ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บของหมายเลข 1

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนผีบ้า เก็บข้อมูลนู๋ลูซ ตอนแต่งมั่ว แต่งเร็วเวอร์

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 57


                            

    พี่หนึ่ง เกลลาเลียส ซวอค

    หัวชมพู ตาสีเลือดหมู

    สายเลือดซวอค ตระกูลนักฆ่าที่เก่งที่สุด

    ใส่เสื้อคอกลมสีขาว กางเกงสามส่วนสีน้ำเงิน ทุกส่วนของร่างกายมีอาวุธ

    พี่สอง โย พิรัน

    หัวม่วง ตาส้ม ผมยาวชอบปล่อย

    นักทำนาย สวมเสื้อผ้าญี่ปุ่นหลากสี ปากคาบกล้องยาสูบ

    ตระกูลจอมเวทนักทำนาย ใช้เวทมนต์สายมืด

    พี่สาม คิม โกโย

    คุณชายตระกูลคิมแห่งการค้าอันดับหนึ่ง โกโยอัจฉริยะคณิตศาสตร์

    หัวแดง ตาแดงหม่น

    มัดผมเป็นจุกไว้ให้น้องแปดเล่น คนเดียวเท่านั้น ใส่ชุดสบายๆ

    พี่สี่

    หัวดำ ตาดำ

    พี่ห้า

    หัวขาว ตาเทา

    พี่หก

    หัวทุยๆ ฟูๆ สีบลอน ตาฟ้า

    พี่เจ็ด

    สีน้ำตาลดำ ตาสีเดียวกับผม

    นางเอก ลูซิเฟียซลาเฟียร์  เฟยเซียน อเล็กซ์ ฟูชิ วาเลน  ชาลอตเต้ มีโซ ที่รัก

    ผมดำยาว ตาสีแดงสดใส

     

     

                          

     

                  

           

     

     

     

     

     

            ดวงจันทร์กลมโตสีแดงตัวกับสีของท้องฟ้าสีรัตติกาลยามค่ำคืน ข้ามองดูท้องฟ้ามาเนิ่นนานเท่าใดไม่อาจทราบ ร่างกายของข้าไม่อาจขยับเขยื้อนได้ จึงได้แต่อยู่ที่เดิม ดวงตาเลื่อนลอยเหม่อมองและนึกถึงทุกสิ่งอย่างที่ผันเปลี่ยนสับกันต่อไปเป็นทอดๆ ราวละครฉากหนึ่งจนสุดท้ายก็จบลง ภาพหายไปเหลือไว้เพียงท้องฟ้าให้เห็นมาซักครู่

              "ชีวิตและโชคชะตาของเจ้า จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นี่คือสิ่งที่เราทดแทนให้เจ้าได้"เสียงนุ่มนวลชวนฟังดังขึ้น ร่างๆหนึ่งเดินมาใกล้ข้า เขาช่างดูสง่างามและไร้ที่ติ พูดอะไรบางอย่างกับข้า ชีวิตหรือ โชคชะตาหรือ ทำไมต้องเริ่มต้นใหม่ แล้วทำไมต้องทดแทน

               "อ้อ ข้าแอบส่งเจ้าไปยังที่ๆ เจ้าเคยใฝ่ฝันในตอนเด็กๆว่าอยากไปด้วยนะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะต้องพบแต่สิ่งดีๆ แน่นอน ความทรงจำของเจ้าเมื่อก่อน มันจะยังคงติดตัวเจ้าไปแล้วมันจะค่อยๆย้อนกลับเข้าสู่ตัวเจ้าอีกครา ข้าขอเตือนว่าถ้าหากเจ้าไม่อยากเสียความรู้สึกไปอีกครั้ง อย่านึกถึงมันอีกเลย"

               "อืม "ข้าไม่รู้จะพูดอะไรจึงแค่บอกพอ ว่าเข้าใจ

               "ความรู้สึกของเจ้าจะหวนคืน ความรู้ของเจ้ามิมีวันสูญหาย เจ้ามิต้องกังวลหรอกเพราะที่แห่งนั้นใช่ภาษาเดียวกับเจ้า ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ว่าความสามารถทั้งหลายของเจ้าจะติดตัวแล้วฟื้นคืนได้อีก"เขาพูดอย่างร่าเริง แต่ข้ากลับง่วงขึ้นเรื่อยๆ เปลือกตาหนักอึ้งราวกับมีอะไรมาดึงให้มันปิด

