ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : พระราชวังสนามจันทร์ ตอน๒
พระราชวังสนามจันทร์ ตอน๒
\"เหม่ออะไรอีกวะไอ้กานท์...วันนี้ข้าเห็นเอ็งเหม่อมาหลายครั้งแล้วนะโว๊ย\"
กานท์กระพริบตา เขาเหลียวไปรอบๆ เมื่อกี้เขารู้สึกอะไรบางอย่าง...เหมือนความคุ้นเคย กับสถานที่แห่งนี้ เขาหันไปสบตาสีเข้มที่มีแววฉงนของธีธัช
\"โทษทีว่ะ...\"
\"เอ็งนี่แปลกๆ\" ธีธัชบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เขาหันกลับไปดูหมู่พระตำหนักแบบฝรั่งที่คงเป็นที่นิยมไม่น้อยในยุคก่อน อาคารสองชั้นที่ตอนนี้ถูกนั่งร้านบดบังความงดงามของตัวอาคาร คนงานเดินกันขวักไขว่ เพื่อเร่งปรับปรุง พลิกฟื้นชีวิตให้แก่อาคารเหล่านี้
\"อืม...สงสัยต้องมาใหม่อีกที ตอนนี้กำลังปรับปรุง\" กานท์เอ่ยออกมาอย่างหมายมาด ทำให้เพื่อนที่ถูกลากมาด้วยโคลงศีรษะ
\"งั้นคราวหน้าเอ็งมากับไอ้ปราชญ์ไอ้ปรัชญ์มันแล้วกันนะ\"
\"เออน่า...เอ็งอย่ามาทำเป็นพูดดีไป หนอย...ชวนไปไหนทีไรเอ็งก็ไปทุกที\"
ธีธัชไหวไหล่
\"ข้าไม่มีเวรพอดีหรอกน่า...\"
กานท์อมยิ้ม วันนี้เขาชวนเพื่อนสนิททั้งสามมาเที่ยวที่นี่แต่ปราชญ์และปรัชญ์ติดธุระกันทั้งคู่ มีเพียงธีธัชซึ่งวันนี้ไม่ได้เข้าเวรมากับเขา แล้วก็มาทำเป็นบ่นนั่นบ่นนี่แต่เขาก็เห็นสายตาของธีธัชที่ชื่นชมพระราชวังแห่งนี้
ธีธัชรู้สึกอยากใช้หมัดลบรอยยิ้มบนหน้าหล่อๆ ของเพื่อนสนิทสักที
\"เออ... ว่าแต่ตรงนี้เขาเรียกตึกอะไร\" เขาแกล้งถามเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งก็ได้ผลเพราะกานท์หันมาทำตัวเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่
\"อาคารพวกนี้เป็นหมู่พระที่นั่งที่สร้างเชื่อมกันทั้งหมดสี่องค์ มีทั้งแบบตะวันตกและแบบไทยแท้\" เขาชี้ไปยังหมู่อาคาร
\"รัชกาลที่หกทรงตั้งชื่อไว้เพราะมาก ก็มี พระที่นั่งพิมานปฐม อภิรมย์ฤดี วัชรีรมยา สามัคคีมุขมาตย์\"
\"อืม...คล้องจองกันดี\"
\"ความจริงมีพระตำหนักอีกสองหลังอยู่ทางโน้น ชื่อก็คล้องกันอีกแหละ\"
ธีธัชเหลียวมองตาม พระตำหนักที่อยู่ห่างไปอีกสองหลัง
\"พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์และพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์\"
ธีธัชขมวดคิ้วเขาเหลือบมองใบหน้าคมคายของกานท์ เขารู้สึกว่าเสียงเขากานท์ที่เอ่ยเมื่อครู่มีทั้งความชื่นชม ความรัก ความอาวรณ์ และอะไรอีกหลายอย่าง
กานท์ถอนใจอย่างไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในสถานที่อันเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์เมื่อเกือบร้อยปีก่อนเขาจะมีความรู้สึก... อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
