกทั้งหลายทั้งปวงของผมดับวูบลง


               
    เครื่องบินที่ผมโดยสารมาตกในทะเล ผมสรุปความได้อย่างนั้นในภาวะตอนนี้ ลองนึกทบทวนย้อนไปอีกนิดผมกำลังนั่งเครื่องบินไปไหน...นึกไม่ออกแฮะ

    งั้นลองนึกดูว่าผมนั่งเครื่องบินมาจากไหน เอ๊ะ..นึกไม่ออกอยู่ดีแฮะ  เอางี้ดีกว่า ผมเป็นใคร? เอ้า..1..2..3..เฉลย...ชิบเป๋งล่ะสิ ผมก็ยังคงนึกไม่ออก!  

    ซวยแล้ว! ผมเป็นอะไรวะนี่ นึกอะไรไม่ออก จำอะไรไม่ได้เลย...เฮ้ย! จริงเหรอเนี่ย


               
    อารามตกใจผมลุกพรวดขึ้นมาจากท่านอน จนต้องร้องอูยด้วยความปวดขัดยอกที่หลังและต้นคอ พยายามสะบัดหัวไล่ความมึนงง มองไปรอบด้านหาตัวช่วย  แต่ไม่มีประโยชน์ รอบด้านมีเพียงความว่างเปล่าของทะเลสีเขียวและท้องฟ้าสีคราม นกนางนวลส่งเสียงร้องอยู่ไกลๆ  ผมรู้สึกเหมือนมันกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่


               
    เอาล่ะสิครับท่านผู้ชม
    !  ผมเป็นชายความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก


                ผมไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เกาะร้างหรือแผ่นดินที่ติดกับทะเล...ยังไงดีล่ะทีนี้ ผมไม่อยากกลายเป็นทอม แฮงค์ ในหนังเรื่อง
    Cast Away ที่วันๆนั่งคุยกับลูกวอลเล่ย์บอลวิลสัน จนหนวดหงอกหนังเหี่ยว...

    ไม่เอานะเฟ้ย ผมยังไม่อยากเป็นพระเอกหนัง...Help me,please. ...ใครก็ได้ช่วยผมด้วย..เอ๊ะ..ผมความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอ ทำไมผมจำหนังเรื่องนั้นได้ แต่ดันนึกอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ออกวะเนี่ย..ยิ่งคิดยิ่งมึนงงปวดหัวตุ๊บๆ

                ใจเย็นๆ..เย็นไว้น้องชาย ผมพยายามนึกปลอบใจตัวเอง...อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ยุคนี้ท่านผู้นำประเทศเป็นเจ้าของดาวเทียมนะเฟ้ย เรื่องใหญ่ขนาดเครื่องบินตกแบบนี้ สั่งการกันแป็บเดียวเดี๋ยวความช่วยเหลือก็มาถึงแล้ว
      

    คำนวณจากพระอาทิตย์บนท้องฟ้าแล้ว ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเช้าอยู่ อาจจะสักเก้าหรือสิบโมงเพราะพระอาทิตย์ยังลอยไม่สูงแดดยังไม่ร้อนมากนัก ยังมีเวลาอีกเยอะกว่าจะมืด เดี๋ยวหน่วยค้นหาก็คงมา  พอคิดได้อย่างนี้แล้วผมก็สบายใจ ถอดถุงเท้าเปียกแฉะที่ยังสวมอยู่ออกให้เท้าได้ผึ่งลม นั่งพักผ่อนเล่นเย็นใจรอเฮลิคอปเตอร์ที่จะมาค้นหาผู้รอดชีวิตดีกว่า


               
    เอ๊ะ..เดี๋ยวก่อนนะ แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่ามีผมอยู่ตรงนี้อีกคน ดูแล้วรอบๆนี่ก็ไม่มีเศษซากอะไรสักอย่าง ผมลอยมาไกลจากจุดเครื่องบินตกแค่ไหนก็ไม่รู้  อืมม์...นั่งรอเฉยๆท่าจะเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีแฮะ

                "วู๊วว...ยูฮู...มีใครอยู่บ้างไหม..ไหม..ไหมมม...." ผมลุกขึ้นป้องปากตะโกน

                ไร้ประโยชน์ ไม่มีเสียงใดๆตอบมานอกจากเสียงสะท้อนก้องไปมาของคำท้ายประโยคฟังเหมือนคำตอบว่า..ไม่...ไม่...

