ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทสนทนายามวิกาล
ในราตรีอันมืดมิด ป่าเฟิงหลินเพิ่มความลึกลับและชวนขนพองสยองเกล้าขึ้นอีกหลายเท่า ถึงแม้จะมีดาวอยู่เต็มท้องฟ้ากลับไม่ช่วยบรรเทาความหวาดหวั่นนี้ได้เลย
"พั่บๆๆๆ" เสียงกองไฟที่กำลังติดๆดับเริ่มทำให้เซิ่นชิงและเจียงจิ้งฝูเป็นกังวล ทั้งสองคนพิงต้นไม้ต้นเดียวแต่อยู่คนละฝั่ง
"เจียงจิ้งฝู นายไม่มีที่ๆปลอดภัยกว่านี้แล้วหรอ"เซิ่นชิงพูดลอยพลางขยับขาที่เพิ่งทำแผลเสร็จไป
"ที่นี่ดีที่สุดแล้ว ถ้าอยากได้ที่อื่นล่ะก็....." เจียงจิ้งฝูตอบคำถามกวนๆแล้วจับดาบเล่มเมื่อตอนกลางวันให้เซิ่นชิง ทั้งส่งยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ให้เธอ
"หยุดเลยเจ้าบ้า ปิศาจบ้าอะไรนั่นฉันไม่เอาแล้ว นายนี่ชอบหาเรื่องชะมัด" เซิ่นชิงกล่าวอย่าหงุดหงิด
'นี่ฉันต้องนอนในป่าน่ากลัวๆมีก็แต่ผู้ชายที่พึ่งไม่ได้เลย.... โชคร้ายจริงๆ' เซิ่นชิงคิดอย่างหมดกำลังใจ
'ใช่สิ ฉันยังไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไงเลย'คิดได้ก็ลุกพรวดขึ้นทันที
"ขอถามจอมยุทธ์ ตอนนี้เป็นปีที่เท่าไหร่แล้ว"
"ปีนี้ ครบหกร้อยปีราชวงศ์โจวกระมัง"
"600 ปีงั้น นี่คงเป็นยุคหกรัฐ.."
'ตายล่ะ นี่มันก่อนคริสตศักราชอีก นี่ตายแล้วอีกกี่ชาติจะกลับไปยุคเดิมได้เนี่ยTT'.เซิ่นชิงโอดครวญในใจ
"ใช่แล้วที่เราอยู่ตอนนี้เป็นรัฐฉู่ และเราจะมุ่งหน้าไปเมืองโซ่วชุน"
"โซ่วชุน?"
"ข้ามีธุระต้องทำที่นั่น ก่อนที่เราจะไปพบท่านอาจารย์"
"อาจารย์ที่ว่า คือ ถังหลงใช่มั้ย แล้วข้าเกี่ยวอะไรกับเค้า"
เซิ่นชิงเริ่มแทนตัวเองว่าข้า
"ตลอดหนึ่งเดือนที่อาจารย์ข้าล้มป่วยลง เค้าเรียกหาชื่อคนๆหนึ่ง ทั้งยังบอกว่าคนผู้นั้นจะมาจากอีกภพ"
"บ้าน่ะ แค่นี้จะสรุปว่าเป็นข้าได้อย่างไรกัน"
"ไป๋เซิ่นชิง... คือชื่อของนางผู้นั้น"
เซิ่นชิงรับฟังชื่ออย่างตะลึงลาน เพราะก่อนพ่อและแม่ของเธอจะเสียชีวิตเธอได้ใช้แซ่นั้นมาตลอด และเปลี่ยนแซ่เมื่อย้ายมาอยู่กับป้าที่เซี่ยงไฮ้
"หรอ... ข้าไม่อยากไปเลยแฮะ" เซิ่นชิงฝืนยิ้ม ในใจ คิดแผนหนีไว้มากมาย
"เอาล่ะ ข้ามีคำถามมากมายอยากจะถามเจ้า เจ้ามาจากภพใด เหตุใดแต่งกายประหลาดนัก" เขาเอ่ยขึ้นพลางมองชุดนักเรียนของเซิ่นชิงอย่าสนใจ
ฝ่ายเซิ่นชิงเมื่อถูกจ้องขนาดนั้นก็รู้สึกเขิน
"พอแล้วน่าไม่เห็นต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้นี่นา ข้าจะตอบคำถามแล้ว แค่รอบเดียวเท่านั้นนะ"
"ข้าเป็นนักเรียนธรรมดาอยู่เมืองเซี่ยงไฮ้ วันที่ข้าอกหัก ได้ประสบอุบัติเหตุ ระหว่างนั้นถูกใครบางคนลากมา พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว "
"เมื่องของเจ้าชื่อประหลาดนัก แล้วโรงเรียนที่ว่ามันคือสำนักฝึกวิชาเยี่ยงไร แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าหน้าอย่างเจ้าก็มีความรัก ฮะๆๆ"
'คนอะไร พอได้พูดก็พูดไม่หยุดเป็นต่อยหอยเลย'เซิ่นชิงแอบต่อว่าจิ้งฝู
"เอ๊ะ เจ้าบ้านี่ ข้ารักใครมันก็เรื่องของข้านะ " เซิ่นชิงขึ้นเสียง
"เจ้านี่อารมณ์ร้อนจริงๆ "
"ใครจะไปเฉื่อยเหมือนเจ้าล่ะ ข้าเจ็บแผล หมดแรงแล้ว จะนอน" เซิ่นชิงอ้างเหตุผลยุติการสนทนา
"เดี๋ยวยังไม่ถึงคำถามสุดท้ายเลย"
"อะไรอีกล่ะ ข้อเดียวจริงๆแล้วใช่มั้ย?"
