ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    my favorite place in the world is next to you. | minno & cusno

    ลำดับตอนที่ #1 : 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 62


    ตอนที่ 1







    ฤดูใบไม้ผลินับเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้นอย่างแท้จริง 


    เมื่อพ้นเขตบ้านเรือนเข้าใกล้เขตโรงเรียน สองข้างทางก็เปลี่ยนมาชุกชุมไปด้วยไม้ใหญ่ที่กำลังแข่งขันกันผลิดอกออกใบหนาแน่น บนพื้นถนนที่เดิมทึบอึมครึมกลับมีสีสันสดใสของดอกไม้ที่โรยจากต้นประดับอยู่ เกิดเป็นความสวยงามที่ทำให้เปิดเทอมวันแรกอบอวลไปด้วยไอแห่งความรื่นเริง


    ไม่ใช่แค่ดอกไม้ต้นไม้ที่กลับมามีชีวิตชีวา แต่บนถนนก็คลาคล่ำไปด้วยเด็กสาวเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนไฮสคูลที่อยู่ห่างไปไม่ไกล บางคนถีบปั่นจักรยานอย่างรีบร้อน บางคนเดินเอื่อยเฉื่อยโยกศีรษะไปตามเพลงจากหูฟัง บางคนก็กำลังหัวเราะเสียงกังวานกับบทสนทนาของการเปิดเทอมวันแรก


    ต่างคนต่างสถานการณ์ แต่สองขากลับมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน


    เช่นเดียวกันกับเด็กหนุ่มสองคนที่วิ่งกระวีกระวาดออกจากบ้านพร้อมจักรยานสีเหลืองสดใส และเมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าพวกเขาหน้าตาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับเป็นรูปหล่อซึ่งเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน 


    ต่างก็ที่ตอนนี้คนหนึ่งกำลังหัวเราะเสียงดัง คนหนึ่งกำลังหน้ามุ่ยด้วยกลัวว่าจะไปโรงเรียนสายตั้งแต่วันแรก


    พอสองขาเริ่มถีบไปข้างหน้า จักรยานก็แล่นฉิว ลมเย็นสบายพัดโถมเข้ามาพาให้เส้นผมของเด็กหนุ่มสองคนบนจักรยานปลิวลู่ไปตามลม เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้นเป็นครั้งคราวเมื่อสารถีที่คุมทิศทางจักรยานแกล้งขับฉวัดเฉวียนไปมาจนคนซ้อนท้ายส่งเสียงประท้วง 


    จูโน่เบะริมฝีปากคว่ำอย่างทำอะไรไม่ได้ จะหยิกพี่ชายก็ไม่กล้า จะตีก็ไม่กล้า ได้แต่บ่นงึมงำว่าจะไม่ยอมทำของอร่อยให้กินอีกแล้ว บ่นไปเสียมากมายแต่สุดท้ายก็ยังคงโอบแขนกอดเอวพี่ชายพร้อมซบศีรษะลงบนแผ่นหลังของคนขับอยู่ดี 


    จักรยานที่เมื่อครู่ยังเซไปทางซ้ายทีขวาทีกลับมาวิ่งช้า ๆ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสจากด้านหลัง เจโน่ไม่แกล้งคนน้องให้ต้องโวยวายอีกแล้ว คนพี่เปลี่ยนมาบังคับจักรยานด้วยจังหวะมั่นคง หยีตายิ้มให้คนรู้จักตามสองข้างทางบ้างเป็นครั้งคราว


    ถึงแม้จะหลับตาอยู่แต่สองหูก็ยังคงได้ยินเสียงฝาแฝดคนพี่เป็นระยะ ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หนจูโน่ก็ยังคงรู้สึกว่าเจโน่น่ะเจ๋งที่สุด เป็นคนที่หากได้พบได้คุยไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจไม่ตกหลุมรักกับความสดใสร่าเริงของอีกฝ่าย


    จะผ่านมากี่ปี ๆ ก็ยังคงรู้สึกแบบนี้เสมอ


    แถมตอนเด็ก ๆ จูโน่ยังแอบมีความคิดเล็ก ๆ เกี่ยวกับพี่ชายที่เขาไม่เคยบอกให้ใครรู้ด้วย (ใครที่ว่านั่นไม่รวมคุณแม่นะ!)


    จะเป็นเรื่องอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ตัวเขาน่ะเจ๋งกว่าเพื่อนคนไหน ๆ ในชั้นเลย...ก็เพราะเขามี ‘เจโน่’ เป็นของตัวเองน่ะซี! 


    จะมีใครที่มีเจโน่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพี่ชาย และฝาแฝดในเวลาเดียวกันแบบจูโน่บ้าง แถมบางครั้งเจโน่ยังเป็นบอร์ดี้การ์ด เป็นคนขับรถ(จักรยาน) ไม่ว่ามองมุมไหนตัวเขาเนี้ยน่าอิจฉาที่สุดแล้ว! 

      

    ตั้งแต่เริ่มรู้ความเขาก็ไม่เคยห่างกับเจโน่เลย พวกเราอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลายปีสอง เรียกได้ว่าเห็นเจโน่ที่ไหนเป็นต้องเห็นจูโน่ที่นั่น จูโน่จำครั้งสุดท้ายที่ต้องห่างกับพี่ชายนาน ๆ ไม่ได้แล้ว 


    ดังนั้นเลยไม่ได้เตรียมใจแม้แต่นิดว่าในไฮสคูลปีสามอาจต้องแยกกัน


    จูโน่กวาดสายตามองประกาศบนบอร์ดที่ติดรายชื่อนักเรียนแต่ละห้องซ้ำ ๆ ด้วยความรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้กินผักขมเป็นครั้งแรก ก็พอจะรู้มาอยู่แล้วว่าต้องแบบนี้ แต่ความรู้สึกบางเสี้ยวในใจก็ยังคงต่อสู้ด้วยความหวังอันน้อยนิดว่าถ้าได้ดูซ้ำอีกครั้งมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้


