ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สู่เซิ่งจิง มหานครกลางพงไพร
เซิ่นชิงหายใจหอบถี่ การเดินทางไม่หยุดมาครึ่งวันช่างบั่นทอนพลกำลังยิ่งนัก แต่มิอาจหยุดเดินทางได้ แดนศักดิ์สิทธิ์อยู่หลังยอดเขาเบื้องหน้านางแล้ว หากข้ามไปได้ก็หมายความว่านางปลอดภัย ในขณะเดินก็คิดว่าเมื่อเข้าเมืองไปแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร เซิ่นชิงครุ่นคิดไม่ตกว่าทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองได้
'มันคงเหมือนในเกมส์ออนไลน์รึเปล่านะ ฉันก็ต้องหาเควส เอ้ย ไม่ใช่ๆ หาอาชีพ แล้วเราเป็นอะไรดีล่ะ'
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น
"ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย" เสียงนั้นคล้ายกับเด็กผู้หญิงโอดคราญเพราะความทรมาน
'คนรึเปล่าเนี่ย ข้าจะช่วยดีมั้ย' เซิ่นตรองอยู่นาน เมื่อเห็นว่าตนไม่มีอาวุธใดๆจึงวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่นเลย -*-
แน่นอนว่าเสียงนั้นเป็นสัตว์ปิศาจแต่ที่น่าตกใจกว่านั้นเพราะมันเป็นเสียงของภรรยาของหลินสื่อ ครอบครัวปิศาจงูนั่นเอง
'ชิ ฉลาดนักนะ สิ่งที่เจ้าทำกับครอบครัวข้า เจ้าต้องชดใช้'
กล่าวจบก็พุ่งตัวตามเซิ่นชิงไปอย่างรวดเร็ว
...........
บริเวณไม่ไกลกันนัก ชายหนุ่มร่างกำยำลงชำระกายในสระน้ำกลางป่า สรีระที่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อและผิวออกคล้ำของเขาบ่งบอกถึงวัยหนุ่มแน่น องอาจสมชายชาตรี สง่างามดุจเสือดาวที่โตเต็มวัย หากสตรีนางใดเห็นเข้าจำต้องหลงใหลไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปิศาจ มันผู้นี้คือเจียงจิ้งฝูนั่นเอง จอมยุทธ์หนุ่มคล้ายทราบว่าถูกจ้องมองรีบขึ้นจากสระ ขณะที่จัดแจงใส่เสื้อผ้าไปได้ครึ่งตัว ก็พบนกอินทรีสีดำทมิฬขนาดยักษ์ เขาจำได้ดีว่ามันเป็นทาสรับใช้ของพรรคกิเลนดำ ที่ขาของมันมีวัตถุคล้ายกล่องศาสตรา เขาเป่าปากเรียกมันลงมา แกะกล่องศาสตราพบกระบี่หนึ่งเล่มและจดหมายหนึ่งฉบับ ทั้งหมดถูกส่งมาให้เขา ทั้งจดหมายยังระบุอีกว่าให้เปิดอ่านที่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งป่าเฟิ่งหลิน พร้อมมีแผนที่ป่าเฟิ่งหลินอย่างคร่าวๆให้
'อย่างนี้สิ ท่านอาจารย์เข้าใจข้ามากที่สุด'
เขาฉีกเสื้อคลุมของตนพันข้อมือกับขาของนกอินทรียักษ์ นกอินทรีเหมือนรู้งานจึงทะยานขึ้นสู้กลางเวหา โดยนำเจียงจิ้งฝูซึ่งเกาะขาไปด้วย เมื่อบินมาได้ครึ่งชั่วยามเขาหาพบนครแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ จะมีก็แต่เจดีย์สูงตระหง่านแห่งเดียวตั้งอยู่กลางป่า นกอินทรียักษ์บินวนไปมา คล้ายกับบอกเจียงจิ้งฝูว่าถึงที่หมายแล้ว มันเริ่มทำร้ายเขาโดยการใช้กรงเล็บอีกขากระชากผ้าที่มัดเขา