ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    my favorite place in the world is next to you. | minno & cusno

    ลำดับตอนที่ #4 : 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 297
      31
      19 ต.ค. 62

    ตอนที่ 4





    “เมี๊ยวๆ มานี่เร็ว”


    เสียงที่ถูกดัดให้เล็กโดยไม่รู้ตัวดังงึมงำอยู่ในลำคอ จูโน่กอดเข่า มองแมวน้อยที่หันมามองเขาก่อนเมินหน้าหนีกลับไปเลียขนตัวเองต่อ 


    “เล่นกับจูหน่อยซี”


    จะร้องเรียกหรือยื่นมือไปหายังไงก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจจากเจ้าแมวลายวัวได้สักนิดจนคนน้องถอดใจ แถมอยู่ตรงนี้มาสักพักใหญ่ ๆ อาการคันฟุดฟิดที่จมูกก็เริ่มก่อตัวขึ้น จูโน่ถูปลายจมูกแรง ๆ ก่อนบอกลาเจ้าเมี้ยวที่ยังคงเมินกันอยู่แบบเสมอต้นเสมอปลาย


    จูโน่แหงนศีรษะมองฟ้าที่สว่างโล่ง เปิดให้แดดแรง ๆ ก่อนยามเย็นจะมาถึงสาดส่องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า หยีตามองมันเล็กน้อย แต่พอเลี้ยวกลับเข้าตึกเรียนก็เผลอถอนหายใจออกมาอย่างแรง หลังเล็ก ๆ ก็ลู่ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง


    “เหลือเอาหนังสือพวกนี้ไปจัดใส่ชั้นก็หมดแล้วล่ะลีจูโน่ ลำบากหน่อยนะ”


    อาจารย์ยิ้มพราย ตกไหล่คนน้องปุ๊ ๆ 


    จูโน่มองลังหนังสือที่คลุ้งไปด้วยฝุ่นเพราะพึ่งเอาออกมาจากห้องเก็บของก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเลื่อนลอยให้อาจารย์ ในหัวพลันนึกถึงพี่ชายที่ทิ้งกันไปด้วยใบหน้าระรื่นทันทีที่เลิกเรียน


    คนที่ยอมทิ้งน้องชายให้กลับบ้านคนเดียวเพราะรุ่นพี่ชมรมฟุตบอลเรียกไปเลี้ยงของกินน่ะ จูจะไม่รัก..ไม่รักอีกต่อไปแล้ว รู้ไว้เลยนะเจโน่!


    งึมงำกับตัวเองขณะส่งเสียงฮึบ แล้วแบกหนังสือทั้งกองขึ้นมาเรียงบนชั้นหนังสือที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องพักอาจารย์ เขาจามพลางถูจมูกตัวเองไปมา จามอีกครั้งตอนที่นึกได้ว่ามือที่ใช้ถูจมูกก็คือมือที่หยิบหนังสือพวกนั้น จูโน่สูดจมูก ดวงตาฉ่ำน้ำเพราะฝุ่นมากมายที่คลุ้งไปรอบตัว


    แต่จูโน่ก็ยังคงเป็นจูโน่ เด็กที่จะยอมทนสู้กับฝุ่นแต่กลับไม่ยอมเดินไปบอกอาจารย์ว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้ และบรรดาฝุ่นทั้งหลายก็เป็นของแสลงสำหรับเขา แต่เพราะว่ากลัวเกินไปนี่นา แค่นึกภาพว่าอาจารย์จะคิดว่าเขาแค่หาข้ออ้างและทำหน้าผิดหวังใส่ จูโน่ก็รู้สึกว่าการยอมทนหายใจติดขัดครู่เดียวแล้วทำให้เสร็จ ๆ ไปนั้นง่ายกว่าการรวบรวมความกล้าไปพูดกับอาจารย์ตั้งเยอะ


    "ตลกเกินไปรึเปล่า วาดรูปมาส่งในกระดาษคำตอบเนี้ยนะ" 


