ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าหญิงในดวงใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : เจ้าหญิง...คำชี้แจงเกี่ยวกับการจัดพิมพ์ค่ะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.9K
      3
      22 ก.ย. 48

    สวัสดีค่ะ.... เนื่องจาก เรื่องเจ้าหญิงในดวงใจ กำลังอยู่ในระหว่างการตีพิมพ์นะคะ  



    ฬีฬาจึงขอลบเรื่องนี้ออกไป...



    และ...ถ้าญาติมิตรคนใดสนใจก็อดใจรอนิดนึงนะคะ งานหนังสือคราวนี้เองค่ะ



    แล้วพบกันที่สนพ.ยาหยี-ยาใจ นะคะ





    เจ้าหญิงในดวงใจ ตอน ๑







    ในสตูดิโอถ่ายภาพของนิตยสารฉบับหนึ่ง ผู้คนมากมายต่างเดินขวักไขว่เพื่อเตรียมการถ่ายแบบ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเตรียมไว้พร้อม ฉากที่จะถ่ายเรียบร้อย ไฟพร้อม กล้องพร้อม ขาดแต่เพียง...



    นางแบบ...



    “เอาอีกแล้วแม่นี่... นัดไม่เป็นนัด

    ถือว่าตัวเองเป็นนางแบบดังหรือไง” ช่างแต่ง

    หน้าสาวประเภทสองที่ฝีมือจัดจ้านไม่แพ้ฝีปาก

    บ่นออกมา พร้อมๆ กับเสียงของคนอื่นๆ ที่

    แสดงความเห็นด้วย



    “จริงๆ นะ ถ้าฉันเลือกได้จะไม่ขอ

    ทำงานกับแม่คนนี้เลย ปากยังกะกรรไกร... สวยก็สวยอยู่หรอกแต่นิสัยแบบนี้รับไม่ได้” ฝ่ายเสื้อผ้าเสริมอย่างมีอารมณ์ร่วม



    “ใช่! วันนั้นฉันหวีผมหล่อนแรงไป

    นิดเดียว เจ๊แกด่าฉันซะยกใหญ่ ถ้าไม่เกรงใจ

    เจ้านายนะ...งานนี้มีตบ”



    เสียงพึมพำอย่างเห็นด้วยดังเป็นระยะ



    หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งก็นั่งรอนางแบบที่ถูกกล่าว

    ถึงอยู่นี้เหมือนกัน ร่างโปร่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มุม

    ห้อง มือทั้งสองกอดอก ตัวยืดตรง สีหน้าเรียบ

    เฉยไม่บ่งอารมณ์ นัยน์ตากลมโตที่ซ่อนอยู่

    ภายใต้กรอบแว่นอันใหญ่กวาดไปรอบๆ

    ห้อง ...



    ริมฝีปากบางบอกความเจ้าอารมณ์เม้มขึ้นช้าๆ

    ก่อนที่หล่อนจะเอ่ยปากขึ้นประตูของสตูดิโอก็ถูกเปิดออก เรือนร่างอันงดงามของหญิงสาวคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา เสียงคุยกันในห้องเงียบลงทันที...



    เจนนิภา วัฒนาสรรค์ หรือที่เรียกกันในวงการ

    ว่า เจนนี่ เดินตรงไปที่กลุ่มของช่างแต่งหน้าทำ

    ผม แล้วนั่งลงที่เก้าอี้หน้ากระจกบานใหญ่



    “อ้าว...เร็วๆ สิ ฉันมีนัดต่อนะยะ”



