ชีวิตที่ปลิวไป - ชีวิตที่ปลิวไป นิยาย ชีวิตที่ปลิวไป : Dek-D.com - Writer

    ชีวิตที่ปลิวไป

    มันเป็นเพียงเรื่องในชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นที่ต้องการให้คนอื่นได้รับรู้ ถึงมันจะไม่น่าสนใจเท่าใดเลยก็ตาม

    ผู้เข้าชมรวม

    378

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    378

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ต.ค. 46 / 12:33 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ชีวิตที่ปลิวไป

      วันวันหนึ่งกับการที่ฉันเริ่มเปลี่ยนไปโดยไร้สาเหตุ มันอาจเป็นเพราะ ความที่ฉันเป็นคนที่รับอะไรในความผิดพลาดไม่ได้กระมั้ง ถึงทำให้ฉันเป็นอย่างนี้  ฉันนานิรัตน์  วิราริต  หรือเรียกง่ายว่า \"นา\" เรียนอยู่ ม.5  ณ โรงเรียนในตัวเมืองแห่งหนึ่งในจังหวัด  ฉันก็เป็นเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่มีความคิด ความอ่าน ความอยาก โลภเหมือนคนทั่วไป และสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือ ความผิดพลาด มันเหมือนกับเป็นมารร้ายที่คอยจ้องเอาชีวิตฉันถ้าหากฉันทำอะไรที่ด้อยกว่าหรือต่างจากคนอื่นๆ   มันทำให้ฉันกลัวและยอมรับความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องการเรียน
      การเรียนของฉันนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อตอน ม.4 ฉันได้ลำดับที่ 3 ของห้องจากนั้นตอนเทอม 2 ก็ได้ลำดับที่ 2 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.94 ครั้งนั้น มันทำให้ฉันมั่นใจมากขึ้นในตัวเอง และทะเยอทะยานที่จะไล่กรวดคะแนนของเพื่อนๆในห้อง  ตอนนี้ฉันอยู่ ม.5 ช่วงแรกของการเริ่มเก็บคะแนนก็อยู่ในระดับสูงท็อปบ้างก็มี  เพื่อนๆ เองก็ชื่นชมในตัวฉันกัน มันยิ่งเพิ่มความรู้สึกที่มั่นจนเกินตัวของฉันมากเรื่อยๆ แต่พอผ่านไปเดือนหนึ่ง สองเดือน การที่ฉันลืมมองก้นบึ้งแห่งความจริงในตัวเองก็ค่อยๆ ปรากฏ  ฉันลืมไปว่าคุณแม่เคยพูดกับฉันเสมอว่า \"การที่นาเก่งได้นั้นเพราะ นาขยัน ถ้านาไม่ตั้งใจละก็ นาคงตามเพื่อนๆ ไม่ทันนานแล้ว\"  ใช่  มันเป็นความจริงที่ฉันลืม  ฉันเองถ้ามองดูดีๆ ก็ไม่ได้เก่งอะไรนักหนาเลย พวกกีฬาก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แล้วโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่ฉันแถบจะไม่มีความถนัดเอาซะเลย ที่ผ่านมาได้ก็เพราะการเรียนพิเศษที่ติวเข้มหนักเท่านั้น แต่ตอนนี้ฉันทุ่มกับการหาความสุขบังเทิงให้กับตัวเองมากกว่า ฉันชอบเล่นอินเตอร์เน็ตมาก มันเป็นแหล่งบังเทิงความสนุกที่ฉันชอบมากที่สุด ฉันไม่ชอบหรอกไปเที่ยวกลางคืนเตร็ดเตร่เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่มีแต่พวกมั่วสุ่ม อบายมุขทั้งหลายพวกนั้นน่ะฉันไม่ชอบเลย แต่ฉันสนใจที่จะท่องเที่ยวไปในโลกกว้างที่ไร้ขอบเขตของอินเตอร์เน็ตมากกว่า ในนี้มีความรู้สาระที่น่าค้นคว้ามากมาย แล้วก็มีเพื่อนคุยแก้เหงาที่นี่ด้วย มันเป็นสถานที่ที่วิเศษจริงๆ เลยยอดมากๆ  แต่ก็ไม่รู้ทำไมทั้งๆที่ตัวฉันเองก็มีการแบ่งเวลาในการทบทวนบทเรียนบ้างแล้ว