    เสียงของอาจารย์ประจำวิชาคณิตดังจากมุมด้านหน้าสุดของห้องเรียกความสนใจให้คนน้องเหลียวไปมอง ที่หน้าโต๊ะมีคนที่จูโน่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังพนมมือถูไถไปมาขณะพูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้ยิน


    จูโน่กะพริบตาปริบ ๆ 


    ไม่รู้ว่าลีมินฮยองเข้ามาในห้องพักครูตั้งแต่เมื่อไหร่ พอจูโน่เห็นอีกฝ่ายก็อดไม่ได้จะชะเง้อมองหาใครคนนั้นที่ตัวติดกับมาร์คอยู่ตลอด


    จะมาด้วยมั้ยนะ?


    เหมือนจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่จะเผลอมองหาเขาเสมอ


    ฉับพลันนั้นมินฮยอนที่เงยหน้าขึ้นมาก็สบสายตากับคนน้องพอดิบพอดี อีกฝ่ายชะงักไปขณะนึงก่อนทำหน้าตกใจจนจูโน่เองก็ยังตกใจตามไปด้วย อะไรกัน สภาพเขามันสะบักสะบอมหรือดูไม่ได้ขนาดให้ลีมินฮยอนตกใจขนาดนั้นเลยหรือไง หรือไม่เขาก็คงทำหน้าตาประหลาดไปอีกแล้ว?


    จูโน่เอ๊ย!


    “ลีจูโน่ถ้าจัดตรงนั้นเสร็จแล้ว ช่วยมายกกล่องพวกนี้ไปเก็บที่ห้องเก็บของทีนะ”


    จูโน่กะพริบตาปริบ ๆ ไม่ใช่ว่าอาจารย์บอกว่าจัดหนังสือพวกนี้ก็เสร็จแล้วเหรอ แต่สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้าและส่งเสียงตอบรับอย่างสุภาพ หันกลับไปอีกทีก็ไม่เห็นมินฮยองอยู่ที่เดิมแล้ว จูโน่โคลงศีรษะไปมา ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงยังแอบหวังว่าจะได้พบแจมินในเวลานี้กับสถานที่นี้


    ที่เดียวที่จะพบแจมินได้ในเวลานี้ก็คือโรงยิมเท่านั้นไม่ใช่หรือไง


    หนังสือเล่มสุดท้ายสอดเข้าไปในชั้นพร้อมกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของจูโน่ คนน้องถูปลายจมูกไปมา พยายามกลั้นจามสุดฤทธิ์ตอนที่บอกกับอาจารย์ว่าจัดชั้นหนังสือพวกนี้เสร็จแล้ว


    "ขอบใจมากนะลีจูโน่"


    อาจารย์ตบไหล่เขาอย่างแรงจนร่างไหว จูโน่ฉีกยิ้มเจื่อนตอนที่อาจารย์พยักเพยิดใบหน้าให้ไปขนลังเก็บที่ห้องเก็บของแล้วกลับบ้านได้


    ลังกระดาษที่ซ้อนกันอยู่สอมชั้นในอ้อมแขนทำเอาคนน้องอยากร้องไห้ แต่สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้าคอตก เรื่องอย่างปฏิเสธคนอื่นน่ะ เขาไม่มีความกล้าพอจะทำจริง ๆ โดนเจโน่ดุมาไม่รู้กี่หนกับนิสัยชอบกลัวไม่รู้เรื่องแบบนี้ 


    'ถ้ารู้สึกว่าไม่ก็แค่พูดไปเลยว่าไม่สะดวก ถ้าจูยังเอาแต่เงียบแบบนี้ สุดท้ายก็จะมีแต่จูที่ลำบากใจอยู่คนเดียวนะ'


    ถ้าเล่าให้ฟัง เจโน่ก็คงพูดแบบนี้แน่ ๆ เลย เชื่อจู!


