คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เสียงฟลุ้ตหวานแว่ว((แก้ไข))
ตอน ๒ เสียงฟลุ้ตหวานแว่ว
เรือนใหญ่ เป็นเรือนไม้สักสองชั้นหลังใหญ่รูปแบบล้านนาประยุกต์ ปลูกอยู่บนเนินห่างจากตัวอาคารสำนักงานของไร่ไม่มากนัก ตัวบ้านแวดล้อมด้วยแปลงดอกไม้สีสันสดใสสลับกับต้นไม้หลากหลายพันธุ์ทั้งเล็กและใหญ่ บ่งบอกว่าเจ้าของไร่คงจะเป็นคนที่รักดอกไม้ไม่น้อย
หรือไม่ก็อาจจะเป็นตัวน้องสาวเจ้าของไร่ก็ได้...มนตราบอกตัวเอง
หล่อนมาที่เรือนใหญ่ด้วยความช่วยเหลือของเอกพงศ์ เพราะตัวเจ้าของบ้านนั้นบอกว่าจะเข้าไปดูงานในไร่ แล้วก็หายไปทั้งวัน ปล่อยให้หล่อนต้องทำความรู้จักกับเรือนใหญ่ซึ่งจะกลายมาเป็นบ้านชั่วคราวของหล่อนต่อไปนี้เอาเอง
เอกพงศ์เป็นไกด์และเจ้าบ้านอย่างดี เขาบอกว่าตัวเองนั้นไม่ได้พักบนเรือนใหญ่ เขามีเรือนเล็กแยกต่างหาก ซึ่งก็คือแถบที่ภูหมอกบอกว่ากำลังซ่อมแซม แต่ดูเหมือนว่าเอกพงศ์จะคุ้นเคยกับเรือนใหญ่ดี
“ก็ผมมาขอข้าวป้าบัวคำกินบ่อยๆ ครับ” เอกพงศ์บอกอย่างอารมณ์ดี
นางบัวคำเป็นแม่บ้านและแม่ครัวของเรือนใหญ่ โดยมีลูกมืออีกคนช่วยงานของนางอยู่บนเรือน มนตรายิ้มแหยๆ เมื่อได้รับทราบว่าบนเรือนใหญ่นั้นมีคนอยู่กันแค่สองคนคือภูหมอกกับน้องสาว และตอนนี้นุชนารถลงไปดูแลงานที่กรุงเทพฯ ทำให้บนเรือนใหญ่จะมีเพียงหล่อนกับภูหมอกสองคน
“ผมไม่เข้าหาคุณหรอกน่า...ถ้าคุณไม่ยอม” หล่อนยังจำสำนวนและน้ำเสียงยวนจัดของเจ้าของเรือน และหล่อนเองก็ไม่ได้ยั้งปากเลยเมื่อสวนคำกลับ
“ก็ใครจะไปยอมพวกหน้าปลาจวดอย่างคุณ” แล้วแทนที่จะโกรธ ภูหมอกกลับหัวเราะเสียแทบสำลัก พลอยทำให้หล่อนหายอารมณ์ขุ่นไปด้วย
แต่โชคดีว่าห้องของหล่อนที่นางบัวคำจัดให้นั้นอยู่คนละปีกกับห้องของภูหมอก
ผู้ชายหน้านวลแต่เข้มด้วยบุคลิก กับนัยน์ตาพราวระยับคู่นั้น
มนตราถอนใจน้อยๆ ขณะรื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าใบใหญ่ที่หล่อนเตรียมมาเพื่อเที่ยว แต่หล่อนคงไม่ได้เที่ยวอย่างที่ตั้งใจแล้ว
เอาเถอะ...ลองทำอะไรใหม่ๆ อาจทำให้อะไรๆ ดีขึ้นก็ได้
“หนูเอาชุดพวกนี้แขวนเลยนะคะ” จันทร์นวล หลานสาวของนางบัวคำยิ้มแป้นขณะช่วยหญิงสาวรื้อเสื้อผ้า หล่อนถูกผู้เป็นป้าส่งมาช่วยดูแลความสะดวกให้คุณนักบัญชีคนใหม่ ซึ่งนายของหล่อนให้ขึ้นมาอยู่บนเรือนใหญ่
เด็กสาวมองเสื้อผ้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายแบบเรียบง่ายอย่างแปลกใจ ก็คุณคนนี้มาจากกรุงเทพฯ แต่ไม่เห็นมีเสื้อผ้าแบบเปรี้ยวๆ ทันสมัยเหมือนในละครที่หล่อนดูสักชุด
“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวฉันจัดการเองได้”