เจียงจิ้งฝูก็ไม่ยอมแพ้ ใช้กระบี่จิ้มเป็นเชิงบังคับ แต่ผ่านครึ่งชั่วยาม ถึงจะเป็นอินทรียักษ์ก็ไม่อาจทนรับน้ำหนักของมนุษย์ได้ มันจึงใช้กรงเล็บจิกไปที่เศษผ้าเจียงจิ้งฝูเห็นก็ตกใจ เขารับเสือกกระบี่ไปที่กรงเล็บของมันแต่ทรงตัวไม่ถนัดกระบี่จึงพลาดไปโดนเศษผ้า พอดีกับกรงเล็บนกอินทรีย์ยักษ์ ของมีความที้งสองฉีกกระชากผ้าอย่างพร้อมเพรียง
"แควกกกกก" เศษผ้าฉีกขาดออกจากกัน เจียงจิ้งฝูก็ร่วงลงจากท้องฟ้าทันที
"ว้ากกกกก" เขาหลุดออกมาอย่างตกใจ หากตกลงไปเขาต้องชนกับเจดีย์ตายแน่ๆ
"วูบ" พลันเข้ารู้สึกถึงความเย็นเยือกวาบสันหลัง พลันท้องฟ้าแห่งป่าเฟิ่งหลินที่หม่นหมองก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใส ป่าทึบที่อยู่พื้นล่างเมื่อครู่หายไป กลับกลายเป็น นครโบราณตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า กำแพงสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเขาเปรียบเสมือนปราการยักษ์ เขามองไปรอบๆตัวอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง รอบตัวเขาเต็มไปด้วยมนุษย์มากมาย เขานำมือขึ้นขยี้ตาทั้งยังหยิกให้ตนเองตื่นจากความฝัน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขารีบลุกพรวดขึ้นก่อนจะเป็นที่สังเกตของคนที่สัญจรไปมา ไม่รอช้าเข้าประตูเมืองไปตามฝูงมหาชน
"เคร้งงงง" เสียงอาวุธของทหารที่เฝ้าประตู ทำให้เขาสะดุ้งโหยง
"โปรดแจ้งชาติกำเนิดของท่านแก่เราด้วย"
เจียงจิ้งฝูคิดหนัก'อย่างไรเสียข้าก็เข้ามาแล้ว จะถอยก็เห็นว่าไม่เหมาะ จะเปิดศึกก็นับว่าไม่ฉลาดเลย' เขาสูดหายใจลึกๆ และ ตอบไปอย่างฉะฉาน
"มนุษย์" แล้วเดินไปจากนายทวารเข้าสู่มหานครอย่างสง่าผ่าเผย
นับแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่าง เขาสัมผัสได้ถึงไอแห่งอารยธรรมโบราณของเมืองนี้ บ้านเมืองถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีตั้งแต่อาคารที่สร้างจากไม้ซอมซ่อ ไปจนถึงหอสูงดูโอ่อ่า เป็นหน้าเป็นหน้าเป็นตาของเมือง และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขามากที่สุดคงจะเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้นอกจากตำหนักยักษ์ไท่หยวนอันเปรียบเสมือนเสาหลักเมืองขนาดมหึมา หน้าตำหนัก สลักด้วยอักษรโบราณเป็นชื่อของเมืองนี้
"เซิ่งจิง" เจียงจิ้งฝูอ่านป้ายตรงหน้าด้วยความปลื้มปิติสุดๆ เขาได้เข้ามาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ขณะที่สติไม่อยู่กับตัว พบสตรีนางหนึ่งพิจารณาจากสภาพร่างกายแล้วอ่อนแอยิ่งนัก เดินอย่างทุลักทุเล เจียงจิ้งฝูอดเป็นคนดีเสียไม่ได้รีบวิ่งเข้าไปประคอง นางขณะล้มพอดิบพอดี พลันนางหันกลับมาทำเอาเขาหน้าซีดเผือด
'อิงหยู!!!'
