ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในห้วงแห่งความทรงจำ

    ลำดับตอนที่ #7 : พระราชวังสนามจันทร์ ตอน๒

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 48


    พระราชวังสนามจันทร์ ตอน๒







    \"เหม่ออะไรอีกวะไอ้กานท์...วันนี้ข้าเห็นเอ็งเหม่อมาหลายครั้งแล้วนะโว๊ย\"



    กานท์กระพริบตา เขาเหลียวไปรอบๆ เมื่อกี้เขารู้สึกอะไรบางอย่าง...เหมือนความคุ้นเคย กับสถานที่แห่งนี้ เขาหันไปสบตาสีเข้มที่มีแววฉงนของธีธัช



    \"โทษทีว่ะ...\"



    \"เอ็งนี่แปลกๆ\" ธีธัชบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เขาหันกลับไปดูหมู่พระตำหนักแบบฝรั่งที่คงเป็นที่นิยมไม่น้อยในยุคก่อน อาคารสองชั้นที่ตอนนี้ถูกนั่งร้านบดบังความงดงามของตัวอาคาร คนงานเดินกันขวักไขว่ เพื่อเร่งปรับปรุง พลิกฟื้นชีวิตให้แก่อาคารเหล่านี้



    \"อืม...สงสัยต้องมาใหม่อีกที ตอนนี้กำลังปรับปรุง\" กานท์เอ่ยออกมาอย่างหมายมาด ทำให้เพื่อนที่ถูกลากมาด้วยโคลงศีรษะ



    \"งั้นคราวหน้าเอ็งมากับไอ้ปราชญ์ไอ้ปรัชญ์มันแล้วกันนะ\"



    \"เออน่า...เอ็งอย่ามาทำเป็นพูดดีไป หนอย...ชวนไปไหนทีไรเอ็งก็ไปทุกที\"



    ธีธัชไหวไหล่



    \"ข้าไม่มีเวรพอดีหรอกน่า...\"



    กานท์อมยิ้ม วันนี้เขาชวนเพื่อนสนิททั้งสามมาเที่ยวที่นี่แต่ปราชญ์และปรัชญ์ติดธุระกันทั้งคู่ มีเพียงธีธัชซึ่งวันนี้ไม่ได้เข้าเวรมากับเขา แล้วก็มาทำเป็นบ่นนั่นบ่นนี่แต่เขาก็เห็นสายตาของธีธัชที่ชื่นชมพระราชวังแห่งนี้



    ธีธัชรู้สึกอยากใช้หมัดลบรอยยิ้มบนหน้าหล่อๆ ของเพื่อนสนิทสักที



    \"เออ... ว่าแต่ตรงนี้เขาเรียกตึกอะไร\" เขาแกล้งถามเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งก็ได้ผลเพราะกานท์หันมาทำตัวเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่



    \"อาคารพวกนี้เป็นหมู่พระที่นั่งที่สร้างเชื่อมกันทั้งหมดสี่องค์ มีทั้งแบบตะวันตกและแบบไทยแท้\" เขาชี้ไปยังหมู่อาคาร



    \"รัชกาลที่หกทรงตั้งชื่อไว้เพราะมาก ก็มี พระที่นั่งพิมานปฐม อภิรมย์ฤดี วัชรีรมยา สามัคคีมุขมาตย์\"



    \"อืม...คล้องจองกันดี\"



    \"ความจริงมีพระตำหนักอีกสองหลังอยู่ทางโน้น ชื่อก็คล้องกันอีกแหละ\"



    ธีธัชเหลียวมองตาม พระตำหนักที่อยู่ห่างไปอีกสองหลัง



    \"พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์และพระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์\"



    ธีธัชขมวดคิ้วเขาเหลือบมองใบหน้าคมคายของกานท์ เขารู้สึกว่าเสียงเขากานท์ที่เอ่ยเมื่อครู่มีทั้งความชื่นชม ความรัก ความอาวรณ์ และอะไรอีกหลายอย่าง



    กานท์ถอนใจอย่างไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในสถานที่อันเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์เมื่อเกือบร้อยปีก่อนเขาจะมีความรู้สึก... อะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้



    ร่างสูงใหญ่ทั้งสองเดินออกจากบริเวณหน้าหมู่พระตำหนักทั้งสี่ไปตามถนนภายในเขตพระราชวัง มองเห็นศาลาเล็กๆ ที่อยู่ริมบึงน้ำขนาดย่อมที่ต่อเชื่อมกับคลองเล็กๆ มองไปฝั่งตรงข้ามเห็นศาลาโปร่งประดับด้วยไม้ฉลุ







