ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องเก็บของหมายเลข 1

    ลำดับตอนที่ #2 : รวมมิตร ของนู๋ลูซ

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 57


            ดวงจันทร์ทอแสงสีแดงสว่างไสวยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าโปร่งใส ปรากฎดวงดาวน้อยใหญ่ประปรายสีตัดกับท้องฟ้า สายลมเบาบางพัดกลีบกุหลาบสีคล้ำลอยละลิ่วจนกลีบน้อยกลีบหนึ่งมาตกอยู่ในแก้วน้ำชาสีขาวสะอาด

             กุหลาบสีแดงเข้มคล้ำ....กุหลาบที่ใช้ในงานศพ ฉันชอบกุหลาบนะแต่มีเพียงกุหลาบดำเท่านั้นที่ฉันเกลียดฉันเอามือกุมถ้วยน้ำชาอุ่นๆคลายความหนาวเย็นที่มาพร้อมกับสายลม

             ชาถ้วยนี้ไม่มีภาพสะท้อนของสิ่งต่างๆ อย่างที่ควรจะเป็น แต่หากมองลึกลงไปกลับเห็นเป็นเรื่องราวต่างๆ ของตัวเองกำลังทำเรื่องแย่ๆที่ไม่น่าจะเคยทำ ช่างเป็นชาอุ่นๆ แต่ทิ่มแทงจิตใจให้เหน็บหนาวจริงๆ เพราะทุกครั้งที่แอบดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นหัวใจของฉันกลับแสนเจ็บปวด มีภาพมากมายผุดขึ้นมาให้รับรู้จนฉันเลื่อนถ้วยสีขาวใบเล็กออกไปห่างๆ

              ที่นี่คือที่ไหนฉันก็ไม่อาจทราบ  มีเสาที่เอาไว้ห้อยตะเกียงเล็กๆ คอยให้แสงสว่างอยู่ตลอดเวลา ฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้ดัดสีดำลวดลายคดงอโค้งสวยงาม รอบตัวเป็นพุ่มกุหลาบหลากสีปลูกล้อมรอบเหมือนห้องขังเล็กๆ ถ้าสังเกตุดีๆ ของทุกอย่างนั้นถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตแม้แต่สนามหญ้าก็เล็มให้เสมอกันทั่วทุกบริเวณ  และ...

            "นี่ๆ ลูซเธอคิดอะไรอยู่นะ ฟังผมอยู่ไหมตอนนี้"เด็กผู้ชายผมทองยาวสยาย เขามีดวงตาสีฟ้าสดใสและผิวสีน้ำนม ฉันกำลังสังเกตุว่ามีเขาอยู่ด้วย

               "นายเป็นใคร"ฉันถามไปตรงๆ เขาพล่ามมานานไม่รู้จบจนฉันรำคาญ ว่าแต่ทำไมเขาถึงรู้ชื่อของฉันได้ละ

              "ห๊ะ นี่ นี่ผมทำพลาดอีกแล้วเหรอ"เด็กหนุ่มทำหน้าตามีพิรุธน่าสงสัย ถึงเขาจะพูดเสียงเบาแต่ก็ยังไม่พ้นหูของฉัน

              "นายหมายความว่ายังไง อะไรพลาด"ฉันตวาดเสียงดังจนเขาแทบจะตัวหดมุดดินหนี ฮิๆ ตลกชะมัด

              "เอ่อ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเธอเองนะที่ตั้งใจจะเอามันออก"เขาตอบเสียงอู้อี้ เจ้าเด็กนี่มาทำอะไรกับฉันกัน พอเขาเงยหน้าขึ้นก็พอเดาได้ว่าฉันกำลังงงกับสิ่งที่เขาพูดจงอธิบายมาซะ!

            "มะ มันเป็นความผิดของผมเอง ตะ แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังชดให้เธออยู่นะ เธอจะได้เกิดใหม่ในภพใหม่ตามคำขอแล้วก็เธอขอให้ผมลบความทรงจำให้ ผมทำไม่ได้เพราะผมใช้พลังไปมากแล้วก่อนหน้านี้เลยทำได้เพียงดึงความทรงจำที่เธอไม่ต้องการออกมาเก็บไว้ที่ตรงนี้"เขาพูดยาวเหยียดแล้วเอานิ้วมาจิ้มๆตรงอกซ้ายของฉัน ฉันแทบจะถลาไปบีบคอเขาด้วยความโมโหที่บังอาจมาแตะต้องตัวฉันแต่ความรู้สึกเหล่านั้นกลับค่อยๆจางหายไป แปลกจริงดูเหมือนว่าการอยู่ที่นี่เหมือนจะทำให้ฉันจิตใจสงบขึ้นมากโข ฉันเลยใช้เพียงสายตาจิกไป

                 พอเขารู้ตัวก็รีบชักมือกลับ หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนเรื่อง"และตอนนี้คงถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้วละ ต้องการอะไรอีกไหม"

                 สิ่งที่เขาพูดมามันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่หัวใจของฉันกลับตอบรับมันอย่างยินดีและฉันก็ดันเป็นพวกที่เชื่อใจตัวเองมากเสียด้วย เลยตามน้ำไปนั่นแหละ แต่ฉันอยู่ที่นี่มานานก็รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่จะต้องจากไป

                 "ฉันขออยู่ที่นี่อีกซักพักได้ไหม"ฉันอยากจะมองที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากไป กุหลาบแสนสวยฉันอาจจะไม่ได้เห็นอีกก็ได้นี่เนอะ

                 "ได้สิ แต่แค่นิดเดียวนะ"เขาตอบฉันแต่ระหว่างนั้นก็ร่ายอะไรบางอย่างออกมาเป็นเส้นสายมาพันรอบๆตัวฉันอย่างอ่อนโยน ร่างของฉันค่อยๆจางลง มองภาพสวนกุหลาบและใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังขยับปากอวยพรเป็นครั้งสุดท้าย

                 "โชค ดี นะ"ฉันยิ้มกว้างให้กับคำสั้นๆที่ส่งมา ไม่ได้ยินประโยคนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ แล้วทุกอย่างดก็ดับมืดไป.....

     

              

     

     

     

              'ลูซิเฟล นี่เป็นชื่อของหนูนะคะ'เสียงหวานดังมาจากข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าฉันยังไม่เกิด แต่แค่รอเกิด ชื่อของฉันคงโหลมากสินะชาวบ้านเขาเลยรู้กันหมดเพราะขนาดชีวิตนี้ยังใช้ชื่อเดิมเลย เมื่อฟังจากเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นตลอดๆนี่ก็คงเป็นแม่ของฉัน

                อยู่ในท้องใช่ว่าจะมองเห็นตับใตไส้พุง ฉันมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมืดรอบด้านมีเสียงหวานของคุณแม่ดังขึ้นมาเป็นระยะ ฉันหงุดหงิดมากที่เจ้าเด็กหัวทองดันส่งฉันมาทั้งๆที่ฉันยังไม่เกิด จริงๆแล้วฉันเป็นพวกที่รักสงบและขี้เกี..แค่กๆ แต่นานๆทีฉันก็เบื่ออยากทำอะไรสนุกๆบ้าง

                 แต่ใช่ว่าการมานั่งแกร่วรอในที่สุ่มมืดแบบนี้จะไร้ค่าเสมอไป มีเสียงมากมายต่างเข้ามาพูดคุยกับฉัน ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนคนตาบอดที่หูดีและพิการไปทั้งร่างกายไม่อาจขยับได้