"ใช่ เรื่องชาติกำเนิดของเจ้า "
"นี่เจ้าพูดเหมือนข้าไม่ใช่มนุษย์เลยนะ.."
"เจ้าไม่ใช่มนุษย์โดยแท้หรอก"
"หมายความว่าไง"
"จงดูดาบเล่มนี้" พูดแล้วเขาก็หยิบดาบเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา สังเกตดีๆมันเขียนไว้ว่า 'เทพมารพิสุทธิ์'
" แค่ข้าจับดาบเล่มนี้ได้น่ะหรอ"
"ไม่ใช่แค่นั้นนะ จากชื่อดาบแปลว่าดาบเล่มนี้จะใช้ได้กับเชื้อสายเทพและมารเท่านั้น แต่ว่าอานุภาพก็แปรตามความเข้มข้นของสายเลือด"
"......."เซิ่นชิงรับฟังจนตะลึงลาน ตกลงเธอเป็นอะไรกันแน่เนี่ย แต่เจียงจิ้งฝูกลับมีสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้ง
"สำหรับเจ้าที่แค่จับดาบก็ฆ่าปิศาจได้มีสมมติฐานอยู่2ประการ
1คือเจ้าต้องมีเชื้อสายเทพไม่ก็มาร อันนี้ยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะยุทธจักรยังมีคนประเภทนี้อยู่ แต่เจ้าต้องเป็นทายาทโดยตรงที่มีสายเลือดเข้มข้นมาก..."เขากล่าวเท่านี้ก็ทำทีไม่อยากจะกล่าวต่อ
"แล้วข้อที่สองล่ะ"เซิ่นชิงถามอย่างอยากรู้
"ข้าไม่อยากกล่าวเช่นนี้เลย แต่เมื่อเจ้าถามมาข้าก็จะบอกตามสัตย์ หากเจ้าสามารถทำลายสัตว์ปิศาจได้นั้น มีความเป็นไปได้คือ
1เจ้ามีเชื้อสายเทพ/มารได้ฝึกหรือมีวรยุทธ์เทียบเท่าฝึกมาเป็นเวลานาน
ข้อสอง คือ เจ้าเป็นสัตว์ปิศาจสมบูรณ์"
"บ้าน่ะ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ดูหน้าข้าสิเหมือนปิศาจตรงไหน"เจียงจิ้งฝูเหมือนใจลอยกล่าวต่อไปว่า
"สัตว์ปิศาจสมบูรณ์มักจำแลงร่างให้เหมือนมนุษย์ พวกมันจะมีวรยุทธ์ล้ำกว่าเชื้อสายเทพและมาร หากแต่จิตใจต่ำช้าห่อหุ่มไปด้วยความเคียดแค้น มนุษย์ มารและเทพตกเป็นเหยื่อของพวกมันมากมาย เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่สมควรมีอยู่ในโลกนี้"เขากล่าวพร้อมกับเก็บดาบเข้าในฝัก
"งั้นถ้าข้าเป็นสัตว์ปิศาจจริงๆ เจ้าจะฆ่าข้ามั้ย?"
เซิ่นชิงถามอย่าเป็นกังวล
"ฮ่าๆๆ คนที่ไม่รู้เรื่องอย่างเจ้าจะเป็นได้ยังไง เอาน่ะ อย่าเครียดเลยสัตว์ปิศาจไม่ได้โผล่มาง่ายๆนะ "
"แต่ว่า..." เซิ่นชิงเริ่มไม่มั่นใจในชาติกำเนิดของตน รู้สึกหวาดหวั่นแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา
"เอาล่ะ นอนได้แล้ว"เจียงจิ้งฝูชิงตัดบทซะก่อน พูดต่อไปว่า
"เจ้าก็ไม่เหมือนสัตว์ปิศาจซะหน่อย อย่าคิดไปคนเดียวเซ่" เซิ่นชิงได้ยินคำปลอบใจรู้สึกอบอุ่นขึ้น แต่ก็ยากจะข่มตาให้หลับได้
'คิดไปคนเดียว ทำไมฉันเกลียดคำนี้จังเลยนะ จางยุ่นเจี๋ย เพราะเธอนั่นแหละ ฉันถึงมาเจออะไรแบบนี้...'
