ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บของหมายเลข 1

    ลำดับตอนที่ #14 : ทะเลทราย

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 58


             สถานที่ใดเอ่ย ร้อนระอุในยามกลางวัน แต่กลับหนาวจนเย็นยะเยือกในยามค่ำคืน เมื่อมองไปทางไหนก็เห็นแต่ทรายสีทองงดงามส่องประกายล้อแสงตะวันที่แห่งนี้คือทะเลทรายแห่งอาเรม…      ‘อาเรมนั้นเป็นรัฐอันยิ่งใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทกหนแห่งเว้นแต่เพียงทะเลทรายแห่งเดียวที่อยู่ส่วนปลายที่ไกลจากใจกลางของรัฐมากที่สุด และยังอยู่ใกล้กับเขตแดนต้องห้ามมากที่สุดอีกด้วย

              ขึ้นชื่อว่าทะเลทรายหันไปทางใดย่อมพบแต่ทรายและความแห้งแล้ง จึงไม่ค่อยจะมีผู้ที่อยู่อาศัยลงหลักปักฐาน ณ ที่แห่งนี้มากนัก แต่ในความโหดร้ายของสภาพแวดล้อมกลับมีสิ่งล้ำค่าซุกซ่อนอยู่มากมายที่น่าค้นหาและดึงดูดผู้คนที่โลภมากให้มาเยือนยันทะเลทรายแห่งอาเรมเรื่อยๆ

             แต่ว่าข้าไม่ใช่พวกนักล่าสมบัติเช่นคนนอกทะเลทราย ข้าเป็นเพียงหนึ่งในชนเผ่าเร่ร่อนที่อยู่อาศัยที่นี่มาหลายชั่วอายุคน หนึ่งวันคืนคอยเดินทางตามการชี้นำของดวงดาวบนฟากฟ้าเพื่อเดินทางไปแลกเปลี่ยนค้าขายกับพ่อค้าต่างแดน ชนเผ่าของข้าเหลือเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังสามารถดำรงสืบต่อมาจนบัดนี้เพราะเผ่าอื่นๆ ต่างสลายตัวแยกกันไปจากทะเลทรายและไปใช้ชีวิตที่ดีกว่าในนี้

              ชนเผ่าของข้ารู้ทุกอย่างในทะเลทรายแห่งอาเรม เว้นแต่เพียงสถานที่ซ่อนของล้ำค่าที่ชนเผ่าคอยส่งคนออกตามหาและนำกลับมายังเผ่า ชายทุกคนในเผ่าเมื่ออายุถึงวัยสิบห้าปีจะต้องออกจากเผ่าไปเพื่อตามหาสมบัติและนำกลับมายังบ้านเกิด แต่ถ้าหากไม่พบก็ไม่มีสิทธิ์ที่กลับมาอีกต่อไปจนกว่าจะพบสมบัติ

              ในตอนนี้ข้าและซีกัล เพื่อนตายที่พบหน้ากันมาตั้งแต่เกิด กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านพร้อมกับถุงเหรียญเงินกว่าร้อยเหรียญและเครื่องประดับเพชรพลอยเล็กๆ น้อยๆ ด้วยทรัพย์สินจำนวนเท่านี้ถือว่ากำลังดีไม่มากไม่น้อยจนดูน่าเกลียดเพราะพวกเราแม้ว่าจะเจอสมบัติที่มีค่ากว่านี้มากมาย แต่เราก็ไม่ควรที่จะนำมันออกมาทั้งหมด หากข้าโลภมากคงโดนโจรดักปล้นจนมิเหลือแม้แต่ชีวิตกลับไป และเพื่อเป็นการเหลือไว้ให้ชนรุ่นหลังได้นำกลับไปบ้าง

              “นี่ เกวลินเจ้าว่าแม่ข้าจะโกรธไหม ที่ข้าลืมเก็บกำไลพลอยไปให้นาง”คนผิวแทนตัวโตกว่าข้า เอ่ยถามขึ้นเมื่อนึกได้ถึงสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ของเขาก่อนที่จะเดินทาง

              “ข้าว่าแม่เจ้าไม่โกรธหรอก แต่ว่านางคงจะน้อยใจที่ลูกชายสุดที่รักกลับแอบเอากำไลที่นางอยากได้ไปให้หญิงอื่นแทน”ข้าเห็นทั้งหมดนั่นแหละว่าเจ้าเก็บกำไลมาแต่ระหว่างเดินทางที่เราพัก คาราวานพ่อค้าที่กำลังหลงทางก็มาพบเข้า พวกข้าเลยอาสานำทางไปยังเมืองที่พวกกำลังไป แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ซีกัลก็ได้พบกับอลิส บุตรสาวของพ่อค้าใหญ่และทั้งสองก็ได้สานสัมพันธ์กันเรื่อยไปจนถึงที่หมาย

               ทั้งคู่ต่างแอบหมั้นหายกันอย่างลับๆ โดยมีข้าเป็นผู้ดูต้นทาง ด้วยกำไลล้ำค่าและสัญญานิจนิรันดรตามความเชื่อของชนเผ่าทะเลทราย

               “กะ ก็ข้า ต้องให้ของหมั้นกับนางนี่”เจ้าตัวโตหน้าแดงแป๊ด ทำปากพะงาบๆ เหมือนจะว่าข้าแต่ก็ว่าไม่ได้ จึงได้แต่ยอมข้าไป

