ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นายช่างพ่อลูกอ่อน

    ลำดับตอนที่ #1 : ปัญหา

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 58


    "คุณเคยทำเรื่องผิดพลาดกันบ้างไหม ?"

     
    แล้ว...
     
    "เรื่องผิดพลาดต่างๆที่คุณเคยทำไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
     
    มัน..ร้ายแรงขนาดไหนกัน ? "
     
    "มันพอจะมีทางแก้ไข หรือทางออกที่ดีใช่ไหม ?"
     
    "ดีแล้วละ อย่างน้อยๆคุณก็เป็นคนที่ไม่ได้แย่ หรือตกที่นั่งลำบากเหมือนผม...."


     
    ชายหนุ่มกำลังพูดกับผู้อ่านอยู่ เขานั่งอยู่บนสะพานแห่งหนึ่งดั่งกับว่าชีวิตของเขานั้นเกิดเรื่องอะไรบางอย่าง...
    ผมนังอยู่ตรงนี้มาได้หลายชั่วโมงแล้ว ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่สบายใจ หรือปัญหาใดๆถ้าผมมานั่งตรงนี้สักพักปัญหาที่หาทางออกยากๆหรือลำบากใจ
    จะผ่านไปได้เสมอ แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่ว่าผมจะนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไรก็ไม่สามมารถแก้ปัญหานี้ได้เลย
    ผมควรจะหนีไปให้ไกล ทิ้งเรื่องราวต่างๆ หลบหนีความจริง 
    หรือว่าผมควรจะเป็นสุภาพบุรุษ ? ลูกผู้ชาย ? ยอมรับผลการกระทำ แล้วกลับไปหาเธอดี ?
    หากคุณกำลังสงสัยอะไรบางอย่างกับตัวผมละก็ จากนี้มันจะเป็นเรื่องเล่าที่คุณต้องบอกลูกของคุณ 
    หรือตัวของคุณที่กำลังจะทำอะไรแบบไม่ทันคิด
    หรืออารมณ์เพียงชั่ววูบซึ่งจะส่งผลต่อคุณในภายหลัง 
    1วันก่อน...
    ผมกลับบ้านมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเรียนวิชา วัสดุก่อสร้าง ที่ต้องตากแดดบางคาบ นั่งเรียนในห้องแอร์บางคาบ
    วันนี้เป็นอีกวันนึงที่ผมต้องมาศึกษาวัสดุกลางแจ้ง 
    ด้วยความเหนื่อยของผมทำให้ผมเผลอหลับทันทีที่ถึงห้องพักของผม
    ระหว่างที่ผมกำลังหลับไหลผมฝันว่าผมกำลังอุ้มเด็กคนนึงดูน่ารักน่าเอ็นดู อาจจะด้วยความที่ผมชอบเล่นกับเด็กหรือแหย่เด็ก
    ทำให้ผมดูเป็นคนรักเด็ก เธอค่อยๆอ้าปากเหมือนพยายามจะพูด และแล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อคำที่เธอเอ่ยออกมานั้นคือ...
    "พ่อ"
    ในความฝันหลังจากที่ผมได้ยินคำนั้นรู้ตัวอีกทีผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ว 
    อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้เปิดแอร์ หรือ อาจจะเป็นเพราะผมตกใจที่ฝันแบบนั้น ทำให้ทั้งตัวของผมมีแต่เหงื่อ
    และแล้วเสียงเคาะประตูแห่งนรกหรือสวรรค์ก็ดังขึ้น
    ผมสะลึมสะลือเล็กน้อยเดินงัวเงียเพื่อจะไปเปิดประตูแก่ผู้มาเยือนห้องพักของผมอย่างช้าๆ
    ด้านหน้าประตูเป็นใครไม่ไม่ได้นอกจาก นานา แฟนของผมเอง
    เมื่อเปิดประตูแลวพบเธอสิ่งที่ผมสังเกตความผิดปกติของเธอคือ
    ข้อแรกวันนี้เธอไม่ใส่แว่น นานาเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์
    ไกลพอสมควรถ้าผมจะเดินจากตึกวิศวะของผมไปหาเธอ
    แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น
    ข้อสอง เธอดูซึมๆและเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง
    และอาจมาปรึกษากับผม 
    และข้อสาม หลังจากผมเปิดประตูต้อนรับเธอ เธอโผลเข้ากอดผมทันที
    เป็นสิ่งแน่นอนว่า มันต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างแน่ๆ