ร่างสูงใหญ่ทั้งสองเดินออกจากบริเวณหน้าหมู่พระตำหนักทั้งสี่ไปตามถนนภายในเขตพระราชวัง มองเห็นศาลาเล็กๆ ที่อยู่ริมบึงน้ำขนาดย่อมที่ต่อเชื่อมกับคลองเล็กๆ มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นศาลาโปร่งประดับด้วยไม้ฉลุ
หลังจากสักการะพระพิฆเนศแล้วสองสาวก็นำสี่หนุ่มไปยังหมู่พระตำหนักสี่หลังที่กำลังได้รับการปรับปรุงอยู่
\"พระที่นั่งพิมานปฐม เป็นพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้น...เห็นไหมเป็นศิลปะแบบตะวันตกที่ประยุกต์ให้เข้ากับบ้านเราที่สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครทำกัน\"
\"ยังไงฮะพี่ลี\" อิฐถาม เขาเดินขึ้นมาคู่กับหญิงสาวรุ่นพี่
\"ก็...บ้านเรามันเมืองร้อนไง รัชกาลที่หกท่านไม่ค่อยโปรดพัดลม ท่านก็เลยให้ออกแบบให้สร้างแบบเน้นโปร่งๆ มีช่องระบายลมเยอะๆ แล้วก็ประดับด้วยไม้ฉลุ...โอ๊ย...ยิ่งดูยิ่งสวย\"
\"อืม...ก็จริงฮะ สมัยนี้บ้านมีแต่กล่อง ไม่ค่อยจะมีหน้าต่างกันเลย\" อิฐพยักหน้าหงึกหงัก
\"เออ...เอาไว้เค้าปรับปรุงเสร็จแล้วเรามากันอีกดีไหมศะมะ\" ลีลาหันไปทางเพื่อนสาวที่เดินเยื้องไปเบื้องหลัง หล่อนเลิกคิ้วกับท่าทางเหม่อของเพื่อนสาว
\"แกว่าไงนะ...\"
\"ฉันว่าเรามากันใหม่อีกดีไหม...\"
\"ฮื่อ...\" ศมารับคำแบบลอยๆ สายตาของหญิงสาวจับไปที่ร่างสูงๆ ที่เห็นเพียงเบื้องหลังไกลๆ แต่มีกระแสอะไรบางอย่างที่พุ่งตรงเข้าไปยังหัวใจ...
เป็นความรู้สึกบางอย่าง... ความคุ้นเคยกับแผ่นหลังกว้าง...
\"อะไรของมันวะ...\" ลีลาพึมพำกับท่าทางของเพื่อนสาว หล่อนหันไปคุยกับสี่หนุ่มที่ตอนนี้กลายร่างเป็นนักเรียนโข่งคอยซักคอยถามเสียละเอียดยิบ
\"โปรดตำหนักนี้มาก ในตำหนักมีครบทั้งห้องบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องสรง ห้องภูษา ห้องเสวย ทรงใช้เป็นที่เสด็จอกขุนนาง ให้ราษฎรเฝ้า รับรองพระราชอาคันตุกะมากกว่าตำหนักอื่นๆ\"
ศมาได้ยินเสียงเพื่อนรักอธิบายแว่วๆ ให้เด็กหนุ่มทั้งสี่ฟัง หล่อนเดินตามทุกคนไปเงียบๆ นัยน์ตากวาดมองความสดชื่นรอบตัว สีเขียวของหญ้า สีชมพูเข้มสดใสและสีแดงจัดของดอกเฟื้องฟ้า ลมอ่อนๆ ที่โชยมากระทบผิวกายไม่ขาดระยะ หากหญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ... โดยเฉพาะร่างสูงที่ตอนนี้หายไปจากสายตาแล้ว
ออกจากบริเวณหมู่พระตำหนักก็เดินเรียบบึงน้ำเล็กๆ ที่ดูใสกระจ่าง ฝั่งตรงข้ามมีศาลาไม้แปดเหลี่ยมหลังคาสองชั้นมุงด้วยกระเบื้องว่าว เป็นศาลาแบบตะวันตกที่เป็นที่นิยมมากในสมัยก่อน
\"ศาลานั่นสวยจัง...\"
ศมามองตามสายตาของเพื่อนสาวแล้วยิ้ม ศาลาหลังนั้นน่ารักตามแบบที่ลีลาชอบทีเดียว
\"เข้าไปดูได้ไหมเนี่ย\"
เสียงพึมพำแบบที่คงตั้งใจให้คนอื่นได้ยินดังขึ้นซ้ำๆ ทำให้ศมายิ้มมากขึ้น พอดีกับสายตาของหล่อนปะทะกับป้ายที่ตั้งอยู่ไกลๆ