    หลังจากสักการะพระพิฆเนศแล้วสองสาวก็นำสี่หนุ่มไปยังหมู่พระตำหนักสี่หลังที่กำลังได้รับการปรับปรุงอยู่



    \"พระที่นั่งพิมานปฐม เป็นพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้น...เห็นไหมเป็นศิลปะแบบตะวันตกที่ประยุกต์ให้เข้ากับบ้านเราที่สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครทำกัน\"



    \"ยังไงฮะพี่ลี\" อิฐถาม เขาเดินขึ้นมาคู่กับหญิงสาวรุ่นพี่



    \"ก็...บ้านเรามันเมืองร้อนไง รัชกาลที่หกท่านไม่ค่อยโปรดพัดลม ท่านก็เลยให้ออกแบบให้สร้างแบบเน้นโปร่งๆ มีช่องระบายลมเยอะๆ แล้วก็ประดับด้วยไม้ฉลุ...โอ๊ย...ยิ่งดูยิ่งสวย\"



    \"อืม...ก็จริงฮะ สมัยนี้บ้านมีแต่กล่อง ไม่ค่อยจะมีหน้าต่างกันเลย\" อิฐพยักหน้าหงึกหงัก



    \"เออ...เอาไว้เค้าปรับปรุงเสร็จแล้วเรามากันอีกดีไหมศะมะ\" ลีลาหันไปทางเพื่อนสาวที่เดินเยื้องไปเบื้องหลัง หล่อนเลิกคิ้วกับท่าทางเหม่อของเพื่อนสาว



    \"แกว่าไงนะ...\"



    \"ฉันว่าเรามากันใหม่อีกดีไหม...\"



    \"ฮื่อ...\" ศมารับคำแบบลอยๆ สายตาของหญิงสาวจับไปที่ร่างสูงๆ ที่เห็นเพียงเบื้องหลังไกลๆ แต่มีกระแสอะไรบางอย่างที่พุ่งตรงเข้าไปยังหัวใจ...



    เป็นความรู้สึกบางอย่าง... ความคุ้นเคยกับแผ่นหลังกว้าง...



    \"อะไรของมันวะ...\" ลีลาพึมพำกับท่าทางของเพื่อนสาว หล่อนหันไปคุยกับสี่หนุ่มที่ตอนนี้กลายร่างเป็นนักเรียนโข่งคอยซักคอยถามเสียละเอียดยิบ



    \"โปรดตำหนักนี้มาก ในตำหนักมีครบทั้งห้องบรรทม ห้องทรงพระอักษร ห้องสรง ห้องภูษา ห้องเสวย ทรงใช้เป็นที่เสด็จอกขุนนาง ให้ราษฎรเฝ้า รับรองพระราชอาคันตุกะมากกว่าตำหนักอื่นๆ\"



    ศมาได้ยินเสียงเพื่อนรักอธิบายแว่วๆ ให้เด็กหนุ่มทั้งสี่ฟัง หล่อนเดินตามทุกคนไปเงียบๆ นัยน์ตากวาดมองความสดชื่นรอบตัว สีเขียวของหญ้า สีชมพูเข้มสดใสและสีแดงจัดของดอกเฟื้องฟ้า ลมอ่อนๆ ที่โชยมากระทบผิวกายไม่ขาดระยะ หากหญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ... โดยเฉพาะร่างสูงที่ตอนนี้หายไปจากสายตาแล้ว



    ออกจากบริเวณหมู่พระตำหนักก็เดินเรียบบึงน้ำเล็กๆ ที่ดูใสกระจ่าง ฝั่งตรงข้ามมีศาลาไม้แปดเหลี่ยมหลังคาสองชั้นมุงด้วยกระเบื้องว่าว เป็นศาลาแบบตะวันตกที่เป็นที่นิยมมากในสมัยก่อน



    \"ศาลานั่นสวยจัง...\"



    ศมามองตามสายตาของเพื่อนสาวแล้วยิ้ม ศาลาหลังนั้นน่ารักตามแบบที่ลีลาชอบทีเดียว



    \"เข้าไปดูได้ไหมเนี่ย\"



    เสียงพึมพำแบบที่คงตั้งใจให้คนอื่นได้ยินดังขึ้นซ้ำๆ ทำให้ศมายิ้มมากขึ้น พอดีกับสายตาของหล่อนปะทะกับป้ายที่ตั้งอยู่ไกลๆ



    \"ก็เข้าไปดูไหมล่ะ สงสัยเป็นศาลาของเรือนพระธเนศวร\"