                "เอาละ ข้าว่าร่างของเจ้าคงจะสมบูรณ์แล้ว ข้าว่าเจ้าควรจะแสดงอารมณ์ให้มากกว่านี้นะ อุตสาหได้เกิดใหม่อีกครั้งนี่ ลาก่อนหนูน้อย"แม้ข้าจะมองเห็นไม่ชัดเพราะความง่วงเข้าครอบคลุม แต่ก็ยังเห็นแวบๆ ว่าผู้ที่พูดกับข้านั้นใส่ชุดสีแดงสดปักดิ้นทองงดงามทีเดียว

     

                     

                 ถ้าข้าได้ยินไม่ผิด เขาบอกว่าข้าจะเกิดใหม่สินะ  ฮึ! ช่างพอดีเสียจริง ข้ากำลังรู้สึกว่าชีวิตเดิมของข้ามันแสนจะจืดชืดปนขมเหลือเกิน งั้นเริ่มใหม่ครานี้ข้าจะใช้ทั้งชีวิตให้มันสุดๆไปเลยแล้วกัน...

                  

              

                "เด็กผู้นี้ สามารถสร้างทั้งความวิบัติฉิบหายให้กับแผ่นดินได้ แต่ก็สามารถสร้างความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองได้เช่นกัน"ชายหนุ่มร่างบางอุ้มเด็กทารกน้อยในอ้อมอก ผมสีม่วงเข้มยาวสลวยปล่อยให้ล่องลอยไปกับสายลม เสื้อหลากสีซ้อนทับกันหลายชั้นดูแปลกตา ปากคาบกล้องยาสูบควันเบาบาง ตาสีส้มสดใสเหม่อมองไปสุดขอบฟ้า

                 ข้ามองใต้คางของเขาอยู่ ดูแค่นี้ก็รู้ว่ารูปงาม สีผมและเครื่องแต่งกายของเขาช่างแตกต่างกับที่ ที่ข้าจากมามาก คงจะเป็นอย่างที่เขาคนนั้นพูดว่าจะส่งข้ามายังแดนในฝัน ฮึๆ ชักสนุกแล้วสิ ในเมื่อคนยังมีสีผมขนาดนี้ สิ่งที่ข้าเคยจินตนาการไว้ต่างๆ นาๆ ก็ต้องมีสินะ ว่าแต่ คนนี้รึเปล่านะ พ่อของข้า

               "เอ้าๆ พี่สอง ทำนายเสร็จแล้วก็ส่งน้องแปดมาให้พวกเราอุ้มบ้างสิ เห็นแต่พี่ตั้งแต่เกิดเดี๋ยวน้องก็ติดอยู่แค่คนเดียวหรอก"ชายอีกคนหนึ่งยื่นหัวทุยๆ ฟูๆสีบลอนเข้ามามองข้า เขาเป็นพี่ของข้าเองสินะ...ข้าขอโทษที่บอกว่าท่านเป็นพ่อพี่หัวม่วง

                  "เออๆ อุ้มนิดอุ้มหน่อยก็ไม่ได้ มาใกล้ๆแล้วอุ้มน้องแปดดีๆนะเจ้าหก เราเหลือกันแค่แปดพี่น้องแล้วแกก็อย่าทำให้เหลือเจ็ดก็แล้วกัน"พี่ชายคนที่สองกล่าวเสียงหน่าย พวกเขามีกันเจ็ด ไม่สิ แปดพี่น้องโดยเจ็ดคนแรกเป็นผู้ชายและคนสุดท้องที่เพิ่งจะเกิดเป็นผู้หญิงแม่ของพวกเราจึงได้เวลาไปโลกหน้าหมดหน้าที่ต้องเลี้ยงดูลูกคนละพ่อทั้งเจ็ดที่มีนิสัยและสายเลือดแยกกันไปคนละทาง เพราะลูกชายจะไม่ได้สายเลือดของแม่แต่จะได้รับสายเลือดของฝั่งพ่อไปพร้อมกับความสามรถที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า ส่วนลูกผู้หญิงที่มีเพียงคนเดียวจะได้ความสามรถทั้งหมดสืบทอดไป แม่ของพวกเราเป็นทั้งตัวอันตรายและสิ่งที่วิเศษกว่าชีวิตสายเลือดอื่นๆ สิ่งที่ไม่อาจระบุที่มาที่ไป สิ่งที่น่าหลงใหลซึ่งมากความสามารถที่รับมาจากเผ่าพันธุ์อื่นมากมาย