    เด็กที่คุยกับตัวเองเก่งที่สุดในโลกพอคิดถึงท่าทางฟึดฟัดของพี่ชายฝาแฝดก็ยิ้มออกมาได้ง่าย ๆ แล้ว ที่รู้สึกแย่ก็ถูกปัดปลิวไปจนหมด เพราะว่ายังไงที่บ้านก็มีกอดของเจโน่รออยู่นี่นะ


    จูนับหนึ่ง สอง สาม ในใจก่อนออกแรงฮึดยกลังกระดาษที่สูงจนแทบท่วมหัว เขาสาวเท้าไว ๆ เท่าที่แรงจะอำนวย ไม่รู้ว่าของในลังคืออะไรแต่น้ำหนักที่กดทับลงมาสู่แขนทั้งสองข้างก็ทำเอาคนน้องต้องเอ่ยปลอบใจตัวเองอีกหลาย ๆ หน


    อยากกลับไปกินขนมให้พุงกางแล้วซิ


    น้ำหนักที่กดทับลงมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดนึงที่รู้สึกว่าไม่ไหวอีกต่อไป จูโน่วางขอบกล่องล่างสุดกับขอบหน้าต่างที่ข้างโถงทางเดิน เขาก้มหน้าต่ำ พิงหัวกับกล่องก่อนจะพรูลมหายใจ ในหัวก็มีเสียงย้ำเสมอว่า ‘จูเก่งมาก จูเก่งที่สุด’


    เดี๋ยวเดียวคนแก้มเยอะก็เงยหน้าขึ้นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าจากไกล ๆ ดวงตาเลื่อนมองต้นเสียงตามสัญชาตญาณ จุดโฟกัสถูกปรับให้เป็นดวงตาสวยของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว


    คนที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนี้ในเวลานี้กลับปรากฏกายอยู่ตรงหน้าจูโน่


    จูโน่ชอบความบังเอิญ แต่บางครั้งก็เกลียดมัน


    อย่างเช่นตอนนี้ จูโน่ชอบที่บังเอิญได้เจอคุณพระอาทิตย์ในเวลาที่เขารู้สึกเหมือนโลกกำลังจะถล่ม แต่ก็ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายมาเห็นเขาในสภาพมอมแมมแบบนี้เลย


    คนน้องรีบยกลังกลับเข้ามาในอ้อมแขนตามเดิน ที่เมื่อครู่ต้องชะเง้อคอแทบตายเพื่อมองทางเดินตอนนี้กลับกลายเป็นว่าไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าให้พ้นกล่องเพราะกลัวจะไปสบตาแจมินแบบเมื่อกี้เข้า เขาเสตาไปมาวุ่นวายอย่างทำอะไรไม่ถูก หลบไปเดินตัวลีบแทบชิดติดกำแพง ฝีเท้าดูสับสนไปหมดจนต้องโอดโอยตัวเองว่าแบบนี้มันไม่ปกติชะมัดยาด


    หัวใจที่ปกติก็ทำตัวดีกับจูโน่มาตลอด อยู่ดี ๆ ก็เต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะกระดอนเด้งออกมา


    คนน้องก้มหน้าจนคางแทบชิดอกแล้วสับเท้าไว ๆ จนในที่สุดก็เดินพ้นแจมินมา จูโน่เกือบจะพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้านั้นเรียกรั้งเอาไว้


    "เจโน่"


    ถึงรู้ว่าไม่ได้หมายถึงเขา แต่สองขาก็หยุดนิ่งอยู่ดี


    สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วถึงค่อยเอี้ยวตัวกลับไปมองทางต้นเสียง ไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอพยักหน้ารับอย่างกระตือรือล้น แถมยังทำตาโตขณะมองอีกฝ่าย


    แจมินที่เมื่อครู่เห็นอยู่ว่าเดินสวนกันไปกำลังเดินกลับมาทางเขา ยื่นสองมือมายกกล่องสองใบที่สูงจนแทบจะปิดหน้าไปจากอ้อมแขนของจูโน่ 


    คนน้องเงยหน้ามองกลับไปด้วยแววตั้งคำถาม แต่ที่ได้รับกลับมาดันเป็นรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้าของแจมินเช่นเดียวกับแสงสีเหลืองนวลในเวลานี้


    ทำไมเป็นเวลานี้อีกแล้วนะ


    เวลาที่พระอาทิตย์ทอแสงได้อบอุ่นและนุ่มนวลที่สุดแบบนี้อีกแล้ว


    "ให้เราช่วยนะ"