    ลี จูโน่ห้อง A

     

    ลี เจโน่ห้อง B

     

    จูโน่ถอนสายตาจากรายชื่อที่ติดบนบอร์ด เขาหันไปมองพี่ชายด้วยสายตาเว้าวอน ริมฝีปากอิ่มเบะลงท่าทางคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จูโน่คิดภาพตัวเองที่ไม่มีพี่ชายอยู่ด้วยแล้วพลันรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา 

     

    “ไม่ต้องมามองแบบนี้เลย อ้อนไปก็ไม่ช่วยอะไร” คนพี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุไม่จริงจัง ยีผมนุ่มนิ่มของน้องชายในอ้อมกอดแทนคำปลอบโยน

     

    “ฮืออ ก็เราไม่อยากอยู่คนเดียว” 


    ลีจูโน่ซบหัวลงกับบ่าคนเป็นพี่อย่างหมดแรง แฝดพี่ยิ้มอ่อนใจพลางลูบหัวปลอบประโลมน้องชาย ตัวเขากังวลยิ่งกว่าที่แสดงออกเสียอีก เจโน่รู้ดีที่สุดว่าน้องชายเป็นคนเข้ากับคนอื่นไม่เก่ง เรียกได้ว่าถ้าไม่ลากเข้าไปในวงสนทนาเจ้าตัวคงยืนอึกอักอยู่วงนอกเพราะไม่รู้วิธีเข้าหาผู้คน

     

    เจโน่ไล่สายตาไปตามรายชื่อของเด็กห้องเอ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนอยู่ห้องเอมาตั้งแต่ปีหนึ่งปีสองอยู่แล้ว..นี่ยิ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าเดิม จูมีสังคมกลุ่มเพื่อนที่เล็กมาก เรียกได้ว่าหากยกมือเดียวมานับก็ยังเหลือนิ้วอยู่ เจ้าตัวเป็นคนขี้อายแถมยังสนิทสนมกับใครยากมาก ๆ (แม้จูโน่จะเถียงหัวชนฝาว่าเจ้าตัวไม่ได้ปิดกั้นตัวเองก็ตาม) 

     

    เมื่อไม่มีใครที่เขาพอจะฝากฝังจูโน่เอาไว้ด้วยได้ เจโน่จึงวกกลับมามองชื่อที่อยู่ติดกับจูโน่แทน เวลาเปิดเทอมใหม่แบบนี้อาจารย์จะให้นั่งเรียงตามเลขที่กันทั้งนั้น ถ้าคนที่จูโน่ต้องอยู่ด้วยตลอดคาบเรียนเป็นคนที่พอไว้ใจได้คงน่าหายห่วง 


    สายตาเขาตกลงที่ชื่อลำดับก่อนหน้าน้องชาย อ่านวนสามรอบจนคิ้วขมวดเป็นปม สุดท้ายต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด 


    บางสิ่งบางอย่างยิ่งหนีก็ยิ่งเจอจริง ๆ ให้ตายเถอะ


    ห้องเอมีคนเกือบสามสิบคน ดันเจาะจงว่าชื่อเหนือจูโน่ต้องเป็นไอประธานนักเรียนปีก่อน--ลูคัส


    หากพูดกันจริง ๆ แล้วลูคัสก็ไม่ได้มีอะไรแย่ตรงไหนเลย เป็นประธานนักเรียนรุ่นพวกเขา เป็นนักเรียนดีเด่น เป็นสารพัดจะเป็นจนโดนเอาไปพูดเป็นตลกร้ายบ่อย ๆ ว่าไอหมอนี่มันมีนาฬิกาย้อนเวลาแบบเฮอร์ไมโอนี่ในวรรณกรรมชื่อดังอย่างแฮร์รี่พอตเตอร์แน่นอน 


    ปัญหาข้อเดียวที่ทำให้เจโน่กากบาทสีแดงใหญ่ ๆ ทับใบหน้าของลูคัสไว้ในใจ ก็คือใบหน้าที่เก๊กนิ่งขรึมตลอดเวลาของไอหมอนั่น! มันน่าหมั่นไส้น้อยเสียเมื่อไหร่เล่า ถ้าไม่ใช่ใบหน้านิ่งขรึมเหมือนมีใครติดหนี้ตัวเองไม่ยอมจ่ายอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นการกระตุกยิ้มเลิกคิ้วจนเจโน่อยากกระโดดไปมอบหมัดให้สักหลาย ๆ ที


    แถมตอนเจอกันครั้งแรกแค่พูดแหย่เล่นสองสามหนก็ทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกัน พอเจอครั้งที่สองตอนเขากำลังปีนกำแพงเข้าในโรงเรียนอีกฝ่ายก็ทำหน้าเหมือนเขาทำผิดร้ายแรง คนอื่นก็ปีนทำไมดันเลือกเวลามาเจอเขาคนเดียวเล่า!

     

    เจโน่ลอบนวดหว่างคิ้วเบา ๆ อคติของเขาก็ส่วนของเขาเถอะ ยังไงซะก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่พอจะดูพึ่งพาได้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจูจะโดนรังแก เผลอ ๆ จูอาจได้เพื่อนใหม่ด้วยซ้ำ

     

    “ถ้าจูเข้ากับคนอื่นไม่ได้ล่ะ” จูโน่ครวญ ทุกอย่างคล้ายจะกลับไปเหมือนตอนถูกแม่จับแยกกับพี่ชายครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น “ถ้าจูไม่มีเพื่อนเลยล่ะ”

     

    “จูก็ยิ้มเยอะ ๆ สิ” เจโน่ดันหัวไหล่น้องชายให้เผชิญหน้าตนเอง ดึงแก้มยุ้ยของคนเป็นน้องไปมาอย่างไม่กลัวว่ามันจะบอบช้ำ จนจูโน่ยอมหัวเราะออกมานั่นแหละเขาถึงยอมหยุดมือ “เนี้ยยิ้มก็เป็นนี่ พอยิ้มแล้วน่ารักจะตาย”