    ช่างผมกับช่างแต่หน้าสบตากัน เบ้ปากเล็กน้อย

    แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองโดยระงับ

    คำพูดร้อนแรงเอาไว้



    ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้เจนนิภาหรือเจนนี่กำลังเป็น

    นางแบบที่ดังที่สุดในตอนนี้ ไม่ว่านิตยสารใดๆ

    หล่อนก็ขึ้นปกมาแล้วทั้งสิ้น



    แต่งหน้าทำผมเสร็จนางแบบสาวก็เปลี่ยนเป็น

    ชุดสำหรับถ่ายแบบ แล้วเดินไปที่ฉากที่เตรียม

    ไว้ ทุกคนพร้อมสำหรับการถ่ายภาพ...ขาด

    เพียงช่างภาพ



    นางแบบสาวขมวดคิ้ว... ไม่พอใจ



    “นี่ๆ ตากล้องไปไหน ไม่เห็นรึไงว่าฉันพร้อมแล้ว”



    ทีมงานหลายคนมองหน้ากันเลิกลักแล้วหันไป

    ยังมุมห้อง



    นางแบบสาวมองตาม



    หญิงสาวที่นั่งอยู่มุมห้องลุกขึ้นช้าๆ ก้าวตรงมา

    ที่กล้องที่ตั้งไว้พร้อมแล้วสำรวจความเรียบร้อย

    สักครู่ก็เงยหน้ามองนางแบบสาวที่ตีหน้าบึ้ง

    อย่างไม่พอใจ



    “พร้อมแล้วไม่ใช่รึคุณ... เริ่มเลยสิ”



    “เธอเนี่ยนะ...ตากล้องที่จะมาถ่ายรูปฉัน” นาง

    แบบสาวเหยียดปาก มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างดูถูก ทำให้คนอื่นมองหล่อนอย่างตกใจเพราะรู้กิติศัพท์ไม่ยอมใครของช่างภาพสาวดี



    ช่างภาพสาวก้มลงมองตัวเอง ความสูง ๑๖๕ เซนติเมตรที่หล่อนภูมิใจ รูปร่างเพรียวบางซ่อนอยู่ในกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวเก่งที่พับแขนขึ้นมาถึงศอก ผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำตัดตรงสั้นแค่ต้นคอ ด้านหน้าแสกกลางง่ายๆ แบบที่คนสนิทๆ กันชอบเรียกว่าทรงผมนักเรียนประถม ดวงหน้าเกลี้ยงเกลามีแว่นตาอันโตปิดอยู่เกือบครึ่ง



    ริมฝีปากบางเม้มขึ้น



    “ทำไมหรือคุณ...”



    เจนนิภายักไหล่ ไม่สนใจเสียงเย็นจัดของช่าง

    ภาพสาว



    “ก็ไม่ทำไมหรอก แต่ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มี

    ปัญญาหาตากล้องแล้วหรือไง ถึงได้เอาเด็ก

    กะโปโลมาถ่ายรูปฉัน”



    ช่างภาพสาวหน้าแดงก่ำ...



    “แล้วคุณจะถ่ายไหมล่ะ ถ้าไม่...ก็ออกไปได้เลย” เสียงย้อนเรียบๆ ของช่างภาพสาวส่งผล

    ให้คนในสตูดิโออ้าปากค้างรวมไปถึงตัวนาง

    แบบเองด้วย



    “นี่แก...” เจนนิภากรี๊ดออกมา



    หัวหน้าแผนกแฟชั่นที่มาดูแลการถ่ายภาพด้วย

    ตัวเองรีบปราดเข้ามารั้งนางแบบสาวไว้



    “คุณเจนนี่ใจเย็นๆ นะคะ ศีตกาลเขาพูดเล่นน่ะ

    ค่ะ คุณเจนนี่อย่าโกรธเลยนะคะ”



    “มันว่าฉัน...” นางแบบสาวฮึดฮัด แต่รู้สึกว่าชื่อ

    ศีตกาลหล่อนจะคุ้นๆหู อยู่เหมือนกัน



    “โธ่! คุณเจนนี่อย่าโกรธเลยนะคะ”



    “ถ้าจะให้ฉันถ่ายล่ะก็ต้องเปลี่ยนตากล้อง”