    จูโน่รู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดสูงจนใบหน้าร้อน 


    พยักหน้าเบา ๆ โดยไม่สบตาอีกฝ่าย เขาพึ่งสังเกตว่าแจมินอยู่ในเสื้อวอร์มและกางเกงบาสขาสั้น เส้นผมรอบกรอบหน้ายังมีรอยชื้นของเหงื่อให้จะเดาได้ลาง ๆ ว่าคงพึ่งออกมาจากโรงยิม


    “เราลืมของไว้ที่ห้องเลยขึ้นตึกมาเอาน่ะ”


    อาจเพราะสายตาของเขามันปิดอะไรไว้ไม่เคยมิดเลยเปิดเปลือยความสงสัยออกมาเกลื่อนทางเดิน จูโน่สบตาอีกฝ่ายอย่างตกใจ แต่พอเห็นแววตาอุ่น ๆ ของอีกฝ่ายก็รีบเสหลบพลางค้อมหัวต่ำ


    “ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”


    “ไม่ ไม่เลย” เขาหัวเราะ แต่ในน้ำเสียงกลับไม่มีแววตำหนิสักนิด บนใบหน้าถึงกับยังมีรอยยิ้มค้างอยู่ตอนที่หันมามองคนข้าง ๆ ด้วยซ้ำ “ก็ถ้าตัวเราเหม็นเหงื่อ จะได้แก้ตัวได้ไงว่าเพราะพึ่งหนีซ้อมมา”


    “อ่า” จูโน่พยักหน้าหงึก ๆ คิดไม่ออกเลยว่าเวลาแบบนี้สมควรพูดอะไรออกไป ถ้าเป็นเจโน่จะตอบกลับไปว่ายังไงนะ จูโน่เอ๊ย! ทำไมถึงไม่พูดให้มันเก่ง ๆ กว่านี้บ้างนะ


    “เป็นความลับระหว่างเรา...นะ”


    จูโน่ตามอีกฝ่ายตาแป๋ว พอแจมินเอียงคอยิ้มเหมือนกำลังร้องขอสัญญา เขาก็เผลอพยักหน้าไว ๆ แทนคำตกลงในทันใด “อื้อ!” 


    แย่แน่ ๆ 


    แจมินยิ้มกว้างอีกแล้ว 


    ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปหัวใจจูโน่ต้องแย่แน่ ๆ 


    นี่มันอย่างกับฝันไปเลย แจมินที่กำลังเดินอยู่ข้าง ๆ กันเนี้ยจะเป็นแค่ฝันรึเปล่านะ? แถมยังได้รับรอยยิ้มมากมายอย่างกับน้ำหลาก ที่เคยคิดว่าขอแค่ได้มองรอยยิ้มจากแจมินจากที่ไกล ๆ ก็พอ มันก็ดันรู้สึกว่าแต่ถ้าได้เห็นรอยยิ้มที่มีให้กันแบบนี้ก็คงจะดีกว่ามาก ๆ เลย


    แต่ถึงแบบนั้น เมื่อระหว่างเราตกอยู่ในความเงียบ เขาก็ดันไม่กล้าหันไปมองแจมินอยู่ดี กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่เจโน่อย่างที่เขาเข้าใจ 


    แต่ยิ่งกว่านั้นคือกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นอะไรต่อมิอะไรที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในอยู่ความรู้สึกผ่านแววตาของตัวเอง กลัวว่าความรู้สึกที่เกลื่อนกล่านจะเผยออกมาได้ง่าย ๆ เพราะมันล้นจนใกล้ทะลัก


    กลัวว่าจะทำให้ลำบากใจ


    ถ้าต้องเป็นแบบนั้น ก็เก็บแววตาของจูโน่เอาไว้ให้มันมองฝีเท้าของพวกเราที่เดินขนานกันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ดีกว่า


    “เอาละ ห้องนี้สินะ?” 