     

    จูโน่ยิ้มจนตาปิดให้พี่ชาย ไม่ได้พูดออกไปเรื่องที่เจโน่มีรอยยิ้มน่ารักกว่าเขาเสียอีก ทั้ง ๆ ที่หน้าตาเหมือนกัน แต่แปลกเหลือเกินที่รอยยิ้มของเจโน่แฝงไปด้วยความสดใสและเสน่ห์แบบที่เขาไม่มี

     

    เสียงเพลงจากลำโพงดับไปได้เกือบนาทีแล้ว เป็นสัญญาณว่าอีกไม่กี่นาทีจะเริ่มคาบแรก แฝดลีพากันขึ้นไปบนตึกเรียนอย่างไม่รีบร้อน ห้องเรียนทั้งหมดของปีสามอยู่ที่ชั้นสองของตึกบี ในขณะที่ตึกเอถูกเด็กปีหนึ่งและปีสองยึดครองไปเรียบร้อย

     

    ยังไม่ทันที่เจโน่จะได้ก้าวไปไหนชายเสื้อเบลเซอร์ก็ถูกยึดไว้ด้วยฝีมือของคนน้อง รอจนคนพี่หันกลับมามองจูโน่ถึงค่อยยกแขนขึ้นรอคอย ‘กำลังใจ’ จากคนที่ออกมาดูโลกก่อนไม่ถึงห้านาที

     

    เจโน่เลิกคิ้วมองน้องชาย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นแววตาคล้ายลูกแมวของอีกฝ่ายกำลังมองมาอย่างคาดหวังและเว้าวอน 


    ถ้าเข้าใจสถานการณ์นี้ไม่ผิด…


    เจโน่กำลังโดน ‘อ้อน’ อยู่ชัด ๆ


    “อื้อ?”


    “เจกอดจูก่อน”


    ดวงตาน้องชายโค้งตกลงเมื่อเห็นใบหน้าระรื่นของคนเป็นพี่ที่พูดตอบรับแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมขยับเข้ามาหาเสียที จนต้องใช้แผนเบะปากขั้นสุดท้ายถึงได้อ้อมกอดสมใจอยาก


    คนพี่ก้าวปราดเข้ารวบตัวน้องชายมากอดเต็มแรงจนได้ยินเสียงบ่นงุบงิบลอยเข้าหู แต่ถึงแบบนั้นเจ้าจูก็ยังกอดคืนเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่คุ้นเคย


    ก่อนเข้าห้องเรียนคนพี่ก็ไม่ลืมบีบมือให้กำลังใจจูโน่อีกหน เขาพูดคำปลอบใจสารพัดแถมปิดท้ายว่าอีกแค่สามชั่วโมงเดี๋ยวก็เจอกันใหม่แล้ว...แต่เอาเข้าจริงเจโน่กลับไม่รู้ว่ากำลังปลอบจูหรือกำลังปลอบตัวเองให้ห่วงน้องน้อยลงกันแน่

     

    จูโน่ยืนละล้าละลังอยู่ที่ประตูหน้าห้องเอพักใหญ่หลังจากพี่ชายจากไป ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อแถมหัวใจยังเต้นแรงเหมือนตอนปฐมนิเทศปีหนึ่ง เขาแทบจะบ้าตายแล้ว แค่เดินเข้าไปยากตรงไหนกันเล่าลีจูโน่! 


    ฮึบสิฮึบ!

     

    “นักเรียน” 


    เสียงเข้มดังขึ้นจากข้างหลังทำเอาคนที่รวบรวมสมาธิอยู่สะดุ้งโหยง จูโน่หันไปทางต้นเสียงแล้วโค้งให้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ไม่ต่างอะไรกับแมวขนฟูที่ถูกทำให้ตกใจจนกระโดดดีดตัวหนีสิ่งเร้าที่วิ่งเข้าหา


    “ยืนทำอะไรอยู่? เข้าห้องไปได้แล้ว”

     

    พอโดนน้ำเสียงดุ ๆ และสายตาคมปลาบจ้องเขม็ง คนน้องก็ไม่เสียเวลาคิดรีบดันประตูเข้าไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว จูโน่มองกระดานที่เขียนบอกที่นั่งเอาไว้ ก่อนจะก้าวอาด ๆ เข้าไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่างซึ่งอยู่ด้านหน้าสุด

     

    แขวนกระเป๋าเป้ไว้ข้างโต๊ะเสร็จก็นั่งนิ่ง เขาไม่กล้าขยับตัวยุกยิกเพราะกลัวจะไปรบกวนเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก้มหน้ามองมือตัวเองที่เย็นเฉียบแล้วบีบมันไปมาเพื่อบรรเทาอาการฟุ้งซ่านด้วยความประหม่าของตัวเอง


    “เงียบกันหน่อย!” 


    จูโน่สะดุ้งโหยงอีกหนเพราะเสียงหนังสือเรียนเล่มหนาที่เคาะลงกับโต๊ะ เขาหัวเราะแห้ง ๆ ไร้เสียงกับตัวเอง...นิสัยขี้ตกใจมันแก้กันไม่ได้ในวันสองวันนี่


    อาจารย์เริ่มพูดต้อนรับและพูดถึงเรื่องการต่อมหาลัยยาวเหยียดจนหลายคนลอบหาวออกมา ส่วนคนน้องก็เอาแต่คิดถึงวิธีการหาเพื่อนหรือบทสนทนาที่ควรเข้าไปชวนอีกฝ่ายพูดคุย ยิ่งพยายามคิดจูโน่ยิ่งพบว่าตัวเองล้มเหลว เขาไม่ชอบเล่นเกม เขาไม่อ่านหนังสือการ์ตูน แม้ว่าจะมีอยู่ล้นห้องจากการเก็บสะสมของเจโน่ก็ตาม และด้วยความสัตย์จริง ลีจูโน่มีแอคเคาท์ของเว็บยอดฮิตในโลกออนไลน์ แต่เขาเข้าไปเช็คแค่วันละหนเท่านั้น