\"ก็เข้าไปดูไหมล่ะ สงสัยเป็นศาลาของเรือนพระธเนศวร\"
\"ใครเหรอฮะเจ๊...พระธเนศวร\" อิฐถามขึ้น ไอ้ชื่อโบราณยากๆ พวกนี้ไม่รู้พวกเจ๊จำกันได้ยังไง ทีไอ้ที่เรียนไม่เห็นจำได้ยังงี้เลย
\"จริงเหรอศมา... ตอนที่ชั้นค้นในเนตก็เห็นรูป เห็นบอกว่าเคยเป็นบ้านผู้พิพากษาจังหวัด...สวยชะมัด ไม่นึกว่าอยู่แถวนี้เหมือนกัน โชคดีจัง ไปเหอะๆ\" ลีลายิ้มย่อง
สี่หนุ่มมองตากัน
\"มีการค้นในเนตด้วยว่ะ ทุ่มเทเป็นบ้า\"
ศมาหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่
\"ได้ยินนะยะว่านินทา\"
สี่หนุ่มตีหน้าทะเล้น รีบไปเกาะอีกหนึ่งสาวที่พุ่งความสนใจไปที่บ้านโบราณไม่ทันเฉลียวใจว่าพวกเขานินทาอะไรแกอยู่
ศมาส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของเด็กหนุ่มทั้งสี่ หญิงสาวเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อนสาวที่ตอนนี้โดนรายล้อมด้วยร่างสูงๆ ทั้งสี่แล้วแทรกตัวเข้าไปในวงล้อม ถึงป้ายที่ชี้ทางเข้าเรือนพระธเนศวรมีทางแยกเล็กๆ เป็นถนนโรยหินบดที่ค่อนข้างชำรุด และมีสะพานไม้ขนาดเล็กสภาพเก่าแก่ข้ามคลองเล็กๆ ที่ต่อเชื่อมกับบึงน้ำ
\"โห...สะพาน เห็นแล้วคิดถึงสะพานแถวบ้านสมัยก่อนเลย\" ลีลาเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นสภาพของสะพาน
\"บ้านนอกของแกน่ะเหรอ...\"
ลีลาหันไปแยกเขี้ยวให้คนถามที่ตีหน้ายิ้มๆ ผิดกับเมื่อครู่ที่เอาแต่เหม่อ
\"เออ...ฉันมันคงบ้านนอก ใคร...จะเป็นคนในเมืองเหมือนแก\"
ศมายักไหล่ ปรายตามองสี่หนุ่มที่เงียบผิดปกติ หางตาหล่อนเห็นซุบซิบกันน่าดู ใครว่าผู้ชายไม่ชอบนินทานะ...
เรือนพระธเนศวรเป็นเรือนไม้ศิลปะแบบตะวันตกที่เช่นเดียวกับอาคารอื่นในบริเวณพระราชวังแห่งนี้ ตัวบ้านเป็นสีเขียวอ่อนตัดกับเขียวเข้มของเสาและคาน มีไม้ฉลุลวดลายประดับตามชายคา มีทางเดินยกขึ้นเหมือนสะพานออกจากตัวบ้านไปเชื่อมกับศาลาริมบึง
เสียงชื่นชมดังออกมาจากสองสาวอย่างไม่ขาดปาก
\"เฮ้ย...บัตรฉันหายไปไหนเนี่ย\" ลีลาอุทานออกมาเมื่อหาบัตรเข้าชมของตัวเองไม่เจอ ขณะที่คนอื่นยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวังที่ประจำอยู่ประทับตรา
\"หาดีๆ ดิลี...\" ศมาตรงเข้าช่วย เพราะขืนหาไม่เจอไม่รู้ต้องเดินย้อนกลับไปซื้อใหม่หรือไม่ ช่วยกันหาอยู่ซักพักขณะที่ลีลาก็ยังทำตัวเป็นคุณป้าช่างโวยวายอย่างที่น่าให้เดินไปซื้อตัวใหม่จริงๆ
ลีลายิ้มจืดเมื่อหาเจอ เพราะบัตรเจ้ากรรมมันไปซ้อนอยู่ในสมุดบันทึกเล่มเล็กของหล่อนนั่นเอง
\"เรือนพระธเนศวรเป็นบ้านของข้าราชบริพารในสมัยรัชกาลที่หกนะคะ ตอนนี้เราจัดแสดงเรือกอแระที่ชนะการประกวด เรานำมาจากพระที่นั่งวิมานเมฆ...\" เจ้าหน้าที่สาวอธิบายคร่าวๆ แล้วปล่อยให้ทั้งหกเดินชมตามสบาย
