คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ไร่เพียงหมอก ((แก้ไข))
มนตร์เพียงรัก
ตอน ๑ ไร่เพียงหมอก
รถโดยสารประจำทางหยุดพรืดลงตรงหน้าถนนเล็กๆ ที่แยกลงจากถนนใหญ่ทอดเข้าไปในผืนดินกว้าง แสงจ้าของตะวันยามบ่ายทำให้หญิงสาวที่ลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ต้องยกมือขึ้นป้องหน้า หล่อนนิ่วหน้าเมื่อรถโดยสารแล่นต่อไปแทบจะทันทีที่หล่อนก้าวถึงพื้น
มนตรา กิจจาลักษณ์ มองรั้วไม้โปร่งยาวเหยียดตามแนวถนน แล้วหยุดที่ป้ายไม้แกะสลักซึ่งอยู่ใต้ซุ้มศาลาศิลปะล้านนา พันธุ์ไม้เมืองหนาวออกดอกสะพรั่งอยู่รายรอบซุ้มแล้วถอนใจอย่างโล่งอก
‘ไร่เพียงหมอก’
แสดงว่าหล่อนมาไม่ผิดที่ เพราะเส้นทางจากสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งหล่อนมาถึงเมื่อตอนเช้าและต่อรถมาตามคำแนะนำของคนที่สถานีเพื่อมายังไร่แห่งนี้ ได้ผ่านทั้งรีสอร์ตและไร่ใหญ่น้อยหลายแห่ง สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยสีเขียวขจีของใบไม้ตัดกับสีสันสดใสของไม้ดอกนานาพันธุ์กับช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ เชียงใหม่ราวกับเป็นเมืองแห่งดอกไม้ทีเดียว
แต่โล่งอกที่มาถูกไร่ได้ไม่นานก็มีเรื่องทำให้มนตราหนักใจอีกรอบ เพราะหล่อนกำลังคิดว่าจะหาทางเข้าไปในไร่อย่างไร ก็เจ้าถนนเส้นเล็กที่ทอดเข้าไปในไร่นั้นหล่อนมองจากสายตาตอนนี้ยังไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างอะไรตรงหน้า
แสดงว่าถนนคงเข้าไปอีกไกลทีเดียว แล้วหล่อนจะลากกระเป๋าใบใหญ่ไปถึงข้างในไร่ไหวหรือ มนตรารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คุณหนูบอบบาง สมัยเรียนนั้นหล่อนอยู่ในจำพวกแบกหามของคณะ ไปค่ายอาสามาทุกภาคของประเทศ แต่หล่อนก็พอรู้กำลังของตัวเองดี
ระยะทางเป็นกิโลอย่างนี้ถ้าเดินธรรมดาก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่มีกระเป๋าใบใหญ่และเป้ที่สะพายหลังอยู่ตอนนี้เป็นสัมภาระล่ะก็ทำให้หล่อนคิดหนักอยู่เหมือนกัน
มนตราเอ๊ย...ทำไมหล่อนซวยอย่างนี้น้อ
เลือกวันมาได้เสียดิบดี
แต่ในที่สุดมนตราก็ตัดสินใจเดินไปตามถนนคอนกรีตเส้นเล็กขนาดพอที่รถสองคันจะสวนกันได้ เพราะไม่รู้ว่าจะยืนตากแดดอยู่เฉยๆ ทำไม
แม้จะพร่ำบ่นในความโชคร้ายของวันซึ่งหล่อนโทษว่าเป็นเพราะอาถรรพ์เบญจเพสที่ใกล้ๆ จะหมดขวบปี แต่มนตราก็เดินไปได้ไกลโขโดยไม่ได้ชื่นชมกับแปลงไม้ดอกไม้ใบข้างทางซึ่งปลูกไว้เป็นแนวสลับสีกันอย่างสวยงาม เพราะอากาศร้อนจัดยามบ่าย ชนิดที่ทำให้หล่อนชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งตัว
เสียงเครื่องยนต์ดังมาทางด้านหลังทำให้มนตราหันขวับ ริมฝีปากแห้งผากเผยอยิ้มขึ้นเมื่อเห็นรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ชะลอลง และจอดข้างๆ หล่อน