     

    จูโน่โอดครวญในใจ การชอบเข้าครัวไม่ช่วยให้เขาหาเพื่อนได้จริง ๆ

     

    เมื่อครูประจำชั้นจากไป อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์เกาหลีก็เข้ามายืนแทนที่ทันที จูโน่หยิบสมุดโน้ตและหนังสือขึ้นมาวางคู่กัน ระหว่างฟังอาจารย์บอกเล่าเนื้อหาเขาก็เน้นส่วนสำคัญลงในหนังสือด้วยปากกาไฮไลท์หลากสี จดส่วนที่ไม่มีอยู่ในหนังสือเพิ่มลงไปในสมุดด้วย

     

    “ลีจูโน่”

     

    จูโน่เงยหน้าขึ้นจากสมุดด้วยแววตาตื่น ๆ หันหน้าไปตามเสียงทุ้มข้างกาย ยกมือขึ้นชี้ตัวเองคล้ายไม่แน่ใจว่าหูฝาดไปหรือไม่ เจ้าของผิวสีแทนยิ้มขัน ชี้ไปทางปากกาไฮไลท์สามสี่แท่งที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าดินสอรูปสุนัขของอีกฝ่าย

     

    “ขอยืมได้มั้ยครับ?”


    “ได้สิ! แน่นอนอยู่แล้ว!” เจ้าของปากกาตอบอย่างกระตือรือร้น หยิบขึ้นมาส่งให้เพื่อนใหม่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า ดวงตาหยีหรี่ลงจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว แก้มที่มีเยอะกว่าคนพี่เป็นพิเศษถูกดันขึ้นกลายเป็นก้อนกลม ๆ ใกล้ดวงตาโค้งมีรอยพับหนวดแมวที่ดูน่ารักเสียจนคนมองเผลอจับจ้องนิ่งนาน “คุณ -- คุณเก็บไว้เลยก็ได้ เรามีเยอะแยะเลย” 


    จูโน่แอบยิ้มแห้ง ๆ ให้อีกฝ่าย เขาร้อนรนจนไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใครคือคนที่ต้องนั่งข้าง ๆ ด้วย เขาจดจำแค่เลขที่ของตัวเองและเลขห้องก็ขึ้นชั้นเรียนมาเลย

     

    ร่างสูงยิ้มคล้ายขบขัน เหมือนจะจับได้ว่าเพื่อนใหม่เอ่ยสะดุดไปเพราะไม่รู้ชื่อตัวเอง “เรียกว่าลูคัสก็ได้ดรับ” ชื่อจริงของเขาไม่ค่อยมีใครออกเสียงถูกนัก ดังนั้นจึงเคยชินกับการแนะนำตัวด้วยชื่อเล่นเสียแล้ว

     

    จูโน่พยักหน้าอย่างแข็งขัน เขาบันทึกชื่อนี้ไว้ในใจเพื่อจะได้กลับไปอวดเจโน่ว่าวันนี้ได้เพื่อนใหม่มาเพราะปากกาไฮไลท์ที่อีกฝ่ายชอบบอกว่ามันสิ้นเปลืองแล้ว

     

    “คุณลูคัสเป็นเพื่อนคนแรกของเราเลยที่มาจากห้องอื่น”

     

    จูโน่ชี้แจ้งข้อเท็จจริงให้เพื่อนใหม่ฟังอย่างลืมตัวว่าตอนนี้ตนเองก็อยู่ห้องเอเหมือนกับอีกฝ่าย ส่วน ’เพื่อนใหม่’ ก็ไม่คิดโต้แย้ง มีเพียงรอยยิ้มที่ดูจะกว้างขึ้นขณะจับจ้องจูโน่ที่หยิบปากกาสารพัดสีของตัวเองมาวางไว้กึ่งกลางระหว่างโต๊ะ เพื่อให้ใครอีกคนสามารถหยิบใช้ได้สะดวก ๆ

     

    “ผมพอรู้มาบ้างว่าปีเรามีฝาแฝดอยู่คู่หนึ่ง” ลูคัสละมือจากการสรุปเนื้อหาแล้วหันมามองคนข้าง ๆ เต็มตา ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่วเบา “ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าแฝดน้องจะน่ารักขนาดนี้”

     

    จูโน่เงยหน้าขึ้นจากสมุดหลังจากจดจ่อกับการบันทึกเนื้อหาที่อาจารย์บอกจนไม่ทันได้ฟังที่เพื่อนใหม่พูด คนตัวเล็กกะพริบตาปริบ ๆ เหมือนเมื่อกี้จะได้ยินคุณลูคัสพูดอะไรแฝด ๆ เนี้ยแหละ “เมื่อกี้คุณลูคัสว่ายังไงนะครับ?”

     

    “ผมบอกว่าจูโน่ไม่เหมือนพี่ชายเลย” ลูคัสไม่เว้นจังหวะให้เจ้าของดวงตากลมสงสัย “ผมเคยเจอพี่ชายจูโน่สองสามหน” และไม่ใช่ความทรงจำน่าประทับใจเสียด้วย

     

    “อื้อ! เจโน่รักมาก ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ เวลายิ้มนะน่ารักอย่าบอกใครเลย! ยิ่งได้คุยด้วยร้อยทั้งร้อยก็ชอบเจทั้งนั้น” จูโน่บรรยายพี่ชายให้เพื่อนใหม่ด้วยท่าทีกระตือรือร้นภูมิใจ เขามั่นใจมากว่าใครได้รู้จักเจโน่ก็ต้องชอบกันทั้งนั้น เจเข้ากับคนได้ง่ายแถมยังน่ารักอีกแหนะ

     