เอกรัฐสะกิดมาที่ชะโงกผ่านหน้าประตูห้องดูภายในห้องเพราะมีเชือกกั้นอยู่ที่หน้าประตูห้ามไม่ให้เข้าไป
\"เจ๊...ไอ้เรือกอแระนี่มันอะไร\"
ศมาส่ายหน้า...เด็กพวกนี้นี่ ของแบบนี้ก็ไม่รู้จัก
\"นั่นไง...\" หล่อนชี้ไปที่เรือจำลองสีสันสดใสที่ตั้งอยู่เกือบทุกมุมในห้อง
\"เป็นเรือพื้นบ้านของทางใต้ สีสันจะสดใส เขาเขียนลายกันละเอียดมาก\"
เอกรัฐรวมทั้งเพื่อนสามคนพยักหน้าหงึกหงัก
แม้จะมีสิ่งของแสดงไม่มากนักแต่ตัวบ้านแบบโบราณก็เพียงพอแล้วที่จะให้สองสาวเดินดูอย่างตั้งใจ ชั้นล่างมีห้องอยู่สี่ห้องและห้องเล็กๆ อีกสามห้องที่ลดพื้นลงไปจากระดับ
\"ห้องคนใช้แหงเลยว่ะ...อยู่ต่ำอย่างนี้\" ลีลาเอ่ย
\"ผมว่าห้องอีหนูมากกว่า\" อาณัติขัด เรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงจากเพื่อนอีกสามคน แต่กับอีกสองสาวตาเขียว
\"เออ...ก็จริงของเจ้าอาร์ทมันนะฮะ ก็ขุนนางชอบมีเมียเยอะๆ นี่ฮะ\" อธิปเสริม
\"นั่นสิๆ...\" อีกสองเสียงประสานขึ้น
\"ไม่ย่ะ...คนรักเดียวใจเดียวก็มี\" ศมาเอ่ยเสียงเข้ม สร้างความประหลาดใจให้กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะลีลาซึ่งรู้สึกว่านัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นจริงจังเกินเหตุ
\"เออ...ใช่ ยังไงมันก็คงมีมั่งแหละพวกรักเดียวใจ พระธเนศวรคนนี้อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้\" ลีลาไกล่เกลี่ย
\"ครับ...ห้องคนใช้ก็ห้องคนใช้\"
ชั้นสองมีห้องเดียวหากไม่ปิดให้ขึ้นไปชม ทั้งหกจึงเดินออกไปตามสะพานเล็กๆ ที่ทอดสู่ศาลาแปดเหลี่ยม ที่มีสีสันเดียวกับตัวบ้าน ประดับชาคาดัวยไม้ฉลุเล็กๆ โดยรอบ
\"แหม...ถ้าฉันมีบ้านแบบนี้ก็ดีสิ\" ลีลาเอ่ยมาอย่างพึงพอใจ
\"ไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะเลยศะมะ...แกคอยดูแล้วกัน\"
\"เออ...ฉันจะคอยดู\" ศมาเอ่ยยิ้มๆ หล่อนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวที่มีอยู่รอบศาลาชื่นชมบรรยากาศ ทั้งต้นไม้สีเขียวและดอกไม้สีสันสดใส ที่...ครั้งหนึ่งหล่อนเคย...
ศาลาไม้โปร่งแบบตะวันตกประดับด้วยไม้ฉลุงดงามริมสระน้ำคล้ายคลึงกับที่หล่อนนั่งอยู่ตรงนี้ ภาพที่หล่อนนั่งชื่นชมความงามของธรรมชาติแวบเข้ามาในความทรงจำ พร้อมๆ กับเงารางๆ ของร่างสูงใหญ่ที่นั่งชมความงามเหล่านี้ไม่ห่างกัน
ศมากดมือที่หัวใจ อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้น ความรู้สึกมากมายปะปนกันจนแยกไม่ออก แต่มีบางสิ่งที่ศมารู้สึกคือ... ความอ้างว้างของหัวใจยามไร้ร่างสูงใหญ่เคียงข้าง
ความรู้สึกนี้เคยเกิดขึ้นมาบ้าง แต่หล่อนไม่เคยสนใจมันเลย...จนกระทั่ง
อ้อมกอดอันอบอุ่นกับนัยน์ตาสีเหล็กที่ยังติดตา...