    จูโน่พยักหน้ารับ ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปไอฝุ่นก็ทำเอาเขาสำลักจนต้องรีบวางลังลงบนโต๊ะแล้วปิดปากแน่น หูตาแดงก่ำไปหมดเพราะจำนวนฝุ่นมหาศาล ระหว่างที่หลับหูหลับตาทั้งไอทั้งจาม ก็รู้สึกได้ว่าแผ่นหลังโดนโอบไว้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ และถูกดันให้เดินตามออกมาจนพ้นหน้าประตูห้อง


    “รู้สึกดีขึ้นมั้ย?”


    ปลายนิ้วเรียวขยี้ตาตัวเองซ้ำอีกหลายครั้งจนน่ากลัวว่ามันจะช้ำ คงเพราะแบบนั้นอีกคนเลยทนไม่ไหว แจมินก้มต่ำจนใบหน้าเสมอกับคนน้อง ดึงมือเล็กให้หยุดทำร้ายตาตัวเองแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดซับหางตาที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำ พลางเช็ดรอยเปื้อนบนใบหน้าที่ยังคงหลงเหลือจากเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา


    ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองแก้มใสที่กลับมาสะอาดหมดจดอีกครั้ง เขาเลื่อนสายตากลับมามองตากลม ๆ ของเจ้าของแก้มที่หยุดชะงักไปเหมือนตกตะลึง เพราะอยู่ใกล้กันขนาดนี้ทุก ๆ ความรู้สึกก็เลยถูกแจมินจับได้จนหมด


    “อันนี้ยังไม่ได้ใช้นะครับ”


    คนโดนถามรีบส่ายหน้าไว ๆ ดวงตากลับกลมโตดูเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่หูชี้ตั้งระวังภัย “ไม่ใช่แบบนั้น เราแค่--” พอเห็นรอยยิ้มของแจมินที่เหมือนกดลึกลงไปอีก หัวใจก็ประท้วงระรัวอยู่ในอกจนต้องเสตาหลบ งึมงำตอบทั้งที่ใบหน้าแทบจะจุ่มลงไปกับอก “กลัวว่าเราจะทำให้ผ้าเช็ดหน้าคุณเลอะ”


    “ไม่เป็นอะไรเลยครับ”


    ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นผละออกจากใบหน้าพร้อมแจมินที่ยืดหลังตรงกลับไป จูโน่มองผ้าเช็ดหน้าในมืออีกฝ่าย เพราะหน้าตาคล้าย ๆ กับอันที่แจมินให้เขาตอนปีสองจึงทำให้รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจอย่างยากจะเลี่ยง


    หัวใจชักจะทำงานหนักเกินไปแล้ว


    จูโน่เป่าลมหายใจออกจากริมฝีปาก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองคนตัวสูงกว่าด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าจะยิ่งงุ่นง่านให้อีกฝ่ายเห็นมากกว่าเดิม ก็ถ้าเป็นเจโน่ตอนนี้ทุกอย่างจะต้องผ่อนคลายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


    “ขอบคุณมาก ๆ นะครับ”


    แจมินส่ายหน้ายิ้ม ๆ “แค่นี้เอง ถ้าเจโน่มีอะไรให้ช่วยก็เรียกเราได้ตลอดเลย”


    เป็นคนที่เหมือนกับพระอาทิตย์จริง ๆ เลย ทั้งทำให้หัวใจอบอุ่น แล้วก็ส่องสว่างจนไม่อยากให้ห่างไปไหนไกล


    อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกว่าต่อให้แจมินคิดว่าเขาคือเจโน่ก็ไม่เป็นอะไรเลย เพราะแค่ได้เห็นรอยยิ้มของแจมินที่เกิดขึ้นเพราะเขา จูโน่ก็รู้สึกว่าด้วยเหตุผลไหนก็ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น


    “ขอบคุณนะแจมินอา”


    อยากจะเป็นอยู่ตรงนี้ให้นานกว่าขึ้นอีกนิดจังเลย










    /





     

    Rrrr

     

    เสียงเครื่องมือสื่อสารที่แผดเสียงร้องเข้าเต็มสองหูเด็กหนุ่มที่ยังคงซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เจโน่สบถอย่างหัวเสีย เอื้อมมือควานไปทั่วเตียงเพื่อหาตัวการที่ปลุกเขาจากฝันหวาน เมื่อมือสัมผัสกับสมาร์ทโฟนที่นอนตากแอร์อยู่ข้างกายก็หยิบมันขึ้นมารับทั้งที่ตายังปิดสนิททันที

     

    “ฮัลโห--”

     

    (เจอยู่ไหนแล้ว อีกสิบห้านาทีจะเข้าเรียนแล้วนะ!)