เซิ่นชิงต่อว่าจางยุ่นเจี๋ยแล้วก็หลับไปเพราะความง่วง โดยที่ไม่รู้เลยว่าฝันร้ายของเธอจะเริ่มจากการตื่นวันต่อมา
***********
ณ อีกฟากหนึ่งของป่าเฟิงหลิน เป็นตำหนักไท่หยวน สถานที่ซึ่งบรรจงสร้างไว้อย่างวิจิตรและมีขนาด มโหฬารดูเผินๆคล้ายที่ฝึกวิปัสสนาของภิกษุจำนวนมากแต่หาใช่ไม่ ที่นี่เป็นศูนย์รวมใจของชาวผู้วิเศษเชิ่งเจี๋ย ผู้วิเศษเหล่านี้เป็นอมนุษย์คล้ายสัตว์ปิศาจสมบูรณ์แต่อยู่ในความดูแลของซานเทียนกวน(ในศาสนาเต๋า)จึงไม่ถูกความเคียดแค้นห่อหุ้มจิตให้ต่ำทราม ทั้งนี้มีเทพเจ้า3องค์คือ เทียนกวน(ฟ้า) ตี้กวน(ดิน) และสุ่ยกวน(น้ำ)
"หยาเอ๋อร์ เจ้ารีบกลับไปดูท่านแม่เร็ว" เสี่ยวเนี่ยนร้องตะโกนเรียกหญิง(สัตว์ปิศาจสมบูรณ์)นางหนึ่ง
หยาเอ๋อร์ กุลีกุจอออกจากตำหนักไท่หยวน ร่างอันแบบบางของนางหอบนำความกังวลไปเฝ้ามารดา ที่ล้มป่วยมาแรมปี เมื่อถึงกระท่อมของหมอเหลียงชิว มีชาวบ้านนับเกือบห้าสิบ รุมล้อมร่างของมารดานาง
"แม่เฒ่านางมาแล้วขอรับ"
"หยาเอ๋อร์......"หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน่าเวทนานัก
แต่นางหาได้ตอบความไม่ หยาเอ๋อร์มองเข้าไปในแววตาของหญิงชราอย่างโศกซึ้ง "หยาเอ๋อร์ ข้ามีสิ่งที่ปราถนาเป็นอย่างสุดท้าย" หญิงชราเริ่มหายใจหอบถี่ขึ้น
"ท่านอย่าพูดอีกเลย ท่านแม่ ท่านพักผ่อนเสียเถอะ"แต่นางหาได้ฟังไม่กล่าวต่อว่า
"และข้า.... ต้องการสนทนากับเจ้าลำพังเท่านั้น"
"ถ้าเป็นเรื่องนั้น.."
"บอกให้พวกเขาออกไป" หญิงชราส่งสายตาเป็นเชิงคำสั่งให้เสี่ยวเนี่ยน
ชาวบ้านทุกคนออกไปจากกระท่อม ทิ้งให้สองแม่ลูกสนทนาตามลำพัง ผ่านไปสักชั่วยาม เสี่ยวเนี่ยนกังวลยิ่งนักเกรงว่าแม่เฒ่าจะเสียชีวิต แต่ไม่เท่ากับหยาเอ๋อร์จะคิดสั้นฆ่าตัวตาย เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเขาไป
ได้ยินเสียงสะอื้นของหญิงสาวแน่นอนว่าเป็นหยาเอ๋อร์ เขาค่อยๆนำมือวางบนบ่าของนางถึงแม้จะแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น นาง โผล่เข้าสู่อ้อมอกของเสี่ยวเนี่ยนอย่างไม่ลังเลใดๆ... ราตรีช่างโหดร้ายและยาวนานนัก ใบหน้าของหญิงชรานั้นสงบยิ่ง ผู้ที่ตายไปแล้วหาได้ทรมานไม่ แต่เป็นผู้มีชีวิตอยู่ที่ต้องทุกข์ระทม
แต่ชาวเชิ่งเจี๋ยหารู้ไม่ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความวิบัติครั้งใหญ่ในเผ่าพันธุ์
.........................