“นวลช่วยดีกว่าค่ะ ป้าคำให้นวลมาช่วยคุณจัดของ” จันทร์นวลบอกยิ้มๆ พลางหยิบชุดขึ้นมาใส่ไม้แขวนแล้วจัดเข้าตู้เสื้อผ้า
“ขอบใจนวลมากจ้ะ” มนตรายิ้มบางๆ ดูท่าทางกระตือรือร้นของเด็กสาวอย่างเอ็นดู
“คุณมนตรามาทำบัญชีให้พ่อเลี้ยง...เอ๊ย...นายภูเหรอคะ” เด็กสาวถามย้ำความแน่ใจของตนเองก่อนจะชี้แจง “นายภูท่านไม่ชอบให้ใครๆ เรียกว่าพ่อเลี้ยงน่ะค่ะ ท่านว่าพ่อเลี้ยงฟังดูแก่ๆ”
มนตราหัวเราะกับคำพูดของเด็กสาว นึกถึงคนหน้านวลผ่อง
“จ้ะ...นวลเรียกฉันว่ามนตร์เฉยๆ ก็ได้”
นอกจากเสื้อผ้าในกระเป๋าใบใหญ่ที่จันทร์นวลช่วยจัดเข้าตู้แล้ว มนตราหันมารื้อของในกระเป๋าเป้ที่หล่อนสะพายติดตัวตลอดเวลา หล่อนหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาแล้วเหลียวมองหาที่วาง ได้โต๊ะอ่านหนังสือที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง และหันไปหยิบเอากระดาษปึกใหญ่จากกระเป๋าออกมาวางเช่นกัน
หญิงสาวมองของบนโต๊ะหนังสือนิ่งๆ ก่อนจะถอนใจ
หลังจากช่วยจัดของเรียบร้อยแล้วจันทร์นวลก็ขอตัวกลับไปช่วยงานผู้เป็นป้าในครัวเพราะเป็นเวลาบ่ายแก่ นางบัวคำจะทำอาหารเย็นไว้สำหรับนายหนุ่มและเอกพงศ์ซึ่งเมื่อแนะนำหล่อนเกี่ยวกับเรือนใหญ่แล้วก็ขอตัวไปทำงานเช่นกัน วันนี้อาจจะรวมหล่อนในมื้ออาหารด้วยอีกคน
มนตราจึงออกจากห้อง เดินสำรวจเรือนใหญ่เรื่อยๆ เพราะยังไม่มีอะไรจะทำ การตกแต่งเรือนใหญ่เน้นเครื่องเรือนไม้ผสมหวายเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมองออกว่าไม่ใช่เครื่องเรือนชุดเดียวกันคงเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านชอบใจแล้วเอามาตกแต่ง แต่ด้วยความฉลาดและมีศิลปะทำให้เครื่องเรือนต่างๆ ดูเข้ากันอย่างลงตัว
และยังตัดความเคร่งขรึมของไม้ด้วยม่านลูกไม้สีขาวและผ้าฝ้ายสีนวลทั้งผ้าปูโต๊ะ เบาะนั่ง หมอนอิง เพิ่มสีสันด้วยดอกไม้สีสันต่างๆ ในแจกัน ทำให้เกิดบรรยากาศสบายๆ เหมาะกับการอยู่อาศัย ไม่ใช่การตกแต่งแบบรีสอร์ตหรือโรงแรม
ภาพในกรอบเงินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้กลมเตี้ยข้างชุดเก้าอี้ยาวสะดุดตาหญิงสาว จนอดที่จะหยิบขึ้นมาดูไม่ได้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นน้อยๆ กับสายตาของหนุ่มน้อยในรูปที่มองมา
ในภาพคือความอบอุ่นของครอบครัวเล็กๆ ซึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาว
นุชนารถยังเป็นเด็กสาว หน้าตาน่ารักไม่ต่างจากปัจจุบันนัก ส่วนพี่ชายนั้นเป็นเด็กหนุ่มหน้าหวานละม้ายกับมารดา สาวงามตามแบบฉบับของชาวเหนือ