    ผมพาเธอเข้ามานั่งในห้อง หยิบน้ำเปล่า ขนมในตู้เย็นให้เธอ
    ในใจผมตอนนั้นคิดว่าอาหารใกล้จะหมดแล้ว เดือนนี้ผมยังหาเงิน
    ได้ไม่ถึงไหนมันจะพอหรือเปล่า ?
    พอเดินไปหาเธอความคิดที่แล้วเริ่มจะหายไป
    ความคิดใหม่แทนที่...เธอมาหาผมด้วยสีหน้าแบบนั้นทำไม?
    ผมนั่งคุยกับเธออย่างใจเย็น พยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ
    เธอเงียบและไม่คิดที่จะพูดอะไร ท่าทีลังเลใจของเธอ
    ทำให้ผมต้องเริ่มที่จะเอ่ยถามสาเหตุกับเธอ
    เธอค่อยๆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นครอและลังเลใจ
    "หนุ่ย....เรา.."
    "เราท้อง"
    สิ้นสุดเสียงอ่อนๆที่เธอเอื้องเอ่ยออกมา
    ผมแทบไม่เชื่อกับหูตัวเอง
    มันทำอะไรไม่ถูกเลย
    ผมค้างไปสักสิบวินาที
    นี้คงเป็นอาการช็อก 
    หลังจากนั้นเรื่องต่างๆในหัวผมเริ่มแทรกเข้ามา
    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานาน หรือ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
    ทุกอย่างล้วนแทรกมาอยู่ในหัวอย่างรวดเร็ว
    ตัวผมค่อยๆชา มันขยับไม่ได้เลย เหมือนโดนมนต์สะกดบางอย่าง
    เธอค่อยๆเงยหน้ามองตาผมอย่างน้ำตาคอ
    "เราจะทำยังไงกันดีหนุ่ย"
    เธอกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วค่อยๆกุมมือผมไว้
    ผมทำอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่จะขยับยังทำไม่ได้
    ผมพยายามที่จะคิดคำพูดสักหนึ่งคำเพื่อคุยกับเธอ
    จนสำเร็จ คำแรกที่ผมบอกกับเธอไปน่ะเหรอ?
    "แล้ว..พ่อแม่เธอรู้หรือยัง"
    ผมพูดกับเธออย่างช้าๆน้ำเสียงอ่อยๆไม่เหมือนตอนแรก
    ที่คุยกับเธอแบบปกติ
    "ยัง เมื่อสามวันก่อนประจำเดือนไม่มาเราก็เลยเช็คดู"
    เธอค่อยๆหยิบปรอทตรวจครรภ์ออกมาจากกระเป๋าของเธอ
    แล้ววางบนโต๊ะ ผมค่อยๆมองออกไป
    สิ่งที่ผมเห็นคือขีดสองขีดบนปรอท 
    แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือ มันคือดาบคู่สีแดงที่มันกำลังจะรอประหารผม
    ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
    เหงื่อผมไหลท่วมตัวอีกครั้งมันมากมายมหาศาล
    ทั้งๆที่ผมเปิดแอร์ที่26องศา
    อาการสับสนและความตกใจของผมยังคงออกฤทธิ์เรื่อยๆ
    ชั่ววูบหนึ่งที่ผมตัดสิสนใจทำออกไปและเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำคือ
    การเข้าไปนั่งโอบกอดเธออย่างและเช็ดน้ำตาของเธออย่างใจเย็น
    ผมและเธอโอบกอดกันและร้องไห้หนักมาก ร้องจนไม่มีเสียงและน้ำตา
    ผมพยายามนึกอย่างถี่ถ้วนว่าผมพลาดตรงไหนกัน
    วันนั้นผมพลาดอะไรไป ผมป้องกันใช่ไหม?
    ใช่ แน่นอนผมต้องป้องกันสิ ทันทีที่ผมคิดเรื่องนี้
    กล่องถุงยางบนโต๊ะเขียนแบบของผมก็อยู่เด่นเป็นสง่า
    ผมเดินไปดูสิ่งนี้ด้วยความรีบร้อนปล่อยให้เธอล้มตัวนอนอยู่บนที่นอน
    [ หมดอายุ 11 Nov 2011 ]
    ผมมองดูมันด้วยความเศร้าโสรกเพราะว่าวันนี้เป็นวันที่ 23 มกราคม 2012
    หลังจากที่รู้ว่าความผิดพลาดและความไม่รอบครอบหรือความโง่ของผม
    รู้ตัวอีกทีผมก็ทรุดตัวลงไปนั่งอยู่กับพื้นเสียอย่างนั้น
    อยู่ดีๆความหวาดกลัวก็เริ่มเข้ามา 
    อนาคตของผม ความอิสระ เสรีภาพ
    นี้ผมกำลังจะถูกแย่งชิงไปแล้วใช่ไหม?
    ร่างกายผมสั่นสะท้านไปหมด ผมค่อยๆเดินออกจากห้องไป