    “ศีตกาลเป็นช่างภาพที่ดีที่สุดของเราแล้วนะ

    คะ รับรองว่ารูปของคุณเจนนี่ต้องออกมาสวย

    ทุกรูปเลยค่ะ”



    นางแบบสาวยังหน้าบึ้ง... ไม่ยินยอม ถึงพอจะ

    นึกออกว่าชื่อศีตกาลนี่หล่อนเคยได้ยินเพื่อน

    นางแบบพูดถึงว่าเป็นช่างภาพฝีมือดีคนหนึ่ง



    แต่เรื่องอะไรหล่อนต้องไปยอมด้วย... หล่อน

    คือ เจนนิภา นางแบบที่ใครๆ ก็ต้องการ



    “นี่คุณนางแบบ...รู้จักมีสปิริตหน่อยสิ”



    ศีตกาลแทรกขึ้นมา



    เจนนิภาเบือนหน้าไปทางช่างภาพสาว นัยน์ตา

    ฉายแววเกรี้ยวกราด



    “นี่แกหาว่าฉันไม่มีสปิริต”



    “ถ้ามีก็เริ่มงานได้แล้ว เราเสียเวลามามากแล้ว”



    ช่างภาพสาวไม่สนใจหน้าเชิดของนางแบบสาว

    ต่อ หล่อนหันไปดูกล้องในมือ ถอดแว่นอันโต

    ออกเผยให้เห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนใส

    แจ๋ว



    เจนนิภาสะบัดหน้าเดินเข้าฉาก



    แล้วการถ่ายภาพก็เริ่มขึ้นแม้บรรยากาศจะไม่

    ค่อยดีเท่าไร แต่ก็สำเร็จลงด้วยดีท่ามกลาง

    ความโล่งใจของทุกฝ่าย



    เมื่อถ่ายภาพเสร็จนางแบบสาวก็สะบัดหน้าออก

    ไปจากสตูดิโอโดยไม่พูดกับใคร



    นนทิยา พรประจักษ์ หัวหน้าแผนกแฟชั่นของ

    นิตยสารพวงผกา อันเป็นนิตยสารที่เจาะกลุ่ม

    สตรีโดยเฉพาะถอนใจอย่างโล่งอก หล่อนหัน

    มาทางช่างภาพสาวที่กำลังเก็บของอยู่ แว่นตา

    อันโตปรากฏอยู่บนดวงหน้าอีกครั้ง ทำให้หล่อนนึกแปลกใจอยู่เสมอว่าไอ้แว่นอันนี้เวลา

    ถ่ายภาพทำไมศีตกาลไม่ใช้... กลับใส่แต่เวลาปกติ



    “มีอะไรหรือคะพี่นนท์” ศีตกาลเงยหน้าขึ้นเมื่อเก็บของเสร็จก็หันมาเห็นนนทิยายืนมองอยู่

    ก่อน



    “ยายกาลเอ๊ย! ทำให้พี่หัวใจเกือบวาย...ไปว่าเจนนี่เค้าอย่างนั้น”



    ศีตกาลย่นจมูก ก่อนจะยิ้มออกมา



    “อยากมาดูถูกเราก่อนทำไมล่ะ...นี่ถ้าชาส์ลไม่

    ขอไว้ว่าต้องเอายายเจนนี่ขึ้นปกให้ทันฉบับนี้

    นะ หนูกลับไปตั้งแต่ที่เจ๊แกมาสาย ๓๐ นาที

    แรกแล้ว คนอะไรไม่รู้จักตรงต่อเวลาเสียบ้าง

    เลย...อย่างนี้น่ะคงจะดังได้นานหรอก”