                 แม่ตั้งชื่อให้ฉันว่า ลูซิเฟล วาสเลนเซีย นามสกุลนี้เป็นของแม่มีเพียงฉันเท่านั้นที่ใช้ได้มันแปลกจริงๆนะ เพราะฉันมีพี่ชายอีกเจ็ดคนถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้าแต่ก็พอจะเดาได้ว่าแต่ละคนนิสัยอย่างไรจากการพูดและน้ำเสียง พี่ชายทั้งเจ็ดของฉันเป็นพี่ต่างพ่อทุกคนจึงใช้คนละนามสกุลแต่นามสกุลของฉันเป็นนามสกุลของแม่เพียงคนเดียว

              ฉันเชื่อว่าเด็กจะเกิดมาต้องมีพ่อเซ่! แม่คงไม่มีสองเพศในคนเดียวหรอกมั้งฉันทำได้แต่รอคำตอบเมื่อฉันสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้

              บนโลกแห่งนี้มีถึงสิบสี่ทวีปตามที่พี่ชายเล่าให้ฟัง พวกเขาต่างก็มีสายเลือดและเผ่าพันธุ์แตกต่างกันไปตามลักษณะสิ่งแวดล้อม สถานที่ที่เลวร้ายที่สุดคือเดทซีไซดินแดนแสนร้อนระอุเต็มไปด้วยทะเลทรายและสัตว์เวทมนต์ สถานที่ที่มีมนุษย์มากที่สุดคือที่นี่ฮิวเซเป็นดั่งศูนย์รวมการค้าขายและแลกเปลี่ยนของโลกเลยทีเดียว แต่มีทวีปแห่งหนึ่งที่ฉันอยากไปมากที่สุด ทวีปแห่งพ่อมด ดินแดนเวทมนต์ลึกลับ นี่คือคำเล่าลือที่บอกต่อๆกันมาของนักผจญภัยเสี่ยงโชค มีเพียงผู้อาศัยของทวีปที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระไม่เว้นแม้แต่การนำเข้าด้วยเช่นกัน ฟังดูแล้วที่นี่แหละที่ฉันจะไปพิชิตที่แรกหลังจากต้องพักร้อนยาว อุวะฮ่าๆๆ

               ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองสมองมีปัญหานิดๆ เพราะความทรงจำของฉันที่หายไปมันเหมือนหนังที่ขาดตอน ดูไม่ครบแล้วมันตงิดๆ แต่แลกกับความเจ็บปวดที่ได้รับฉันจึงยกเลิกการรำลึกความทรงจำเหล่านั้นไป

              เอาเถอะ แค่ได้มีชีวิตฉันก็พอใจแล้วละ....

     

               "ลูซลูกรัก แม่อยากเห็นหนูมีความสุขและเติบโตขึ้นเรื่อยๆเหมือนพี่ชายของหนู แต่แม่คงทำไม่ได้ แม่ฝากหนูไว้กับพวกพี่ๆแล้ว"หญิงสาวผู้งดงามกล่าวออกมาเบาๆ อย่างอ่อนโยนแล้วลูบท้องที่นูนเด่นขึ้นมา เธอมีผมสีดำยาวสลวยที่หายากเป็นอันดับสามของโลกนี้ ผิวขาวเนียนดั่งหิมะไม่ดูซีดแต่มีชีวิตชีวา คิ้วบางโก่งสวย ปากสีเชอรี่หยักเป็นกระจับ แพขนตายาวหนาปกคลุมดวงตากลมโตแฝงแววเศร้าสร้อยทำให้ลูกชายคนโตที่อยู่ดูแลพลอยเศร้าไปอีกคน

               "มามา ท่านอย่าพูดอะไรแบบนี้สิ ข้าเชื่อว่าท่านจะยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่น้องแปดคลอดนะ"ลูกชายคนโตของเธอร่ายเวทมนต์เพิ่มความอบอุ่นคลายหนาวในห้องให้ผู้เป็นแม่ ที่ประเทศแห่งนี้มีอากาศเย็นตลอดทั้งปีและจะเป็นที่สุดท้ายที่มามาของเขาจะให้กำเนิดน้องสาวและจากไปตามที่มามาบอกมันเป็นกฎแห่งสายเลือดพิเศษซึ่งไร้ที่มาที่ไป

                "แม่ไม่อาจฝืนได้หรอก หากว่ารั้งต่อไปร่างกายจะทรมานอยู่ตลอดเวลา ลูกคงไม่อยากให้แม่ต้องเจ็บละมัง"เธอยิ้มหวานให้กับเด็กตัวเล็กๆที่ตอนนี้โตเป็นหนุ่มหล่อตั้งแต่เมื่อใด แทบไม่รู้ตัว

                 ชายหนุ่มถอนหายใจให้กับผู้เป็นแม่แสนดื้อ ถึงเขาจะทำใจไว้ตั้งแต่แปดสิบกว่าปีที่แล้วก็เถอะ แต่มันก็ยังทำใจไม่ค่อยได้อยู่ดี แน่นอนว่าเราย่อมหนีไม่พ้นความตายกันทุกคนไม่สิ ต้องใช้คำว่าตนสินะ

                  ก็อกๆ

                 "นี่อาเอง"เสียงทุ้มดังมาจากประตูไม้สลัก เขาเป็นเพื่อนหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ในห้องหรู

                 "เชิญครับ ท่านอา"ชายหนุ่มตอบไป ชายสูงอายุเปิดประตูเข้ามาอย่างแผ่วเบาเขาส่งยิ้มมาให้มามาแล้วเดินมานั่งใกล้ๆ

                 "เป็นยังไงบ้าง ปราสาทของข้าอยู่สบายไหม"เขาทักทายพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างสนิทสนม บุตรชายคนโตของเธอรู้ว่าควรจะปลีกตัวออกไปให้คนทั้งสองสนทนากันเงียบๆ จึงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

                 "อืม สบายมาก ข้าชอบลมเย็นของที่นี่มาก"เธอตอบยิ้มๆ

                 "แล้วลูกของเจ้า..."

                 "เจ้าอยากเลี้ยงนางไหมละ ข้าให้โอกาสเจ้าแย่งลูกแปดกับพี่ชายทั้งเจ็ดของนางก็ได้นะ"หญิงสาวพูดติดตลก ทั้งๆที่ในใจรู้ว่าชายตรงหน้าจะพูดถึงอะไร

                 "ข้านะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหายไปเมื่อนางออกมาสู่โลกภายนอก ฮึๆ สายเลือดนี้หากมีมากมายในแผ่นดินคงถึงคราววินาศ"สาวผมดำหันหน้ามาตอบกับเขาตรงๆ เพื่อย้ำว่าเรื่องที่พูดเป็นความจริงทุกประการ ใบหน้าสวยยกยิ้มขำที่เห็นแต่ละคนทำหน้าเศร้าๆหมองๆดับราศีตัวเองหลังได้รู้เรื่องนี้

                  "ข้าคงไม่สามารถทำอะไรได้งั้นสิ"ชายรุ่นลุงตอบอย่างปลงๆ

                 "ใครบอก เจ้าเลี้ยงนางได้อยู่นะ"เธอทำปากยู่ใส่เขา

                 "งั้นเจ้าอยากให้นางเป็นอะไรเล่า บอกข้าไว้ข้าจะได้เลี้ยงถูก ข้ากลัวว่าเจ้าอาจจะกลับมาจองเวรหลังจากที่เลี้ยงนางให้เป็นของแปลกไปเสียก่อน"