    ค่อยๆหนีเธอที่กำลังหลับอยู่
    ผมไม่รู้ว่าระหว่างทางหอพักของผม ผมพบปะเจอใครบ้าง
    ผมเจอเพื่อนระหว่างทางไหม พวกนั้นทักผมหรือเปล่า
    ผมไม่อาจรู้ได้เลย เพราะรู้ตัวอีกที
    บนสะพานแห่งนี้ก็มีผมนั่งมองดูพระอาทิตย์ยามเย็นเสียแล้ว...
    เวลานั้น ผมได้แต่มองพระอาทิตย์สีแดงส้มสีสวยที่กำลังตกดิน
    ตัดกับแม่น้ำที่สะท้อนดวงอาทิตย์ออกมา
    ไม่ต่างจากผมเท่าไรที่เหมือนชีวิตกำลังหมดไป....
    น้ำตาผมไหลหยดลงพื้นอีกครั้งผมยืนขึ้น
    และคิดว่าจะจบชีวิตไปพร้อมกับดวงอาทิตย์วันนี้
    มองไปด้านล่างสายน้ำเชี่ยวทั้งแรงและลึก
    หากผมกลั้นใจสักนิด ได้ตายสมใจแน่นอน
    แต่จะไปไม่ลาใครเลยก็ดูจะใจดำไปหน่อย
    ก่อนจะลากันไป ผมนั่งลงอีกครั้งและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
    พิมพ์ข้อความลาตาย และความในใจของผม
    เมื่อผมเปิดหน้าจอขึ้นมาก็พบ Miss Call 132 สาย
    เหมือนนานาจะตื่นแล้ว เธอคงจะตกใจที่ผมออกไปไม่บอกเธอ
    และแล้วเธอก็โทรเข้ามา ผมลังเลใจที่จะรับสายเธอ
    ผมตัดสินใจวางมันเอาไว้บนสะพานและเลือกที่จะ
    ไปไม่ลาใครทั้งนั้น ผมยืนขึ้นกางแขน
    หันหน้ามองดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสีแดงอันน้อยนิด
    หันกลับไปมองรถเคลื่อนผ่านไปมาอย่างรวดเร็ว
    "เราหายไปสักคนโลกนี้คงไม่เป็นไรสินะ"
    ผมคิดในใจและเตรียมจะเอนตัวล่วงลงสู่แม่น้ำ
    ผมหลับตาและเริ่มกั้นใจ หัวใจของผมเต้นแรงมาก
    ผม..อยากตายจริงๆใช่ไหม? มันร้ายแรงขนาดที่ผมต้องยอมตายเลยเหรอ?
    และแล้วใจที่เด็ดเดี่ยวสุดท้ายของผมก็ตัดสินใจ
    กระโดดลงจากสะพานได้สำเร็จ
    ตลอดความสูง10เมตร จากที่ผมเรียนฟิสิกส์
    แรงและการเคลื่อนที่ ระยะทาง 10 เมตร
    วัตถุมวลขนาดใหญ่เคลื่อนที่ไม่กี่วินาทีก็จมลงสู่แม่น้ำ
    แต่10วินาทีตอนนี้มันช่างเนิ่นนานเหลือเกินราวกับว่า
    เวลานั้นหยุดไว้เพื่อผม ผมไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาดู
    ภาพความทรงจำต่างๆที่ผมน่าจะลืมไปแล้ว
    ย้อนกลับมาอีกครั้ง ภาพวัยเด็กของผม
    ร้อยเรียงกันมา
    "นี้คือสิ่งที่คนกำลังจะตายเห็นกันใช่ไหม?"
    ผมยิ้มแล้วเตรียมใจตายไปพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ลับลาไป
    ภาพสุดท้ายคือภาพยายและแม่ของผม และต่อด้วยนานา 
    ทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นผมจมลงสู่แม่น้ำสุดลึก
    ผมแทบมองไม่เห็นพื้นผิวน้ำเลย
    ไม่รู้ด้วยเหตุใดทำให้ผมเลือกที่จะอยากมีชีวิตอยู่
    เลือกที่จะกลับไปยอมรับความจริง
    เลือกที่จะหนีจากความตาย ใต้บาดาลแห่งนี้
    ผมพยายามจะแหวกว่ายเผื่อโผล่ขึ้นไปหายใจ
    ผมใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
    ในที่สุดผมก็กำลังจะโผล่ขึ้นเหนือน้ำ
    .
    .
    .
    .
    แต่...
    ผมเริ่มหมดแรง...
    ผมเริ่มขาดอากาศหายใจ...
    ผม...
    อยากจะมีชีวิตอยู่
    ดวงตาผมค่อยๆหลับไปอย่างช้าๆ
    ผมพยายามสู้กับตัวเอง
    พยายามจะเอาชีวิตรอดจากความคิดโง่ๆของตัวเอง
    สุดท้าย...ผมก็ทำไม่ได้
    ผมหลับไหลและจมไปกับสายน้ำอีกครั้ง
    ดำดิ่งลงสู่ใต้แม่น้ำ
    ผมช่างโง่เขลานัก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×