                  เขาเป็นบุตรชายคนที่สอง สายเลือดแรงยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์แท้รุ่นปัจจุบัน ผมสีม่วง ตาสีแสด ลักษณะเด่นชัดของตระกูลจอมเวทนักทำนายผู้หยั่งรู้ เรียกว่าพิรัน เงินจากการทำนายทำให้เขากับพี่น้องร่ำรวยจนไม่รู้จะเก็บเงินไว้ที่ไหนหรือใช้ทำอะไรและมีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่ามารดาของเทพบุตรรูปงามทั้งเจ็ดรวมตัวของเขาคือตัวอะไร แต่สิ่งที่ควรกังวลคือ เขาแทบจะมองไม่เห็นอนาคตของน้องเล็กเลย สายเลือดแท้ของหล่อนคือตัวอันตรายจะให้ใครรู้ถึงตัวตนของน้องแปดเด็ดขาด และเขายังรู้ว่าการที่จะได้ลอกเลียนแบบอย่างสมบูรณ์แบบความสามรถของเผ่าอื่นมาอีกด้วยยิ่งต้องห้ามไม่ให้เธอออกไปไหน พี่น้องทั้งหมดเมื่อได้ฟังก็พยายาม เลี้ยงเด็กเล็กหมายเลขแปดไว้ในบ้านที่กว้างใหญ่ไพศาลพอๆกับเมืองเล็กๆ ไม่ให้ออกไปไหน แต่สิ่งที่เขาคิดไว้ว่าจะให้เธออยู่ที่นี้ชั่วชีวิต คงจะเป็นไปได้ยาก...

                ก็น้องรักของเขานะสิ ก่อเรื่องตั้งแต่ยังเล็กๆ เริ่มจาก

               หนึ่งขวบทำลายข้าวของ และร้องไห้ไม่ยอมหยุดในตอนที่เหล่าพี่น้องจะแอบออกไปทำงานหามรุ่งหามค่ำก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะตื่น ทำให้พวกเราแทบจะหมดตัวทั้งค่ากินค่าอยู่เพราะไม่ได้ออกบ้าน

                  สองขวบ พอเดินได้ก็หายไปสัปดาห์กว่าๆ สาบานได้ว่าพวกเขาพาคนทั้งหมู่บ้านค้นหาไปทั่วแต่กลับไม่เจอ แต่หลังจากที่พวกเรากำลังจะถอดใจเจ้าตัวกลับเดินโผล่มาขอให้พี่ๆทำขนมให้กินแล้วทำหน้าซื่อตาใส เหมือนไม่เคยทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนแม้แต่น้อย

                 สามขวบเริ่มอาละวาด อะไรที่ไม่พอใจก็ทำลาย อะไรที่ชอบก็จะดีจนเจริญไปเลย เริ่มมีการแสดงสีหน้าขึ้นแต่พวกเรามีเหตุจำเป็นจึงต้องเอาผ้ามาคลุมหน้าไว้ พูดมากแต่พวกเขาก็ไม่เบื่อกลับหลงเด็กปีศาจนี่จนไม่ลืมหูลืมตา

                 สี่ขวบ เริ่มหากระจกทั้งๆที่ไม่เคยเห็น พวกเราก็แอบอึ้งเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องพวกเราจำเป็นต้องเก็บกระจกไว้ จากเด็กขี้สงสัย จากนั้นน้องแปดสุดที่รักก็อารมณ์ไม่ดี เผาบ้านเผาเรือนจนมอดไหม้ไปหลายหลัง

                 ห้าขวบ อยู่แต่ในห้องสมุดลับใต้ดินจนหกขวบ ไม่ยอมพูดจาและเอาแต่อ่านหนังสือจนน่ากลัว  ระหว่างนั้นน้องแปดราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ พูดเพราะเป็นเด็กดีไม่ทำลายข้าวของสนใจงานบ้านงานเรือนไม่แม้กระทั่งงอแงตอนที่พวกเขาแอบออกไปทำงาน

                 มันน่าแปลก ยิ่งช่วงนี้เป็นคืนเดือนมืดไร้แสงใดๆ พวกเขาต้องออกไปทำงานคนละทวีป ไม่มีใครอยู่บ้านเป็นเพื่อนน้องแปดแต่น้องกลับไม่โวยวายอะไรแถมยังให้กำลังใจพวกเราก่อนออกบ้านอีก

                 ถ้าเกิดว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็คงทำให้เขตบ้านเราเสียหายหรอก ก็พวกเขาช่วยกันร่ายเวทกักกัน คำสาป กับดักไว้ประมาณร้อยกว่าชั้นแล้ว ขนาดไรฝุ่นยังเขามาไม่ได้เลยมั้ง...