     

    เสียงของแฝดน้องดังทะลุปล้องออกมาจนคนเป็นพี่ตื่นเต็มตาทันที น้ำเสียงของจูโน่ร้อนรนจนพาให้คนฟังรู้สึกเหมือนมีไฟรนเท้า อีกสิบห้านาที? โอ้ย บอกทีว่าลีเจโน่แค่หูฝาดไป เขาลดสมาร์ทโฟนในมือลงอย่างรวดเร็ว 

     

    7:45

     

    เจโน่เผลอสบถออกมาอีกหน ลืมไปสนิทว่ายังคงถือสายน้องชายฝาแฝดอยู่ เขากุลีกุจอลงจากเตียงแล้ววิ่งไปคว้าชุดนักเรียนเข้าห้องน้ำ ส่วนมืออีกข้างที่ถือโทรศัพท์ก็ยกมันขึ้นมาแนบหูแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว

     

    “ถึงแล้วเดี๋ยวเราส่งข้อความไปหานะ แค่นี้ก่อน”

     

    เขารีบจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว แม้จะเร่งแค่ไหนเจโน่ก็หมดไปเกือบสิบนาทีในห้องน้ำ คนตัวเล็กวิ่งออกจากบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมคว้าขนมปังปิ้งทาเทยที่แม่ทำทิ้งไว้ในครัวใส่ปาก

     

    วันนี้จูโน่ปลุกเขาตั้งแต่หกโมงอีกแล้ว และด้วยความสัตย์จริงการได้นอนซุกผ้าห่มกอดหมอนในห้องสบายกว่าการนอนฟุบโต๊ะในห้องเรียนมากโข เจโน่เลยกลิ้งตัวหลบแฝดน้องแล้วส่งเสียงงึมงำบอกให้อีกฝ่ายไปก่อนได้เลย ส่วนเขาจะเดินไปเอาเพราะยังไงก็ไม่มีทางสายอยู่แล้ว เจโน่แน่ใจว่าเขาตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้และมันจะไม่ทรยศเขาแน่นอน แต่ก็..เห็นได้ชัดว่านาฬิกาปลุกรุ่นลีจูโน่มีศักยภาพปลุกได้ดีกว่านาฬิกาปลุกจากมือถือเป็นไหน ๆ

     

    เขากับแฝดน้องแยกกันไปโรงเรียนไม่บ่อยนักหรอก และเวลาแยกกันไปส่วนใหญ่มินซอกจะทิ้งจักรยานไว้ให้เขาเพราะกลัวเขาตื่นสายและไปโรงเรียนไม่ทัน แต่เจโน่เองก็ไม่อยากเอาเปรียบน้องสุดท้ายเขาเลยยื่นคำขาดว่าถ้าแยกกันไปมินซอกต้องเป็นฝ่ายเอาจักรยานไป ส่วนเขาจะเดินไปเอง และเวลาเขาไปโรงเรียนเองก็เป็นได้เจอคุณลูคัสยืนรอตัดคะแนนอยู่หน้าประตูโรงเรียนให้ช้ำใจเล่นทุกครั้งไป

     

    เจโน่วิ่งทั้งที่ปากยังเคี้ยวขนมปังประทังชีวิต ขนมปังถูกยัดเข้าไปเต็มความจุของสองแก้ม ในขณะที่สองขาก็เร่งมากขึ้นเพื่อไปให้ทันโรงเรียน ถ้าตื่นสักเจ็ดโมงคงยังพอให้พ่อไปส่งได้ แต่เขาดันตื่นตอนที่เหลือแค่เขาคนเดียวในบ้านนี่สิ