    \"ใครเหรอฮะเจ๊...พระธเนศวร\" อิฐถามขึ้น ไอ้ชื่อโบราณยากๆ พวกนี้ไม่รู้พวกเจ๊จำกันได้ยังไง ทีไอ้ที่เรียนไม่เห็นจำได้ยังงี้เลย



    \"จริงเหรอศมา... ตอนที่ชั้นค้นในเนตก็เห็นรูป เห็นบอกว่าเคยเป็นบ้านผู้พิพากษาจังหวัด...สวยชะมัด ไม่นึกว่าอยู่แถวนี้เหมือนกัน โชคดีจัง ไปเหอะๆ\" ลีลายิ้มย่อง



    สี่หนุ่มมองตากัน



    \"มีการค้นในเนตด้วยว่ะ ทุ่มเทเป็นบ้า\"



    ศมาหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่



    \"ได้ยินนะยะว่านินทา\"



    สี่หนุ่มตีหน้าทะเล้น รีบไปเกาะอีกหนึ่งสาวที่พุ่งความสนใจไปที่บ้านโบราณไม่ทันเฉลียวใจว่าพวกเขานินทาอะไรแกอยู่



    ศมาส่ายหน้ากับความเจ้าเล่ห์ของเด็กหนุ่มทั้งสี่ หญิงสาวเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อนสาวที่ตอนนี้โดนรายล้อมด้วยร่างสูงๆ ทั้งสี่แล้วแทรกตัวเข้าไปในวงล้อม ถึงป้ายที่ชี้ทางเข้าเรือนพระธเนศวรมีทางแยกเล็กๆ เป็นถนนโรยหินบดที่ค่อนข้างชำรุด และมีสะพานไม้ขนาดเล็กสภาพเก่าแก่ข้ามคลองเล็กๆ ที่ต่อเชื่อมกับบึงน้ำ



    \"โห...สะพาน เห็นแล้วคิดถึงสะพานแถวบ้านสมัยก่อนเลย\" ลีลาเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นสภาพของสะพาน



    \"บ้านนอกของแกน่ะเหรอ...\"



    ลีลาหันไปแยกเขี้ยวให้คนถามที่ตีหน้ายิ้มๆ ผิดกับเมื่อครู่ที่เอาแต่เหม่อ



    \"เออ...ฉันมันคงบ้านนอก ใคร...จะเป็นคนในเมืองเหมือนแก\"



    ศมายักไหล่ ปรายตามองสี่หนุ่มที่เงียบผิดปกติ หางตาหล่อนเห็นซุบซิบกันน่าดู ใครว่าผู้ชายไม่ชอบนินทานะ...



    เรือนพระธเนศวรเป็นเรือนไม้ศิลปะแบบตะวันตกที่เช่นเดียวกับอาคารอื่นในบริเวณพระราชวังแห่งนี้ ตัวบ้านเป็นสีเขียวอ่อนตัดกับเขียวเข้มของเสาและคาน มีไม้ฉลุลวดลายประดับตามชายคา มีทางเดินยกขึ้นเหมือนสะพานออกจากตัวบ้านไปเชื่อมกับศาลาริมบึง



    เสียงชื่นชมดังออกมาจากสองสาวอย่างไม่ขาดปาก



    \"เฮ้ย...บัตรฉันหายไปไหนเนี่ย\" ลีลาอุทานออกมาเมื่อหาบัตรเข้าชมของตัวเองไม่เจอ ขณะที่คนอื่นยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ของสำนักพระราชวังที่ประจำอยู่ประทับตรา



    \"หาดีๆ ดิลี...\" ศมาตรงเข้าช่วย เพราะขืนหาไม่เจอไม่รู้ต้องเดินย้อนกลับไปซื้อใหม่หรือไม่ ช่วยกันหาอยู่ซักพักขณะที่ลีลาก็ยังทำตัวเป็นคุณป้าช่างโวยวายอย่างที่น่าให้เดินไปซื้อตัวใหม่จริงๆ



    ลีลายิ้มจืดเมื่อหาเจอ เพราะบัตรเจ้ากรรมมันไปซ้อนอยู่ในสมุดบันทึกเล่มเล็กของหล่อนนั่นเอง



    \"เรือนพระธเนศวรเป็นบ้านของข้าราชบริพารในสมัยรัชกาลที่หกนะคะ ตอนนี้เราจัดแสดงเรือกอแระที่ชนะการประกวด เรานำมาจากพระที่นั่งวิมานเมฆ...\" เจ้าหน้าที่สาวอธิบายคร่าวๆ แล้วปล่อยให้ทั้งหกเดินชมตามสบาย



    เอกรัฐสะกิดมาที่ชะโงกผ่านหน้าประตูห้องดูภายในห้องเพราะมีเชือกกั้นอยู่ที่หน้าประตูห้ามไม่ให้เข้าไป