น่าเสียดาย...สาวงามกับบุรุษวัยฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ ลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว
มนตราวางภาพลงที่เดิมแล้วเอ่ยเบาๆ
“ขออนุญาตมาอยู่ที่บ้านนี้สักพักนะคะ”
หญิงสาวเดินออกมายังเฉลียงกว้างข้างนอกซึ่งมีบันไดทางขึ้นจากชั้นล่าง มายังชั้นสองได้โดยไม่ต้องผ่านห้องรับแขกชั้นล่าง หล่อนเดินมายังรั้วไม้เตี้ยๆ ที่มีแปลงดอกไม้กระถางอยู่ข้างบน ชะโงกลงไปมองยังชั้นล่างซึ่งเป็นสวนดอกไม้
กุหลาบสีสันต่างๆ แข่งกันออกดอกอย่างงดงาม
มนตราสูดอากาศซึ่งเริ่มเย็นลง หลังจากแสงแดดจางลง หล่อนมองไปโดยรอบเห็นต้นไม้ไกลสุดตา สลับกับอาคารอยู่บนพื้นที่กว้างสลับกับเนิน โดยมีภูเขาเป็นฉากหลัง
บ้านไร่นี้ก็ไม่เลวทีเดียว...แต่ตอนนี้หล่อนเห็นจะต้องไปโทรศัพท์ไปหาเจ้าของคำชวนหน่อยเสียแล้ว กับการเข้าใจผิดของพี่ชายของนุชนารถ
เสียงสัญญาณรอไม่กี่ครั้งทางฝ่ายโน้นก็รับสาย
“พี่เอง...ยายนุช”
“ค่ะพี่มนตร์... เป็นไงบ้างคะ ไปถึงไร่หรือยัง หาไร่เจอไหมคะ” นุชนารถถามรัวเป็นชุดด้วยน้ำเสียงแจ่มใสอันเป็นบุคลิกเด่นของหล่อน
“ถึงแล้วจ้ะ...หาเจอ” แต่เกือบต้องเดินขาลาก...มนตราต่อในใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็พักให้สบายนะคะ อยู่กี่วันก็ได้พี่มนตร์ไม่ได้ต้องเกรงใจนะคะ เดี๋ยวนุชจะโทรไปบอกพี่ภูให้หารถให้พี่มนตร์คันนึงนะคะ จะได้ขับไปเที่ยวได้สะดวก”
ชื่อของพี่ชายที่หลุดออกจากนุชนารถทำให้หล่อนต้องถอนใจน้อยๆ
“สงสัยจะไม่ได้เที่ยวตามที่ว่าไว้แล้วล่ะมั้งจ๊ะ”
“เอ๋...อะไรนะคะ” น้องสาวของภูหมอกส่งเสียงงุนงงมาตามสาย
“คือว่า...อย่างนี้จ้ะ” มนตราเล่าเรื่องที่ถูกภูหมอกเข้าใจผิดว่าหล่อนเป็นนักบัญชีคนใหม่ที่นุชนารถส่งมา รุ่นน้องสาวครางเบาๆ
“หวาย...ขอโทษแทนพี่ภูด้วยนะคะ โอ๊ย...แกเข้าใจผิดอย่างแรงเลยค่ะ”
มนตราหัวเราะเบาๆ กับน้ำเสียงแห้งๆ ของรุ่นน้อง
“นุชบอกแกไว้เองแหล่ะค่ะ ว่าจะหารุ่นพี่รุ่นน้องมาทำบัญชีของไร่ แต่พอดียายเบญ...รุ่นน้องโต๊ะน่ะค่ะ พ่อกับแม่เกิดหวงไม่อยากให้ไปไกลบ้านซะอย่างนั้นเลยเบี้ยวนุช พี่ภูเลยเข้าใจผิด... เอาอย่างนี้นะคะ เดี๋ยวนุชโทรไปบอกพี่ภูให้ว่าพี่มนตร์มาเที่ยวที่บ้านเฉยๆ” นุชนารถพูดรัวเร็ว
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แล้วนุชยังหาคนมาแทนไม่ได้ใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ...คงอีกพักน่ะค่ะ” นุชนารถถอนใจ ความจริงจะเร่งหาก็พอจะได้แต่ว่าหล่อนไม่อยากให้เกิดการผิดพลาดเหมือนที่ผ่านมา
การหาคนที่ไว้ใจได้มันต้องใช้เวลา