               

                 หกเกือบเจ็ดปี เวลาที่ข้าได้อยู่กับท่านพี่ทั้งแปด มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายทั้งสุขและน่าหงุดหงิดแต่ข้าต้องควบคุมอารมณ์ไว้ มิเช่นนั้นจะเสียแผนที่อุตสาห์คิดมากว่าหนึ่งปี วันนี้แหละคือวันอิสระภาพที่จะได้ออกไปจากบ้านที่รักเพื่อไปผจญภัยกับโลกภายนอก

                  ตัวข้าที่สงสัยกับหน้าตาของตนว่ามีลักษณะใด จะออกไปหากระจกมาพิสูจความจริงและลบล้างคำพูดของพี่เจ็ดจอมเจ้าเหล์ เขาบอกข้าไว้ว่า ใบหน้าของเจ้ายามยิ้มช่างดูเหมือนฆาตกร ยามทำหน้าธรรมดาก็เหมือนคนที่คิดแผนชั่ว หน้าเหม่อลอยดั่งคนคิดแค้น แทบจะไม่มีอะไรดีแต่ว่ายามที่เจ้า...เฮ้ยนั่นเจ้าจะไปไหนข้ายังพูดไม่จบนะ น้องร๊ากกกก กลับมาก่อน   ข้าไม่อยากฟังที่พี่เจ็ดพูดต่อ มันช่างทิ่มแทงหัวใจดวงน้อยของข้าจนแทบยืนไม่อยู่ จากนั้นข้าก็ไม่พูดกับพี่เจ็ดอีกเลย ข้ายอมรับว่าเขาเป็นคนพูดตรงไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาจะไม่เคยปิดบังข้าเลย แต่...ข้ายอมไม่ได้หรอกที่เกิดมาชาตินี้หน้าตายังแย่อยู่อีก ข้าต้องเชื่อสิ่งที่ตนเห็นมากกว่า ข้าหากระจกทั้งบ้านแต่ไม่เคยพบ พอข้าขอออกไปข้างนอก พี่ๆก็แทบจะล่ามโซ่ไม่ให้ไปไหน ดังนั้นเด็กหญิงตัวเล็กในบ้านจึงกลายเป็นเด็กเก็บกด ความอยากรู้อยากเห็นไปลงอยู่กับหนังสือจากโลกภายนอกที่ให้ความรู้มากมาย

                  จนวันหนึ่งข้าอ่านหนังสือจนจบทุกเล่ม แต่ก็ยังอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนนึกได้ว่าถ้าไม่มีใครให้ออก ก็ขอออกไปเองเลยก็ได้นี่ เพราะชีวิตนี้เป็นของข้าไม่ใช่ของใครที่จะต้องมาควบคุมกักกันให้อยู่แค่ในที่แคบๆ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ข้าหมดความอดทนแล้วถึงเวลาที่จะต้องทำให้พวกเขารู้ว่าการเก็บตัวข้าไว้มันไร้ประโยชน์!!

                 ข้าก้าวเท้าเล็กๆ ออกมาจากบ้านกลางป่า เดินฝ่าเวทมนต์อุ่นๆ? ของพี่ที่กางไว้กันมดแมลงไม่ให้เข้ามาในบ้าน เธอสามารถใช้เวมมนต์ของโลกนี้ได้จากตำราที่เคยอ่านและความรู้เดิมจากเมื่อก่อน ไม่มีใครรู้ว่าเด็กตัวเล็กๆจะสามารถใช้เวทมนต์ได้อย่างน่ากลัวโดยไม่มีใครสอน หากนับจากอายุสมองคงจะมากกว่าพี่คนโตเสียอีก

                    ปากเล็กอ้าออก สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วตะโกนเสียงดังก้องป่า

                   "ไวโออออออออ ออกมาได้แล้ววววววว"ข้าเรียกสัตว์พันธะสัญญาเลือดที่แอบซ่อนไว้ออกมา ไม่นานลูกเสือดาวตัวน้อยก็กระโดดมาอยู่ข้างตัวเธออย่างเงียบเชียบ มันเอาหัวที่เต็มไปด้วยขนนุ่มๆมาอ้อนข้า

                    "เจ้านาย เจ้านายอยากออกไปข้างนอกจริงๆเหรอ"เสือดาวสีขาวถามเจ้านายอย่างกลัวๆว่าจะไปกระตุกต่อมมารเข้า

                    "ไปกันเถอะ ที่นี้ไม่มีอะไรต้องห่วงพี่ของข้าจะกลับมาอีกสองเดือนข้างหน้าโน่น กลับมาทันอยู่แล้ว"ข้าลูบหัวเจ้าเสือน้อยอย่างเอ็นดู แล้วขึ้นขี่มัน ไม่ช้าก็เริ่มวิ่งอย่างรวดเร็วจนตาคนแทบจะมองไม่ทัน