    นนทิยาส่ายหน้าน้อยๆ หล่อนรู้จักกับศีตกาล

    ตั้งแต่ศีตกาลยังเป็นนักศึกษา ชาส์ลหรือชาญ

    ชนนท์ เจ้าของและบรรณาธิการของนิตยสาร

    พวงผกาพาศีตกาลมาฝึกงานที่นี่ จนกระทั่ง

    เดี๋ยวนี้ศีตกาลเรียนจบก็เป็นช่างภาพประจำอยู่

    พวงผกามาโดยตลอด



    ฝีมือถ่ายภาพของศีตกาลเป็นที่ยอมรับในวง

    การ หล่อนมีพรสวรรค์บวกกับพรแสวงในการ

    หาความรู้เกี่ยวกับการถ่ายภาพนอกจากตำรา

    เรียนที่มี นางแบบนายแบบที่หล่อนรู้จักต่างต้องการให้ศีตกาลเป็นช่างภาพให้ เพราะผล

    งานของหล่อนที่ออกมาแล้วแต่ดีเยี่ยม



    แต่ศีตกาลก็มีนิสัยบางอย่างที่มัก

    จะทำให้ขัดแย้งกับนายแบบนางแบบบางคนที่

    ค่อนเอาแต่ใจตนเอง คือการที่ชอบพูดอะไร

    ตรงๆ จนเกือบจะเป็นขวานผ่าซากและการไม่

    ค่อยยอมคนซึ่งหวิดจะมีเรื่องมีราวกับนางแบบ

    นายแบบมาแล้ว



    “จะไปไหนต่อหรือเปล่าจ๊ะ...”

    นนทิยาเปลี่ยนเรื่อง



    “จะไปหาอะไรทานน่ะค่ะ... ไปด้วยกันไหมคะ”



    “คงไม่ล่ะจ้ะ...เดี๋ยวพี่ต้องเข้าออฟฟิศอีก”



    “ถ้าอย่างนั้นหนูไปก่อนนะคะ”



    “จ้า... ขับรถดีๆ ล่ะ” หล่อนเตือนไล่หลังไป

    เพราะทราบดีว่าศีตกาลชอบขับรถเร็วขนาด

    ไหน



    ศีตกาลเดินออกมาที่ลานจอดรถนอกสตูดิโอ มาหยุดที่รถพอร์ชขนาดกะทัดรัดสีม่วงสดใส

    คันหนึ่งแล้วไขกุญแจ ก้าวขึ้นไปนั่ง



    รถสปอร์ตคันเล็กแต่กำลังแรงแล่นออกไปจาก

    ลานจอดรถอย่างรวดเร็ว



    หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ...เลยเที่ยง

    ไปเล็กน้อย บรรดาร้านอาหารคงจะแน่นหมด

    แล้ว



    กลับบ้านเลยดีกว่า...



    รถพอร์ชสีม่วงสดเลี้ยวผ่านประตูใหญ่เข้ามาใน

    บริเวณบ้านวรรณวิจักษ์ ศีตกาลจอดรถที่หน้าตึกสีเหลืองอ่อนซึ่งคุณปู่ของหล่อนสร้างไว้เป็น

    เรือนหอของท่านกับคุณย่า แต่ขณะนี้ท่านทั้ง

    สองได้ย้ายออกไปอยู่บ้านไร่วรรณาที่ต่าง

    จังหวัดเพราะเบื่อความวุ่นวายของกรุงเทพ บ้าน

    หลังนี้จึงกลายเป็นที่สิงสถิตของบรรดาลูก

    หลานของท่านที่ยังไม่ได้แต่งงาน รวมทั้ง

    ศีตกาลเองก็อยู่ที่บ้านหลังนี้มาเกือบเท่าอายุ

    ของตัวเอง เพราะบิดาของหล่อนรับราชการใน

    กระทรวงต่างประเทศทำให้ต้องย้ายที่อยู่

    บ่อยๆ หล่อนจึงอยู่ที่นี่มาตลอด



    นายคำคนขับรถ...คนสวน...ยาม หรืออะไรก็

    แล้วแต่ที่แกอยากจะเป็นในบ้านวรรณวิจักษ์ วิ่ง

    ตามมาเปิดประตูรถให้หญิงสาวโดยไม่ได้อยู่

    ปิดประตูใหญ่เพราะแกกดปุ่มเปิดปิดประตูแบบ

    อัตโนมัติ



    ศีตกาลยิ้มหวานขอบคุณคนเก่าคนแก่ของ

    บ้าน เหลือบตามองเข้าไปในตัวตึก...