กลับไปที่ป่าเฟิ่งหลิน
นี่ก็ย่ำรุ่งมาชั่วยามแล้ว เจียงจิ้งฝู ออกจากโคนต้นไม้ไปหาปลาที่ลำธาร ปล่อยให้เซิ่งชิงนอนหลับไม่รู้เดือนตะวันใต้ต้นไม้ตามลำพัง เขารู้ว่าตนมีฝีมือด้อยอย่างยิ่ง เขานั่งเหม่อมองไปที่ลำธารอย่าไร้จุดหมาย
ระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี คิดว่าเป็นเซิ่นชิงจึงรีบวิ่งกลับไปดู นางหายไปแล้ว... กระบี่ของเขาก็หายไปด้วย เขานึกเสียดายว่าไม่น่าพกดาบเทพมารติดตัวไปเลย
'ยัยตัวแสบ เจ้าหาเรื่องให้ข้าแต่เช้าเลย'
"กรร โฮกกกก"
'ช่วงนี้สัตว์ปิศาจออกมามากเหลือเกิน'
"กรี๊ดดดด" เสียงสตรีอีกครา แต่ฟังว่ามีถึงสองนาง
เจียงจิ้งฝูไปในที่เกิดเหตุ กลับพบเพียงกวางอสูรสัตว์ปิศาจนอนไร้วิญญาณอยู่ตรงนั้น
พลันมีร่างสตรีนางหนึ่งวิ่งถลาเข้าสู่อ้อมอกของเจียงจิ้งฝู โอบกอดเขาแนบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
"อิงหยู เจ้ามาที่นี่ทำไม"จิ้งฝูกล่าวอย่างตำหนิ
สาวน้อยยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วตอบไปว่า
"ข้าก็มาดูสามีของข้าไงล่ะ ตอนนี้คนผู้นั้นจะมีใจให้สตรีอื่นแล้วรึไม่"
"อิงหยู เจ้าไม่ใช่ทารกแล้ว เลิกทำตัวให้ผู้อื่นเป็นห่วงเสียที" เขาสังเกตุเห็นว่านางถือกระบี่ของตนอยู่ในมือ
"เจ้าเห็นสตรีนางหนึ่งผ่านมารึไม่" เขาเริ่มมีสีหน้าวิตกกังวล อิงหยูยิ้มอย่าเจ้าเล่ห์อีกคราพร้อมหันไปด้านหลัง มีอีกร่างหนึ่งนอนสลบไสล เป็นเซิ่นชิงนั่นเอง
"ได้ยินแล้วสินะ ยัยจิ้งจอก"
"จิ้งฝู แก...."
เซิ่นชิงเหมือนหมาจนตรอกสะบักสะบอมไปทั้งร่าง นางมองเจียงจิ้งฝูอย่างโกรธแค้นแล้วสลบไป
พลันเจียงจิ้งฝูก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น รีบเข้าไปประคองเซิ่นชิง เมื่อเห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงหันมาต่อว่าอิงหยู
"สิ่งที่เจ้ากระทำช่างต่ำทรามนัก เจ้าข่มเหงแม้กระทั่งผู้ไร้วรยุทธ์"
"พี่ชาย ท่านอย่าว่าข้าอย่างนี้สิ ถึงนางไม่มีวรยุทธ์ข้าก็ระบมไปทั่วตัวแล้ว" พูดพลางเลิกแขนเสื้อเผยให้เห็นรอยจ้ำช้ำเขียวแดง เต็มแขนนวลผ่องของนาง
"แขนอีกข้างก็มีนะ หัวข้ายังถูกก้อนหินปาใส่ บวมไปหมด ซ้ำร้ายกระบี่ยังโดนแย่งไปได้ นางมันปิศาจชัดๆ"
"ยังไงเจ้าก็ผิด มาช่วยข้าดูแลนางไถ่โทษซะดีๆ"
"นี่ท่านจะไม่ฟังเลยรึว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น"อิงหยูพูดอย่างหงุดหงิด
"เรื่องของสตรี มีแต่ชิงชัง ไม่น่าฟังหรอก"
อิงหยูเบ้ปาก ก่อนจะแยกตัวไปนั่งเฝ้าเซิ่นชิงอย่างเงียบๆ
ยามเช้าที่แสนวุ่นวายผ่านไปแล้ว เจียงจิ้งฝูหยุด ณ โขดหินในท่าขัดสมาธิ วางมือข้างหนึ่งวางบนตัก อีกข้างผายออก ใบหน้าหล่อเหลาดูสงบเยือกเย็นดั่งทะเลสาบในยามเช้า ลมหายใจของเขาเบาและยาว ในขณะที่สรรพสิ่งแวดล้อมตัวเขาเริ่มมอดไหม้ นี่คือวิชาปราณแปดทิศของสำนักกิเลนดำ ที่สามารถแปรพลังงานภายนอกมาเป็นลมปราณให้แก่ผู้ฝึกวิชา นี่เป็นเพียงท่าเบื้องต้นจากทั้งหมด 18ขั้น ซึ่งจะถ่ายทอดในสำนักเฉพาะผู้ที่ประมุขพรรคเห็นว่าเหมาะควรเท่านั้น แต่คนไม่เอาไหนอย่างเจียงจิ้งฝูมีคุณสมบัติอย่างไรจึงได้มันมา