    ลูคัสเอาแต่ยกยิ้ม ไม่ตอบรับคำของจูโน่ เขาไม่รู้หรอกว่ากับคนอื่นแฝดพี่เป็นอย่างไร แต่ความประทับใจแรกของเขากับเจโน่ไม่ดีนัก 


    ต่างกับคนที่อยู่ข้างกันในเวลานี้


    เขาเท้าแขนลงกับโต๊ะแล้วเอียงคอมองแฝดน้องที่ก้มหน้าจดยุกยิกต่อไปอย่างตั้งใจแล้วหลุดยิ้มออกมา มองคิ้วที่เดี๋ยวก็ขมวด เดี๋ยวก็คลาย ใบหน้าเปลี่ยนไปหลากหลายจนทำให้อยากมองให้นานกว่านี้อีกหน่อย

     

    จูโน่เป็นคนที่คิดอะไรก็แสดงผ่านทางสีหน้ามาหมดเลยจริง ๆ

     





























     

    จูโน่กระชับสายกระเป๋าก่อนจะโบกมือลาเพื่อนใหม่เพียงหนึ่งเดียวในห้องเออย่างกระตือรือร้น เมื่ออีกฝ่ายโบกกลับมาจูโน่ก็ยิ้มจนแก้มยุ้ย ๆ ดันดวงตาแทบปิดมิด เดินพ้นประตูห้องเอได้นิดเดียวคนตัวเล็กก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาพี่ชายที่ยืนรออยู่หน้าห้องบีทันที

     

    “คิดถึงเจแล้วเนี้ย” 


    จูโน่ส่งเสียงอ้อนไปก่อนที่ตัวจะถึงด้วยซ้ำ จนคนฟังหลุดขำพรืดอย่างอดไม่อยู่ ไอคำพูดออดอ้อนประจบประแจงแบบนี้มัน...น้องชายชักจะติดนิสัยประจบประแจงจากเขามากเกินไปแล้วจริง ๆ 


    พอวิ่งมาถึงคนน้องก็โผเข้ากอดพี่ชายเต็มรัก ยิ้มแป้นอวดหนวดแมวบนแก้มจนเจโน่ต้องดึงแก้มอ้วน ๆ ตรงหน้าอย่างมันเขี้ยว 


    “ขี้โม้”


    “คิดถึงเจเท่าโลกเลย!”


    เจโน่ส่งเสียงหึใส่น้องชายอย่างไม่เชื่อถือ ดูเอาเถอะคนเรา ตอนกลางวันก็เอาแต่อวดเรื่องเพื่อนใหม่ให้ฟัง ตอนนี้ถึงพึ่งมาคิดถึงพี่ชาย เจโน่กอดอก เชิดหน้าหนีน้องชายด้วยท่าทีไม่จริงจัง จูโน่หัวเราะจนตาปิด ฉวยแขนพี่ชายมากอดเอาไว้ข้างหนึ่งก่อนจะย้ำว่าคิดถึงพี่ชายที่ไม่ได้เจอหน้ามาสองชั่วโมงจริง ๆ  เจโน่ตวัดสายตาใส่อย่างนึกหมั่นไส้ ดีดหน้าผากอีกฝ่ายไปเบา ๆ ทีหนึ่งเป็นการลงโทษ


    ถึงแม้จะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกก็ไม่ได้ทำให้ความคึกคักน้อยลงเลย เวลาหลังเลิกเรียนสนามกลางแจ้งก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่กำลังแย่งชิงลูกบาสกันอย่างดุเดือด จูโน่ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้หน้าตึกระหว่างรอพี่ชายไปเข็นจักรยานมาเหม่อมองนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ จำได้ว่าปกติแล้วชมรมบาสมักจะซ้อมกันในโรงยิม ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงออกมาเล่นกันข้างนอกทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน--แบบที่ถ้าคณะกรรมการนักเรียนมาเห็นในเวลาปกติคงโดนลากไปตัดคะแนนแน่


    ดวงตาของคนน้องมีประกายบางอย่างผุดขึ้นมาขณะเริ่มไล่มองทั้งสนาม ประเดี๋ยวก็ยื่นคอเขย่งปลายเท้า ประเดี๋ยวก็แอบมองฝั่งม้าหินอ่อนที่มีหลายคนกำลังนั่งพักดื่มน้ำอยู่


    แต่กวาดสายตาไปถ้วนทั่วก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่อยู่ในความคิด 


    จูโน่เม้มริมฝีปาก แววตาที่เมื่อครู่สว่างจ้าหม่นแสงลง ราวกับชั่ววินาทีเดียวก็กลายเป็นดอกไม้ที่โค้งคอตกเพราะขาดน้ำมาหล่อเลี้ยง แต่แล้ววินาทีถัดมาก็มีแววฮึดประกายวาบขึ้นมาใหม่ จูโน่กวาดตามองอย่างมีความหวัง ส่งเสียงฮึบ ๆ ให้ตัวเองอยู่ในใจหลายหนเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ


    ไม่ได้อยู่ในสนาม บางทีก็อาจจะอยู่ข้าง ๆ ก็ได้


    หรือถ้าไม่ได้อยู่ข้าง ๆ สนาม บางทีก็อาจจะกำลังมาก็ได้


    จูโน่พยักหน้าหงึก ๆ ให้กับความคิดตัวเอง ส่งเสียง ฮึบ! ในใจแล้วก็เริ่มมองหาอีกหนด้วยท่าทีที่คิดว่าแนบเนียนที่สุด


    “ไม่เนียนเลย”


    เสียงที่ดังจากด้านหลังอย่างกะทันหันทำคนขี้ตกใจสะดุ้งโหยง เจโน่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก ละมือข้างหนึ่งจากแฮนด์จักรยานไปหยิกแก้มเด็กหน้ามุ่ย


    “แอบมองหาใครอยู่น้า”


    “เราไม่ได้มองหาใครเลย เจอย่ามั่ว”


    “หมูจูโกหกคำโต!”