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พี่เองก็ไม่ได้ต้องการจะเที่ยวอะไรมากมาย แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้น” เผื่อสมองมันจะโล่งขึ้นบ้าง “เดี๋ยวพี่จะช่วยนุชตามที่พี่ชายของนุชว่าก็แล้วกันนะจ๊ะ ถ้านุชไว้ใจพี่”
“โอ้โห... ได้อย่างนั้นก็ดีสิคะ” นุชนารถร้องอย่างยินดีเพราะว่าหล่อนรู้ดีว่ารุ่นพี่สาวคนนี้เก่งถึงขนาดได้เกียรตินิยมเชียว ถึงจะไม่ได้ทำงานบริษัทใหญ่ๆ เพราะชอบงานด้านอื่นมากกว่า แต่งานของไร่เพียงหมอกก็คงไม่เหลือมือรุ่นพี่สาวแน่
“ตกลงเอาอย่างนี้นะจ๊ะ”
“ขอบคุณมากค่ะพี่มนตร์”
มนตราหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์ นุชนารถขอบอกขอบใจหล่อนอีกยกใหญ่พร้อมกับบอกว่าคงอีกสักพักหล่อนถึงจะกลับไร่เพียงหมอกได้ เพราะพี่ชายให้หล่อนลงไปดูแลบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตผลของไร่เพียงหมอกที่หล่อนเองก็ยังไม่รู้ว่าที่ไร่นี้เขาทำอะไรกันบ้าง
รู้แต่ว่านุชนารถมีดอกไม้สวยๆ ไปฝากหล่อนทุกครั้งที่เข้ากรุงเทพฯ
ร่างสูงที่กระโดดขึ้นบันไดมาทีละขั้นสองขั้นในตอนพลบค่ำต้องชะงักเมื่อพบว่าบนเฉลียงกว้างของบ้านไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนทุกวัน บนชุดเก้าอี้ไม้มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ทางบันได ผมยาวสยายสีดำขลับแผ่กระจายเต็มแผ่นหลังดึงดูดสายตาของเขาได้ชะงัด
มนตราได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไปมองทางด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นว่าใครก้าวขึ้นมาบนเฉลียง
ภูหมอกก้าวเร็วๆ มายังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหญิงสาวแล้วทรุดตัวนั่ง
“เป็นไงบ้างคุณ...ชอบที่นี่ไหม”
รอยยิ้มบนหน้านวลๆ กับประกายตาที่บอกความกระตือรือร้นจะเป็นยังไงนะ ถ้าหล่อนบอกว่าไม่ชอบเอามากๆ มนตราแอบคิดในใจ
“ชอบค่ะ...ตัวบ้านแล้วก็รอบๆ สวยมาก ยิ่งดอกไม้ยิ่งสวย”
เสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจทำให้หล่อนอดยิ้มไปด้วยไม่ได้
“คุณชอบดอกไม้เหรอ”
“มีใครไม่ชอบบ้างล่ะคะ”
ภูหมอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“ไม่รู้สิ...รู้แต่ว่ายิ่งคนชอบดอกไม้เท่าไร ยิ่งเป็นผลดีกับไร่เท่านั้น”
“อะไรดีกับไร่เหรอครับ...นี่มันเลิกงานแล้วนะเจ้านาย พักหายใจซะบ้างก็ได้นะครับ” เอกพงศ์ส่งเสียงมาก่อนแล้วเจ้าตัวก็ก้าวจากบันไดขึ้นมาบนเฉลียง เขาตามเจ้านายออกจากไร่มาด้วยกัน แต่มัวจอดรถจึงขึ้นมาช้ากว่า
“อ้าว...ปกติไม่ได้หายใจหรือไง” ภูหมอกเลิกคิ้ว ตีหน้าตายกับลูกน้องที่ก้าวเข้ามานั่งเก้าอี้ข้างๆ
“แหะๆ หายใจครับ เพียงแต่ว่าบางทีก็ถูกใช้งานหนักจนหายใจไม่ค่อยจะพอ”