                ชักรู้สึกแสบคอ เริ่มรู้สึกถึงความกระหาย นี่ผมลอยคอสลบมากี่ชั่วโมงกี่วันก็ไม่รู้ได้ พอนึกแล้วพาลให้ท้องไส้ลั่นโครกคราก มองรอบตัวไม่เห็นอะไรพอจะมายาไส้ได้ มะพร้าวสักต้นก็ไม่เห็น มีแต่ต้นไม้ที่คุ้นตาแต่ไม่รู้จักชื่อ  


               
    ผมลองเดินสำรวจบริเวณชายหาด จากจุดที่ผมอยู่มองไม่เห็นวัตถุอะไรสักอย่างที่จะบอกถึงเหตุการณ์เครื่องบินตก บริเวณนี้พื้นที่ส่วนที่เป็นหาดทรายไม่กว้างใหญ่นัก รอบหาดโอบล้อมด้วยผาหินสูง2ด้าน  ริมทะเลด้านหนึ่งเป็นโขดหินระเกะระกะ อาจจะเชื่อมต่อกับบริเวณอื่นๆได้ เท่าที่ดูคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นด้านหนึ่งของเกาะมากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินแน่ๆ

                บริเวณหาดทรายไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากจะพบว่าทรายที่นี่ขาวละเอียดเป็นเกล็ดร่วนเหมือนน้ำตาลทราย น้ำทะเลก็สีเขียวมรกตใสสะอาดจนมองเห็นปลาเล็กปลาน้อยแหวกว่ายสวยงามรื่นรมย์เหมาะกับการมาเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดอย่างยิ่ง


                 จินตนาการถึงแว่นกันแดดสีชา เก้าอี้ผ้าใบสักตัว จิบเบียร์ที่เย็นเป็นวุ้น นอนกระดิกเท้ามองสาวๆหุ่นสะโอดสะองในชุดบิกินี่เดินยิ้มหวานขึ้นมาจากทะเล  ว้าว...ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร  แต่ตอนนี้ผมคงจะมีอารมณ์โรแมนติคแบบนั้นหรอกครับ..ปั๊ดโธ่ คุณก็  ยิ่งนึกก็ยิ่งหิว ท้องส่งเสียงร้องเตือนเสียง..จ๊อก..จ๊อก..เหมือนมีจิ้งจกอยู่ในกระเพาะ

    ผมลองสุ่มเดินสำรวจไปทางด้านโขดหินที่ยื่นไปในทะเล ดูไกลๆเหมือนจะไม่มีทางไปต่อได้ แต่พอลองเดินจริงๆพบว่าพอจะเดินเลาะเลียบไปได้บ้าง บางช่วงอาจต้องปีนหรือกระโดดข้ามช่องว่างระหว่างหินบ้างแต่ก็ไม่ลำบากนัก เมื่อหันมองกลับไป ผมเดินมาไกลจากจุดที่นอนสลบอยู่พอสมควร มองข้างหน้าดูแล้วยังมีทางต่อไปได้อีกไกลเหมือนกัน คิดแล้วไปตายเอาดาบหน้าน่าจะดูมีอนาคตดีกว่า

    ตอนแรกที่เดินๆมีปวดเมื่อยหลังกับขาบ้าง แต่สักพักพอเดินจนชินอาการปวดก็เหมือนจะลดลงไป  จากที่เดินมานี่ผมว่าเกาะนี้คงไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวหรือที่ๆคนรู้จักแน่ๆ หาดสวยน้ำใสขนาดนี้  ขยะหรือสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ประเภทกล่องโฟม,ขวดพลาสติก,กระดาษทิชชูหรือว่า..เอ่อ..ถุงยางอนามัยไม่มีให้เห็นในสายตาเลย เออแฮะ..รายละเอียดแบบนี้ผมยังนึกได้ แต่จำเรื่องของตัวเองไม่ได้สักอย่าง สมองผมนี่มันยังไงๆอยู่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