               จากนั้นพวกเราก็คุยไปเดินไปอย่างสบายๆ เพราะดูจากระยะทางคงอีกประมาณสามวันก็เดินถึงบ้านแล้วซึ่งตอนที่จากมา ข้ากับซีกัลมัวแต่รีบออกตาหาสมบัติจนไม่ได้สนใจที่ต่างๆ ที่ผ่านไป ขากลับจึงพากันเที่ยวให้หนำใจก่อนที่จะกลับถึงบ้าน เหลืออีกเพียงเมืองเล็กๆ เมืองสุดท้ายก่อนจะถึงบ้าน ข้าจึงขอซีกัลป์อยู่เที่ยวในเมืองซักวันก่อนกลับ

                หลังจากที่เช่าห้องพักได้ ข้ากับซีกัลก็แยกกันเดินเที่ยวในเมืองแห่งนี้ ข้าเริ่มจากย่านการค้าที่ดูคึกคักที่สุดในเมืองก่อน เพราะข้าชอบของที่มาจากต่างแดน ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่ข้าไม่เคยเห็นในทะเลทรายทั้งนั้น แม้ข้าจะอยากซื้อมันแค่ไหนแต่ก็ต้องอดออมเงินไว้กลับไปหมู่บ้าน จึงได้แต่มองตาละห้อย

                ตุ้บ จู่ๆ กลับมีคนเดินมาชนเขาอย่างจัง แล้วรีบวิ่งหายไปในตรอกอย่างรวดเร็ว ข้าไม่ทันได้เห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ

                

     

                 ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยแม่น้ำล้อมรอบเหมือนคูเมือง น้ำใสสะอาดจนสะท้อนเห็นใบหน้าของข้าได้ มีต้นไม้อยู่ประปรายพอร่มรื่นน่าอยู่อาศัย แต่กลับมีคนอยู่น้อยกว่าที่คิดไว้ ข้าเดินเล่นเรื่อยมาจนเวลาพลบค่ำพอดีกับที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีส้มผสมกับท้องฟ้าสีน้ำเงินดูงดงามชวนมอง

                  ข้าเดินตามดวงอาทิตย์ที่กำลังตกไปจนไม่รู้ตัวว่าเดินออกมานอกเมืองตั้งแต่เมื่อใด ในขณะที่กำลังจะเดินกลับเข้าประตูเมืองนั้นกลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น จึงเลี้ยวเข้าไปดูแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินบทสนทนาและเสียงการต่อสู้

                  “รีบไปเอาสร้อยมันมาสิวะ! เร็ว!!”ชายร่างท้วมชี้นิ้วสั่งพรรคพวกที่มีหลายคน ไปทางที่มีคนจำนวนน้อยกว่าซึ่งกำลังบาดเจ็บ

                   “ไอ้โจรชั่ว! บังอาจทำร้ายนายท่าน หากพวกข้าได้กลับถึงเซเนียเมื่อใดพวกเจ้าไม่เหลือแม้แต่เงาหัวบนแผ่นดินนี้แน่!!”คนที่แต่งตัวเหมือนนักรบประกาศกร้าว แม้พวกเขาจะบาดเจ็บกันมากแต่ก็ยังมีคนที่ยังยืนขึ้นต่อสู้อยู่

     

                  

                  ด้วยสัญชาติญาณที่กู่ร้องบอกว่าให้รีบเดินหนีไปให้เร็วที่สุด สองเท้าพยายามจะก้าวหลบเลี่ยงในเรื่องของผู้อื่นแต่ก็ไม่ทัน ใครบางคนกระเด็นออกมาใกล้ตรงจดที่ข้าอยู่ ข้าจึงรีบกระโดดเข้าไปแอบที่ประตูเมืองด้วยความรวดเร็วแทน

                   แค่กๆ อั๊ก เขาคนนั้นถูกพลักออกมาจากกลุ่มที่บาดเจ็บโดยที่พวกของชายร่างท้วมไม่ทันเห็น

                  ข้ารีบลากเขาเข้ามา ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่เมื่อได้เห็นว่าเขากำลังบาดเจ็บก็รีบพาเขามาหลบโดยไม่ทันคิดอะไร เขามีสภาพที่บอกได้ว่าแย่มาก มีบาดแผลเล็กๆ ทั่วร่าง ที่แย่ที่สุดคงเป็นรอยถูกฟันที่แขน ใบหน้าของเขาถูกปิดไว้ด้วยผ้าคลุมข้าก็รีบดึงมันออกเพื่อให้เขาหายใจได้ดีขึ้น

                   ดวงหน้าขาวคมเข้มกำลังขมวดคิ้วหนาแต่ยังไม่ได้สติปรากฏต่อสายตา ข้าเผลอตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้พิจมองใบหน้าที่งดงามของเขา ผิวขาวที่คล้ำนิดๆ คงจะถูกแสงแดดจากทะเลทรายเปลี่ยนสี จมูกโด่งคมสัน ดวงตาที่ปิดสนิทล้อมด้วยแพขนตายาวหนาหลายชั้น ดูรวมกันแล้วเขาเป็นชายที่ดูดีมากคนหนึ่งและคงจะเป็นเศรษฐีหรือไม่ก็พ่อค้ารวยๆ ที่บังเอิญโดนโจรดักปล้น

                 ข้าจัดท่าให้เขานอนสบายๆ แล้วคอยแอบหาจังหวะรอเวลาที่จะพาเขาหนีออกจากที่นี่ จน         

               

                

               

               

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×