                    ไม่เป็นไร มันต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอนและข้าจะกลับมา

     

                    สายลมอ่อนพัดมากระทบผ้าบางที่ปิดใบหน้าของข้าไว้ ผ้าผืนนี้เป็นผ้าเวทมนต์ที่ข้าได้มาจากพี่ห้า ข้าจะมองเห็นได้ชัดเจนเหมือนไม่ได้มีอะไรมาปิดไว้ แต่จะไม่มีใครมองเห็นหน้าข้าใต้ผ้านี้

                   แสงริบหรี่จากตัวเมืองส่องมาให้ได้เห็นเป็นสัญญาณบอกให้ข้ารู้ว่าอีกไม่นานคงถึงเมือง ข้าเชื่อว่าเมืองนั้นคงจะมีกระจกซักบานสองบานให้ข้าส่องดูความจริงบนใบหน้าบ้างละ

                ประมาณสองกิโลเมตรก่อนถึงเมืองข้าสั่งให้ไวโอกลับเข้าป่าไป สัตว์เวทมนต์ที่สวยงามและหายากอย่างเสือดาวสีขาวมีราคาแพงพอๆกับลูกมังกร เกรงว่าถ้าพาเข้าเมืองข้าคงจะไม่ทันได้ทำอะไรก็คงโดนรุมจับขายแน่นอน

                   ข้าเดินทางไปอย่างใจเย็น ชมนกชมไม้และสิ่งก่อสร้างต่างๆที่เริ่มจะแออัดขึ้นเรื่อยๆ ตัวข้าที่ปกปิดใบหน้าไว้ก็ไม่ตกเป็นเป้าสายตาอย่างที่คิด เพราะที่แห่งนี้มีความหลากหลายมากมาย จนเป็นเรื่องปกติ เท้าเล็กๆในชุดหรูเดินไปยังร้านขายของสีแดงสดดูเตะตา ชุดหรูบนตัวข้าทำให้พ่อค้ารีบวิ่งออกมาต้อนรับอย่างดี ข้ารังเกียจคนประเภทนี้ชะมัด

                 "ยินดีต้อนรับขอรับคุณหนูผู้งดงาม วันนี้ท่านมีอะไรให้ข้าน้อยผู้นี้ช่วยหรือไม่ขอรับ"พ่อค้าหมูตอน ข้าตั้งให้เพราะเขาอ้วนเหมือนหมูจริงๆ พูดจาไพเราะแล้วเตรียมเสนอขาย

                  "ข้าต้องการกระจก"ข้าบอกไปตรงๆ

                  "ไม่ทราบว่าคุณหนูต้องการกระจกแบบไหนขอรับ ร้านเรามีทั้งกระจกวิเศษ กระจกเวทมนต์ กระจกต้องสาปมากมาย"เจ้าหมูตอนยังคงถ่วงเวลาไม่ให้ข้าได้ยลโฉมกระจกซักบาน ทันใดนั้นก็มีคนกระโดดมาจับตัวข้าไว้ หนอย! ทำไมถึงต้องชอบมีอะไรมาขัดขวางความจริงกันนักนะ ข้าชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ

                 "หยุด ห้ามขัดขืนนะเจ้าเด็กแสบ แค่ถูกส่งตัวเข้าวังก็สบายไปทั้งชาติแล้วยังจะเล่นตัวหนีได้หนีดีอีกนะ"เสียงของใครซักคนที่จับข้ามันบอกมา ไอ้เจ้าพวกตาถั่วเอ๊ย เอ็งจับผิดคนแล้วโว้ยยยยย

                 "นี่ พวกแกจับผิดคนแล้ว ข้าไม่ใช่เด็กคนที่ว่านะ! ปล่อย..."สติของข้าเริ่มจางหายไป ข้าพยายามจะขัดขืนพวกเขาแต่ก็โดนอะไรซักอย่างทำให้ตัวอ่อนปวดเปียก ข้าใช้เวทมนต์ได้ใช่ว่าข้าจะมีแรงหรือกำลังมหาศาล สุดท้ายข้าก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆที่ไร้เรี่ยวแรงไม่อาจขัดขืนได้