    คนโดนว่าทำหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิมจนคนพี่ต้องดึงเข้ามาโอ๋แรง ๆ ในอ้อมกอด ขณะที่สายตาก็แอบมองไปในจุดเดียวกับที่น้องชายกำลังชะเง้อมองเมื่อครู่


    “กลับบ้านกันเถอะ”


    จูโน่พยักหน้าอย่างเลื่อนลอย เอี้ยวตัวกลับไปมองที่ผู้คนในสนามบาสที่ยังคงวิ่งกันขวักไขว่ ริมฝีปากบางขยับอ้า ๆ หุบ ๆ เหมือนมีอะไรจะพูดแต่สุดท้ายก็ตัดใจเลิกราไป จนคนเป็นพี่ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายต่อบทสนทนาด้วยตัวเอง


    “คนที่จูมองหาอยู่น่ะ กลับบ้านไปแล้ว”


    เจโน่มองน้องชายที่หันมาด้วยแววตาตั้งคำถาม เขาโคลงศีรษะไปมา ยิ่งเห็นจูโน่ที่ดูมีคำถามค้างคาใจแต่ไม่กล้าพูดออกมายิ่งอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม คนพี่ดึงกระเป๋าเป้ออกจากหลังอีกฝ่ายแล้วโยนใส่ตะกร้าหน้ารถ คล่อมจักรยานเสร็จสรรพแล้วฉีกยิ้มกว้างให้จูโน่ที่บ่นงุบงิบไม่เลิก


    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอน่า”


    “ไม่ได้อยากเจอใครสักหน่อย”


    เจโน่หัวเราะคิกคัก หยักไหล่พลางพูดลอย ๆ “เชื่อก็ได้ ๆ”


    จูโน่เบะริมฝีปากคว่ำ จะกี่ครั้งกี่หนก็เถียงไม่เคยจะชนะคนเป็นพี่ได้สักที 


    เขาปั่นไปข้างหน้าเอื่อย ๆ ขณะที่เจโน่ก็โบกมือส่งเสียงลาคนนั้นคนนี้ตามสองข้างทางจนกระทั่งพ้นเขตโรงเรียนเสียงถึงค่อยเงียบลง เจโน่ก่ายกอดเอวแฝดน้องแล้วซบใบหน้ากับแผ่นหลังอีกฝ่าย สองล้อทะยานไปข้างหน้าพาให้สายลมโกรกใส่อย่างไม่รีบร้อน จูโน่ฮัมเพลงเสียงเบา ก่อนจะต้องหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อแผ่นหลังถูกศีรษะพี่ชายโขกไปมาเป็นการประท้วงให้หยุดร้องเสียที


    บางครั้งก็มีดอกไม้หลุดจากขั้วและปลิวเฉียดไปเฉียดมา คนด้านหลังพยายามคว้าจับแต่ก็ล้มเหลวอยู่เรื่อยไป จูโน่หัวเราะเสียงใสขณะฟังเสียงเจโน่บ่นอย่างขัดใจอยู่บนเบาะหลัง


    แต่อยู่ดี ๆ จักรยานที่เคยแล่นฉิวก็หยุดชะงักลงกะทันหันพร้อม ๆ กับบรรยากาศรื่นเริง มันรวดเร็วเสียจนคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังรีบยื่นมือออกมาประคองตัวน้องชายเอาไว้ตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงประคองจักรยานไว้ไม่ได้ไม่มีท่าทีจะล้มถึงค่อยชะโงกหน้าออกไปมองหาสาเหตุ 


    ห่างออกไปข้างหน้ามีคนสองคนเดินเคียงกันอยู่ 


    ไม่ใกล้พอจะได้ยินบทสนทนา ไม่ไกลพอจะทำให้การกระทำต่าง ๆ กลายเป็นภาพเลือนราง 


    เสี้ยวหน้าของคนที่จูโน่เฝ้ามองหามาทั้งวันปรากฏให้เห็นอยู่เพียงข้างหน้านี้เอง นาแจมินหันไปยิ้มให้เด็กปีสองที่เดินเคียงข้าง ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นกำลังพูดอะไรถึงทำให้อีกฝ่ายหัวเราะยกใหญ่จนตาหยี


    คุณพระอาทิตย์ของจูโน่ยกหลังมือขึ้น เคาะข้อนิ้วชี้ลงบนหน้าผากเด็กคนนั้นเบา ๆ บนใบหน้ามีรอยยิ้มซึ่งเผื่อแผ่ไปถึงดวงตา ดูอบอุ่นเช่นเดียวกับแสงของพระอาทิตย์ในยามนี้ที่กำลังทิ้งตัวคล้อยต่ำสัมผัสขอบฟ้า


    จูโน่เผลอสูดลมหายใจลึก บางสิ่งบางอย่างในหัวใจคล้ายถูกบีบรัดด้วยยเชือกล่องหนที่ไม่อาจหนีพ้น


    “จู?”


    คนน้องหันมาฉีกยิ้มให้คนด้านหลังพลางส่ายหน้าจนผมนุ่มสะบัดปลิว เจโน่ถอนหายใจ ได้แต่โอบกอดอีกคนเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าตรงนี้ยังมีเขาอยู่ด้วยเสมอ


    “เราไม่ได้เป็นอะไรซักกะหน่อย”


    “อื้อ”


    จูโน่ก้มศีรษะต่ำ เร่งความเร็วเท่าที่จะทำได้ขณะปั่นผ่านคนทั้งคู่มา กัดเม้มริมฝีปากแน่นแม้จะรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดปลอบประโลมจากพี่ชาย


    ใจหนึ่งก็เกิดความรู้สึกอยากหันกลับไปมองเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนคนนั้นเสียเดี๋ยวนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าตัวเองคงไม่เก่งพอที่จะประคองใบหน้าให้เรียบเฉยขณะเห็นเขาเดินเคียงข้างกับใครอีกคนแน่ ๆ


    “แวะเบเกอรี่หน่อยมั้ย”


    จักรยานถูกชะลอความเร็วลงเมื่อคนบนเบาะหลังส่งเสียงขึ้นมาพลางชี้ไม้ชี้มือไปที่ร้านขนมซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกไม่กี่ช่วงตึก


    “ไหนว่าจะคุมน้ำหนัก”


    “จะเลี้ยงหมูซึมซะหน่อย”


    “เจก็เป็นหมูเจเหมือนจูนั่นแหละ!”