แต่คะแนนที่ออกมามันกลับทำให้ฉันรู้สึกเสียดแทงเอามาก เต็ม 30 ได้ 19  , เต็ม 50 ได้ 34 ,  เต็ม 20 ได้ 12   เพียงเท่านี้ฉันก็รับไม่ได้แล้ว มันไม่เหมือนกับคะแนนที่ฉันเคยได้ตามปกติ มันน่าจะมากเกินครึ่งกว่านั้นอีกแต่นี้มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนเดิม วันนั้นวันที่ฉันได้รู้ ฉันเดินเดินคอตกลงมา ดวงตาของฉันมันพร้อมที่จะหลั่งน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ  การเข้าแถวตอนเช้าเป็นไปอย่างหดหู่และพอเข้าโฮมรูมตอนที่เพื่อนๆตื่นเต้นเรื่องคะแนนกันแล้วเข้ามาถามฉัน ฉันตอบออกไปด้วยเสียงที่สั่นและแผ่วเบาถึงคะแนนที่ฉันได้    \"33 เต็ม 60 \"     เพื่อนหลายคนหยุดชะงักและอึ้งไปพักใหญ่ แล้วก็เข้ามากันเพื่อปลอบฉัน ฉันกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลย กั้นไว้ไม่ได้จริงๆ มันจึงพรั่งพรูออกมาโดยไร้เสียงร้องที่ฉันอยากกรีดร้องออกมา มีเพียงน้ำตาอย่างเดียวที่ไหลอย่างยากที่จะหยุด วันนั้นฉันจึงเริ่มที่จะเลื่อยลอยมีความรู้สึกที่เย็นชาไม่สบกับอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อนพยายามหยุดพูดถึงคะแนนที่พวกเขาได้มากกว่าฉัน เขาเข้ามาให้กำลังใจอย่างไม่ขาดแต่บางคนก็กลับพูดแทงใจฉันเข้าไปอีกเหมือนจงใจว่า \"ไม่เป็นไรหรอกนาครั้งหน้าแก้ใหม่ได้ เราอีก 6 คะแนนก็เต็มแล้วยังไม่เป็นไรเลย\"  ประโยคนี้ฉันไม่รู้จะนึกว่าเป็นความห่วงใยหรือสะใจกันแน่ที่ฉันเป็นอย่างนี้ทั้งที่ฉันเองก็เคยได้คะแนนเหมือนอย่างเขาถึงฉันจะมีส่วนลึกที่ดูเหมือนกับหยิ่งแต่ฉันก็ไม่เคยปลอบใจเพื่อนด้วยประโยคอย่างนี้มาก่อนเลย มันเหมือนการทำลายความสัมพันธ์ทางอ้อมมากกว่า เวลานี้ฉันก็ไม่มีจิตใจที่จะไปสนใจอะไรกับเรื่องอย่างนี้มากนัก แต่ฉันคงต้องทำเรื่องที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตฉันคือ การยอมรับเรื่องที่เป็นความจริง
      มันยากนะที่จะบอกให้รับความจริง  ฉันพยายามค้นหาสาเหตุที่ทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ ทุกๆ เรื่องที่เข้ามาในชีวิตฉัน ฉันค่อยๆ ไล่หาต้นตอแห่งความผิดพลาดและสิ่งที่ฉันพบและมันก็อาจจะเป็นสาเหตุเดียวก็ได้ที่ทำให้ฉันเป็นอย่างนี้ อย่างเดียวที่เหลือคือ เพื่อนชายของฉัน  ฉันคงยังจะไม่ได้เล่าเรื่องนี้ในตอนต้นเพราะฉันไม่ได้สนใจเลย เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉันและก็ชอบฉันด้วย เขาเคยมาสารภาพกับฉันโดยตรงครั้งหนึ่งแล้ว ฉันเองตอนนั้นอยู่ ม.4 พอเขามาพูดอย่างนั้นฉันก็งงมากเลย แต่ก็แค่ยิ้มให้เขาเท่านั้นและบอกว่า \"เพื่อนกันน่ะดีแล้วค่ะ\"  แล้วฉันก็เดินกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกปลดปล่อยมากเพราะวันนั้นเป็นวันสอบวันสุดท้าย จากนั้นตอนปิดเทอมฉันกับเขาก็ส่งเมล์หากันบ้างแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นฉันก็บอกตามตรงเลยว่า \"ฉันรู้สึกแค่เพื่อน\"  คงจะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เพราะฉันเองก็มีความหยิ่งในตัวพอดูเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะแสดงออกมาโดยการเชิดไม่สนหรือพูดเหยียดหยามแต่ฉันจะใช้ความรู้สึกแบบเพื่อนมากกว่า