                 "คิกๆ เจ้ายังอารมณ์ขันไม่เปลี่ยน แล้วแต่เจ้าเถอะ"ชายหญิงสองคนหัวเราะอย่างมีความสุข แต่เวลาเหล่านี้กลับเหลืออีกเพียงน้อยนิดช่างน่าเสียดายจริงๆ

                 กึก

                 "โอ๊ย! ปะ ปวดท้อง"เสียงเตือนถึงเวลาที่ใกล้หมดลงแต่เรื่องมันยังไม่จบ

    ทำให้หญิงสาวพยายามที่จะรั้งชายสูงอายุไว้ก่อนที่เขาจะออกไปจากห้องเพื่อไปตามหมอและสาวใช้

                "เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป ! อาล"เธอตะโกนเสียงดังลั่นหยุดเขาไว้ทันพอดี เธอถอนหายใจโล่งอกที่ยังรั้งเขาไว้ได้

              เขารีบวิ่งมาแทบหมอบอยู่แทบเท้าของเธอ หัวใจเต้นเร็วและแรงยิ่งกว่าจังหวะกลองรัวๆเสียอีกแล้วมองใบหน้างดงามของเธอด้วยความแปลกใจ

                 "เจ้าไม่จำเป็นต้องตามหมอหรอก แต่ว่าข้ามีเรื่องที่จะฝากฝังเจ้าเป็นคราสุดท้าย แฮกๆ"เธอเองก็เริ่มหอบ จากการตอบสนองของร่างกายที่เริ่มขึ้นอย่างช้าๆ

                เขามองหน้าเธออย่างกระวนกระวายด้วยความเป็นห่วงแต่หญิงสาวที่ใบหน้าเริ่มซีดเซียวได้แต่เพียงยิ้มอย่างที่เคยเท่านั้น

                แต่รอยยิ้มนี้มักมาพร้อมกับเรื่องชวนตกใจเสมอๆ

               "ข้าขอมอบอำนาจผู้ปกครองของบุตรทั้งแปดให้เจ้า องค์ราชาอาลแต่เจ้าห้ามบอกความจริงของสายเลือดนี้ให้บุตรตนที่แปดจนกว่านางจะไปถึงแดนแห่งนั้น เจ้าจะยอมรับด้วยสาบานแห่งวิญญาณหรือไม่!"

              เขาเบิกตากว้างอย่างอึ้งๆกับสิ่งที่เธอกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น

                 "นี่มันเรื่องอะไรกัน! ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้"

          "..."ไม่มีคำตอบ มีเพียงแค่รอยยิ้มที่เริ่มโรยราส่งมาให้เท่านั้น

          "ฮึก  ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีวันปฎิเศษคำขอของเธอ แล้วทำไมถึงมาพูดเอาตอนนี้ ข้าอาลจะขอยอมรับคำสาบานแห่งวิญญาณ จนกว่าจะหาไม่ข้าจะขออยู่ปกป้องพวกเขาจนถึงที่สุดแม้จะต้องเป็นศัตรูกับโลกนี้ก็ตาม"น้ำตาหลายหยดเริ่มรินไหลจากดวงตาที่ผ่านโลกมามากมาย เขากุมมือของเธอไว้แน่น มือที่เย็นเฉียบเตือนให้รู้ถึงความจริงที่ไม่อาจหลีกหนี  ผู้ที่เขารักมากที่สุดกำลังจะจากไป   

            "เจ้านะ ยังรักพวกเขาเหมือนลูกไม่เปลี่ยน ข้ารู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่พี่สาวและเพื่อนคนนี้ต้องขอฝากไว้อีกคนแล้วละ ฮึๆ เจ้าไม่ต้องเสียใจไปนางจะมาแทนที่ของข้าเอง"หญิงสาวที่ควรจะเศร้าโศกที่จะหายไปกลับพูดอย่างมีชีวิตชีวา ผิดกับชายที่อยู่กับเธอที่กำลังร้องห่มร้องไห้แทบเป็นแทบตาย

             "ไม่ๆ ไม่มีใครมาแทนที่เจ้าได้หรอก! "

             "เอ้าๆ ยังไม่ทันไปไหนก็โวยวายเสียแล้ว"เธอยกมือบางเช็ดน้ำตาจากใบหน้ากร้าน มือที่เรืองแสงอ่อน และเริ่มโปร่งแสงจาง     

             "ไม่มีผู้ใดที่อาจหลีกนี้ความตายได้ ข้าก็เช่นกัน ลาก่อนนะน้องชายของข้าและลูกๆที่รักทุกตน ข้ามีความสุขมากและจะมีความสุขกว่านี้ถ้าพวกเจ้าไม่เสียใจ"หญิงสาวถูกมือใหญ่โอบกอดไว้แน่น เธอได้แต่เพียงส่งยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็สลายไปเป็นละอองเล็กสวยงามระยิบระยับสุดท้ายก็เริ่มหายไป

             อาล กษัตริ์ผู้ยิ่งใหญ่เขาเป็นผู้ถือครองทวีปฮิวเซแห่งนี้ถึงครึ่งหนึ่งรบมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน สามารถสั่งเป็นสั่งตายได้แต่กลับไม่อาจรั้งผู้ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนได้แม้เพียงซักวินาที ร่างของเขาสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวดที่เธอจากไป แข้งขาอ่อนแรงดั่งโลกสลายต่อหน้าต่อตา น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหลกลับหลั่งออกมาดั่งเขื่อนแตกดวงตาพร่ามัวจนมองไม่เห็นสิ่งใด

           ถ้าหากใครมาเห็นคงตกใจจนคิดว่ากษัตริย์ของพวกเข้าโดนผีเข้า ก็เขาเวลาปกติทั้งเลือดเย็น เหี้ยมโหดไม่แทบเคยยิ้ม ใบหน้าตึงครึมอยู่ตลอดเวลาเห็นหน้าแล้วขวัญกระเจิง

           เมื่อลืมตามองอีกครั้งก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ มีก็เพียงแต่ห่อผ้าสีแดงสดเมื่อพิศดูดีๆจะเห็นเป็นทารกน้อยหน้าตาหมดจดนอนหลับใหลลมหายใจสม่ำเสมออยู่

            "เฮ้อ ข้าอุตสาห์หวังว่าเจ้าจะเหลืออะไรไว้ให้ มีเพียงทารกน้อยน้อยในห่อผ้า...เฮ้ย นั่นๆ ทารก เด็ก ลูก สายเลือด !@#$%"ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเด็กทารกตัวเล็กๆ ทำให้ราชาผู้ยิ่งใหญ่สติไม่สมประกอบไปชั่วครู่ พอตั้งสติได้เขาก็โผเขาไปดูใกล้ๆ ชีวิตน้อยที่เริ่มต้นใหม่ได้ไม่นาน ของดูต่างหน้าของเธอผู้เป็นที่รัก

              เด็กทารกน้อยลืมตาใสเป็นประกายเพียงเล็กน้อยแล้วก็หลับไป องค์อาลเมื่อเห็นเด็กน้อยผู้นี้กลับรู้สึกผูกพันขึ้นมาทันทีในหัวใจของเขาเริ่มมีเธอเข้ามาแทนที่หญิงสาว จิตใจของเขาอุ่นวาบเมื่อมือเล็กๆนั้นขยับมาแตะที่ปลายนิ้ว แล้วยิ้มบางออกมาดูอบอุ่น

           "ลูซน้อย พ่อขอสัญญาว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ด้วยเกียรติของกษัตริย์ข้าขอสัญญา..."