สตรีนางนั้นกลับผลักไสกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา
"ข้าซึ้งในน้ำใจท่านนัก แต่มิจำเป็นต้องช่วยข้า"
"อ้าว เจ้าไม่ใช่อิงหยูรึ"
นางไม่ตอบใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่เดินไปอย่างทรงตัวไม่ค่อยได้ เจียงจิ้งฝูจะตามไปช่วย กลับถูกนางตวาด
"ข้าไม่ใช่ทั้งอิงหยูและเซิ่นชิงนั่นแหละ อย่าตามข้ามานะ ทหาร" องครักษ์ทั้งหลายเข้าขวางเจียงจิ้งฝูไว้บอกเป็นนัยให้เลิกตามนางไป
'อิงหยูต้องโกรธข้าแน่ๆ แต่ไฉนนางจึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้'
เมื่อร่างนางจากไปไกลลับตา เขาพบผ้าเช็ดหน้าของนางตกอยู่ เจียงจิ้งฝูถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าของนางไว้ในอกเสื้อ เขาเดินต่อไปในย่านชุมชน เห็นคนจำนวนมากมุงกันอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงเดินเข้าไป เขาบังเอิญชนกับชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
"ข้าขอโทษท่านไม่เป็นไรนะ" ชายผู้นั้นกล่าวแก่เจียงจิ้งฝู
"ข้าไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ท่านมุงอะไรกันอยู่ล่ะนั่น "
"เจ้าคงเป็นผู้มาใหม่ล่ะสิ พวกเรากำลังมุงดูปรากฏการณ์ก่อนเทศกาลสารท บ่อน้ำนี้สามารถสะท้อนเงาของคนที่เจ้าถวิลหามากที่สุด"
"ฮะๆ โง่น่ะ แค่รู้ใจตนเองก็ไม่จำเป็นต้องมองแล้ว"เจียงจิ้งฝูพูดขำๆ
"ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด แค่ได้มอง เจ้าจะสุขกว่าฝันไปวันๆอยู่แล้ว"
ว่าแล้วก็จูงมือเชิงบังคับให้เขาไปที่บ่อ เจียงจิ้งฝูพลันนึกอะไรออก
'เขาคิดว่าอิงหยูที่เพิ่งพบกันเมื่อครู่ ต้องยังเหลือเยื่อใยแน่ๆมิเช่นนั้นคงไม่ตัดรอนเขาอย่างเจ็บแค้นถึงเพียงนั้น ป่านนี้นางจะทำอะไรอยู่หนอ'
เขาครุ่นคิดอยู่นาน ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเห็นดังนั้นกล่าวขึ้นว่า
"ข้าแนะนำให้เจ้าทำใจให้สบายนะ เอาหมั่นโถวข้าไปทานก็ได้นะ เผื่อจะสงบลงบ้าง" เขาส่งหมั่นโถวให้ เจียงจิ้งฝูยื่นมือออกไปรับอย่างไม่รู้ตัว คาบมันไว้ที่ปาก
เขาหลับตา โน้มศรีษะไปที่บ่อแล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น หวังจะหน้าอันโศกซึ้งของอิงหยู ... แต่กลับตกใจกับภาพที่เห็น
"ต๋อม!!"หมั่นโถวที่เขาใช้ปากคาบอยู่ตกน้ำไปทันที ทำให้เป็นวงกระเพื่อม คลื่นที่ตามมาเป็นระลอกๆ บิดเบี้ยวภาพสะท้อนของใครหลายๆคน และภาพสะท้อนทั้งหมดก็หายไป ชาวบ้านทั้งหมดหันมามองเขาเป็นตาเดียว เจียงจิ้งฝูทราบว่าตนก่อเรื่องซะแล้วจึงวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ลัดเลี้ยวไปตามตรอกซอกซอยขณะที่มีชาวบ้านหลายคนไล่ตาม เขาหลบอยู่ที่ซอกตึก แล้วสบถออกมาอยางหัวเสีย
"บ้าเอ้ย มันเป็นไปได้ยังไง"