ชายหนุ่มที่ดูอายุไม่น่าห่างจากหล่อนมากนักโผล่ออกจากหน้าต่างเมื่อเลื่อนกระจกลง ยิ้มกว้างกับดวงตาหยีภายใต้แว่นตาหนา แต่ตอนนี้มนตราเห็นเหมือนกับมีวงแหวนเหนือศีรษะและปีกสีขาวอยู่เบื้องหลังเขาด้วย
ในที่สุดเทวดาก็มาโปรดหล่อนเสียที
“จะเข้าไร่เหรอครับคุณ”
“ใช่ค่ะ...” หล่อนส่งยิ้มหวานที่สุดอย่างมีความหวัง
“ให้ผมไปส่งไหมครับ...ถ้าเดินต่อก็อีกไกลเหมือนกันนะครับ”
ไม่มีทางที่มนตราจะปฏิเสธ หล่อนรีบพยักหน้า หนุ่มตี๋แว่นหัวเราะแล้วพาตัวลงจากรถตรงเข้ามาช่วยยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นกระบะท้ายรถ ส่วนเป้สะพายหลังนั้นมนตราปลดมากอดไว้ที่หน้าตักเมื่อขึ้นมานั่งด้านข้างคนขับ
“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้คุณล่ะก็แย่เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่ทำไมคุณต้องมาเดินเข้าไร่อย่างนี้ล่ะครับ” เขาถามอย่างสงสัยเพราะไม่นึกว่าจะเจอผู้หญิงเดินลากกระเป๋าอยู่ข้างทาง
มนตรายิ้มแห้งๆ บอกถึงสาเหตุว่าหล่อนนั้นนั่งรถโดยสารมา แต่ก็มาส่งหล่อนเพียงแค่หน้าไร่เท่านั้น
“คือฉันไม่รู้น่ะค่ะว่าตัวไร่จะอยู่ห่างจากถนนขนาดนี้”
“ไร่เพียงหมอกค่อนข้างกว้าง ตัวสำนักงานของไร่อยู่ข้างในครับ เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณ...”
“มนตราค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า ชื่อหล่อนแปลกแต่เก๋ทีเดียว เขาคะเนอายุของหล่อน ท่าทางของหล่อนเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กๆ แต่ดวงหน้าใสๆ กับผมยาวถักเป็นเปียเดี่ยวอยู่เบื้องหลังนั้นทำให้เขาต้องชั่งใจ
น่าจะเกินยี่สิบมาไม่กี่ปีล่ะมั้ง
“ผมชื่อเอกพงศ์ครับ เรียกว่าแว่นก็ได้ เป็นคนงานในไร่นี้”
มนตราเลิกคิ้ว มองแววตาขี้เล่นที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแว่นใสแล้วหัวเราะ
“ว่าแต่...คุณมนตรามาธุระที่ไร่หรือครับ” เขาถามเสียงร่าเริงแต่ก็เต็มไปด้วยความสงสัยเพราะกระเป๋าใบใหญ่ที่เขาช่วยหล่อนยกนั้นหนักไม่น้อยทีเดียวบ่งบอกว่าเจ้าหล่อนคงไม่ใช่มาเที่ยวเล่นที่นี่ เขาทำงานที่ไร่นี้มาหลายปีแต่ยังไม่เคยเห็นหญิงสาวคนนี้มาก่อน
“คือ...ฉันมาหาคุณนุชนารถค่ะ”
เอกพงศ์เลิกคิ้ว
รถกระบะจอดแล่นมาจอดอย่างนิ่มนวลหน้าอาคารหลังเล็กชั้นเดียว รายรอบด้วยแปลงดอกไม้อย่างที่หล่อนเห็นมาตลอดสองข้างทาง มนตราก้าวลงเมื่อรถจอดนิ่งสนิทพร้อมกับหนุ่มแว่นที่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“มาถึงแล้วครับ เชิญคุณมนตราเข้าไปรอข้างในก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจัดการยกกระเป๋าลงให้”