     

     

     

                       

     

     

     

     เฮือก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนะฉันลืมตาโพรงหลังจากเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ต้องหลับตาลงทันทีเพราะแสงจ้าแยงตาใสที่ไม่เคยสัมผัสสิ่งใดใต้เปลือกตาบาง

    แสบชะมัด อูย ตาฉันจะเป็นอะไรไหมเนี่ย!

               ฉันเห็นคุณลุงคนหนึ่งด้วย แต่ไม่ค่อยชัดด้วยความที่แสงจ้าฉันจึงหลับตาต่อไป ฉันลองขยับมือเพื่อสำรวจแทนการมอง มือของฉันกลับไปแตะโดนอะไรซักอย่างที่แข็งๆสากๆ อีก

                ตอนนี้ในหัวของฉันเริ่มตีกันวุ่น ปวดหัวจี๊ดๆ ทั้งสับสนงุนงง ร่างกายเหมือนจะปรับตัวยังไม่ได้ฉันจึงหลับไปทั้งๆ อย่างนั้น โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองไปทำอะไรไว้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ยาพิษและการหายไป

                "เชิญท่านอาเข้าหารือ เรื่องน้องแปดข้างนอกครับ"เด็กหนุ่มผมสีนมเย็นผู้ที่เฝ้ามองมาตลอดตั้งแต่แรก เรียกสติของชายรุ่นลุงในห้องเล็กที่มีทารกน้อยอยู่ในห้วงนิทราไม่รู้เรื่องราวใดๆ

                "แล้วจะปล่อยให้ลูกข้าอยู่ที่นี่ตนเดียวหรือ "เขาคิดเป็นห่วงว่าเด็กเล็กจะเป็นหวัดหรือโดนลักพาตัวไป ในหัวตอนนี้มีเรื่องต่างๆนาๆให้พะวงหน้าพะวงหลังซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเธอ

                "ผมดารินมาเฝ้าให้แล้ว"เด็กชายตัวเล็กอีกคนโผล่เข้ามาทางหน้าต่าง"ไปกันได้แล้ว ทุกตนรอพวกคุณอยู่"เขายิ้มยิงฟันขาวแล้วโฉบไปหิ้วพี่ชายหัวสีชมพูแสนเลือดเย็นบินออกไป องค์อาลหันกลับมามองลูกเลี้ยงอีกครั้งและเพียงพริบตาก็ตามเด็กทั้งสองไป

                ในห้องนอนจึงเหลือเพียงเด็กที่หลับอยู่อย่างสงบ มีหญิงสาวนางหนึ่งก้าวขาเรียวสวยเข้ามาอย่างช้าๆ หลังจากที่เธอถ่วงเวลาพี่เลี้ยงตัวจริงด้วยยาถ่ายสูตรพิเศษและดูแล้วว่าคงไม่มีใครผ่านมาแถวนี้อีกช่วงระยะหนึ่ง เธอเดินไปยังสิ่งมีชีวิตเดียวในห้องที่เป็นเป้าหมาย มือบางทาเล็บสีดำฉวยเข้าหยิบขวดไปเล็กออกจากปาก ขวดสีดำสนิทที่เธอหลงใหลใบน้อยๆ ที่ทอประกายสีดำเรื่อออกมา

                 "เอาละ เด็กน้อยพี่สาวยากบอกนะว่านี่ไม่ใช่ชีวิตที่น่าสนุกเท่าไหร่ เลยอยากเติมแต่งสีสันให้ซักหน่อย รับรองว่าสวยๆ"เธอฉีกปากยิ้มอย่างโรคจิต ใช้เล็บคมตัดปากขวดแล้วราดไปที่ผิวของเด็กตรงๆ

                 ฟู่ๆ

                เสียงของน้ำประหลาดสีรัตติกาลที่กำลังแทรกเข้าไปในร่างของทารก ไม่มีเสียงของเด็กร้องออกมาซักแอะ เธอจึงย่ามใจแล้วเดินกรีดกรายออกไปเหลือไว้เพียงขวดแก้วใสที่ว่างเปล่าวางไว้และขนนกสีดำ

                "ลาก่อนนะหนูน้อย พี่สาวอยากบอกไว้อีกเรื่องหนึ่งนะ ชาติหน้าถ้าจะเกิดเลือกเกิดให้ดีๆด้วยละ คิกๆ"ร่างสูงสะโอดสะองก็หายไปในพริบตาก่อนที่คนดูแลตัวจริงจะเข้ามาเพียงเสี้ยววิ

               ลูซไม่รู้สึกตัวเลยว่าผิวกายของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำคล้ำ ตามตัวมีรอยเป็นดวงผิวนุ่มนิ่มกลับหนาขึ้นทันใด ลมหายใจเริ่มขาดหายไปเป็นห้วงพี่เลี้ยงดารินเป็นเพียงเด็กสาวผมสีส้มอมแดงเมื่อเปิดประตูเข้ามาเห็นจึงรีบปรี่เข้ามาดูอาการของเด็กหญิงที่ผิดแปลก

               ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทั้งดวงเมื่อรู้ว่างานเข้าไม่ใช่แค่งานมดละ นี่มันงานแมมมอธแน่นอน เด็กทารกตัวเล็กชีพจรแผ่วสลับรุนแรง น่ากลัว เหงื่อแตกพลักออกมาเป็นสีแดงเข้ม ดารินแทบจะเป็นบ้าแต่ก็รีบตั้งสติแล้วหาวิธีแก้ จนนึกถึงที่แห่งหนึ่งได้

                "นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ย แค่ไปปลดทุกข์แปปเดียวคุณหนูถึงกับเป็นขนาดนี้เชียว"เธอรีบตั่งจิตร่ายเวทมนต์ประจำตระกูลของตน พร้อมๆกับรักษาร่างน้อยที่ตัวคล้ำไปหมด

                "ฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อแต่นี้ไปคงมีแต่ความวุ่นวาย นายท่านข้าขอรับตัวคุณหนูไปรักษาที่บ้านใหญ่ก่อนแล้วจะนำมาส่งคืนลาก่อนเจ้าค่ะ"เธอกล่าวเหมือนให้เป็นพิธีแล้วเขียนอักขระสีแดงบนพื้นโดยเลือดของตัวเอง พอรูปนั้นเสร็จสมบูรณ์ก็มีโซ่สีแดงเลื้อยออกมารัดรอบตัวของเธอและเด็กลงไป

                "แล้วพบกันใหม่ในวันที่คุณหนูหายดีเจ้าค่ะ.... "

     

     

             กระท่อมหลังเล็กกลางป่ามืดที่ควรจะอยู่กันอย่างสงบสุข แต่วันนี้กลับมีศิษย์เอกของอาจารย์ปู่หมอเทพเทวา พาเด็กน้อยในห่อผ้าสีแดงเข้ามาแล้วตะโกนลั่นเพื่อเรียกอาจารย์ จากนั้นก็ส่งเด็กให้ตาเฒ่าไปพร้อมบอกส่งๆให้รักษา