    ต้องขอบคุณโรงเรียนที่ไม่ไกลจากบ้านมากเลยทำให้วิ่งไม่กี่นาทีก็มาถึง.. เดี๋ยว มันไม่กี่นาทีจริง ๆ ใช่มั้ยทำไมประตูโรงเรียนถึงปิดแล้วล่ะ เจโน่ค่อย ๆ ขยับกายหลบไปที่มุมกำแพง เขายืนหลบมุมอยู่ที่กำแพงขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

     

    8:20

     

    ไม่กี่นาทีก็บ้าแล้ว! ขนาดวิ่งมายังกินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เจโน่ที่มั่นใจมาตลอดว่าบ้านใกล้ถึงกับรู้สึกแข้งขาอ่อนขึ้นมาทันที เขาโดนตัดคะแนนไปสี่สิบคะแนนแล้ว ถ้าโดนอีกยี่สิบเป็นอันว่าจบกัน ต้องโดนเข้าค่ายปรับพฤติกรรม


    คนตัวเล็กเหลียวมองรอบกายก็หันไปพบกำแพงที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างกาย เขาหันไปมองที่ประตูหน้าซึ่งมีกรรมการนักเรียนอยู่รอตัดคะแนนอีกหน ก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ ให้ตัวเองหนหนึ่ง รีบปีนรีบวิ่ง ยังไงก็ไม่โดนจับได้แน่นอนลีเจโน่!

     

    เจโน่เดินลัดเลาะไปตามกำแพงโรงเรียนจนเจอที่ที่เคยมีเพื่อนชี้ช่องทางให้ เมื่อยืนมองความสูงของกำแพงก็ต้องนิ่งทำใจอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เรียกขวัญกำลังใจแล้วโยนกระเป๋าสะพายข้ามไปอีกฝากของกำแพง คนตัวเล็กปีนป่ายตามกระเป๋าของตัวเองไปอย่างว่องไว

     

    ตุ๊บ!

     

    เพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นเจโน่เลยทิ้งตัวลงโดยลืมคำนึงว่าก้นกบจะกระแทกลงอย่างแรงบนพื้นหญ้า เขาร้องซี๊ดออกมาเพราะความเจ็บแปลบที่แล่นลิ้วอย่างรวดเร็ว ไหนใครมันเคยบอกว่าโดดลงบนพื้นหญ้าจะไม่รู้สึกอะไรเพราะมีเบาะธรรมชาติรองรับ!?

     

    “เจ็บมากมั้ย?”

     

    “เจ็บเป็นบ้าเลย!”

     

    เจโน่หลับหูตาหลับตอบขณะลูบไปมาบริเวณที่ได้รับแรงกระแทกอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่ทั้งร่างจะชะงักแล้วค่อย ๆ หันไปมองทางต้นเสียง โอ้ เขาคงมีดวงสมพงษ์กับผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน ปีนกำแพงกี่ครั้ง ๆ เจโน่ก็เจอผู้ชายคนนี้ทุกครั้งไป สถานการณ์แบบนี้เขาเรียกกันว่า ‘พรมลิขิต’ ใช่มั้ย?

     

    พรมลิขิตบ้าบอ!

     

    “ล..ลูคัส”

     

    แฝดพี่ฉีกยิ้มแห้ง ๆ กล่าวด้วยเสียงอันสดใสให้อิหนูที่ตีหน้าเข้มขรึมอย่างกับโดนบังคับกินผักขมมา ลูคัสกระตุกยิ้มมุมปากทำเอาคนมีชงักเสียวสันหลังวาบ เจโน่เอื้อมตัวไปหยิบกระเป๋าแต่ก็ช้ากว่าร่างสูงที่ก้าวครั้งเดียวก็ฉวยกระเป๋าเขาไปถือไว้ได้สำเร็จ

     

    “ลุกขึ้นสิเจโน่

     

    ฮันแน่.. คราวนี้ไม่หลงกล

     