เงาสะท้อนเป็นภาพที่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
เป็นเซิ่นชิง นางยิ้มให้เขาอย่างยียวนกวนประสาท เปลี่ยนเป็นแง่งอนเชิดปากน้อยๆของนางขึ้นอย่างน่าชม สุดท้ายกลายเป็นใบหน้านางยามโศกซึ้งอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน เขาคิดไปก็อมยิ้มที่มุมปาก มองข้อมือของตนที่ผูกด้วยกำไลสัจน์อย่าเลื่อนลอย
พลันได้สติก็ตบหน้าตนเอง พึมพำอยู่ในลำคออย่างกระอักกระอ่วนใจ
"ยัยตัวแสบ ข้าจะไม่คิดถึงเจ้าได้ยังไงนะ"
'มันคงเหมือนในเกมส์ออนไลน์รึเปล่านะ ฉันก็ต้องหาเควส เอ้ย ไม่ใช่ๆ หาอาชีพ แล้วเราเป็นอะไรดีล่ะ'
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้น
"ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย" เสียงนั้นคล้ายกับเด็กผู้หญิงโอดคราญเพราะความทรมาน
'คนรึเปล่าเนี่ย ข้าจะช่วยดีมั้ย' เซิ่นตรองอยู่นาน เมื่อเห็นว่าตนไม่มีอาวุธใดๆจึงวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่นเลย -*-
แน่นอนว่าเสียงนั้นเป็นสัตว์ปิศาจแต่ที่น่าตกใจกว่านั้นเพราะมันเป็นเสียงของภรรยาของหลินสื่อ ครอบครัวปิศาจงูนั่นเอง
'ชิ ฉลาดนักนะ สิ่งที่เจ้าทำกับครอบครัวข้า เจ้าต้องชดใช้'
กล่าวจบก็พุ่งตัวตามเซิ่นชิงไปอย่างรวดเร็ว
...........
บริเวณไม่ไกลกันนัก ชายหนุ่มร่างกำยำลงชำระกายในสระน้ำกลางป่า สรีระที่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อและผิวออกคล้ำของเขาบ่งบอกถึงวัยหนุ่มแน่น องอาจสมชายชาตรี สง่างามดุจเสือดาวที่โตเต็มวัย หากสตรีนางใดเห็นเข้าจำต้องหลงใหลไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปิศาจ มันผู้นี้คือเจียงจิ้งฝูนั่นเอง จอมยุทธ์หนุ่มคล้ายทราบว่าถูกจ้องมองรีบขึ้นจากสระ ขณะที่จัดแจงใส่เสื้อผ้าไปได้ครึ่งตัว ก็พบนกอินทรีสีดำทมิฬขนาดยักษ์ เขาจำได้ดีว่ามันเป็นทาสรับใช้ของพรรคกิเลนดำ ที่ขาของมันมีวัตถุคล้ายกล่องศาสตรา เขาเป่าปากเรียกมันลงมา แกะกล่องศาสตราพบกระบี่หนึ่งเล่มและจดหมายหนึ่งฉบับ ทั้งหมดถูกส่งมาให้เขา ทั้งจดหมายยังระบุอีกว่าให้เปิดอ่านที่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งป่าเฟิ่งหลิน พร้อมมีแผนที่ป่าเฟิ่งหลินอย่างคร่าวๆให้
'อย่างนี้สิ ท่านอาจารย์เข้าใจข้ามากที่สุด'
เขาฉีกเสื้อคลุมของตนพันข้อมือกับขาของนกอินทรียักษ์ นกอินทรีเหมือนรู้งานจึงทะยานขึ้นสู้กลางเวหา โดยนำเจียงจิ้งฝูซึ่งเกาะขาไปด้วย เมื่อบินมาได้ครึ่งชั่วยามเขาหาพบนครแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ จะมีก็แต่เจดีย์สูงตระหง่านแห่งเดียวตั้งอยู่กลางป่า นกอินทรียักษ์บินวนไปมา คล้ายกับบอกเจียงจิ้งฝูว่าถึงที่หมายแล้ว