    ช่วงหนึ่งจุดที่ผมกำลังปีนข้ามซอกหินใหญ่ สายตาก็เหลือบเห็นเหมือนจะเป็นแสงสะท้อนจากโลหะอะไรสักอย่างแวบๆอยู่ใต้หินก้อนที่ผมกำลังปีนอยู่ ท่าทางน่าสนใจแฮะ ผมลองเดินเกาะๆหินเลียบลงไปดูสักหน่อย อาจจะเป็นอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่พอจะเอาไปใช้งานอะไรได้บ้าง

    ใต้หินใหญ่ด้านนั้นคงเป็นซอกเว้าเข้าไปใกล้กับระดับน้ำทะเล ผมยังมองเห็นไม่ชัด ปีนลงไปจนสุดตรงจุดที่ผมยืนเป็นหินก้อนเล็กๆโผล่พ้นน้ำอยู่ ปีนต่อไปไม่ได้แล้ว แต่จุดที่ผมเห็นแสงสะท้อนต้องเอื้อมตัวเหนี่ยวหินอ้อมไปถึงจะเห็นว่ามันเป็นอะไร


                ผมลองหาที่เกาะยึดก็พอมีแง่มุมของหินจะปีนอ้อมไปได้ ค่อยๆเกาะไปช้าๆทีละนิด ยึดตัวให้มั่นชะโงกหน้าไปมองหน่อย  ผมเห็นแล้วล่ะไอ้วัตถุที่สะท้อนแสงอยู่มันเป็นนาฬิกาข้อมือสีเงินที่ติดอยู่กับกิ่งไม้แห้งสีคล้ำ 

    ปั๊ดโธ่เอ๊ย..นึกว่าจะเป็นมีดหรือเป็นอะไรที่น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่านี้ แต่ก็เอาน่ะไหนๆก็เสียแรงปีนมาแล้ว ลองหยิบมาดูเผื่ออย่างน้อยถ้ามันเจ๊งเข็มไม่เดินแล้วก็เอามาใช้สะท้อนแสงขอความช่วยเหลือได้ก็ยังดี

    ผมชะโงกหน้าไปเล็งจุดอีกที แล้วใช้มือขวาเกาะยึดกับแง่หินให้มั่นคง โน้มตัวเอื้อมมือซ้ายอ้อมไปหยิบนาฬิกาเรือนนั้น มันติดกับกิ่งไม้อยู่ดึงไม่หลุด ลองกระชากๆดูมันเหมือนสอดกับกิ่งไม้แน่นดึงยังไงก็ไม่ออก ดึงนานๆชักเมื่อยตะคริวจะกิน เลยเอามือกลับมาเกาะหินพักอยู่ก่อน

    ลองขยับตัวใหม่อีกทีใช้เท้าเหยียบซอกหินให้ตัวใกล้เข้าไปพอที่จะเอื้อมมือไปหยิบได้ถนัดกว่าเดิม  เอาล่ะทีนี้คงได้การแน่ๆล่ะ  มือขวายึดหินให้มั่นมือซ้ายเอื้อมไปจับที่กิ่งไม้ท่อนนั้นดึงกระชากนาฬิกาอีกทีสุดแรง ฮึบ! สำเร็จ ทั้งนาฬิกาทั้งกิ่งไม้หลุดจากซอกหินติดมือผมมาในที่สุด

    หันมองในมือ...มือ..มือครับ..ไม่ใช่..ผมไม่ได้พูดถึงมือของผม มือ..มือ..หรืออันที่จริงต้องเรียกว่าแขนครับท่านผู้ชม แขนท่อนหนึ่งสภาพผ่านสภาวะสายลมแสงแดดและน้ำทะเลกัดกร่อนอาจจะรวมถึงปลาเล็กปลาน้อยตอดมานานจนเป็นโครงสีคล้ำๆติดเนื้อหนังอยู่นิดหน่อยมองเผินๆเหมือนกับกิ่งไม้ผุๆ  แขนท่อนนั้นสวมนาฬิกายี่ห้อดังจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีกลไกออโตเมติค ทำงานเมื่อมีการเขย่า 