                 กุบกับๆ

                  เสียงรถม้าลากเกวียนและพื้นไม้แข็งที่ทำให้ข้าปวดหัวจนน่ารำคาญปลุกให้ข้าตื่นขึ้น ดวงตาเริ่มปรับให้มองเห็นชัดมากขึ้น มีเด็กหลายคนนั่งอยู่ในเกวียนนี้บางคนก็ทำหน้าเศร้าแต่บางคนกลับดีใจจนคุมไม่อยู่ ที่ใกล้ๆประตูมีผู้ชายร่างยักษ์ในชุดสีดำปิดหน้าเหมือนข้านั่งเฝ้าอยู่ ข้าจำได้ว่ามีเจ้าคนตาถั่วจับข้ามาเข้าวังแทนไอ้ตัวแสบอีกคนสินะ ข้าจะจำไว้ทั้งเจ้าหมูตอน เจ้าคนที่จับข้ามา ถ้าข้าหนีออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่พวกแกเตรียมใจไว้ได้เลย!!

               ข้าพยามลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้เพราะทั้งตัวของข้ามีโซ่ตรวนสีดำรัดไว้อย่างแน่นหนา มือเท้าของข้าถูกมัดไว้แน่น ปากก็ถูกมัดไว้ ผ้าคลุมหน้าของข้าเลิกขึ้นมาเล็กน้อย โธ่เอ๊ย ทำไมชีวิตข้ามันน่าหงุดหงิดนักนะ จำไว้ถ้าข้าจำเวมมนต์ทั้งแปดล้านได้เมื่อไหร่พวกแกโดนเอาคืนแน่

                "เจ้า เอ่อ เจ้าเจ็บมั้ย"เด็กตัวเล็กพอๆกับข้าถามข้าอย่างเป็นห่วง เขามีใบหน้าที่มีแววงดงามงาม ดวงตากลมโต ปากแดงจิ้มลิ่มในชุดที่คล้ายกับข้าแต่คนละสี มิน่า เจ้านั่นถึงตาถั่วจับข้ามา เด็กน้อยผู้งดงามจิตใจอารีงั้นรึ ข้าชักจะถูกใจเขาแล้วสิ

                "อื้อ"แต่ยังไง คนที่ถูกมัดปากคงไม่อาจพูดได้หรอกนะไอ้หนู

                 "ข้าเหยาหมิง มาจากทวีปยูยินดีที่ได้รู้จัก ข้าอยากจะช่วยเจ้าอยู่หรอกนะ แต่นายท่านสั่งห้ามไว้"เขาบอกข้าเสียงอ่อน ฮึ่ม ใครกันที่สั่งมัดข้า แต่เขามาจากทวีปยูสินะ ชื่อถึงได้แตกต่างจากคนที่นี่

            

            "ข้าหวังว่าเราคงได้ทำงานด้วยกันนะ"เขายังคงพูดให้ข้าฟังไม่หยุด

             "แต่ข้าก็อยากกลับบ้าน ถึงแม้ว่าจะไม่มีให้กลับแล้วก็เถอะ"ดวงตาแวววับกลับดูเศร้าลงทันตา ทำให้ข้าพลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย ข้าอยู่กับพี่ชายอย่างมีความสุขแต่เขากลับไม่มีบ้านให้กลับ งั้นข้านี้แหละที่จะเป็นครอบครัวใหม่ให้เขาเอง ข้าจะพาเขาหนีไปด้วย!

             กึก

              รถม้าหยุดเคลื่อนที่อย่างกะทันหัน ประตูถูกเปิดออกแล้วผู้คุมก็สั่งให้เด็กๆที่อยู่ข้างในออกมา ข้าถูกอุมออกเป็นคนสุดท้ายมาเรียงแถวหน้ากระดานพร้อมกับแอบมองหาตัวเจ้านายไปด้วย

               "แกนะ เงยหน้าขึ้นสิ"เสียงหวีดแหลมดังขึ้นที่หัวแถว คนที่ดูเป็นชายแต่สะดีดสะดิ้งจับคางของเจ้าเด็กคนแรกเชิดขึ้นแล้วมองอย่างหื่นกระหายช่างดูน่ากลัวในสายตาข้า ดีละ งั้นข้าคงไม่ต้องใช้กระจกเพื่อมองหน้าตัวเองก็ได้แต่ให้เจ้าคนนี้ดูเอาแทน ข้าคิดว่าเขาคงจะคัดเอาแต่เด็กที่หน้าตาดีแน่ๆ

               "เขาดูน่ากลัวจัง ชายคนนั้นเขาจะทำอะไรเราหรือเปล่านะ"เหยาหมิงผู้แสนขี้กลัวยิ่งกลัวหนักเข้าไปอีก ข้าอยากจะปลอบเขาอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ข้าถูกมัดไว้อย่างกับแหนม คงทำอะไรไม่ได้มากกว่านอนรอให้คนมาอุ้มไปมา