มันเริ่มทำร้ายเขาโดยการใช้กรงเล็บอีกขากระชากผ้าที่มัดเขา เจียงจิ้งฝูก็ไม่ยอมแพ้ ใช้กระบี่จิ้มเป็นเชิงบังคับ แต่ผ่านครึ่งชั่วยาม ถึงจะเป็นอินทรียักษ์ก็ไม่อาจทนรับน้ำหนักของมนุษย์ได้ มันจึงใช้กรงเล็บจิกไปที่เศษผ้าเจียงจิ้งฝูเห็นก็ตกใจ เขารับเสือกกระบี่ไปที่กรงเล็บของมันแต่ทรงตัวไม่ถนัดกระบี่จึงพลาดไปโดนเศษผ้า พอดีกับกรงเล็บนกอินทรีย์ยักษ์ ของมีความที้งสองฉีกกระชากผ้าอย่างพร้อมเพรียง
"แควกกกกก" เศษผ้าฉีกขาดออกจากกัน เจียงจิ้งฝูก็ร่วงลงจากท้องฟ้าทันที
"ว้ากกกกก" เขาหลุดออกมาอย่างตกใจ หากตกลงไปเขาต้องชนกับเจดีย์ตายแน่ๆ
"วูบ" พลันเข้ารู้สึกถึงความเย็นเยือกวาบสันหลัง พลันท้องฟ้าแห่งป่าเฟิ่งหลินที่หม่นหมองก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใส ป่าทึบที่อยู่พื้นล่างเมื่อครู่หายไป กลับกลายเป็น นครโบราณตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า กำแพงสูงใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเขาเปรียบเสมือนปราการยักษ์ เขามองไปรอบๆตัวอย่างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง รอบตัวเขาเต็มไปด้วยมนุษย์มากมาย เขานำมือขึ้นขยี้ตาทั้งยังหยิกให้ตนเองตื่นจากความฝัน ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขารีบลุกพรวดขึ้นก่อนจะเป็นที่สังเกตของคนที่สัญจรไปมา ไม่รอช้าเข้าประตูเมืองไปตามฝูงมหาชน
"เคร้งงงง" เสียงอาวุธของทหารที่เฝ้าประตู ทำให้เขาสะดุ้งโหยง
"โปรดแจ้งชาติกำเนิดของท่านแก่เราด้วย"
เจียงจิ้งฝูคิดหนัก'อย่างไรเสียข้าก็เข้ามาแล้ว จะถอยก็เห็นว่าไม่เหมาะ จะเปิดศึกก็นับว่าไม่ฉลาดเลย' เขาสูดหายใจลึกๆ และ ตอบไปอย่างฉะฉาน
"มนุษย์" แล้วเดินไปจากนายทวารเข้าสู่มหานครอย่างสง่าผ่าเผย
นับแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่าง เขาสัมผัสได้ถึงไอแห่งอารยธรรมโบราณของเมืองนี้ บ้านเมืองถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงาม มีตั้งแต่อาคารที่สร้างจากไม้ซอมซ่อ ไปจนถึงหอสูงดูโอ่อ่า เป็นหน้าเป็นหน้าเป็นตาของเมือง และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขามากที่สุดคงจะเป็นสิ่งอื่นไปไม่ได้นอกจากตำหนักยักษ์ไท่หยวนอันเปรียบเสมือนเสาหลักเมืองขนาดมหึมา หน้าตำหนัก สลักด้วยอักษรโบราณเป็นชื่อของเมืองนี้
"เซิ่งจิง" เจียงจิ้งฝูอ่านป้ายตรงหน้าด้วยความปลื้มปิติสุดๆ เขาได้เข้ามาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ขณะที่สติไม่อยู่กับตัว พบสตรีนางหนึ่งพิจารณาจากสภาพร่างกายแล้วอ่อนแอยิ่งนัก เดินอย่างทุลักทุเล เจียงจิ้งฝูอดเป็นคนดีเสียไม่ได้รีบวิ่งเข้าไปประคอง นางขณะล้มพอดิบพอดี พลันนางหันกลับมาทำเอาเขาหน้าซีดเผือด
'อิงหยู!!!'