     

    เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลับมาอีกครั้ง จักรยานชะลอความเร็วลงช้า ๆ ในขณะที่เสียงเพลงทรอตสดใสดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อจักรยานของสองแฝดเข้าใกล้บ้านรั้วไม้สีขาวซึ่งถูกวาดประดับด้วยดอกไม้ใบหญ้าสีเหลืองสีฟ้าสลับกันไป ดูกระจัดกระจายแต่ก็ลงตัวอย่างที่สุด 


    เจโน่รับหน้าที่ไปเปิดประตูรั้วและมีจูโน่คอยเข็นจักรยานตามเข้าไป จูโน่บ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยอมเดินตามแฝดพี่ไปโดยดี ระหว่างทางขึ้นห้องเจโน่ก็เริ่มเล่าเรื่องมากมายเกี่ยวกับห้องใหม่ให้แฝดน้องฟัง บรรยากาศไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กที่เมื่อต้องแยกกันแต่ละฝ่ายก็จะเก็บเรื่องราวของวันนั้น ๆ มาเล่าให้กันและกันฟัง

     

    จูโน่พยักหน้าหงึกหงักขณะรับฟังเรื่องที่มีใครย้ายเข้าย้ายออกบ้าง เพื่อนในกลุ่มของเขาต่างอยู่ห้องบีเหมือนเดิมหมด พอรู้แบบนี้คนที่ฟังอย่างกระตือรือร้นก็คอตกทันที เขาอยากย้ายกลับไปห้องบีจะแย่อยู่แล้ว ถึงห้องเอจะมีคุณลูคัสแต่เขาก็ยังเกรงใจอีกฝ่ายมาก ๆ อยู่ดี


    “ไหนคนปากแข็งบอกเราว่าเลิกชอบแจมินแล้ว”


    พอเห็นว่าประตูห้องปิดสนิทดีแล้ว ฝ่ายคนพี่ก็ร้องถามขึ้นมาในทันที จูหันกลับไปมองพี่ชายที่กำลังกอดอกพร้อมทำสีหน้าคาดคั้นแบบสุดกำลัง คนน้องโคลงศีรษะไปมา ยิ้มแก้มปริแล้วดันตัวพี่ชายให้ถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนหล่นตุ๊บลงบนเตียง ส่วนตัวเองก็หนีมาหยิบสมุดการบ้านและหนังสือเรียนออกจากกระเป๋า ท่าทีเตรียมพร้อมจะทำการบ้าน ไม่ตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น

     

    “จู!”


    เจโน่เตะขาฟึดฟัด กลิ้งลงจากเตียงและพาตัวเองหล่นตุ๊บลงบนพื้น คนพี่ขยับกายมานั่งข้างน้องชายที่กำลังพลิกสมุดการบ้านอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น 


    “แล้ววันนี้ตอนแอบมองไปในห้องซีเจอใครมั้ย?”

     

    แฝดน้องส่ายหน้าหวือ ไม่รู้ว่ากำลังปฏิเสธว่าไม่เจอหรือกำลังปฏิเสธเรื่องที่โดนจับได้ว่าแอบมองใครบางคนที่อยู่ห้องซีกันแน่ เจโน่หัวเราะหึหึใช้สายตามองน้องชายอย่างเจ้าเล่ห์ เขาเดาได้เลยว่าจูโน่ไม่มีกระจิตกระใจจะดูบอร์ดเมื่อเช้าให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่งั้นคงรู้ไปแล้วว่าคนที่เจ้าตัวแอบมองหาเมื่อตอนเย็นไม่ได้อยู่ห้องซีแล้ว

     

    “เช็คบนบอร์ดหรือยังว่าแจมินย้ายไปอยู่ห้องไหนหรือเปล่า”

     

    เจโน่เลิ่กคิ้วมองน้องชาย จูโน่ใช้ปลายนิ้วเขี่ยพื้นไปมาเป็นวงกลม ส่งเสียงงึมงำว่า ‘ไม่เห็นจะสนใจเลย’

               

    “อย่างงี้ถ้ารู้ว่าแจมินอยู่ห้องบี...แถมนั่งข้าง ๆ เรา ก็คงไม่เห็นจะสนใจเหมือนเดิมใช่มั้ย?” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงส่งมาพร้อมรอยยิ้มทะเล้นจากคนพี่ที่ไถตัวมานอนซบลงบนโต๊ะ เรียกร้องความสนใจจากคนน้องที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ

     

    “เจหลอกเราแน่ ๆ เราไม่หลงกลหรอก” 


    จูโน่ยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ด้วยใบหน้าจริงจัง ลอบพยักหน้าให้ตัวเองด้วยว่าเขาเริ่มเก่งขึ้นแล้ว ไม่หลงกลแฝดพี่ง่าย ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีก 

     

    เจโน่มองท่าทาง ‘ปรึกษากับตัวเอง’ ของเจ้าหมูจู เขาต้องกลั้นขำจนไหล่สั่นแฝดน้องถึงรู้สึกตัวว่าท่าทางของตัวเองอยู่ในสายตาของพี่ชายทุกประการ จูโน่กัดริมฝีปากจนแก้มยุ้ย ๆ ดูเหมือนจะพองขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เจโน่อดใจไม่ไหว ต้องยื่นมือไปบีบแก้มนุ่มมือนั้น


    “เจหลอกเราจริง ๆ ใช่มั้ย” 


    จูโน่ดูเหมือนจะโกรธจริง ๆ แล้ว เจ้าตัวกอดอก ทำหน้าดื้อรั้นแบบที่นอกจากคนในครอบครัวแล้วคนอื่นก็ไม่มีวันได้เห็น เจโน่ต้องยั้งมือตัวเองหลายครั้งถึงจะหักใจให้ไม่หยิกแก้มน้องชายได้ เขาเปลี่ยนไปคว้าสมาร์ตโฟนที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง จิ้มมันสองสามทีก็ส่งให้น้องชายดู


    จูโน่รับมันมาอย่างไม่เชื่อถือนัก ไม่รู้เจโน่จะมาไม้ไหนอีก ถ้าเอาภาพอะไรน่ากลัวมาให้ดู จูโน่จะหยิกแก้มอีกฝ่ายแน่นอน! 