    \"เจ๊...ไอ้เรือกอแระนี่มันอะไร\"



    ศมาส่ายหน้า...เด็กพวกนี้นี่ ของแบบนี้ก็ไม่รู้จัก



    \"นั่นไง...\" หล่อนชี้ไปที่เรือจำลองสีสันสดใสที่ตั้งอยู่เกือบทุกมุมในห้อง



    \"เป็นเรือพื้นบ้านของทางใต้ สีสันจะสดใส เขาเขียนลายกันละเอียดมาก\"



    เอกรัฐรวมทั้งเพื่อนสามคนพยักหน้าหงึกหงัก



    แม้จะมีสิ่งของแสดงไม่มากนักแต่ตัวบ้านแบบโบราณก็เพียงพอแล้วที่จะให้สองสาวเดินดูอย่างตั้งใจ ชั้นล่างมีห้องอยู่สี่ห้องและห้องเล็กๆ อีกสามห้องที่ลดพื้นลงไปจากระดับ



    \"ห้องคนใช้แหงเลยว่ะ...อยู่ต่ำอย่างนี้\" ลีลาเอ่ย



    \"ผมว่าห้องอีหนูมากกว่า\" อาณัติขัด เรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงจากเพื่อนอีกสามคน แต่กับอีกสองสาวตาเขียว



    \"เออ...ก็จริงของเจ้าอาร์ทมันนะฮะ ก็ขุนนางชอบมีเมียเยอะๆ นี่ฮะ\" อธิปเสริม



    \"นั่นสิๆ...\" อีกสองเสียงประสานขึ้น



    \"ไม่ย่ะ...คนรักเดียวใจเดียวก็มี\" ศมาเอ่ยเสียงเข้ม สร้างความประหลาดใจให้กับคนอื่นๆ โดยเฉพาะลีลาซึ่งรู้สึกว่านัยน์ตาสีน้ำตาลนั้นจริงจังเกินเหตุ



    \"เออ...ใช่ ยังไงมันก็คงมีมั่งแหละพวกรักเดียวใจ พระธเนศวรคนนี้อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้\" ลีลาไกล่เกลี่ย



    \"ครับ...ห้องคนใช้ก็ห้องคนใช้\"



    ชั้นสองมีห้องเดียวหากไม่ปิดให้ขึ้นไปชม ทั้งหกจึงเดินออกไปตามสะพานเล็กๆ ที่ทอดสู่ศาลาแปดเหลี่ยม ที่มีสีสันเดียวกับตัวบ้าน ประดับชาคาดัวยไม้ฉลุเล็กๆ โดยรอบ



    \"แหม...ถ้าฉันมีบ้านแบบนี้ก็ดีสิ\" ลีลาเอ่ยมาอย่างพึงพอใจ



    \"ไม่ต้องมาทำเป็นหัวเราะเลยศะมะ...แกคอยดูแล้วกัน\"



    \"เออ...ฉันจะคอยดู\" ศมาเอ่ยยิ้มๆ หล่อนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวที่มีอยู่รอบศาลาชื่นชมบรรยากาศ ทั้งต้นไม้สีเขียวและดอกไม้สีสันสดใส ที่...ครั้งหนึ่งหล่อนเคย...



    ศาลาไม้โปร่งแบบตะวันตกประดับด้วยไม้ฉลุงดงามริมสระน้ำคล้ายคลึงกับที่หล่อนนั่งอยู่ตรงนี้ ภาพที่หล่อนนั่งชื่นชมความงามของธรรมชาติแวบเข้ามาในความทรงจำ พร้อมๆ กับเงารางๆ ของร่างสูงใหญ่ที่นั่งชมความงามเหล่านี้ไม่ห่างกัน



    ศมากดมือที่หัวใจ อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้น ความรู้สึกมากมายปะปนกันจนแยกไม่ออก แต่มีบางสิ่งที่ศมารู้สึกคือ... ความอ้างว้างของหัวใจยามไร้ร่างสูงใหญ่เคียงข้าง



    ความรู้สึกนี้เคยเกิดขึ้นมาบ้าง แต่หล่อนไม่เคยสนใจมันเลย...จนกระทั่ง



    อ้อมกอดอันอบอุ่นกับนัยน์ตาสีเหล็กที่ยังติดตา...



    วันนั้น...เพียงแค่แวบเดียว



    ตาต่อตา...สบกัน





    นัยน์ตานี้...เหมือนคุ้นเคย

    คล้ายร่วมเชย...ชิดใกล้

    หากต้องพราก...จากไกล

    รอดวงใจ...กลับคืน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×