               "เจ้าหนู หันหน้ามาสิ"ถึงคิวของเหยาหมิงที่ต้องขึ้นลานคัดเลือกท่ามกลางสายตาโลมเลีย เย้ๆ อีกหน่อยคงจะถึงตข้าแล้ว

              "อืม ลักษณะดีทีเดียว เจ้าไปเป็นคนรับใช้ประจำตัวองค์ชาย"เขาพิศมองใบหน้าเล็กแล้วสั่งให้คนพาไปยังแผนกต่างๆ แล้วก็เดินมาหยุดที่ข้า

              ข้าเตรียมยิ้มเพื่อให้ดูดีที่สุด ฉีกยิ้มจนแก้มแทบปริเลยละแต่ว่า

              "ยี้ น่าเกลียดๆ เจ้าเด็กขันทีนี่น่าเกลียดจริงๆ ข้าขอสั่งห้ามปลดผ้าบนหน้าเจ้าอีก พวกเจ้าตรงนั้นส่งเจ้าเด็กนี้ไปวังชั้นใน ส่งมันไปเป็นคนจัดส่งนางสนมระดับกลาง"จบเสียงเขาก็เอาผ้าปิดหน้าข้าแรงๆ เปรี๊ยะๆ เสียงหัวใจของข้าแตกสลาย ไม่จริงนะ ข้าไม่อยากจะเชื่อทำไมหน้าตาของข้ามันอัปลักษณ์อย่าที่พี่ข้าพูดจริงๆนะเหรอ

                ความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจผสมกับการที่ไม่ยอมรับความจริงทำให้ข้าเริ่มก่อความคิดที่จะไม่มองหน้าตัวเองขึ้นมา ข้ารู้ว่ามันคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่อยากจะเห็นมันอีกแล้ว ข้าไม่อยากโดนประนาม ข้าไม่อยากโดนดูถูกเพียงเพราะหน้าตา ก็ถ้ามันธรรมดาข้าก็ยอมรับได้แต่ไปที่ไหนถ้ามีแต่คนมาบอกว่าอัปลักษณ์ๆๆๆๆ คิดหรือว่าชีวิตจะมีความสุขยิ่งในวังก็มีแต่ความงดงามงาม ข้าก็ราวกับแกะดำท่ามกลางแกะสีขาวมากมาย

                ข้าตัดสินใจแล้ว ข้ายอมรับความจริงที่ข้ามีหน้าตาแบบนี้ แต่ข้าจะปกปิดมันไว้ไม่ให้ใครเห็นอีกไม่เว้นแม้แต่ตัวเอง ความกลัวเข้าทาโถมว่าจะเป็นอย่างไรเวลามีคนมาเห็นใบหน้านี้อีกมากมายทำให้ข้าไม่กล้าปลดผ้าคลุมออก ข้าพยายามทำใจกับตัวเองเงียบๆก็กลับมีเสียงแว้ดๆดังขึ้นเรื่อยๆ คนที่พาข้ามารู้สึกว่าเจ้าคนที่คัดเด็กบอกว่าข้าเป็นขันทีเฝ้าสนมในวังชั้นในสินะ

               ข้าเดินเข้าไปอย่างจิตหลุด แต่ก็มีของบางอย่างมากระทบที่ศีรษะ เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นทำให้ข้าหันไปมองอย่างหงุดหงิด จริงสิ หมดเวลาแห่งความอดทนแล้วตอนนี้ ข้าหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีใครอยู่อีกไหมนอกจากพวกสนมแสนสวยที่แต่งหน้าแต่งตัวจัดๆ

                "โอ๊ะ โอขันทีน้อย เจ้าคงไม่มีไอ้นั่นแล้วสินะ ช่างน่าสงสารจริงๆ ข้าว่าหน้าตาของมันคงอัปลักษณ์ด้วยแน่ๆ ปิดไว้ซะมิด" ฉึกๆ เสียงทิ่มแทงใจโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ ฮึๆ ข้าคิดแล้วว่านอกจากข้าจะแก้แค้นเจ้าหมูอ้วนกับเจ้าตาถั่ว เพิ่มขึ้นมาเป็นวังทั้งวังนี้เลยดีกว่า พวกแกจะได้มีชีวิต อย่างทรมานสมใจอยากเลยทีเดียว ฮึๆๆ