"พั่บๆๆๆ" เสียงกองไฟที่กำลังติดๆดับเริ่มทำให้เซิ่นชิงและเจียงจิ้งฝูเป็นกังวล ทั้งสองคนพิงต้นไม้ต้นเดียวแต่อยู่คนละฝั่ง
"เจียงจิ้งฝู นายไม่มีที่ๆปลอดภัยกว่านี้แล้วหรอ"เซิ่นชิงพูดลอยพลางขยับขาที่เพิ่งทำแผลเสร็จไป
"ที่นี่ดีที่สุดแล้ว ถ้าอยากได้ที่อื่นล่ะก็....." เจียงจิ้งฝูตอบคำถามกวนๆแล้วจับดาบเล่มเมื่อตอนกลางวันให้เซิ่นชิง ทั้งส่งยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ให้เธอ
"หยุดเลยเจ้าบ้า ปิศาจบ้าอะไรนั่นฉันไม่เอาแล้ว นายนี่ชอบหาเรื่องชะมัด" เซิ่นชิงกล่าวอย่าหงุดหงิด
'นี่ฉันต้องนอนในป่าน่ากลัวๆมีก็แต่ผู้ชายที่พึ่งไม่ได้เลย.... โชคร้ายจริงๆ' เซิ่นชิงคิดอย่างหมดกำลังใจ
'ใช่สิ ฉันยังไม่รู้ว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไงเลย'คิดได้ก็ลุกพรวดขึ้นทันที
"ขอถามจอมยุทธ์ ตอนนี้เป็นปีที่เท่าไหร่แล้ว"
"ปีนี้ ครบหกร้อยปีราชวงศ์โจวกระมัง"
"600 ปีงั้น นี่คงเป็นยุคหกรัฐ.."
'ตายล่ะ นี่มันก่อนคริสตศักราชอีก นี่ตายแล้วอีกกี่ชาติจะกลับไปยุคเดิมได้เนี่ยTT'.เซิ่นชิงโอดครวญในใจ
"ใช่แล้วที่เราอยู่ตอนนี้เป็นรัฐฉู่ และเราจะมุ่งหน้าไปเมืองโซ่วชุน"
"โซ่วชุน?"
"ข้ามีธุระต้องทำที่นั่น ก่อนที่เราจะไปพบท่านอาจารย์"
"อาจารย์ที่ว่า คือ ถังหลงใช่มั้ย แล้วข้าเกี่ยวอะไรกับเค้า"
เซิ่นชิงเริ่มแทนตัวเองว่าข้า
"ตลอดหนึ่งเดือนที่อาจารย์ข้าล้มป่วยลง เค้าเรียกหาชื่อคนๆหนึ่ง ทั้งยังบอกว่าคนผู้นั้นจะมาจากอีกภพ"
"บ้าน่ะ แค่นี้จะสรุปว่าเป็นข้าได้อย่างไรกัน"
"ไป๋เซิ่นชิง... คือชื่อของนางผู้นั้น"
เซิ่นชิงรับฟังชื่ออย่างตะลึงลาน เพราะก่อนพ่อและแม่ของเธอจะเสียชีวิตเธอได้ใช้แซ่นั้นมาตลอด และเปลี่ยนแซ่เมื่อย้ายมาอยู่กับป้าที่เซี่ยงไฮ้
"หรอ... ข้าไม่อยากไปเลยแฮะ" เซิ่นชิงฝืนยิ้ม ในใจ คิดแผนหนีไว้มากมาย
"เอาล่ะ ข้ามีคำถามมากมายอยากจะถามเจ้า เจ้ามาจากภพใด เหตุใดแต่งกายประหลาดนัก" เขาเอ่ยขึ้นพลางมองชุดนักเรียนของเซิ่นชิงอย่าสนใจ
ฝ่ายเซิ่นชิงเมื่อถูกจ้องขนาดนั้นก็รู้สึกเขิน
"พอแล้วน่าไม่เห็นต้องจ้องขนาดนั้นก็ได้นี่นา ข้าจะตอบคำถามแล้ว แค่รอบเดียวเท่านั้นนะ"
"ข้าเป็นนักเรียนธรรมดาอยู่เมืองเซี่ยงไฮ้ วันที่ข้าอกหัก ได้ประสบอุบัติเหตุ ระหว่างนั้นถูกใครบางคนลากมา พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่นี่แล้ว "
"เมื่องของเจ้าชื่อประหลาดนัก แล้วโรงเรียนที่ว่ามันคือสำนักฝึกวิชาเยี่ยงไร แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าหน้าอย่างเจ้าก็มีความรัก ฮะๆๆ"
'คนอะไร พอได้พูดก็พูดไม่หยุดเป็นต่อยหอยเลย'เซิ่นชิงแอบต่อว่าจิ้งฝู
"เอ๊ะ เจ้าบ้านี่ ข้ารักใครมันก็เรื่องของข้านะ " เซิ่นชิงขึ้นเสียง
"เจ้านี่อารมณ์ร้อนจริงๆ "
"ใครจะไปเฉื่อยเหมือนเจ้าล่ะ ข้าเจ็บแผล หมดแรงแล้ว จะนอน" เซิ่นชิงอ้างเหตุผลยุติการสนทนา
"เดี๋ยวยังไม่ถึงคำถามสุดท้ายเลย"
"อะไรอีกล่ะ ข้อเดียวจริงๆแล้วใช่มั้ย?"