สตรีนางนั้นกลับผลักไสกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงแต่แฝงไปด้วยความเย็นชา
"ข้าซึ้งในน้ำใจท่านนัก แต่มิจำเป็นต้องช่วยข้า"
"อ้าว เจ้าไม่ใช่อิงหยูรึ"
นางไม่ตอบใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่เดินไปอย่างทรงตัวไม่ค่อยได้ เจียงจิ้งฝูจะตามไปช่วย กลับถูกนางตวาด
"ข้าไม่ใช่ทั้งอิงหยูและเซิ่นชิงนั่นแหละ อย่าตามข้ามานะ ทหาร" องครักษ์ทั้งหลายเข้าขวางเจียงจิ้งฝูไว้บอกเป็นนัยให้เลิกตามนางไป
'อิงหยูต้องโกรธข้าแน่ๆ แต่ไฉนนางจึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้'
เมื่อร่างนางจากไปไกลลับตา เขาพบผ้าเช็ดหน้าของนางตกอยู่ เจียงจิ้งฝูถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าของนางไว้ในอกเสื้อ เขาเดินต่อไปในย่านชุมชน เห็นคนจำนวนมากมุงกันอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงเดินเข้าไป เขาบังเอิญชนกับชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
"ข้าขอโทษท่านไม่เป็นไรนะ" ชายผู้นั้นกล่าวแก่เจียงจิ้งฝู
"ข้าไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ท่านมุงอะไรกันอยู่ล่ะนั่น "
"เจ้าคงเป็นผู้มาใหม่ล่ะสิ พวกเรากำลังมุงดูปรากฏการณ์ก่อนเทศกาลสารท บ่อน้ำนี้สามารถสะท้อนเงาของคนที่เจ้าถวิลหามากที่สุด"
"ฮะๆ โง่น่ะ แค่รู้ใจตนเองก็ไม่จำเป็นต้องมองแล้ว"เจียงจิ้งฝูพูดขำๆ
"ก็แล้วแต่เจ้าจะคิด แค่ได้มอง เจ้าจะสุขกว่าฝันไปวันๆอยู่แล้ว"
ว่าแล้วก็จูงมือเชิงบังคับให้เขาไปที่บ่อ เจียงจิ้งฝูพลันนึกอะไรออก
'เขาคิดว่าอิงหยูที่เพิ่งพบกันเมื่อครู่ ต้องยังเหลือเยื่อใยแน่ๆมิเช่นนั้นคงไม่ตัดรอนเขาอย่างเจ็บแค้นถึงเพียงนั้น ป่านนี้นางจะทำอะไรอยู่หนอ'
เขาครุ่นคิดอยู่นาน ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเห็นดังนั้นกล่าวขึ้นว่า
"ข้าแนะนำให้เจ้าทำใจให้สบายนะ เอาหมั่นโถวข้าไปทานก็ได้นะ เผื่อจะสงบลงบ้าง" เขาส่งหมั่นโถวให้ เจียงจิ้งฝูยื่นมือออกไปรับอย่างไม่รู้ตัว คาบมันไว้ที่ปาก
เขาหลับตา โน้มศรีษะไปที่บ่อแล้วค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น หวังจะหน้าอันโศกซึ้งของอิงหยู ... แต่กลับตกใจกับภาพที่เห็น
"ต๋อม!!"หมั่นโถวที่เขาใช้ปากคาบอยู่ตกน้ำไปทันที ทำให้เป็นวงกระเพื่อม คลื่นที่ตามมาเป็นระลอกๆ บิดเบี้ยวภาพสะท้อนของใครหลายๆคน และภาพสะท้อนทั้งหมดก็หายไป ชาวบ้านทั้งหมดหันมามองเขาเป็นตาเดียว เจียงจิ้งฝูทราบว่าตนก่อเรื่องซะแล้วจึงวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ลัดเลี้ยวไปตามตรอกซอกซอยขณะที่มีชาวบ้านหลายคนไล่ตาม เขาหลบอยู่ที่ซอกตึก แล้วสบถออกมาอยางหัวเสีย
"บ้าเอ้ย มันเป็นไปได้ยังไง"
เงาสะท้อนเป็นภาพที่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
เป็นเซิ่นชิง นางยิ้มให้เขาอย่างยียวนกวนประสาท เปลี่ยนเป็นแง่งอนเชิดปากน้อยๆของนางขึ้นอย่างน่าชม สุดท้ายกลายเป็นใบหน้านางยามโศกซึ้งอย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน เขาคิดไปก็อมยิ้มที่มุมปาก มองข้อมือของตนที่ผูกด้วยกำไลสัจน์อย่าเลื่อนลอย
พลันได้สติก็ตบหน้าตนเอง พึมพำอยู่ในลำคออย่างกระอักกระอ่วนใจ
"ยัยตัวแสบ ข้าจะไม่คิดถึงเจ้าได้ยังไงนะ"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น