               "นี่มันพิษปักษาโลหิต ดารินเจ้าเด็กน้อยนี่ไปทำอะไรมา ใยจึงโดนพิษนี้"ชายชราหนวดสีจางเกือบขาวกล่าวถามลูกศิษย์

               "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันท่านปู่ ท่านช่วยรักษานางหน่อยได้หรือไม่ ข้าเป็นผู้รับผิดชอบนางแต่ข้าเหลวไหลไปเพียงไม่กี่นาที นางก็เป็นอย่างนี้แล้ว"ดารินพูดเสียงสั่นด้วยความกลัว กลัวว่าเด็กน้อยผู้นี่ที่ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงวันจะไปโลกหน้า

               "พิษนี้ไม่มีทางรักษา ใครที่โดนก็ได้เพียงแต่รอความตายก็เท่านั้น ช่างนาสงสารจริงๆเด็กน้อย"หมอเทวดาเฒ่าหลุมตาลงเพื่อปิดบังความเสียใจ

               "งั้นข้าคงไม่อาจกลับไปยังโลกภายนอกได้อีกต่อไป เพื่อเป็นการชดใช้ความผิดที่ข้าก่อไว้ทั้งหมดข้าจะพยายามรักษานางในดีที่สุด"ดารินพูดอย่างมาดมั่นแต่ในใจเริ่มแกว่งๆเพราะจริงๆแล้วถ้าหากออกไปเธอคงไม่รอดเพราะโดนนายท่านตามฆ่าแน่นอน คิดได้ดังนั้นจึงพยักหน้ากับตัวเองเบาๆเพื่อยืนยันความคิดของตัวเอง

               "ช่างน่าเศร้าจริงๆ"อาจารย์คิดสงสารทั้งลูกศิษย์ทั้งเด็กน้อย

               "ไม่เป็นไรหรอกท่านอาจารย์ ตอนนี้เรามาช่วยกันรักษาคุณหนูกันดีกว่า"เธอกุมมืออาจารย์แน่นเพื่อขอความช่วยเหลือที่จะรักษาเด็กน้อย"ท่านช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่"แววตาของเธอลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นแต่ที่ทำไปนั้นกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผ่านไปหลายวันก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนวันที่เจ็ดกลับมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น ร่างกายของคุณหนูตัวเล็กขับพิษนั้นออกมาเองแต่ยังหลงเหลืออยู่เพราะผิวยังคงดำคล้า สีผมของหนูน้อยกลับกลายเป็นสีเขียวเน่าๆแทน

              "ทะ ท่านอาจารย์นี่ท่านทำได้ ท่านทำได้!"เมื่อดารินที่นอนสลบมาได้หลายชั่วโมงหลังจากที่ทดลองยาฟื้นขึ้นเคียงข้างร่างของทารกตัวเล็ก เธอก็อึ้งจนตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นว่าผู้ป่วยกลับมาชีพจรเต้นเป็นปกติและหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอเธอดีใจจนแทบจะกระโดจูบผู้เฒ่าแต่ต้องช็อกรอบสองเพราะ

             "เฮ้ย ข้ายังไม่ได้ทำอะไรกับลูซน้อยตั้งแต่สองวันก่อนแล้วนะ มันเป็นไปได้ยังไง เจ้าดูดีๆหรือยัง"อาจารย์หมอตอบ

             "แอ้ๆ อุแว๊ๆๆ"ไม่ทันที่จะได้เข้าไปดูด้วยตาก็มีเสียงแห่งชีวิตดังก้องออกมา

             "จะ เจ้าได้ยินไหมดาริน นางรอดแล้ว นางยังคงมีชีวิตอยู่"

             "ขะ ข้าได้ยินซิ แต่นางคงจะหิวโซเชียวละ เพราะนางยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งเจ็ดวัน ข้าว่านางคงจะไม่ตายเพราะยาพิษแต่เป็นหิวตายก่อนนะอาจารย์"

             "เร็วซิ เจ้ารีบไปดูแลนางให้สมกับเป็นพี่เลี้ยงหน่อย"           

                

             ฉันรู้สึกว่าตัวเองฝันร้าย แต่จำไม่ได้เพียงแต่รู้สึกว่ามันปวดร้าวไปทั้งร่างกายวนเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อตื่นได้ก็กู่ร้องไห้โฮด้วยความดีใจที่หลุดมาจากฝันเหล่านั้นได้ แต่กลับได้พบกับคนแปลกๆสองคน คนแรกเป็นผู้หญิงเธอชื่อดารินและเป็นพี่เลี้ยงของฉันและอีกคนเป็นชายชราหนวดเครารุงรังมาช่วยกันอุ้มเลี้ยงดูอย่างดี

          ฉันรู้สึกว่าดารินเลี้ยงฉันดีเกินไปเลยด้วยซ้ำเพราะตอนนี้ฉันตัวอ้วนจ่ำม่ำ หน้าชักจะเหมือนหมูขึ้นทุกวันๆ

                  คุณปู่หนวดยาวเขาสอนฉันพูดภาษาแปลกๆ และเอารูปอักษรมาให้ฉันอ่านตอนขวบสองขวบ พอฉันจำได้แต่ไม่ปริปากพูดทำให้เขานึกว่าฉันไม่รู้เรื่องจึงเอาอะไรไม่รู้อิรุงตุงนังมาให้อีกมากมาย ฉันจึงยอมพูดกับเขามากว่าพี่เลี้ยงเสียอีก

                ฉันอาศัยอยู่ในป่าแห่งสีสัน ป่าแห่งนี้จะเปลี่ยนสีไปตามแสงที่กระทบและผลไม้ก็อร่อยมากแต่ฉันเริ่มเบื่อเพราะตั้งแต่เล็กที่ได้แต่คลานฉันก็สำรวจได้แทบจะครบทุกที่ ทุกๆวันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนฉันเบื่อเลยละ เพราะในเขตที่อยู่อาศัยเป็นเพียงพื้นที่เล็กๆกลางป่าบ้านก็เป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กที่ดีกว่าตอนที่ฉันมาอยู่ใหม่ๆมาก

                "ปู่ ฉันเบื่อแล้วอยากออกไป"วันนี้เป็นวันที่สุดจะทนแล้ว ถึงฉันจะชอบที่นี่มากแต่ขอทำอย่างอื่นที่มันไม่ใช่นั่งอ่านๆเขียนๆเรียนๆไม่ได้หรือ ฉันนะโดนจับสอนหนังสือตั้งแต่เล่มแรกตอนนี้ก็อ่านครบแล้วทุกเล่ม ด้วยความขี้เกียจของฉัน ฉันจึงมีความสามารถอ่านเร็วได้เพราะอยากให้มันจบๆไปแล้วฉันได้ได้พักผ่อน

                "ไม่ได้ นี่ดารินเล่าเรื่องเอลฟ์ให้ฟังอีกแล้วใช่ไหมถึงได้อยากออกไป"เขาพูดอย่างรู้ทัน เพราะฉันชอบเรื่องน่าสนุกพอๆกับการนั่งๆนอนๆอย่างสบาย ฉันได้ฟังเรื่องน่าสนุกจากปากของดารินที่เป็นประสบการณ์ท่องโลกของเธอจริงๆ ตอนนี้ฉันวางแผนที่จะออกไปจากที่นี่แล้วเริ่มท่องเที่ยวไปยังทวีปอื่นที่แตกต่างจากที่นี่และไปจบลงที่ดินแดนของเอลฟ์ เพราะที่นั่นเป็นที่ที่สงบที่สุดไร้ซึ่งความวุ่นวายถ้าฉันไปลงที่นั่นเป็นสถานีสุดท้ายชีวิตช่วงหลังก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง ฉันเกลียดการถูกใช้แรงงาน การต่อสู้ การเรียนแสนน่าเบื่อ การถูกบังคับและบังคับอิสระภาพ แต่ชอบทำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้ไม่มีวันเบื่อ