    “ไม่มีใครอยู่หรือจ๊ะลุงคำ”



    “มีคุณปรัชญ์ครับ...หลับอยู่ข้างบน”



    หญิงสาวพยักหน้า ยิ้มให้แกแล้วเดินเข้าตึกไป



    บ้านวรรณวิจักษ์มีอายุหลายสิบปีแล้วแต่ยังมั่นคงแข็งแรง เป็นตึกทรงยุโรปขนาดใหญ่ตามความนิยมในยุคก่อน ทำให้กว้างมากพอที่จะให้ลูกหลานของคุณปู่ที่ยังโสดจำนวนกว่า ๑๐ คนอยู่รวมกันได้อย่างสบายๆ



    กลางวันอย่างนี้บ้านค่อนข้างเงียบ เพราะต่าง

    คนก็ต่างออกไปทำงานหรือเรียนกันหมด

    ศีตกาลตรงไปยังครัวเพราะท้องเริ่มอุธทรณ์ซึ่ง

    ก็ไม่ได้รับความผิดหวังแต่อย่างใด

    นางชื่นแม่ครัวเอกของบ้านวรรณวิจักษ์กับลูก

    มือกำลังอยู่ในครัวพอดี



    “ป้าชื่นจ๋า... มีอะไรให้กินบ้างไหมจ๊ะ”



    นางชื่นยิ้มกว้างเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาใน

    ครัว



    “อุ๊ย! คุณหนู กลับมาแล้วหรือคะ น่าจะบอกป้า

    หน่อยว่าจะกลับมารับประทานที่นี่ ป้าจะได้

    เตรียมอะไรอร่อยๆ ไว้ให้”



    หญิงสาวแสร้งทำหน้าเศร้า



    “ไม่มีอะไรให้หนูเลยเหรอ ขอแค่ข้าวคลุกน้ำ

    ปลาก็ได้”



    “คุณหนูก็... เชิญที่ห้องอาหารเลยค่ะ เดี๋ยวป้า

    ตั้งโต๊ะให้”



    “ไม่ต้องหรอกจ้ะ หนูกินที่นี่แหละจะได้มี

    เพื่อน” หล่อนไปนั่งที่โต๊ะใหญ่กลางครัว



    “แต่ว่า...”



    “ไอ้ห้องนั้นนั่งหลายคนมันก็สนุกดีอยู่หรอก

    แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ซักคน หนูกินที่นี่แหละจะ

    ได้มีเพื่อน”



    “ก็ได้ค่ะ รอแป๊บเดียวนะคะ”



    ศีตกาลรอแป๊บเดียวจริงๆ บนโต๊ะก็มีอาหาร

    พร้อม ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย



    กำลังจะลงมือก็มีเสียงห้าวๆ ขัดขึ้น



    “จะกินข้าวไม่เห็นเรียกกันเลย”



    คนที่โผล่เข้ามาในครัวเป็นชายหนุ่มร่างสูง

    เพรียว ผมสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับหล่อน เค้า

    หน้าก็มีส่วนคล้ายหล่อนเช่นกันหากแต่เครื่อง

    หน้าคมเข้มแบบผู้ชายมากกว่า



    ชายหนุ่มเสยผมที่ตกลงมาปรกตรงหน้าขึ้นจึง

    เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคมกริบหากฉายแวว

    อ่อนโยนเมื่อมองหญิงสาวตรงหน้า พูดตรงๆ

    ผู้ชายคนนี้นับว่าหล่อมากทีเดียว



    ศีตกาลอมยิ้มกับท่าเดินตรงเข้ามาอย่างสง่า

    งามที่ไม่เข้ากับกางเกงยีนและเสื้อยับๆ ที่สวม

    อยู่นั่นเลย และก็เปิดยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเขาดึงตัว

    หล่อนจากเก้าอี้แล้วสวมกอดก่อนจะดันตัว

    หญิงสาวออกนิดหน่อยเพื่อมองดวงหน้าหวาน

    ให้ชัดๆ ท่าทางไม่สนใจสาวใช้และแม่ครัวที่ยืน

    มองยิ้มๆ



    “คิดถึงจังเลยเจ้าหญิง ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน”

    ปรัชญ์บอกด้วยเสียงทุ้มนุ่มแล้วหอมแก้มนวล

    หนักๆ



    “เจ้าหญิงก็คิดถึงปรัชญ์ค่ะ... เมื่อกี้ลุงคำบอก

    ว่าปรัชญ์หลับเจ้าหญิงก็เลยไม่อยากเข้าไป

    กวน”



    “พี่ตื่นได้สักพักแล้วจ้ะ”



    เขาจูบเรือนผมหล่อนเบาๆ แล้วกดร่างหล่อนให้

    นั่งลง ส่วนตัวเองก็ทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ตัวถัดไป

    เขาหันไปทางแม่ครัวร่างท้วม



    “ป้าชื่น... ขอจานสักใบเถอะ”



    ร่างสมบูรณ์ของแม่ครัวรีบกระวีกระวาดหาจาน

    ให้ชายหนุ่ม



    “ขอบคุณครับ”