มนตราหัวเราะกับสำนวน ‘คนงาน’ ที่บ่งให้รู้ว่าเจ้าตัวนั้นมีความสนิทสนมกับนายใหญ่ของไร่ จนกล้าที่จะพูดจาล้อเล่นกันได้ หล่อนมองตาดำจัดของคนหน้านวลก็บ่งความรื่นรมย์
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้พักหายใจนานๆ ดีไหม สักปีสองปี”
เอกพงศ์หลับตาปี๋
“พักหรือไล่ออกกันแน่ครับนั่นน่ะ” หนุ่มแว่นหันมาทางหญิงสาว “คุณมนตร์ดูสิครับ เจ้านายจะหาทางไล่ผมออกแล้ว ใจร้ายยยยย”
มนตรายิ้มกับเสียงโอดครวญ
ภูหมอกแสยะยิ้มแต่ประกายตาพราว
แม้ว่าชื่อสั้นๆ ของหญิงสาวที่ออกมาจากปากของเอกพงศ์อย่างสนิทสนม มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก
“อ้าว...ก็นายบอกว่าทำงานหนัก ฉันก็จะให้พักไง ไม่ชอบอีก...เอาใจยากจริง ใช่ไหมคุณมนตร์” ประโยคหลังเขาหันไปทางหญิงสาว
มนตราเกือบสะดุ้งกับชื่อของหล่อนที่ออกจากริมฝีปากบางราวกับผู้หญิง น้ำเสียงที่ใช้ถ้าหล่อนฟังไม่ผิดมันดูพะเน้าพะนอชวนขนลุกยังไงชอบกล
“เอ...อันนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้แต่ว่าขอทำงานแบบหายใจไปด้วยได้สบายๆ ดีกว่านะคะ”
สองหนุ่มหัวเราะกับสำนวนที่บอกว่ามนตราไม่ใช่ผู้หญิงหวานแหววเรียบร้อย แต่เป็นผู้หญิงที่มีฝีปากไม่ใช่เล่น ภูหมอกชำเลืองมองเอกพงศ์ที่หัวเราะเสียงดังกับคำพูดของหญิงสาวเป็นพิเศษ
ไม่เคยเห็นเจ้าแว่นมองผู้หญิงคนไหนสักที
อาหารเย็นฝีมือนางบัวคำถูกจัดที่เฉลียงตามคำสั่งของภูหมอกแทนห้องอาหารด้านใน ซึ่งก็ตรงกับใจของอีกสองหนุ่มสาว เพราะบรรยากาศตอนพลบค่ำของไร่นั้นสบายอย่างบอกไม่ถูก ไฟฟ้าสว่างพรึบเมื่อพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา
“ทานได้ไหมครับ...ป้าคำแกทำอาหารอร่อยนะครับ” เอกพงศ์ถามหญิงสาวก่อนจะโฆษณาชวนเชื่อ รายการอาหารของนางบัวคำเป็นอาหารทางเหนือ โดยเฉพาะน้ำพริกอ่องกับผักสดในตะกร้าขนาดย่อม
“ได้ค่ะ...น่าอร่อยทั้งนั้นเลยนะคะ ผักนี่น่าทานจริงๆ” มนตราตอบ
“ผักจากไร่เราเองครับ...รับรองปลอดสารพิษ” หนุ่มแว่นอธิบายเมื่อเห็นหญิงสาวสนใจผักที่จัดมาทั้งผักพื้นบ้านและผักสายพันธุ์ต่างประเทศ
ภูหมอกชำเลืองคนพูดอย่างหมั่นไส้นิดๆ เสียงเอกพงศ์ดังแจ้วๆ ไม่หยุด
“ไร่ของเรา...เอ๋...ของคุณภูครับ ไม่ใช่ของผม” เอกพงศ์พูดกลั้วหัวเราะ “ในไร่มีการปลูกผักปลอดสารพิษ ลงทุนมากหน่อยแต่คุ้มค่าครับ ตอนนี้ใครๆ ก็ต้องการผักปลอดสารพิษ แล้วก็ยังมีพวกผักไฮโดรโฟรนิกส์...ผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดินครับ อันนี้ยิ่งขายดีสุดๆ ทั้งภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้าสั่งกันจนปลูกไม่ทัน”