                  "ถ้าเจ้ายังพูดเรื่องนี้อีก ข้าจะเพิ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ลงไปในบทเรียนของเจ้านะแม่ตัวแสบ"ชายชราแสนใจดีสวมบทโหดขู่เด็กหญิง

                  "ไม่เอานะ ท่านจะให้ข้าเรียนอักษรซักสิบเล่มยังดีกว่าการที่ข้าต้องออกกำลังให้เหงื่อซกและหมักหมมหรือเหนื่อยจนหมดแรง"ฉันรีบตอบไปอย่างรวดเร็ว เพราะคุณปู่เคยจับฉันไปวิ่งมาราธอนเพื่อเตรียมร่างกายก่อนที่จะฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ฉันนอนซมไปหลายวันเลยนะ

                "

                 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

             "พ่อขอสัญญาว่าจะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด"เสียงนุ่มทุ้มของชายรุ่นลุงดังขึ้นใกล้ๆตัวฉัน พอลองลืมตาดูก็ต้องรีบขยิบรัวๆ เพราะแสงแยงตา มีใครสักคนกำลังมองดูฉันอย่างอ่อนโยนเขาเป็นชายผมสีเทาดวงตาสีเดียวกับเส้นผม ใบหน้าดุดัน ฉันเห็นเพียงแต่สีจางๆ ของศรีษะที่ประกอบเป็นเค้าโครงและทรงผม ประสาทสัมผัสทั่วร่างกายเริ่มตอบสนองสิ่งที่ผิวหนังรับรู้ได้มีเพียงอากาศที่เย็นสบายอยู่รอบตัว

            พ่อ เขาเรียกตัวเองว่าอย่างนั้น เขาดูดุชะมัดแต่เมื่อฉันได้ฟังดังที่เขาว่ากลับรู้สึกอบอุ่นในใจ ตอนนี้ในหัวของฉันโล่งอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอะไรมันจะพานขาดหายไปเป็นบางอย่าง เหมือนกับตอนที่ไปสอบแล้วลืมเนื้อหาที่อ่านมา

              ฉันหลับตารอฟังว่าเขาจะเอ่ยอะไรขึ้นอีกท่ามกลางที่อันแสนแปลกประหลาดผ่านไปซักพักกลับไม่มีเสียงใดๆขึ้นอีก ความเงียบสงบที่ฉันชอบมาแทนที่   

           ฉันลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับได้กลิ่นอะไรบางอย่างทั้งหอมหวลและทำให้รู้สึกร้อนรุ่ม ร่างกายรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่อาจขยับเปลือกตาได้ราวกับว่ามีอะไรมาดึงไว้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!

          "โอ๊ะ โอ ดูซิหนูน้อยที่ไหนกันหนอ ที่ไม่ร้องซักแอะตั้งแต่เกิด"ใครบางคนเอ่ยขึ้นมา เสียงของเธอราวกับยมทูตที่ก้าวมารับดวงวิญญาณของฉัน และฉันยังรู้ว่ามีอะไรเหลวๆ ถูกเทไหลไปตามตัวและใบหน้าอีกด้วย

            "แต่จากนี้ไปคงจะไม่มีแล้วละ แม้กระทั่งลมหายใจ..."หญิงปริศนากล่าวดังคำทักทายยามเช้า

           แสบ แสบเหลือเกินทั้งร่างกาย แทบจะไม่มีส่วนใดที่รู้สึกราวกับอยู่ในเตาหลอมเหล็ก หลังจากที่โดนของเหลวประหลาด ผู้หญิงคนนี้กำลังทำอะไรกับตัวฉัน!!

             "ลาก่อนนะหนูน้อย พี่สาวอวยพรให้โลกหน้าโชคดีหน่อยละ"ท่ามกลางความทรมานของร่างกายที่เริ่มเพิ่มพูนทวีคูณ มีเสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ฉันจะไม่ได้สติอีกเลย

               นะ นี่ฉันเพิงจะเกิดนะ สาบานได้ว่าเมื่อครู่เพิ่งจะถูกส่งมา แล้วผู้หญิงคนนี้เธอพูดถึงอะไร แช่งฉันเหรอไอ้ที่บอกว่าโลกหน้าเนี่ยมันมีไม่กี่ความหมายหรอกนะ

             แต่ก่อนที่ฉันกำลังจะบ้า ก็มีเด็กหนุ่มทักขึ้นมาเสียก่อน

              'คุณลูซๆ ได้ยินเสียงผมไหมตอบด้วย'เสียงนี้มันเจ้าเด็กหัวทอง! เขาเพิ่งจะอวยพรให้ฉันก่อนที่จะจากมาไม่ใช่เหรอ

              'เอ่อ พอดีว่ามันมีปัญหาอยู่นิดหน่อย คือว่าๆ ผมไม่อาจควบคุมดวงชะตาของคุณได้ทั้งหมดฮะ คุณอาจจะต้องเจอเรื่องนิดหน่อย เอ่อ...ขอโทษครับที่ผมมันไม่ดีเอง'

               เรื่อง? อืมให้ตายซิ นี่ชีวิตฉันยังต้องลำบากอีกหรือ ฮึๆ เจ้าไว้เจ้าลิงหัวทองที่บังอาจส่งฉันมาเจออะไรแปลกๆเพราะความเป๋อของเขาแน่ๆ

                ฉันจะจำไว้ทั้งผู้หญิง? ที่อาจทำให้ฉันลำบากถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่เห็นตัวเป็นๆ แต่ฉันจะจำเสียงของเธอไว้ให้ขึ้นใจ ส่วนเจ้าเด็กนั่น ไว้ค่อยคิดบัญชีทีหลัง

                 หลังจากที่ฉันได้ยินข้อความสุดท้ายของเด็กหนุ่ม ร่างกายของฉันเริ่มรู้สึกสบายตัวจนแทบจะเป็นปกติแต่ฉันยังคงรู้สึกถึงเค้าลางที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่มาอยู่รำไร

                  ตอนนี้ฉันเริ่มหิวขึ้นมาแล้วสิ แต่ดวงตากลับยังคงหนักอึ้งเฉกเดียวกับตอนที่เกิดอาการประหลาด ฉันสามารถขยับร่างกายได้เล็กน้อยและปากก็เตรียมพร้อมขยับ

                "แอ้ๆ อุแว๊ๆๆ "....ฉันเพิ่งจะตะโกนกู่ร้องไปว่าหิว ฉันลืมไปว่าปากน้อยๆ ของทารกนั้นคงยังจะไม่สามารถบังคับได้เต็มที่ คำพูดทั้งหลายจึงไม่สามารถสื่อออกไป

               "ทะ ท่านปู่ ท่านรักษานางได้! ท่านทำได้อย่างไร"เพียงฉันร้องไปไม่นาน ก็มีเสียงตอบรับจากผู้หญิง เสียงของเธอเป็นคนละเสียงกับหญิงปริศนา

                 "ห๊ะ! จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่ได้รักษานางมาสามวันแล้วนะ แต่ตอนนี้ข้าว่านางฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว เจ้าจงรีบเอาน้ำนมไปป้อนนางเถิด นางไม่ได้กินอะไรมาตั้งเจ็ดวันข้ากลัวว่านางจะตายเพราะหิวมากกว่ายาพิษ"มีเสียงของชายอีกคนดังขึ้นตอบ

                 นี่ฉันหลับไปตั้งเจ็ดวันเชียวหรือ!