    ศีตกาลมองชายหนุ่มยิ้มๆ ปรัชญ์

    วรรณวิจักษ์ เป็นพี่ชายคนที่ ๕ ของหล่อน เขา

    อายุมากกว่าหล่อนเกือบห้าปี ปรัชญ์เป็น

    สถาปนิกฝีมือดี ช่วงนี้เขาต้องออกต่างจังหวัด

    บ่อยๆ เพราะต้องไปดูแลโครงการที่ต่างจังหวัด



    อันที่จริงหล่อนมีพี่ชายร่วมสายโลหิตทั้งหมด

    ๕ คน



    ศาสตร์ เป็นพี่ชายคนโตตอนนี้อายุ ๓๕ ปี เป็น

    หนึ่งในผู้บริหารของกลุ่มบริษัทวรรณวิจักษ์ คน

    รองชื่อธีร์ เป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาล

    แห่งหนึ่ง อายุ ๓๓ ปี คนที่สามอายุ ๓๐ ปี ชื่อ

    เธียร เป็นทนายความฝีมือดี ส่วนคนที่สี่เป็นฝา

    แฝดของปรัชญ์ชื่อ ปราชญ์ เขาทำงานอยู่ใน

    กลุ่มบริษัทวรรณวิจักษ์เช่นเดียวกับศาสตร์



    พี่ชายของหล่อนทั้งหมดยังยึดชีวิตโสดกัน

    อย่างเหนียวแน่น ไม่มีใครคิดจะสละโสดกันสัก

    คนทั้งๆ ที่ต่างก็พร้อมทั้งการศึกษา ฐานะ

    หน้าที่การงาน และไม่ใช่ว่าพี่ชายทั้งห้าของ

    เธอหน้าตาไม่ได้เรื่อง ตรงกันข้ามพวกเขารูป

    หล่อกันอย่างไม่น่าให้อภัยเชียวล่ะ เรื่องนี้

    การะเกดเพื่อนสนิทของเธอเป็นคนรับรอง

    เพราะมีโรคประจำตัวอย่างหนึ่งที่ไม่ยอมรักษาคือโรคแพ้ความหล่อ



    แต่ไม่ใช่พวกเขาไม่สนใจผู้หญิงนะ... ตรงกัน

    ข้ามเชียว



    หล่อนเป็นน้องคนสุดท้อง จะเรียกว่าเป็นลูก

    หลงก็ได้เพราะบิดามารดาของหล่อนก็มิได้นึก

    ว่าจะมีบุตรอีกหลังจากที่มีบุตรชายมาแล้วถึง

    ๕ คน และเป็นเรื่องแปลกที่คุณปู่ของหล่อนซึ่ง

    อยากได้หลานสาวมากๆ แต่ลูกๆ ของท่านไม่มี

    ใครที่มีลูกสาวสักคน ดังนั้นเมื่อหล่อนเกิดมาจึง

    เป็นสุดรักสุดสวาทของคนทั้งบ้านโดยเฉพาะ

    คุณปู่



    “ทำไมกลับเร็วจังคะวันนี้” ปรัชญ์ถามน้องสาวอย่างอ่อนโยน เขารักน้องสาวคนเดียวของเขามาก เช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสี่และลูกพี่ลูกน้องของเขาซึ่งเป็นผู้ชายล้วนอีกกว่าสิบคน

    ศีตกาลยิ้มหวาน



    “งานเสร็จเร็วน่ะค่ะ ไม่มีอะไรจะทำก็เลยกลับ

    บ้านดีกว่า แล้วปรัชญ์ล่ะคะ...งานที่โน่นเป็นยัง

    ไงบ้าง” หล่อนเรียกเขาด้วยชื่อเฉยๆ ตามความ

    เคยชิน



    “เรียนร้อยดีค่ะ งานก้าวหน้าไปมากแล้ว”

    สองพี่น้องคุยกันกระหนุงกระหนิงท่ามกลาง

    สายตาชื่นชมปนเอ็นดูรักใคร่ของนางชื่นที่แอบ

    มองอยู่ หลังจากรับประทานอาหารเสร็จปรัชญ์

    ก็ชวนน้องสาวไปคุยต่อที่ห้องนั่งเล่น



    ห้องนั่งเล่นที่สองพี่น้องควงแขนกันมาเป็นห้อง

    ขนาดใหญ่เพราะเป็นที่ชุมนุมของคนทั้งบ้าน

    เรียกกันว่าห้องใบไผ่เพราะผนังห้องที่กรุด้วย

    กระดาษปิดผนังรูปใบไผ่ เครื่องเรือนและของตกแต่งก็เน้นไปทางสีเขียว



    ปรัชญ์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวมองน้องสาวที่เดิน

    ไปยังหน้าต่างแบบฝรั่งเศสบานยาวจากเพดาน

    จรดพื้นที่สามารถเปิดออกไปยังสวนด้านนอก

    ได้ ลมอ่อนๆ พัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้เข้า

    มาในห้อง ผ้าม่านที่เป็นผ้าบางเบาสีเขียวอ่อน

    พลิ้วเบาๆ ตามแรงลม



    “เป็นอะไรไปจ๊ะเจ้าหญิง” เขาถามเมื่อเห็นรอย

    เคร่งเครียดเล็กน้อยบนดวงหน้านวล



    ทั้งพี่ๆ ของเขาและลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ต่างก็

    เรียกศีตกาลว่าเจ้าหญิง เพราะทุกคนเห็นพ้อง

    ต้องกันตั้งแต่ศีตกาลลืมตาดูโลกแล้วว่า หล่อน

    เกิดมาเพื่อเป็นของพวกเขา เป็นเจ้าหญิงของ

    พวกเขา



    ศีตกาลหันมาทางพี่ชาย เอนตัวนิดๆ พิงกรอบ

    หน้าต่างบานสูง ท่อนแขนเรียวกอดอก



    “วันนี้เจ้าหญิงมีเรื่องกับนางแบบคนหนึ่งมาค่ะ”



    ปรัชญ์ซ่อนยิ้มไว้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่น้อง

    สาวของเขาเป็นช่างภาพฝีมือดี เอาใจใส่กับ

    งานที่ทำ แต่ศีตกาลเป็นคนพูดอะไรตรงๆ แทบ

    จะขวานผ่าซาก เรียกว่าคิดอย่างไรก็พูดออก

    มาอย่างนั้นและไม่ค่อยใจเย็นได้นานนัก



    “เรื่องอะไรจ๊ะ...”