                  ตอนนี้ทั้งร่างของข้าไร้ซึ่งพันธนาการใดๆ ปากขยับเป็นเสียงเพลงที่ไพเราะและอ่อนหวาน สั่งให้กุหลาบงกงามเลื้อยยาวอย่างรวดเร็ว เถากุหลาบที่เต็มไปด้วยหนามมากมายค่อยๆรัดที่ร่างของนามสนมแต่ไร้ซึ่งเสียงกรีดร้องเพราะปากไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดโดยไม่ทราบสาเหตุ ดวงตามีน้ำตาคลอหน่วยราวกับขอชีวิต เลือดสีแดงสดช่วยย้อมกุหลาบทั้งเถาให้เปลี่ยนเป็นสีโลหิต พอข้าเริ่มหายหงุดหงิดก็ปล่อยพวกนางและช่วยรักษาให้แผลหายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                "หืม เมื่อครู่มีใครมีปัญหาหรือ ให้ข้าช่วยมั้ย"ข้าไม่อยากให้ความเคารพข้าก็จะไม่เคารพ แต่การค่อยๆเชือดวังให้ดับลงอย่างช้าๆ ทำให้ข้าต้องมีสัมมาคารวะอยู่บ้างเพื่ออยู่ที่นี่และค่อยๆกรอกยาพิษให้ค่อยๆเน่าเฟะไปเรื่อยๆ

                 "แก มันปีศาจ ออกไปให้พ้นหน้าข้านะ ข้าจะฟ้ององค์จักพรรดิ"นางสนมหัวโจกสั่งข้า ดูนางสิ น่าตลกเป็นบ้า

                 "เอ ข้าว่าท่านควรจะรู้ไว้ด้วยว่าควรทำตัวอย่างไรให้เหมาะสม และคงรู้สินะว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูดข้าคิดว่าพวกท่านคงอยากสวยใสต่อไปอีกนาน ข้าก็ย่อมทำได้"ข้าพูดหยอก แต่หน้าตานางสนมแต่ละคนช่างกลัวข้ายิ่งกว่าองค์จักพรรดิซะอีก

                "อะไรนะ เจ้าบอกว่าเจ้าทำให้พวกเราสวยใสได้งั้นหรือ ท่านจอมเวทน้อย"แต่กลับมีนางสนมคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นที่ต่างจากคนอื่น ทำให้ความคิดด้านลบเกี่ยวกับข้าเริ่มจางหายไป แทนที่ด้วยการพูดถึงความสวยงามที่อาจหายไปตามกาลเวลาแต่ข้าสามารถหยุดมันไว้ได้

                 "ใช่ ถ้าหากพวกท่านอยู่กันอย่างสงบๆ และทำตัวดีๆ หากมีอะไรก็บอกข้าได้"ข้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก ถ้าหากดีมาก็ดีตอบ ร้ายมาข้าต้องยิ่งร้ายคืนหลายเท่า จากนั้นเป็นต้นมาข้าก็กลายเป็นดั่งที่ปรึกษาของพวกนางสนม พวกนางทำตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในหนึ่งราตรี ข้าเดินฝ่ากองทัพคนสวยมายังห้องพักของตน

                  ตำหนักทิวา นี่คือที่อยู่ของนางสนมขั้นกลางและข้าก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วย ห้องของข้าเป็นห้องสุดท้ายใกล้สวนหย่อม ภายในห้องมีหนังสือ กล่องไม้และเอกสารบอกรายละเอียดของงานที่ข้าต้องทำ มีเพียงนับจำนวนคนว่าครบหรือหาย ตรวจสุขภาพและคัดคนไปยามที่องค์จักพรรดิ์เรียกก็เท่านั้น ข้าเปิดกล่องไม้สลักลายสวยงาม ภายในมีหยกรูปนกน้อยสีฟ้าติดกับทองรูปนกด้านหลัง พวกเขาคงส่งของเล่มมาให้เด็กเล่นกระมัง ข้าเลยเอามันมาผูกกับผมเป็นจุกเล็กข้างซ้าย

                 วันต่อมามีทหารกว่าสิบนายมาเคาะประตูห้องข้าอย่างรุนแรง พอข้าเปิดพวกเขาก็ส่งกล่องไม้ยักษ์มาให้พร้อมกับบอกว่ามีคำสั่งจากเบื้องบนบังคบมาให้ใส่เพื่อป้องกันเหตุจลาจลจากการใช้เวทมนต์

                 ข้านิ่งไปราวห้าวินาที พร้อมกับหาตัวคนขี้ฟ้อง

                 เมื่อข้าเปิดกล่องก็พบกับเอกสารวิธีการใส่ และข้อบังคับไม่มีกำหนดว่าห้ามปลดมัน

             

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×