    ใช่ครับ..แขนท่อนที่ว่านี้อยู่ในมือของผม บรรลัยล่ะครับท่าน คิดได้ก็รีบโยนท่อนแขนพร้อมนาฬิกาทิ้งทันทีแบบไม่เสียดาย  อื๋อ..อี๋..อึ๋ย..ขยะแขยง..ความรู้สึกยังติดมือผมอยู่เลย ล้างน้ำยังไงภาพท่อนแขนข้างนั้นก็ยังคงหลอนอยู่  อโหสิด้วยนะพี่นะไม่ว่าพี่เป็นใคร ผมไม่มีเจตนาจะรบกวนพี่เลยจริงๆให้ดิ้นตาย

    จากสภาพของแขนข้างนั้นทำให้ผมรู้สึกเสียวๆหนาวๆเมื่อนึกถึงชะตากรรมตัวเอง ผมอาจต้องแห้งตายซากแบบพี่เขาด้วยก็ได้ถ้าความช่วยเหลือมาไม่ถึงจุดที่ผมกำลังรอความหวังอยู่นี่  คิดแล้วพาลให้ขาจะหมดแรงเอาดื้อๆ  แต่เอาน่ะไหนๆก็ไหนๆแล้วลองไปต่อดูอีกสักหน่อยเผื่อจะเจอคนเป็นๆที่อวัยวะครบสมบูรณ์ไม่ใช่มาทักทายด้วยแขนข้างเดียวเหมือนเมื่อกี้นี้

    พ้นจากโขดหินที่ผมทั้งเดินทั้งโดดทั้งปีนทั้งไต่ข้ามมาจนในที่สุดก็มาถึงหาดอีกด้านหนึ่งของเกาะ หาดด้านนี้ยาวกว่าเวิ้งอ่าวแรกที่ผมจากมา ทรายขาวน้ำใสแบบเดียวกัน และก็ยังคงไร้ร่องรอยสิ่งมีชีวิตเหมือนเดิม แต่ยังดูอุดมสมบูรณ์กว่าฟากโน้น เพราะอย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีต้นมะพร้าวเป็นทิวแถวยาวอยู่

    ตอนนี้ตะวันเลยหัวมาพักหนึ่งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าของร่างกาย ริมฝีปากแห้งผาก อยากได้น้ำอัดลมเย็นๆสักขวด ข้าวผัดกระเพราร้อนๆสักจานโปะไข่ดาวด้วยก็ดี  โอย..เพ้อเจ้อไปท้องไส้ก็ลั่นโครกครากไปหิวแสบไส้กระหายแสบปากเลยคุณเอ๊ย

    นั่งลงพักเหนื่อยใต้ต้นมะพร้าวริมหาดต้นหนึ่ง หยิบทางมะพร้าวแห้งมารองนั่งกันร้อนก้น เหลือบเห็นลูกมะพร้าวแห้ง เอ..ปกติมะพร้าวแห้งมันจะมีน้ำมีเนื้อบ้างไหมเนี่ย  ว่าแล้วก็ลองหยิบมาเขย่าดู 2-3 ลูก ไม่มีเสียงอะไรเลยแฮะ มองขึ้นไปบนต้นยังมีมะพร้าวอยู่หลายลูก แต่คำนวณความสูงแล้วอย่างน้อยน่าจะ 7-8 เมตรได้มั้ง  

    สมองส่วนที่ยังดีนึกถึงเรื่องที่เขาว่ากันว่าในยามสถานการณ์คับขัน ร่างกายจะหลั่งสารบางอย่างออกมาทำให้คนมีความสามารถมากกว่าปกติ อย่างเช่นคนที่ยกตุ่มได้เวลาไฟไหม้บ้าน 
                เอ..อย่างผมนี่ก็น่าจะเรียกได้ว่าอยู่ในสถานการณ์คับขันเหมือนกันนี่  ลองหลับตารวบรวมสมาธิกำหนดจิต..อืมม์..เริ่มรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านในตัว เอาน่ะมาลองดูกันสักตั้ง

    สองมือโอบรอบต้นมะพร้าว แหงนหน้าเชิดขึ้นมองเป้าหมาย สองเท้ากระหวัดเกี่ยวลำต้นไว้ ใช้พลังจาก 2 มือ 2 เท้า ดันตัวเองขึ้นสู่จุดมุ่งหมาย 