มนตรายิ้มกับคำอธิบายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเอกพงศ์ซึ่งหล่อนรู้แล้วว่าเขาเป็น ‘คนงาน’ ประเภทไหนของไร่
ก็คนงานที่จบเกษตรศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัย มีความรู้และความสนใจเป็นพิเศษเรื่องการขยายพันธุ์พืชโดยใช้การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ รวมถึงผสมพันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาวต่างๆ ด้วย
ฟังๆ ดูแล้วก็ไม่ได้มีแค่เอกพงศ์ที่เป็น ‘คนงาน’ แบบนี้ ดูท่าไร่เพียงหมอกจะน่าสนใจยิ่งขึ้น
เอ...แล้วตัวเจ้าของไร่ล่ะ
มนตราเหลือบมองคนหน้านวล เลิกคิ้วกับนัยน์ตาขุ่นๆ ที่ตวัดมาทางหล่อนแล้วเบือนหนี ก่อนจะสนใจแต่อาหารของนางบัวคำ
อืม...ดูท่าทางแปลกๆ ชอบกล
มนตราใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่เพิ่งสระหลังออกจากห้องน้ำ อากาศในตอนค่ำนี้แม้ยังไม่ใช่หน้าหนาวแต่ก็เย็นไม่น้อยทีเดียวสำหรับคนที่เจอแต่ฤดูร้อน ฤดูร้อนมาก และฤดูร้อนที่สุดทั้งปีอย่างหล่อน แต่ในเรือนใหญ่นี้ก็สะดวกสบายทีเดียวเพราะห้องของหล่อนมีห้องน้ำในตัวและติดเครื่องทำน้ำร้อนไว้พร้อมสรรพ
ผมยาวที่ตอนนี้กำลังหมาดถูกโพกไว้ด้วยผ้าบนศีรษะ มนตราในชุดนอนผ้าฝ้ายเนื้อนิ่มแบบขาสั้นนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับขวดโลชั่นทาผิว
ความจริงหล่อนก็ไม่ได้รักสวยรักงามอะไรมาก แต่เป็นความเคยชินที่ถูกคุณป้าพี่สาวคนโตของมารดาซึ่งหล่อนไปอาศัยอยู่ด้วยเป็นประจำ เนื่องจากบิดามารดาไม่ค่อยได้อยู่ประจำต้องเดินทางบ่อยนั้นจ้ำจี้จ้ำไชนักหนา และยังซื้อเครื่องประทินผิวไว้ให้เสร็จสรรพเพราะรู้ว่าหลานสาวไม่คิดจะสนใจจัดหาเอง
“ผู้หญิงน่ะต้องรู้จักดูแลตัวเองบ้าง จะปล่อยให้ตัวเองแก่ไปทุกวันๆ ได้ยังไงยะยายมนตร์” สาววัยห้าสิบกว่าๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อกับหน้าตาผิวพรรณที่ดูน้อยกว่าอายุจริงเป็นสิบปี พร่ำบ่นใส่หูหล่อนอยู่เสมอ
แต่การที่ต้องอาบน้ำอุ่นแล้วควรจะทาผิวให้ชุ่มชื้นไว้เพราะว่าน้ำอุ่นนั้นทำให้ผิวแห้งง่ายก็ถูกของคุณป้าใหญ่เหมือนกัน
ถึงจะไม่ใส่ใจอะไรแต่หล่อนยังไม่อยากตัวลอกเป็นขุย
จริงๆ แล้วมนตรารู้ว่าคุณป้าใหญ่รักและหวังดีกับหล่อนมาก เรียกว่าบางทีก็หวังดีจนเกินไปทำให้ขัดใจกันอยู่บ่อยๆ เพราะหล่อนเองก็ไม่ใช่คนหัวอ่อน
นี่ถ้าคุณป้าใหญ่กลับมาจากต่างประเทศแล้วพบว่าหล่อนไม่ได้อยู่บ้านเฝ้าสมบัติให้ล่ะก็ ต้องโวยวายเป็นยกใหญ่แน่ แต่ก็นั่นแหละมันยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก
มนตราเช็ดผมต่อหลังจากที่ทาโลชั่นเรียบร้อยจนเกือบแห้งสนิทแล้วจึงเริ่มต้นแปรงผม ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงยาวเกือบจรดเอว ปกติหล่อนมักจะถักเป็นเปียเดี่ยวเพื่อไม่ให้เกะกะ แต่การปล่อยสยายอย่างนี้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
หลังจากเสร็จธุระก็ลุกจากเตียงมายังโต๊ะหนังสือที่มุมหนึ่งของห้อง หล่อนเหลียวมองออกนอกหน้าต่าง ความมืดปกคลุมทั่วไร่ มีเพียงแสงไฟตัดความมืดตามบ้านที่อยู่ชายไร่ให้เห็นอยู่ลิบๆ
มนตราทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ มองคอมพิวเตอร์เล็กน้อยก่อนจะหยิบกระดาษที่วางเคียงกันมาวางตรงหน้า ปากกาหมึกดำอยู่ในมือ
ในความเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสลับกันเท่านั้น
มนตราจ้องกระดาษสีขาวว่างเปล่า นิ้วเรียวยังจับปากกาค้างอยู่เช่นเดิมแม้เวลาจะผ่านไปสักพักแล้ว
ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆ เมื่อตัดสินใจวางปากกาอีกครั้ง
แม้กระทั่งเปลี่ยนบรรยากาศขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิม
ไร้ตัวอักษรใดๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง...เฉกเดียวกับในเวลาสามเดือนที่ผ่านมา
มนตราสะบัดศีรษะขับไล่ความหม่นหมองในใจที่ไม่สามารถเรียงร้อยตัวอักษรใดๆ ออกมาได้ แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานเดินกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง สายตาทอดยาวออกไปบนท้องฟ้ากว้าง
คืนนี้ฟ้าใสไร้เมฆปกคลุม ดวงดาวน้อยใหญ่จึงถือโอกาสแข่งกันทอประกาย ดังดวงไฟสีนวลพราวอยู่ทั่วทั้งผืน ภาพธรรมดาที่ยากจะเห็นในเมืองใหญ่ซึ่งแสงไฟวิทยาศาสตร์อันร้อนแรงแข่งกันเปล่งประกายข่มธรรมชาติอันงดงามให้หายสิ้น
นึกไปแล้วก็น่าสงสารตัวเองที่อาศัยอยู่แต่ในเมืองกรุงเป็นส่วนใหญ่ ยามใดที่ออกต่างจังหวัดมนตราไม่รั้งรอที่จะเสพความอ่อนหวานไร้มารยาที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้เกินกว่ามนุษย์จะทำได้
ลมโชยเบาๆ หอบเอาไอเย็นและกลิ่นหอมของดอกไม้บางชนิดที่แข่งกันส่งกลิ่นยามค่ำคืนเข้ามาในห้องยิ่งทำให้รู้สึกถึงความสวยงามของบรรยากาศ จนกระตุ้นอารมณ์อันอ่อนหวานของหญิงสาวขึ้นมา
มนตรากลับไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบกล่องไม้ขนาดยาวออกมาวางที่เตียงนุ่ม แล้วกดสลักเปิดออก มือเรียวสวยหยิบฟลุ้ตเลางามขึ้นมา ริมฝีปากบางเผยอยิ้มกับเครื่องดนตรีชิ้นโปรด
หล่อนกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง พิงแผ่นหลังไว้กับกรอบหน้าต่าง เอียงข้างหันหน้าไปออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า