"ใช่ เรื่องชาติกำเนิดของเจ้า "
"นี่เจ้าพูดเหมือนข้าไม่ใช่มนุษย์เลยนะ.."
"เจ้าไม่ใช่มนุษย์โดยแท้หรอก"
"หมายความว่าไง"
"จงดูดาบเล่มนี้" พูดแล้วเขาก็หยิบดาบเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา สังเกตดีๆมันเขียนไว้ว่า 'เทพมารพิสุทธิ์'
" แค่ข้าจับดาบเล่มนี้ได้น่ะหรอ"
"ไม่ใช่แค่นั้นนะ จากชื่อดาบแปลว่าดาบเล่มนี้จะใช้ได้กับเชื้อสายเทพและมารเท่านั้น แต่ว่าอานุภาพก็แปรตามความเข้มข้นของสายเลือด"
"......."เซิ่นชิงรับฟังจนตะลึงลาน ตกลงเธอเป็นอะไรกันแน่เนี่ย แต่เจียงจิ้งฝูกลับมีสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้ง
"สำหรับเจ้าที่แค่จับดาบก็ฆ่าปิศาจได้มีสมมติฐานอยู่2ประการ
1คือเจ้าต้องมีเชื้อสายเทพไม่ก็มาร อันนี้ยังเป็นที่น่าพอใจ เพราะยุทธจักรยังมีคนประเภทนี้อยู่ แต่เจ้าต้องเป็นทายาทโดยตรงที่มีสายเลือดเข้มข้นมาก..."เขากล่าวเท่านี้ก็ทำทีไม่อยากจะกล่าวต่อ
"แล้วข้อที่สองล่ะ"เซิ่นชิงถามอย่างอยากรู้
"ข้าไม่อยากกล่าวเช่นนี้เลย แต่เมื่อเจ้าถามมาข้าก็จะบอกตามสัตย์ หากเจ้าสามารถทำลายสัตว์ปิศาจได้นั้น มีความเป็นไปได้คือ
1เจ้ามีเชื้อสายเทพ/มารได้ฝึกหรือมีวรยุทธ์เทียบเท่าฝึกมาเป็นเวลานาน
ข้อสอง คือ เจ้าเป็นสัตว์ปิศาจสมบูรณ์"
"บ้าน่ะ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ดูหน้าข้าสิเหมือนปิศาจตรงไหน"เจียงจิ้งฝูเหมือนใจลอยกล่าวต่อไปว่า
"สัตว์ปิศาจสมบูรณ์มักจำแลงร่างให้เหมือนมนุษย์ พวกมันจะมีวรยุทธ์ล้ำกว่าเชื้อสายเทพและมาร หากแต่จิตใจต่ำช้าห่อหุ่มไปด้วยความเคียดแค้น มนุษย์ มารและเทพตกเป็นเหยื่อของพวกมันมากมาย เป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่สมควรมีอยู่ในโลกนี้"เขากล่าวพร้อมกับเก็บดาบเข้าในฝัก
"งั้นถ้าข้าเป็นสัตว์ปิศาจจริงๆ เจ้าจะฆ่าข้ามั้ย?"
เซิ่นชิงถามอย่าเป็นกังวล
"ฮ่าๆๆ คนที่ไม่รู้เรื่องอย่างเจ้าจะเป็นได้ยังไง เอาน่ะ อย่าเครียดเลยสัตว์ปิศาจไม่ได้โผล่มาง่ายๆนะ "
"แต่ว่า..." เซิ่นชิงเริ่มไม่มั่นใจในชาติกำเนิดของตน รู้สึกหวาดหวั่นแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา
"เอาล่ะ นอนได้แล้ว"เจียงจิ้งฝูชิงตัดบทซะก่อน พูดต่อไปว่า
"เจ้าก็ไม่เหมือนสัตว์ปิศาจซะหน่อย อย่าคิดไปคนเดียวเซ่" เซิ่นชิงได้ยินคำปลอบใจรู้สึกอบอุ่นขึ้น แต่ก็ยากจะข่มตาให้หลับได้
'คิดไปคนเดียว ทำไมฉันเกลียดคำนี้จังเลยนะ จางยุ่นเจี๋ย เพราะเธอนั่นแหละ ฉันถึงมาเจออะไรแบบนี้...'