วันนั้น...เพียงแค่แวบเดียว
ตาต่อตา...สบกัน
นัยน์ตานี้...เหมือนคุ้นเคย
คล้ายร่วมเชย...ชิดใกล้
หากต้องพราก...จากไกล
รอดวงใจ...กลับคืน
\"เหม่ออะไรอีกวะไอ้กานท์...วันนี้ข้าเห็นเอ็งเหม่อมาหลายครั้งแล้วนะโว๊ย\"
กานท์กระพริบตา เขาเหลียวไปรอบๆ เมื่อกี้เขารู้สึกอะไรบางอย่าง...เหมือนความคุ้นเคย กับสถานที่แห่งนี้ เขาหันไปสบตาสีเข้มที่มีแววฉงนของธีธัช
\"โทษทีว่ะ...\"
\"เอ็งนี่แปลกๆ\" ธีธัชบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เขาหันกลับไปดูหมู่พระตำหนักแบบฝรั่งที่คงเป็นที่นิยมไม่น้อยในยุคก่อน อาคารสองชั้นที่ตอนนี้ถูกนั่งร้านบดบังความงดงามของตัวอาคาร คนงานเดินกันขวักไขว่ เพื่อเร่งปรับปรุง พลิกฟื้นชีวิตให้แก่อาคารเหล่านี้
\"อืม...สงสัยต้องมาใหม่อีกที ตอนนี้กำลังปรับปรุง\" กานท์เอ่ยออกมาอย่างหมายมาด ทำให้เพื่อนที่ถูกลากมาด้วยโคลงศีรษะ
\"งั้นคราวหน้าเอ็งมากับไอ้ปราชญ์ไอ้ปรัชญ์มันแล้วกันนะ\"
\"เออน่า...เอ็งอย่ามาทำเป็นพูดดีไป หนอย...ชวนไปไหนทีไรเอ็งก็ไปทุกที\"
ธีธัชไหวไหล่
\"ข้าไม่มีเวรพอดีหรอกน่า...\"
กานท์อมยิ้ม วันนี้เขาชวนเพื่อนสนิททั้งสามมาเที่ยวที่นี่แต่ปราชญ์และปรัชญ์ติดธุระกันทั้งคู่ มีเพียงธีธัชซึ่งวันนี้ไม่ได้เข้าเวรมากับเขา แล้วก็มาทำเป็นบ่นนั่นบ่นนี่แต่เขาก็เห็นสายตาของธีธัชที่ชื่นชมพระราชวังแห่งนี้
ธีธัชรู้สึกอยากใช้หมัดลบรอยยิ้มบนหน้าหล่อๆ ของเพื่อนสนิทสักที
\"เออ... ว่าแต่ตรงนี้เขาเรียกตึกอะไร\" เขาแกล้งถามเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งก็ได้ผลเพราะกานท์หันมาทำตัวเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่
\"อาคารพวกนี้เป็นหมู่พระที่นั่งที่สร้างเชื่อมกันทั้งหมดสี่องค์ มีทั้งแบบตะวันตกและแบบไทยแท้\" เขาชี้ไปยังหมู่อาคาร
\"รัชกาลที่หกทรงตั้งชื่อไว้เพราะมาก ก็มี พระที่นั่งพิมานปฐม อภิรมย์ฤดี วัชรีรมยา สามัคคีมุขมาตย์\"
\"อืม...คล้องจองกันดี\"
\"ความจริงมีพระตำหนักอีกสองหลังอยู่ทางโน้น ชื่อก็คล้องกันอีกแหละ\"
ธีธัชเหลียวมองตาม พระตำหนักที่อยู่ห่างไปอีกสองหลัง
\"พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์และพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์\"
ธีธัชขมวดคิ้วเขาเหลือบมองใบหน้าคมคายของกานท์ เขารู้สึกว่าเสียงเขากานท์ที่เอ่ยเมื่อครู่มีทั้งความชื่นชม ความรัก ความอาวรณ์ และอะไรอีกหลายอย่าง
กานท์ถอนใจอย่างไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในสถานที่อันเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์เมื่อเกือบร้อยปีก่อนเขาจะมีความรู้สึก... อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