    “ปรัชญ์รู้จักนางแบบที่ชื่อเจนนี่ไหมคะ”



    ชายหนุ่มพยักหน้า ใครๆ ก็รู้จักนางแบบยอด

    ฮิตในรอบปีนี้ เจนนี่หรือเจนนิภานั้นเขาเคยเห็น

    ตัวจริงหล่อนเพียง ๒-๓ ครั้ง ยอมรับว่าเจนนิภา

    เป็นคนสวยมาก...เสน่ห์ร้อนแรงทีเดียว



    เขามองหน้าน้องสาวเป็นเชิงถาม



    “นางแบบคนนั้นมาสาย”



    ปรัชญ์ถึงบางอ้อ



    เขารู้จักนิสัยน้องสาวดีว่าไม่ชอบคนผิดเวลา

    เขารู้มาว่าบางครั้งเวลาทำงานถ้ามีนายแบบนางแบบคนไหนมาสายมากๆ โดยไม่มีเหตุผล

    ศีตกาลจะไม่รอและเรียกคนอื่นมาแทน



    “ถ้ามาสายสักนิดสักหน่อยเจ้าหญิงไม่ว่า...รอ

    ได้ เพราะรู้นิสัยพวกนายแบบนางแบบดี แต่ว่า

    หล่อนเล่นสายไปเกือบสองชั่วโมง ไม่มีคำขอ

    โทษสักคำ...แล้วยังมาดูถูกว่าเจ้าหญิงเป็นเด็ก

    กะโปโล ไม่มีปัญญาถ่ายรูปหล่อน” น้ำเสียง

    ท้ายๆ แฝงรอยอาฆาต



    “เพราะถูกชาส์ลขอร้องเอาไว้ว่าต้องเอายาย

    นั่นลงปกให้ทันฉบับนี้ ไม่งั้นล่ะก็...เจ้าหญิง

    กลับไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแล้ว ฮึ! คงรู้นิสัย

    หล่อนล่ะสิถึงได้ย้ำเจ้าหญิงหนักหนาให้ใจ

    เย็นๆ”



    ปรัชญ์กลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ เขาชักหวั่นๆ

    แทนนางแบบสาวคนนั้นแล้วสิ เพราะลงน้ำ

    เสียงอย่างนี้แล้วน้องสาวของเขาต้องหาทางทำ

    อะไรสักอย่างแน่ ศีตกาลก็เป็นอย่างนี้แหละคง

    ต้องหาทางทำอะไรแก้แค้นกลับ แต่จะมาก

    น้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ได้



    “พี่เล่นเปียโนให้ฟังเอาไหม” ปรัชญ์เปลี่ยน

    เรื่อง



    ศีตกาลยักไหล่ ยอมตามใจพี่ชายโดยดีเพราะ

    หล่อนเองก็ไม่อยากเอาเรื่องนี้มาเป็นอารมณ์

    นัก



    ปรัชญ์เดินมายังเปียโนที่มุมห้อง



    “ขอเพลงของโมสาร์ทนะคะ”



    ชายหนุ่มแยกเขี้ยวให้ดวงหน้ายิ้มๆ ของผู้เป็น

    น้องสาว



    “อย่าโหดขนาดนั้นสิ...เจ้าหญิงของพี่”



    เขาเริ่มบรรเลงเพลงสากลที่กำลังได้รับความ

    นิยมอยู่ในขณะนี้และร้องคลอไปด้วยเบาๆ



    ศีตกาลยิ้มบางๆ ทอดสายตาออกไปยังสวน

    สวยด้านนอก นัยน์ตากลมโตที่ซ่อนอยู่ในแว่น

    เปล่งประกายวิบวับ







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×