เซิ่นชิงต่อว่าจางยุ่นเจี๋ยแล้วก็หลับไปเพราะความง่วง โดยที่ไม่รู้เลยว่าฝันร้ายของเธอจะเริ่มจากการตื่นวันต่อมา
***********
ณ อีกฟากหนึ่งของป่าเฟิงหลิน เป็นตำหนักไท่หยวน สถานที่ซึ่งบรรจงสร้างไว้อย่างวิจิตรและมีขนาด มโหฬารดูเผินๆคล้ายที่ฝึกวิปัสสนาของภิกษุจำนวนมากแต่หาใช่ไม่ ที่นี่เป็นศูนย์รวมใจของชาวผู้วิเศษเชิ่งเจี๋ย ผู้วิเศษเหล่านี้เป็นอมนุษย์คล้ายสัตว์ปิศาจสมบูรณ์แต่อยู่ในความดูแลของซานเทียนกวน(ในศาสนาเต๋า)จึงไม่ถูกความเคียดแค้นห่อหุ้มจิตให้ต่ำทราม ทั้งนี้มีเทพเจ้า3องค์คือ เทียนกวน(ฟ้า) ตี้กวน(ดิน) และสุ่ยกวน(น้ำ)
"หยาเอ๋อร์ เจ้ารีบกลับไปดูท่านแม่เร็ว" เสี่ยวเนี่ยนร้องตะโกนเรียกหญิง(สัตว์ปิศาจสมบูรณ์)นางหนึ่ง
หยาเอ๋อร์ กุลีกุจอออกจากตำหนักไท่หยวน ร่างอันแบบบางของนางหอบนำความกังวลไปเฝ้ามารดา ที่ล้มป่วยมาแรมปี เมื่อถึงกระท่อมของหมอเหลียงชิว มีชาวบ้านนับเกือบห้าสิบ รุมล้อมร่างของมารดานาง
"แม่เฒ่านางมาแล้วขอรับ"
"หยาเอ๋อร์......"หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน่าเวทนานัก
แต่นางหาได้ตอบความไม่ หยาเอ๋อร์มองเข้าไปในแววตาของหญิงชราอย่างโศกซึ้ง "หยาเอ๋อร์ ข้ามีสิ่งที่ปราถนาเป็นอย่างสุดท้าย" หญิงชราเริ่มหายใจหอบถี่ขึ้น
"ท่านอย่าพูดอีกเลย ท่านแม่ ท่านพักผ่อนเสียเถอะ"แต่นางหาได้ฟังไม่กล่าวต่อว่า
"และข้า.... ต้องการสนทนากับเจ้าลำพังเท่านั้น"
"ถ้าเป็นเรื่องนั้น.."
"บอกให้พวกเขาออกไป" หญิงชราส่งสายตาเป็นเชิงคำสั่งให้เสี่ยวเนี่ยน
ชาวบ้านทุกคนออกไปจากกระท่อม ทิ้งให้สองแม่ลูกสนทนาตามลำพัง ผ่านไปสักชั่วยาม เสี่ยวเนี่ยนกังวลยิ่งนักเกรงว่าแม่เฒ่าจะเสียชีวิต แต่ไม่เท่ากับหยาเอ๋อร์จะคิดสั้นฆ่าตัวตาย เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูเขาไป
ได้ยินเสียงสะอื้นของหญิงสาวแน่นอนว่าเป็นหยาเอ๋อร์ เขาค่อยๆนำมือวางบนบ่าของนางถึงแม้จะแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น นาง โผล่เข้าสู่อ้อมอกของเสี่ยวเนี่ยนอย่างไม่ลังเลใดๆ... ราตรีช่างโหดร้ายและยาวนานนัก ใบหน้าของหญิงชรานั้นสงบยิ่ง ผู้ที่ตายไปแล้วหาได้ทรมานไม่ แต่เป็นผู้มีชีวิตอยู่ที่ต้องทุกข์ระทม
แต่ชาวเชิ่งเจี๋ยหารู้ไม่ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความวิบัติครั้งใหญ่ในเผ่าพันธุ์
.........................