ร่างสูงใหญ่ทั้งสองเดินออกจากบริเวณหน้าหมู่พระตำหนักทั้งสี่ไปตามถนนภายในเขตพระราชวัง มองเห็นศาลาเล็กๆ ที่อยู่ริมบึงน้ำขนาดย่อมที่ต่อเชื่อมกับคลองเล็กๆ มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นศาลาโปร่งประดับด้วยไม้ฉลุ
หลังจากสักการะพระพิฆเนศแล้วสองสาวก็นำสี่หนุ่มไปยังหมู่พระตำหนักสี่หลังที่กำลังได้รับการปรับปรุงอยู่
\"พระที่นั่งพิมานปฐม เป็นพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้น...เห็นไหมเป็นศิลปะแบบตะวันตกที่ประยุกต์ให้เข้ากับบ้านเราที่สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครทำกัน\"
\"ยังไงฮะพี่ลี\" อิฐถาม เขาเดินขึ้นมาคู่กับหญิงสาวรุ่นพี่
\"ก็...บ้านเรามันเมืองร้อนไง รัชกาลที่หกท่านไม่ค่อยโปรดพัดลม ท่านก็เลยให้ออกแบบให้สร้างแบบเน้นโปร่งๆ มีช่องระบายลมเยอะๆ แล้วก็ประดับด้วยไม้ฉลุ...โอ๊ย...ยิ่งดูยิ่งสวย\"
\"อืม...ก็จริงฮะ สมัยนี้บ้านมีแต่กล่อง ไม่ค่อยจะมีหน้าต่างกันเลย\" อิฐพยักหน้าหงึกหงัก
\"เออ...เอาไว้เค้าปรับปรุงเสร็จแล้วเรามากันอีกดีไหมศะมะ\" ลีลาหันไปทางเพื่อนสาวที่เดินเยื้องไปเบื้องหลัง หล่อนเลิกคิ้วกับท่าทางเหม่อของเพื่อนสาว
\"แกว่าไงนะ...\"
\"ฉันว่าเรามากันใหม่อีกดีไหม...\"
\"ฮื่อ...\" ศมารับคำแบบลอยๆ สายตาของหญิงสาวจับไปที่ร่างสูงๆ ที่เห็นเพียงเบื้องหลังไกลๆ แต่มีกระแสอะไรบางอย่างที่พุ่งตรงเข้าไปยังหัวใจ...
เป็นความรู้สึกบางอย่าง... ความคุ้นเคยกับแผ่นหลังกว้าง...
\"อะไรของมันวะ...\" ลีลาพึมพำกับท่าทางของเพื่อนสาว หล่อนหันไปคุยกับสี่หนุ่มที่ตอนนี้กลายร่างเป็นนักเรียนโข่งคอยซักคอยถามเสียละเอียดยิบ
\"โปรดตำหนักนี้มาก ในตำหนักมีครบทั้งห้องบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องสรง ห้องภูษา ห้องเสวย ทรงใช้เป็นที่เสด็จอกขุนนาง ให้ราษฎรเฝ้า รับรองพระราชอาคันตุกะมากกว่าตำหนักอื่นๆ\"
ศมาได้ยินเสียงเพื่อนรักอธิบายแว่วๆ ให้เด็กหนุ่มทั้งสี่ฟัง หล่อนเดินตามทุกคนไปเงียบๆ นัยน์ตากวาดมองความสดชื่นรอบตัว สีเขียวของหญ้า สีชมพูเข้มสดใสและสีแดงจัดของดอกเฟื้องฟ้า ลมอ่อนๆ ที่โชยมากระทบผิวกายไม่ขาดระยะ หากหญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ... โดยเฉพาะร่างสูงที่ตอนนี้หายไปจากสายตาแล้ว
ออกจากบริเวณหมู่พระตำหนักก็เดินเรียบบึงน้ำเล็กๆ ที่ดูใสกระจ่าง ฝั่งตรงข้ามมีศาลาไม้แปดเหลี่ยมหลังคาสองชั้นมุงด้วยกระเบื้องว่าว เป็นศาลาแบบตะวันตกที่เป็นที่นิยมมากในสมัยก่อน
\"ศาลานั่นสวยจัง...\"
ศมามองตามสายตาของเพื่อนสาวแล้วยิ้ม ศาลาหลังนั้นน่ารักตามแบบที่ลีลาชอบทีเดียว
\"เข้าไปดูได้ไหมเนี่ย\"
เสียงพึมพำแบบที่คงตั้งใจให้คนอื่นได้ยินดังขึ้นซ้ำๆ ทำให้ศมายิ้มมากขึ้น พอดีกับสายตาของหล่อนปะทะกับป้ายที่ตั้งอยู่ไกลๆ
\"ก็เข้าไปดูไหมล่ะ สงสัยเป็นศาลาของเรือนพระธเนศวร\"