ภูหมอกเงยหน้าขึ้นจากวารสารไม้ดอกจากต่างประเทศที่เขาสั่งซื้อเป็นประจำเพื่อเพิ่มข้อมูลและข่าวน่าสนใจ ซึ่งจะทำให้เขาสามารถปรับปรุงผลผลิตหรือแม้กระทั่งการตลาดให้บรรลุเป้าหมายได้
เขาโตมาที่ไร่แห่งนี้ เห็นพ่อและแม่ทำไร่มาตั้งแต่เล็กจนโต
ต้นไม้ดอกไม้ทั้งหลายคือชีวิตจิตใจของพ่อกับแม่
เขาเองรักการทำไร่ รักต้นไม้ รักดอกไม้ รักทุกชีวิตบนไร่แห่งนี้
และเขาก็พยายามอย่างหนักที่จะเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพให้กับไร่ เพราะไม่ใช่เพียงแค่เขาและน้องสาวเท่านั้น แต่ไร่เพียงหมอกยังรวมไปถึงคนงานทุกๆ คน
แม้วันนี้พ่อกับแม่ของเขาจะจากไปแล้ว แต่ผืนดินอันเป็นที่รักยิ่งของท่านทั้งสองนั้นเขากับน้องจะสานความรักความฝันของท่านตลอดไป
“เสียงดนตรี” ภูหมอกพึมพำกับตัวเอง เสียงหวานใสก้องกังวานลอยมากระทบโสตประสาทของเขา
บนเรือนใหญ่มีเครื่องดนตรีชิ้นเดียว คือ เปียโน ซึ่งตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นชั้นบนอันเป็นที่โปรดปรานของครอบครัวมาตั้งแต่เมื่อก่อน คนที่เล่นเปียโนได้มีเพียงมารดา น้องสาว และตัวเขาเอง
แต่... ไม่ใช่เสียงเปียโน
ภูหมอกวางหนังสือแล้วลุกขึ้นจากโซฟาในห้องนอนที่เขานั่งอ่านสบายๆ หลังจากรับประทานอาหาร แล้วเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสองแยกย้ายไปพักผ่อน เขาก้าวออกจากห้องเดินตามเสียงดนตรีไพเราะ ด้วยความสงสัย
ห้องริมสุดของเรือนใหญ่... ภูหมอกเดินมาหยุดก่อนจะถึงหน้าห้อง
“มนตรา” เขาพึมพำเพราะว่าเสียงดนตรีปริศนาดังออกมาจากห้องของมนตราที่นางบัวคำจัดให้ เขายังแอบหัวเราะอยู่เหมือนกันเมื่อรู้ว่ามนตราอยู่ห้องไหน
อย่างกับกลัวเขาย่องเข้าห้องหล่อนถึงจัดให้เสียอีกปีกเรือน
ภูหมอกหันหลังกลับเพราะไม่ควรเลยที่เขาจะไปป้วนเปี้ยนหน้าห้องของนักบัญชีสาวคนใหม่ แต่เสียงดนตรีนั้นจับใจเขาอย่างบอกไม่ถูก แทนที่จะกลับห้องภูหมอกก้าวออกไปยังเฉลียงหน้าบ้าน
ลมเย็นๆ ไม่ได้ทำให้ร่างสูงใหญ่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสะท้าน เขายืนพิงราวกั้นหันหน้าไปยังทิศที่เสียงดนตรีดังลอยมา ถึงห้องของมนตราจะอยู่ไกลจากห้องของเขามาก แต่กับเฉลียงนี้ไม่ได้ไกลเกินกว่าที่เขาจะมองเห็นร่างโปร่งที่ยืนพิงกรอบหน้าต่าง
ใบหน้าหวานแหงนเงยมองฟ้ากว้างที่ดารดาษด้วยดวงดาว ท่าทางดื่มด่ำกับการบรรเลงเครื่องดนตรีในมือจนไม่ได้สังเกตว่าที่เฉลียงมีคนกำลังเคลิบเคล้มกับมนตราของดนตรีหวานแว่วไม่แพ้กัน
เสียงฟลุ้ตใสหวานกังวานทั่วเรือนใหญ่
................................................................................................
ความคิดเห็น