                 ต้องขอบคุณที่ชายคนนั้นพูดออกมาว่าอาการแปลกๆที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากยาพิษ ฮึๆ ฉันนะเป็นคนประเภทที่โดนมาหนึ่งทีตอบทีหนึ่งร้อย และแค้นนี้มิมีวันจางหาย เธอคนนั้นคอยดูเถอะ ฉันจะต้องเอาคืนให้สาสมกับสิ่งที่เธอทำ

                 "ได้ๆ ท่านอาจารย์ศิษย์หลานฝากดูแลคุณหนูซักครู่ เดี๋ยวข้าจะกลับมา"เธอคงจะเป็นพี่เลี้ยงของฉันละมัง ฉันเดาเอาจากหน้าที่เลี้ยงฉันของเธอ แต่คุณปู่นี่ใคร อาจารย์คือใคร

                 ตึกๆ เสียงเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อาจจะเป็นคุณปู่ที่พี่เลี้ยงคุยด้วยเมื่อครู่อุ้มฉันขึ้น แล้วพูดพึมพำอะไรซักอย่างออกมา แต่เมื่อเขาพูดจบดวงตาของฉันก็สามารถมองสิ่งต่างๆได้หลังจากที่พยายามลืมตาขึ้นหลายรอบ

                เขาคงจะเป็นคุณปู่จริงๆ เขามีหนวดและเส้นผมสีขาวยาวมาก จนแทบจะมองไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงแต่ดวงตาสีแดงเด่นที่สะท้อนแสงอาทิตย์วาววับมองฉันอย่างเอ็นดู

                เดี๋ยวนะ ตาสีแดง! ทำไมเขาถึงมีตาสีแดงได้ละ ที่นี่มีคอนแทคเลนส์ใส่ด้วยเหรอ

               "เจ้าอย่าได้เสียใจเลยทารกน้อย ที่ร่างกายของเจ้าเป็นเยี่ยงนี้ ที่เจ้ารอดมาได้มันก็เป็นปาฎิหารที่แทบจะไม่มี จงมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขเถิด ข้าจะช่วยดารินเลี้ยงเจ้าอีกแรงเจ้าจะได้รับสิ่งตอบแทนในสิ่งที่เจ้าเสียไปอย่างแน่นอน"ชายที่น่าจะสูงอายุ กอดฉันแน่นขึ้น

                สิ่งที่เขาพูดไม่มีผิดจริงๆ จากนั้นเป็นต้นมาเขาเป็นผู้ที่เลี้ยงฉันซะจนเหมือนลูกในไส้และฉันมีพี่เลี้ยงจริงๆอีกคือดาริน เธอเป็นผู้หญิงผมสีส้มเช่นเดียวกับดวงตา บนโลกแห่งนี้มีเรื่องแปลกๆ อยู่มากมายที่ฉันไม่รู้แต่ที่รู้ก็คือสีสันของเส้นผมที่แตกต่างกันไปนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ส่วนสีที่ควรปกติอย่างสีดำกลับกลายเป็นสีผมพิเศษที่หาได้ยากซะงั้น

               และยังมีเวทมนต์อีกด้วย ใครที่สามารถใช้เวทมนต์ได้จะถือว่าเป็นเพชรเม็ดงามล้ำค่าเลยทีเดียวสำหรับบางแห่งเพราะในบางเผ่าพันธุ์อาจจะมีเวทมนต์ในร่างต่ำมากจนไม่สามารถใช้ได้เช่นมนุษย์ ส่วนบางทีถึงมีพลังเวทมากก็ไม่อาจใช้ได้หรือใช้เป็นเพราะไม่รู้ถึงการนำมาใช้ ข้อมูลทางนี้ส่วนใหญ่มักถูกเก็บไว้เป็นความลับแล้วดารินยังเล่าให้ฟังอีกว่า มีเมืองแห่งเวทมนต์เป็นศูนย์รวมของพ่อมด แม่มด จอมเวทที่มีชื่อว่า เมืองแห่งเวทมนต์

                เมื่อฉันเริ่มที่จะพูดได้คล่อง สิ่งที่ปู่ทำกับฉันคือการจับไปนั่งศึกษาอักขระแปลกๆ ทุกครั้งก่อนที่จะเรียนเขาจะสวมกำไลหยกขาวใสให้ฉันเสมอ เมื่อฉันโตขึ้นมาอีกหน่อยเขาก็บังคับให้ฉันอ่านตำรามากมายท่วมหัว ตำราเสริมปัญญาทั้งนั้นเพราะว่าฉันไม่อยากไปฝึกวิทยายุทที่ต้องออกกำลัง ฉันผู้ที่เกลียดการใช้กำลังกายจึงยืนกรานปฏิเศษแลกกับข้อเสนอที่ต้องอ่านหนังสือเลยวัยเด็ก จะกลัวทำไมในเมื่อสมองฉันโตเต็มที่ตั้งแต่แรก

               "ลูซซซซซ มาเล่นกานน๊า"เจ้าเด็กลูกจ๊อกฉันมาแล้ว ตั้งแต่ฉันเกิดมาและได้อยู่ที่แห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางป่าแห่งสีสัน ฉันก็มีเพื่อนเล่นอยู่คนหนึ่งที่อายุใกล้กัน เขาเป็นเด็กผู้ชายที่อ้วนตุ้ยนุ้ยตาตี่ผิวขาวชื่อว่าหานเฟิง จริงๆแล้วในหมู่บ้านก็มีเด็กอยู่อีกหลายคนแต่พวกเขาต่างก็ไม่อยากเล่นกับหานเฟิงเพราะเขาอ้วนจนน่าเกลียด

               และฉันก็เป็นอีกคนที่โดนแยกออกมา เพราะหลังจากที่ฉันโดนยาพิษผิวหนังของฉันทั้งดำกร้าน มีรอยเป็นดวงๆตามตัวอีกด้วย ถึงมันน่าเกลียดมากเท่าใดแต่ยังไงฉันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้จึงทำได้แค่ภูมิใจที่มีชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้วละ  ทุกครั้งที่ออกจากบ้านดารินจะเอาผ้าผืนบางให้ฉันใส่ จึงจะไม่มีใครเห็นว่าฉันอัปลักษณ์เพราะทั้งดารินและปู่เขาแทบจะร้องไห้เป็นสายเลือดเมื่อตอนที่พาฉันไปเข้ากลุ่มกับเด็กๆ ครั้งแรกกลับโดนขับไล่อย่างรังเกียจ

               มันก็ดีแล้วเพราะฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเด็กที่คบคนเพราะหน้าตาซักเท่าไหร่ ฉันเห็นหานเฟิงเขานั่งดูคนอื่นๆเล่นกันอย่างหงอยๆ แล้วรู้สึกหดหู่ไปด้วยเลยพาเขาไปเล่นกันสองคน จนเราสนิทกันมากเขาคิดว่าฉันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแต่ฉันเห็นเขาเป็นลูกน้องที่ดีที่สุดมากกว่าเพราะเขาตามใจฉันมาก ทำตามที่ฉันบอกทุกอย่าง เขาติดฉันมากจนมาหาฉันทุกวันที่บ้านหมอเทวดาของปู่