\"ใครเหรอฮะเจ๊...พระธเนศวร\" อิฐถามขึ้น ไอ้ชื่อโบราณยากๆ พวกนี้ไม่รู้พวกเจ๊จำกันได้ยังไง ทีไอ้ที่เรียนไม่เห็นจำได้ยังงี้เลย
\"จริงเหรอศมา... ตอนที่ชั้นค้นในเนตก็เห็นรูป เห็นบอกว่าเคยเป็นบ้านผู้พิพากษาจังหวัด...สวยชะมัด ไม่นึกว่าอยู่แถวนี้เหมือนกัน โชคดีจัง ไปเหอะๆ\" ลีลายิ้มย่อง
สี่หนุ่มมองตากัน
\"มีการค้นในเนตด้วยว่ะ ทุ่มเทเป็นบ้า\"
ศมาหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่
\"ได้ยินนะยะว่านินทา\"
สี่หนุ่มตีหน้าทะเล้น รีบไปเกาะอีกหนึ่งสาวที่พุ่งความสนใจไปที่บ้านโบราณไม่ทันเฉลียวใจว่าพวกเขานินทาอะไรแกอยู่
ศมาส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของเด็กหนุ่มทั้งสี่ หญิงสาวเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อนสาวที่ตอนนี้โดนรายล้อมด้วยร่างสูงๆ ทั้งสี่แล้วแทรกตัวเข้าไปในวงล้อม ถึงป้ายที่ชี้ทางเข้าเรือนพระธเนศวรมีทางแยกเล็กๆ เป็นถนนโรยหินบดที่ค่อนข้างชำรุด และมีสะพานไม้ขนาดเล็กสภาพเก่าแก่ข้ามคลองเล็กๆ ที่ต่อเชื่อมกับบึงน้ำ
\"โห...สะพาน เห็นแล้วคิดถึงสะพานแถวบ้านสมัยก่อนเลย\" ลีลาเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นสภาพของสะพาน
\"บ้านนอกของแกน่ะเหรอ...\"
ลีลาหันไปแยกเขี้ยวให้คนถามที่ตีหน้ายิ้มๆ ผิดกับเมื่อครู่ที่เอาแต่เหม่อ
\"เออ...ฉันมันคงบ้านนอก ใคร...จะเป็นคนในเมืองเหมือนแก\"
ศมายักไหล่ ปรายตามองสี่หนุ่มที่เงียบผิดปกติ หางตาหล่อนเห็นซุบซิบกันน่าดู ใครว่าผู้ชายไม่ชอบนินทานะ...
เรือนพระธเนศวรเป็นเรือนไม้ศิลปะแบบตะวันตกที่เช่นเดียวกับอาคารอื่นในบริเวณพระราชวังแห่งนี้ ตัวบ้านเป็นสีเขียวอ่อนตัดกับเขียวเข้มของเสาและคาน มีไม้ฉลุลวดลายประดับตามชายคา มีทางเดินยกขึ้นเหมือนสะพานออกจากตัวบ้านไปเชื่อมกับศาลาริมบึง
เสียงชื่นชมดังออกมาจากสองสาวอย่างไม่ขาดปาก
\"เฮ้ย...บัตรฉันหายไปไหนเนี่ย\" ลีลาอุทานออกมาเมื่อหาบัตรเข้าชมของตัวเองไม่เจอ ขณะที่คนอื่นยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวังที่ประจำอยู่ประทับตรา
\"หาดีๆ ดิลี...\" ศมาตรงเข้าช่วย เพราะขืนหาไม่เจอไม่รู้ต้องเดินย้อนกลับไปซื้อใหม่หรือไม่ ช่วยกันหาอยู่ซักพักขณะที่ลีลาก็ยังทำตัวเป็นคุณป้าช่างโวยวายอย่างที่น่าให้เดินไปซื้อตัวใหม่จริงๆ
ลีลายิ้มจืดเมื่อหาเจอ เพราะบัตรเจ้ากรรมมันไปซ้อนอยู่ในสมุดบันทึกเล่มเล็กของหล่อนนั่นเอง
\"เรือนพระธเนศวรเป็นบ้านของข้าราชบริพารในสมัยรัชกาลที่หกนะคะ ตอนนี้เราจัดแสดงเรือกอแระที่ชนะการประกวด เรานำมาจากพระที่นั่งวิมานเมฆ...\" เจ้าหน้าที่สาวอธิบายคร่าวๆ แล้วปล่อยให้ทั้งหกเดินชมตามสบาย
เอกรัฐสะกิดมาที่ชะโงกผ่านหน้าประตูห้องดูภายในห้องเพราะมีเชือกกั้นอยู่ที่หน้าประตูห้ามไม่ให้เข้าไป