    แฝดน้องเอามือปิดหน้าจอโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะเลื่อนเปิดช้า ๆ ให้แน่ใจว่าไม่ใช่รูปน่ากลัวอะไร พอเห็นว่ามันเป็นเพียงรายชื่อเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สายตาจับจ้องชื่อที่อยู่เหนือพี่ชายแล้วอ่านวนเป็นสิบรอบ ก่อนจะกลับไปนั่งคอตกตามเดิม

     

    เจโน่มองน้องชายที่หูลู่หางตกด้วยรอยยิ้มขัน ที่ดื้อ ๆ อยู่เมื่อกี้ก็กลายเป็นหมาหงอยในพริบตา สุดท้ายเขาก็เลิกหักใจตัวเองแล้วดึงแก้มย้อย ๆ ทั้งสองข้างไปมาจนเจ้าของต้องส่งเสียงอู้อี้ประท้วง เจโน่ยีผมดำสนิทเหมือนของเขาจนมันยุ่งเหยิง

     

    “ปีสุดท้ายแล้วนะจู จะไม่ทำอะไรจริง ๆ เหรอ” 

     

    จูโน่ส่ายหน้าคัดค้าน พอนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้านี้หัวใจก็เหมือนจะเต้นช้าลง เขาพึมพำเสียงอ่อย “เขามีคนข้าง ๆ อยู่แล้ว”


    “จูอย่าคิดไปเองซี! อินจุนก็บอกอยู่ว่าแจมินไม่ได้คบกับใครอยู่”

     

    เจโน่ยังคงปลุกความกล้าให้น้องชายอีกหลายประโยค แต่จนแล้วจนรอดคนหัวดื้อก็ยังคัดค้านจนพี่ชายยอมแพ้ 


    “ยังไงก็จะไม่บอกออกไปจริง ๆ เหรอ”


    จูโน่ยกยิ้ม ส่ายหน้าเบา ๆ หนังสือและสมุดบนโต๊ะดูเหมือนจะถูกละเลยไปอย่างสิ้นเชิง “ไม่อยากให้เขาลำบากใจกับความรู้สึกของเรา ”


    “ถ้าบอกออกไป มันก็อาจจะมีโอกาสพัฒนาก็ได้นะจู ถ้ามันไม่เวิร์คก็แค่แยกย้ายกันไป อย่างน้อยก็ดีกว่าให้จากกันไปโดยไม่เคยได้ใช้โอกาสที่อยู่ตรงหน้านี้เลย”


    “ชื่อเราเขายังไม่รู้เลยนะเจ” เสียงหัวเราะเฝื่อน ๆ ทำให้เจโน่ต้องขยับเข้าไปใกล้คนน้องมากกว่าเดิม “ยังไงมันก็ไม่มีวันเป็นไปได้อยู่แล้ว เราก็...อื้อ เก็บไว้ให้มันจบไปพร้อมกับเราเองดีกว่า ความรู้สึกเราเองนี่น่า เราเริ่มมันเอง จะไปฝากความหวังไว้ที่เขาได้ไง”


    จูโน่เท้าคาง สายตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากำลังถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้า 


    ท้องฟ้าไม่เคยเหมือนกันสักวันเลย แต่น่าแปลกจริง ๆ ที่จูโน่กลับชอบที่จะมองความเป็นไปทุกอย่างของมัน เขาชอบมองเมฆที่ถูกลมพัด กระจัดกระจายเป็นรูปร่างแปลกตา ชอบมองสีของท้องฟ้ายามเย็นที่ไม่เคยเหมือนกันสักวัน 


    บางที...แค่ได้มองพระอาทิตย์ดวงนั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ


    จูโน่หลุดยิ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากพี่ชายที่ทิ้งตัวซุกใบหน้ากับแผ่นหลังเขา คนพี่พึมพำบางอย่างด้วยเสียงเบาราวกับยุง


    “จู เราอยู่ตรงนี้นะ”














    ♡ ♡ ♡














    #ฟิคข้างกัน













    note:

    นิยายเรื่องนี้เป็นพล็อตที่เราเคยเขียนตอนอายุ 14 

    เขียนแค่เพราะตั้งใจจะนับถอยหลังวันเกิดครบ 15 ของตัวเอง 

    ก็เลยเขียนลงแบบวันต่อวันเลย! สุดยอด!

    แต่สุดท้ายก็เขียนไม่จบนะ (เอ้า!) 555555

    เพราะงั้นก็เลยตั้งใจนานแล้วว่าอยากจะเอามาเขียนใหม่

    เป็นเรื่องที่รักมากๆเลย หวังว่าทุกคนจะรักเจกับจูมาก ๆ นะคะ

    -18octobear-


    note 2:

    ชื่อ ‘จูโน่’ ได้มาจากคุณ @TSSMHYSYJ09

    ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ ◜◡◝



    ปล. (สุดท้ายแร้ว!)

    ทุกคนสามารถไปตามเรื่องอื่น ๆ ได้ที่ #ฟิคโทแบร์ ไม่ใช่แท็กฟิคนะคะ 

    แต่เป็นแท็กรวมเรื่องสั้นและเรื่องยาว (เรื่องนี้) ที่เราจะลงในเดือนตุลาค่ะ 

    ร้ากทุกคน เย้ ♡♡♡


    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×