จะได้ไม่เสียฟอร์มที่ฉันรักษามาตลอดในตำแหน่งของรองหัวหน้าของห้องที่เรียนดีที่สุด เพราะ ม.5 ฉันต้องรับผิดชอบในหน้าที่นี้อย่างจริงจังและต้องดูแลห้องร่วมกับหัวหน้าให้ดีด้วยแถมฉันยังเป็นคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์โดยบังเอิญอีกทำให้มีงานเข้ามามากมายในแต่ละวัน แล้วช่วงหลังเพื่อนชายคนนี้ก็เริ่มที่จะทำตัวให้ใกล้ชิดกับฉันมากขึ้นสร้างจุดเด่นให้เขามากขึ้นแต่ฉันเองก็ดูเหมือนว่าจะเฉยอยู่ได้ตลอด อาจเพราะว่าเขาหน้าตาไม่หล่อมั้ง การเรียนก็งั้นๆ คงไม่คู่กับฉันเท่าไร  ถึงงั้นเขาก็เก่งกีฬามาก วิ่งเร็ว กระโดดสูง เน้นไปทางกีฬามาก ฉันนึกไม่ออกเลยว่าตอน ม.4 มีเขาเรียนร่วมอยู่ในห้องด้วย  หลังๆ มาอีกเขาก็เริ่มเดินไปส่งฉันตอนเลิกเรียนบ้างมันก็ดีนะ พอได้รู้จักเขามากขึ้นก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ขี้เหงา แล้วก็เป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่งละ จากนั้นเพื่อนในห้องฉันก็เริ่มรู้กัน กลุ่มเพื่อนสนิทฉันก็ไม่ค่อยจะชอบเขาเท่าไรแต่ผ่านไปพักก็บอกว่าเขานิสัยดีขึ้นเลยเชียร์กันใหญ่เพื่อนรักขาประจำฉันเธอก็ยุอย่างหนักทำให้เป็นเรื่องที่น่าแปลกจริงๆ เพราะเธอคนนี้เรียนได้อันดับ 1 มาตลอด เก่งมากๆ ด้วย ช่วงแรกก็สุขุเย็ยชาเหมือนฉันนั้นแหละแต่หลังมาฉันว่าชักจะไม่ใช่แล้ว เปลี่ยนไปแบบคนละโลกเลย เพื่อนในห้องก็เช่นกันไม่ต่างกันเท่าไรเลย แต่ฉันก็รักในตัวเองเลยต่อต้านเรื่องนี้ อีกอย่างฉันก็เป็นนักเรียนที่ได้รับทุนด้ยหากจะทำเรื่องอะไรที่ดูไม่ดีอย่างจะทำให้ไม่เป็นอันน่าเชื่อถือต่อไปของครูอาจารย์แน่นอน อาจารย์หลายท่านเองก็ให้ความมั่นใจในตัวฉันสูงแล้วก็คอยส่งเสริมสิ่งดีให้ฉันมาโดยตลอด หากแต่ท่านไม่ชอบเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเรื่องที่ผิดต่อหลักธรรมของไทยเรา ดังนั้นนี้ก็จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฉันกลัว และไม่กล้าที่จะทำ แต่เพื่อนชายคนนั้นก็คอยมาพูดให้กำลังใจฉันบ่อยๆเวลาที่เห็นฉันเครียด มันก็เลยทำให้ฉันต้องคอยนึกถึงความรู้สึกเขาเช่นกันว่าไม่ควรทำให้เขาเสียใจ หรือว่าการที่ฉันต้องห่วงความรู้สึกของคนอื่นเพิ่มทำให้ฉันมีความกังวลในตัวเองมากขึ้นไปอีก อาจจะใช่ก็ได้มันมีความเป็นไปได้ และในเทอมนี้หากฉันเกรดตกละก็ พวกผู้ใหญ่เขาคงจะมองฉันในแง่เรื่องการมีความรักในวัยเรียนแน่เพราะนั้นคือทัศนคติส่วนใหญ่ของผู้ใหญ่ ที่ฉันให้การปฏิเสธและยืนยันมาตลอดว่าไม่จริง  ฉันเคยลองเปิดใจพูดกับเพื่อนรักคนเก่งของฉันครั้งหนึ่งในเรื่องนี้ เขาบอกฉันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเพื่อนชายคนนั้น เพราะเขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ที่จะทำให้ฉันเสียคนแต่อาจจะเป็นเพราะฉันทบทวนบทเรียนไม่เพียงพอ เล่นเกมออนไลน์บ่อยไป  เรียนพิเศษมากเลยเครียด โดนกดดันเพราะเรื่องเกรด ไม่มีความมั่นใจ วางแผนการเรียนผิดพลาด  นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ และอื่นๆอีก ฉันกับเพื่อนรักนั่งหาสาเหตุเรื่องนี้ของฉันอย่างไม่ลดละ มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นที่มีเพื่อนที่ดี คอยที่จะให้ความช่วยเหลือเราหากเราลำบาก และพร้อมที่จะยอมรับข้อผิดพลาดของเราโดยที่ไม่ว่ากล่าวซ้ำเติม  ฉันกับเพื่อนนั่งคิดกันต่อไปและดูเหมือนว่าเพื่อนรักจะคิดได้ เธอเริ่มหันมามองฉันช้าๆ แล้วถามว่า      \" ช่วงหลังมาทำไมนาส่งงานช้าลง\"        ฉันจึงตอบกลับไปอย่างปกติว่า
               \"ก็งานมันเยอะนี่ ทำฉันปวดหัวมึนเป็นประจำ เลยต้องพักบ่อยๆ \"        
               \"พักยังไง\"
               \" ก็…..นอนเล่น ดูทีวี วาดรูป  และก็ไม่แตะงาน และ กะ..\"  ฉันหยุดพูดไปเพราะอึ้ง
               \" เธอขี้เกียจขึ้นนะนา เธอมึนหัวบ่อยใช่เปล่าเวลาเจองานเยอะๆ\"
               ฉันพยักหน้ารับ
               \"ฉันว่าเธอปลดปล่อยตัวเองผิดวิธีนะ\" เธอจ้องฉันตาไม่กระพริบ
               \"ทำไมไม่ลองที่จะเริ่มทำงานด้วยการค่อยๆ ศึกษาละ ปกติเธอจะทำอย่างนี้นี่\"
               \"อือ…จริงนะ\"  ฉันเริ่มที่จะยอมรับและน้ำตาก็เริ่มคลอเบ้าอย่างเคย
               \"ค่อยๆ ทำงานแต่ละชิ้นไปด้วยความคิดที่สดใส\"
                              ฉันเริ่มกั้นน้ำตาไม่อยู่
                             \"ทบทวนงานอย่างที่ทำอย่างละเอียดและรวดเร็ว\"
      \"ทางที่ดีที่สุดก็น่าจะพักผ่อนตัวเองบ้างนะ ไม่หักโหมทำงานมากเกินไป อย่างที่เธอชอบทำนะมันไม่ดีลองนั่งดูท้องฟ้าเงียบๆ คนเดียวก็ดีนะ ถ้าอยาดกรี๊ดก็เอาหมอนปิดนะแล้วร้องออกมาดัง ดัง ถ้า บะ\"
      เวลานี้ฉันนั่งก้มหน้าและร้องไห้ ฮื่อ ออกมาเบาๆ น้ำตาไหลเป็นสายธารลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
                               \" นา \" เธอเขามาโอบฉันและตบหลังเบาๆ
                               \" อยากร้องก็ร้องออกมาซะ ร้องให้มันหมด อย่ากลั้นเอาไว้อีกเลยนะ โอ้..\"
      มันเป็นความผิดพลาดของฉันเองที่ฉํนมองไม่เห็นและก็เป็นเรื่องที่หลายคนมองไม่เห็นเช่นกัน ฉันเริ่มที่จะเข้าใจแล้วและพอที่จะทำใจรับได้อยู่เหมือนกันแต่ก็ช้ำพอดูละมันยากนะอย่างที่เคยบอกไปตอนต้นนั้นแหละว่าการยอมความจริงมันเหมือนเป็นมารร้ายที่จะเอาชีวิตฉันไป  หัวใจฉันมันอยากจะกรีดร้องออกมาเหลือเกินกับความเจ็บปวดที่ฉันได้รับอยู่ในขณะนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะสามารถเปลี่ยนชีวิตที่มองโลกในแง่ร้ายอย่างนี้ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร ถ้าจะดีถ้าจะมีใครที่ได้รับรู้นั้นช่วยเสนอแนวความคิดที่จะช่วยชีวิตฉันให้สดใสขึ้นกว่านี้ก็ดีนะ หากความคิดของคุณดีละก็ลองส่งมาบ้างนะค่ะ ฉันเองก็หวังที่จะคอยอ่านอยู่เหมือนกัน ถ้ามีโอกาสคุณอาจจะเจอฉันกำลังเป็นคู่คุยกับคุณในอินเตอร์เน็ตก็ได้ สุดท้ายก็ขอบคุณสำหรับคนที่เข้ามาอ่านนะค่ะถึงแม้ว่ามันจะยาวไปก็ตาม
                               \"ขอบคุณที่ช่วยอ่านมาจนจบนะค่ะ  \"

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×