    “ฉันเจ็บ อา--ให้ตาย ลุกไม่ไหวเลย..” = อิหนู ช่วยฉุดมือลุงลุกขึ้นหน่อยสิจ๊ะ 

     

    ลูคัสไม่เปลี่ยนสีหน้าที่เรียบเฉยจนคนโดนมองต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น คนตัวสูงกว่ายื่นมือมาตรงหน้าให้เจโน่ได้ตกใจเล่น ก่อนที่คนตัวเล็กจะฉีกยิ้มจริงใจออกมาแล้วยืมแรงจากอีกฝ่ายให้ตัวเองพยุงตัวขึ้นได้

     

    “ขอบใจนะ ขอกระเป๋าฉันคืนด้วย สายแล้ว” เจโน่ฉวยสายกระเป๋าตัวเองมาได้ แต่กลับโดนอีกฝ่ายกระตุกจนมือเขาลื่นหลุดออก เจโน่ขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์“ฉันบอกว่าฉันจะสายแล้วไง”

     

    “คุณคิดว่าการที่ตัวเองปีนกำแพงเข้ามาต่อหน้าต่อตาประธานนักเรียนแล้วผมจะยอมปล่อยคุณไปง่าย ๆ หรือครับ”

     

    สวรรค์ เมตตาเจโน่หน่อยเถอะ ฮือ แค่คดีเมื่อวานเขาก็จะโดนลูคัสเขมือบหัวอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเพิ่มกระทงความผิดให้เขาในสภาพร่างกายบอบช้ำแบบนี้ด้วยเล่า!

     

    “ปล่อยสักครั้งไม่ได้เหรอลูคัส ไหน ๆ เราก็คนรู้จักกัน” คนตัวเล็กชูนิ้วชี้ขึ้นมากระพริบตาปริบ ๆ คล้ายจะมีภาพหางลู่หู่ตกปรากฏขึ้นมาลาง ๆ

     

    “คนรู้จัก?” เจโน่กลืนน้ำลายลงคอดังเอือก เหมือนเขาจะเห็นลูคัสแสยะยิ้มมุมปากพร้อมส่งเสียงเหอะในลำคอ..บอกทีเถอะ ว่าเขาแค่หูฝาดตาพร่าไปเอง

     

    “เมื่อวานเรายังนั่งคุยกันอยู่เลย”

     

    “ผมจำไม่ได้เลยว่าไปคุยกับคุณตอนไหน” ลูคัสเอียงคอ มุมปากยกขึ้นเล็ก ๆ จนแทบมองไม่เห็น

     

    “งั้นเราก็คุยกันเลยสิ”

     

    เมื่อกะพริบตาปริบ ๆ ให้อีกหน คนตัวสูงก็แสยะยิ้มมุมปากแบบสามดี เห็นต่อหน้าชัด ๆ ไม่ใช่ด้วยอาการตาพร่าของเจโน่แต่ประการใด คุณประธานนักเรียนโน้มใบหน้าลงมาห่างจากเขาไม่ถึงคืบ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบจนคนฟังเสียวสันหลังวาบ

     

    “ได้สิครับ”

     

    “…”

     

    “แต่เป็นหลังจากที่คุณเข้าห้องกรรมการนักเรียน แล้วโดนตัดแต้มนะ เจโน่

     

    ลู คัส!

     

    เจโน่ขอตัดหมอนี่ออกจากการเป็นอิหนูของเขาถาวร! 






    tbc



    #ฟิคข้างกัน








    จริง ๆ แล้วตอนนี้ตามแพลนมันก็ต้องถึงตอนที่ 18 แล้วค่ะ ._.
    ไม่มีอะไรจะแก้ตัวเล้ยที่อัพตามแพลนไม่สำเร็จอีกแล้ว
    แต่ยังไงก็ยังอยากจะขอโมเมเอาทุกฟีดแบคจากผู้อ่านเป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเองอยู่ดี
    เพราะงั้นก็ ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนถึงตอนนี้เลย
    ขอเหมาทุกคนเป็นของขวัญวันเกิดของเรานะคะ แฮ่
    - 18octobear
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×