               "ไม่ วันนี้อากาศร้อน"ฉันตอบเขาไปอย่างเนือยๆ เพราะดารินสอนหนังสือฉันทั้งวัน ทั้งปู่และดารินต่างก็สามารถใช้เวทมนต์ได้อย่างชำนาญและยังเป็นหมอเทวดาที่เก่งกาจอีกด้วย เราจึงมีเงินใช้อยู่ตลอดแทบไม่ต้องอดอยากเพราะค่ารักษาส่วนใหญ่แต่ละครั้งจะได้มามากมาย ผิดกับฉันที่ไม่มีพลังอย่างการรักษาด้วยเวทมนต์แม้แต่น้อยนิด

              "งั้นวันนี้ข้าจะแสดงผลการฝึกเวทมนต์ให้เจ้าดู แลกกับการที่เจ้าต้องฟังเรื่องที่ข้าเล่านะ"หานเฟิงเด็กอ้วนอวบผู้ร่าเริงสดใสวัยเจ็ดขวบ เขายังมีความสามารถทางกายมากกว่าฉันเสียอีกเพราะท่านปู่พอลองสอนตำราเวทย์ให้เขาไปเพียงเล็กน้อยแต่เขากลับสามารถใช้ได้อย่างรวดเร็ว

               "เออๆ เล่าก็เล่า เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถอะ"ฉันตอบเจ้าเด็กอ้วนไป พ่อของหานเฟิงเป็นนักผจญภัยตัวยงเชียวละ ตั้งแต่ที่เขาเล็กแล้วพ่อของเขามักจะอุ้มเขาไปด้วยเสมอไม่ว่าจะไปที่ใดต่างจากฉันที่แทบไม่เคยมีโอกาสได้ออกไปจากเขตบ้าน ฉันจึงชอบเรื่องเล่าของเขามากกว่าการแสดงโชว์ความสามารถแสนน่าอิจฉา

              เจ้าเด็กอ้วนหลับตาลง รอบตัวของเขาเริ่มมีออร่าสีขาวเหมือนไอน้ำ ซักพักไอพวกนั้นก็เริ่มหมุนเวียนเป็นทางมาที่ฉัน

             เย็น! เขาสร้างลมหิมะให้ฉันได้แล้วหรือ นี่ฉันแค่พูดลอยๆเองนะว่าร้อน หานเฟิงหันหน้ามาปาดเหงื่อแล้วส่งยิ้มให้ฉันเหมือนจะขอคำชม

              "ดีมาก วันนี้เจ้าทำให้ข้าเย็นสบาย"เพียงฉันบอกเขาไปสั้นๆ เขาก็ดูมีพลังขึ้นมาราวกับว่าภาพเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา

               "วันนี้ข้าจะเล่าเรื่องอาณาจักรเอลฟ์ให้ฟังละ พ่อพาข้าไปพาข้าไปหาลุงที่อยู่อาศัยที่นั่น เอลฟ์รูปงามทุกตนแถมใจดีมากด้วย พวกเขาฉลาดมากและรักสงบถ้าหากผู้ใดได้เป็นแขกที่ถูกรับเชิญจะสามารถอยู่ที่เมืองได้ทั้งชีวิตอย่างสุขสบายเชียวนา มีผู้คนมากมายจากทวีปของเราพยายามที่จะเข้าไปแต่ก็ไม่อาจเข้าได้เพราะมีป่าเวทมนต์ล้อมรอบอยู่ ข้ามีเพื่อนเยอะแยะเพราะพวกเขาไม่รังเกียจข้า ไว้วันหลังข้าจะพาเจ้าไปด้วยนะลูซ"

                 เขาเล่าอย่างมีความสุข ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นความจริงฉันก็เตรียมตัววางแผนการท่องเที่ยวทัวร์รอบโลกและมีจุดหมายสุดท้ายอยู่ที่แดนแห่งเอลฟ์ ที่นั่นต้องเป็นสถานที่พักร้อนยาวหลังจากที่ฉันท่องเที่ยวและไปหาผู้หญิงคนนั้น สิ่งที่ฉันต้องการคือความสงบในช่วงท้ายมากกว่า ประมาณว่าแฮปปี้เอน

                "เจ้าพูดแล้วห้ามผิดคำพูดนะ เจ้าหมูน้อย"ฉันหยิกแก้มเขาอย่างเมามัน แก้มอูมๆนิ่มๆเหมือนซาลาเปา

                "แต่เจ้าต้องเป่าขลุ่ยให้ข้าฟังทุกวันนะ ข้ารับรองว่าจะพาเจ้าไปเที่ยวทั่วโลกเลยถ้าเจ้ายอมเล่นเครื่องดนตรีให้ข้าฟังทุกวัน"หานเฟิงทำหน้าเพ้อฝัน

                ฉันก็มีความสามารถพิเศษอยู่เหมือนกันนะ สิ่งนั้นคือการวาดภาพ การปั้นเครื่องปั้นการเย็บปักทักร้อยและการเล่นดนตรี ซึ่งเจ้าหมูน้อยหานเฟิงจะชอบให้ข้าเล่นดนตรีให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ

                "ได้สิ ข้าชอบอยู่แล้วไม่ต้องขอหรอก"ฉันบอกเขาไป ฉันนึกถึงคำพูดของเจ้าเด็กหัวทองเขาบอกว่าไม่อาจควบคุมดวงชะตาของฉันได้ทั้งหมด ชีวิตของฉันอาจจะมีความไม่แน่นอนตามมาอีกเป็นพรวน ฉันจึงไม่ยอมออกจากบ้านทั้งๆที่ตัวฉันนั้นออกจะชอบอิสระเสรี

               ในวันนั้นหานเฟิงอยู่กับฉันจนเกือบค่ำ พ่อของเขามาตามเขาจึงยอมกลับ พ่อของเขาช่างเป็นผู้ทำตัวให้เป็นปริศนาอยู่เสมอเช่น ไม่เปิดเผยโฉมหน้าของตนหรือแม้แต่ผิวหนัง ใส่ชุดดำคลุมทั่วร่างแต่แม่ของหานเฟิงนั้นทั้งสวยและน่ารัก

                "เฮ้อ "ฉันถอนหายใจยาวหลังจากที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กเสร็จ พอเดินกลับบ้านไม้หลังเล็กคุ้นตากลับเห็นว่าในนั้นไม่ได้มีแค่ดารินกับปู่แต่มีใครอีกคนนั่งอยู่ด้วย ตอนที่ฉันออกมาไม่ยักจะมีนี่ แล้วสองคนนั้นก็ทำตัวลับๆ ล่อๆ อีกทั้งวัน พวกเขาต้องมีบางอย่างที่ปิดฉันอยู่แน่ๆ

            ฉันแฝงกายพรางตัวให้เข้ากับความมืดและค่อยๆ ขยับไปใกล้หน้าต่างห้องที่พวกเขากำลังคุยกัน

               "นางเป็นเด็กที่มีพลังเวทย์มากมายเสียจนเกินไป กำไลผนึกที่ข้าให้ใสตอนนี้ก็เริ่มมีรอยร้าวขึ้นแล้ว"

                           

                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×