\"เจ๊...ไอ้เรือกอแระนี่มันอะไร\"
ศมาส่ายหน้า...เด็กพวกนี้นี่ ของแบบนี้ก็ไม่รู้จัก
\"นั่นไง...\" หล่อนชี้ไปที่เรือจำลองสีสันสดใสที่ตั้งอยู่เกือบทุกมุมในห้อง
\"เป็นเรือพื้นบ้านของทางใต้ สีสันจะสดใส เขาเขียนลายกันละเอียดมาก\"
เอกรัฐรวมทั้งเพื่อนสามคนพยักหน้าหงึกหงัก
แม้จะมีสิ่งของแสดงไม่มากนักแต่ตัวบ้านแบบโบราณก็เพียงพอแล้วที่จะให้สองสาวเดินดูอย่างตั้งใจ ชั้นล่างมีห้องอยู่สี่ห้องและห้องเล็กๆ อีกสามห้องที่ลดพื้นลงไปจากระดับ
\"ห้องคนใช้แหงเลยว่ะ...อยู่ต่ำอย่างนี้\" ลีลาเอ่ย
\"ผมว่าห้องอีหนูมากกว่า\" อาณัติขัด เรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงจากเพื่อนอีกสามคน แต่กับอีกสองสาวตาเขียว
\"เออ...ก็จริงของเจ้าอาร์ทมันนะฮะ ก็ขุนนางชอบมีเมียเยอะๆ นี่ฮะ\" อธิปเสริม
\"นั่นสิๆ...\" อีกสองเสียงประสานขึ้น
\"ไม่ย่ะ...คนรักเดียวใจเดียวก็มี\" ศมาเอ่ยเสียงเข้ม สร้างความประหลาดใจให้กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะลีลาซึ่งรู้สึกว่านัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นจริงจังเกินเหตุ
\"เออ...ใช่ ยังไงมันก็คงมีมั่งแหละพวกรักเดียวใจ พระธเนศวรคนนี้อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้\" ลีลาไกล่เกลี่ย
\"ครับ...ห้องคนใช้ก็ห้องคนใช้\"
ชั้นสองมีห้องเดียวหากไม่ปิดให้ขึ้นไปชม ทั้งหกจึงเดินออกไปตามสะพานเล็กๆ ที่ทอดสู่ศาลาแปดเหลี่ยม ที่มีสีสันเดียวกับตัวบ้าน ประดับชาคาดัวยไม้ฉลุเล็กๆ โดยรอบ
\"แหม...ถ้าฉันมีบ้านแบบนี้ก็ดีสิ\" ลีลาเอ่ยมาอย่างพึงพอใจ
\"ไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะเลยศะมะ...แกคอยดูแล้วกัน\"
\"เออ...ฉันจะคอยดู\" ศมาเอ่ยยิ้มๆ หล่อนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวที่มีอยู่รอบศาลาชื่นชมบรรยากาศ ทั้งต้นไม้สีเขียวและดอกไม้สีสันสดใส ที่...ครั้งหนึ่งหล่อนเคย...
ศาลาไม้โปร่งแบบตะวันตกประดับด้วยไม้ฉลุงดงามริมสระน้ำคล้ายคลึงกับที่หล่อนนั่งอยู่ตรงนี้ ภาพที่หล่อนนั่งชื่นชมความงามของธรรมชาติแวบเข้ามาในความทรงจำ พร้อมๆ กับเงารางๆ ของร่างสูงใหญ่ที่นั่งชมความงามเหล่านี้ไม่ห่างกัน
ศมากดมือที่หัวใจ อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้น ความรู้สึกมากมายปะปนกันจนแยกไม่ออก แต่มีบางสิ่งที่ศมารู้สึกคือ... ความอ้างว้างของหัวใจยามไร้ร่างสูงใหญ่เคียงข้าง
ความรู้สึกนี้เคยเกิดขึ้นมาบ้าง แต่หล่อนไม่เคยสนใจมันเลย...จนกระทั่ง
อ้อมกอดอันอบอุ่นกับนัยน์ตาสีเหล็กที่ยังติดตา...
วันนั้น...เพียงแค่แวบเดียว
ตาต่อตา...สบกัน
นัยน์ตานี้...เหมือนคุ้นเคย
คล้ายร่วมเชย...ชิดใกล้
หากต้องพราก...จากไกล
รอดวงใจ...กลับคืน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น