กลับไปที่ป่าเฟิ่งหลิน
นี่ก็ย่ำรุ่งมาชั่วยามแล้ว เจียงจิ้งฝู ออกจากโคนต้นไม้ไปหาปลาที่ลำธาร ปล่อยให้เซิ่งชิงนอนหลับไม่รู้เดือนตะวันใต้ต้นไม้ตามลำพัง เขารู้ว่าตนมีฝีมือด้อยอย่างยิ่ง เขานั่งเหม่อมองไปที่ลำธารอย่าไร้จุดหมาย
ระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรี คิดว่าเป็นเซิ่นชิงจึงรีบวิ่งกลับไปดู นางหายไปแล้ว... กระบี่ของเขาก็หายไปด้วย เขานึกเสียดายว่าไม่น่าพกดาบเทพมารติดตัวไปเลย
'ยัยตัวแสบ เจ้าหาเรื่องให้ข้าแต่เช้าเลย'
"กรร โฮกกกก"
'ช่วงนี้สัตว์ปิศาจออกมามากเหลือเกิน'
"กรี๊ดดดด" เสียงสตรีอีกครา แต่ฟังว่ามีถึงสองนาง
เจียงจิ้งฝูไปในที่เกิดเหตุ กลับพบเพียงกวางอสูรสัตว์ปิศาจนอนไร้วิญญาณอยู่ตรงนั้น
พลันมีร่างสตรีนางหนึ่งวิ่งถลาเข้าสู่อ้อมอกของเจียงจิ้งฝู โอบกอดเขาแนบแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
"อิงหยู เจ้ามาที่นี่ทำไม"จิ้งฝูกล่าวอย่างตำหนิ
สาวน้อยยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วตอบไปว่า
"ข้าก็มาดูสามีของข้าไงล่ะ ตอนนี้คนผู้นั้นจะมีใจให้สตรีอื่นแล้วรึไม่"
"อิงหยู เจ้าไม่ใช่ทารกแล้ว เลิกทำตัวให้ผู้อื่นเป็นห่วงเสียที" เขาสังเกตุเห็นว่านางถือกระบี่ของตนอยู่ในมือ
"เจ้าเห็นสตรีนางหนึ่งผ่านมารึไม่" เขาเริ่มมีสีหน้าวิตกกังวล อิงหยูยิ้มอย่าเจ้าเล่ห์อีกคราพร้อมหันไปด้านหลัง มีอีกร่างหนึ่งนอนสลบไสล เป็นเซิ่นชิงนั่นเอง
"ได้ยินแล้วสินะ ยัยจิ้งจอก"
"จิ้งฝู แก...."
เซิ่นชิงเหมือนหมาจนตรอกสะบักสะบอมไปทั้งร่าง นางมองเจียงจิ้งฝูอย่างโกรธแค้นแล้วสลบไป
พลันเจียงจิ้งฝูก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น รีบเข้าไปประคองเซิ่นชิง เมื่อเห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงหันมาต่อว่าอิงหยู
"สิ่งที่เจ้ากระทำช่างต่ำทรามนัก เจ้าข่มเหงแม้กระทั่งผู้ไร้วรยุทธ์"
"พี่ชาย ท่านอย่าว่าข้าอย่างนี้สิ ถึงนางไม่มีวรยุทธ์ข้าก็ระบมไปทั่วตัวแล้ว" พูดพลางเลิกแขนเสื้อเผยให้เห็นรอยจ้ำช้ำเขียวแดง เต็มแขนนวลผ่องของนาง
"แขนอีกข้างก็มีนะ หัวข้ายังถูกก้อนหินปาใส่ บวมไปหมด ซ้ำร้ายกระบี่ยังโดนแย่งไปได้ นางมันปิศาจชัดๆ"
"ยังไงเจ้าก็ผิด มาช่วยข้าดูแลนางไถ่โทษซะดีๆ"
"นี่ท่านจะไม่ฟังเลยรึว่าเมื่อเช้าเกิดอะไรขึ้น"อิงหยูพูดอย่างหงุดหงิด
"เรื่องของสตรี มีแต่ชิงชัง ไม่น่าฟังหรอก"
อิงหยูเบ้ปาก ก่อนจะแยกตัวไปนั่งเฝ้าเซิ่นชิงอย่างเงียบๆ
ยามเช้าที่แสนวุ่นวายผ่านไปแล้ว เจียงจิ้งฝูหยุด ณ โขดหินในท่าขัดสมาธิ วางมือข้างหนึ่งวางบนตัก อีกข้างผายออก ใบหน้าหล่อเหลาดูสงบเยือกเย็นดั่งทะเลสาบในยามเช้า ลมหายใจของเขาเบาและยาว ในขณะที่สรรพสิ่งแวดล้อมตัวเขาเริ่มมอดไหม้ นี่คือวิชาปราณแปดทิศของสำนักกิเลนดำ ที่สามารถแปรพลังงานภายนอกมาเป็นลมปราณให้แก่ผู้ฝึกวิชา นี่เป็นเพียงท่าเบื้องต้นจากทั้งหมด 18ขั้น ซึ่งจะถ่ายทอดในสำนักเฉพาะผู้ที่ประมุขพรรคเห็นว่าเหมาะควรเท่านั้น แต่คนไม่เอาไหนอย่างเจียงจิ้งฝูมีคุณสมบัติอย่างไรจึงได้มันมา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น