    ฮึบ..เอ้า ฮึบ..ฮึบ...ดันจนสุดกำลัง...กระดื๊บไปได้สัก3คืบเห็นจะได้ แขนก็หมดแรงเหนี่ยว ปล่อยตัวไถลมาตามเดิม  ปั๊ดโธ่..ทำไมมันไม่ง่ายเหมือนเวลาลิงมันปีนต้นไม้เลยวะเนี่ย ก็ไหนเขาบอกว่าลิงเป็นบรรพบุรุษของคน

    แหงนมองดูเป้าหมายที่ห่างไกล มองดูรอบๆประเมินสถานการณ์ คงไม่มีอาหารอะไรที่เป็นไปได้มากกว่ามะพร้าวเหล่านี้อีกแล้วเป็นแน่แท้ ไอ้ต้นอื่นก็ดูมันจะสูงชะลูดกว่าไอ้ต้นนี้ทั้งนั้น  ถ้าอยากรอดตายต้องจัดการมันลงมาให้ได้ 

    ลองวิธีใหม่หาอะไรเขวี้ยงมันลงมาดีกว่า ผมลองมองหาบนพื้นทราย หินสักก้อนก็ไม่มีให้เห็น มีแต่ทางมะพร้าว ที่ดูเข้าท่าหน่อยคงมีแต่ลูกมะพร้าวแห้งนี่แหละน่าจะพอใช้ได้   ก้มลงหยิบมาลูกหนึ่ง คะเนน้ำหนักน่าจะพอปาถึง

    มองตรงที่เป้าหมายมะพร้าวลูกหนึ่งบนยอดด้านซ้ายมือลอยเด่นพ้นทะลายออกมาเห็นเป็นเป้านิ่งชัดเจน  มือขวาโน้มไปข้างหลังเขวี้ยงลูกมะพร้าวแห้งในมือสุดแรงเกิด

    เฟี้ยวววว...มะพร้าวแห้งแหวกอากาศ ลูกแรกพลาดเป้าหมายไปไกลโข ลองอีกทีเล็งให้มั่น ขว้างออกไปเป็นลูกที่ 2 ...ผลั่วะ...นั่นโดนเต็มๆแต่ไม่ยักกะร่วงลงมาแฮะ ต้องซ้ำเข้าไปอีก 

    ลูกที่3,ลูกที่4 พลาดไป ลูกที่5...โช๊ะเด๊ะ...โดนเต็มๆอีกที  แต่ผลก็เหมือนเดิม มะพร้าวลูกนั้นยังคงยึดเหนียวแน่นอยู่กับต้น  ด้วยความโมโหคราวนี้มีแรงเท่าไหร่ก็ไม่ยั้งตามติดเข้าไป เขวี้ยงแล้วเขวี้ยงอีกจนแขนล้าหมดแรงนอนแผ่หอบแฮ่กๆ ก็ยังคงไม่มีผลใดๆ มันยังคงลอยหน้าลอยตาเหมือนจะเย้ยผมอยู่บนต้นอยู่อย่างนั้น

    แค้น..แค้นจริงๆ..อย่าอยู่เลยมึ๊งงง...ด้วยอารมณ์โมโหหิวหน้ามืดตาลาย ผมทั้งเขย่าทั้งถีบที่ลำต้นมะพร้าวต้นนั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถีบๆๆๆๆมัน โมโหเว๊ย..โมโห...

    เฟี้ยววว...เสียงวัตถุบางอย่างดังแหวกอากาศ  ผมแหงนหน้ามอง อะฮ้า..ในที่สุดไอ้ลูกมะพร้าวคู่รักคู่แค้นมันก็เสร็จผมลอยลิ่วร่วงลงมาจากต้นจนได้  มันลอยลงมาให้สมน้ำหน้าใกล้ๆ

             ใช่ครับ..มันลงมาใกล้มากๆ  มากจนผมมองเห็นรอยตำหนิที่บั้นท้ายเขียวๆของมันเต็มตา และก็ใกล้มากจนสุดท้ายแล้วผมไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก นอกจากดวงดาวระยิบระยับพร่างพราย 

             และแล้วผมก็หมดสติไปด้วยฤทธิ์มะพร้าวลูกนั้นที่หล่นมาโดนกบาลพอดี
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×