“ขอบคุณคุณแว่นมากนะคะ” มนตรายิ้มพลางก้าวเข้าไปยังประตูหน้าอาคารซึ่งปิดสนิท ทีแรกหล่อนจะไปยังตัวบ้านแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเอกพงศ์ก็บอกว่าจะไปส่งที่สำนักงานไร่ให้ ไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจว่าอย่างไรแต่หล่อนไม่ได้ทักท้วงปล่อยให้เลยตามเลย ยังไงก็คงได้พบกับใครสักคนที่พอจะรู้จักรุ่นน้องของหล่อนบ้างล่ะน่า
เอกพงศ์มองตามร่างโปร่งบางในชุดกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตท่าทางทะมัดทะแมงแล้วก็ยิ้มบางๆ ไม่นึกว่าวันนี้จะมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นอย่างนี้
เขาหันกลับไปขนกระเป๋าของหญิงสาวท้ายรถ
ผู้หญิงหน้าหวานกับกระเป๋าใบโต
มนตราเคาะประตูเป็นครั้งที่สามอย่างเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วกับความเงียบเบื้องหลังประตู ริมฝีปากบางเม้มน้อยๆ ตามอารมณ์ หล่อนยอมรับว่าไม่ใช่คนใจเย็นนัก
และเมื่อครั้งที่สามผ่านไปแล้วยังเงียบหล่อนก็หมดความอดทน
มนตราลองบิดกลอนประตูก็ปรากฏว่าไม่ได้ลงกลอนจึงผลักประตูเข้าไปเต็มแรงโมโห ขณะเดียวกับที่ประตูถูกดึงเปิดออกจากภายในอย่างเต็มแรงเช่นกัน
ร่างโปร่งบางถลาไปข้างหน้าตามประตูที่เปิดออก
“ว้าย...” มนตราอุทานเสียงดังเมื่อเสียหลักล้มคะมำไปข้างหน้าและชนเข้ากับคนที่กำลังเปิดประตูอย่างหัวเสียเช่นกัน จึงเสียหลักด้วยกันทั้งคู่
“โอ๊ย...” หญิงสาวร้องอย่างตกใจเมื่อล้มกระแทกลงกับพื้นนุ่ม!
มนตราผงกศีรษะขึ้นอย่างแปลกใจกับพื้นห้องซึ่งไม่แข็งอย่างที่คิด นัยน์ตาโตเบิกกว้างเมื่อประสานเข้ากับดวงตาคมกล้าอย่างใกล้ชิด ร่างโปร่งบางนิ่งขึงอย่างตกใจจนไม่ทันสังเกตว่าพื้นนุ่มๆ ที่หล่อนล้มทับนั้นคือร่างแกร่งของบุรุษ
“ผมต่างหากที่ต้องร้องโอ๊ยน่ะ” เสียงห้าวๆ แย้งขึ้นยิ่งทำให้หญิงสาวอ้าปากค้างอย่างน่าขัน เจ้าของร่างที่กลายเป็นพื้นให้หญิงสาวจึงอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนนัยน์ตาคมจะหรี่ลงน้อยๆ เมื่อหญิงสาวยังไม่ยอมขยับ ตัวเจ้าหล่อนไม่หนักก็จริงแต่การที่หล่อนอยู่บนตัวเขาชนิดเนื้อแนบเนื้อแบบนี้มันก็น่าหวาดเสียวจนเกินไป
“อืม...พอใจไหมครับคุณ”
มนตราหุบปากฉับกับคำถามกลั้วหัวเราะและประกายวาวแปลกๆ ของคนที่หล่อนทับอยู่
“พอใจ...อะไร”
“ก็ผมไงครับ...ผมถูกใจคุณรึเปล่า”
สีหน้าของหญิงสาวจากงุนงงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเมื่อแปลเจตนาของคำพูดของเขา
“ถูกใจ...เฮอะ ใครจะถูกใจคนหน้าปลาจวดอย่างคุณ” มนตราค้อนขวับแล้วรีบลุกขึ้นจากเรือนกายที่หล่อนรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของบุรุษฉกรรจ์ใต้เสื้อผ้า
อีตาบ้าโรคจิต!
ภูหมอกหัวเราะกับท่าทางตุปัดตุป่องของหญิงสาว เขาลุกขึ้นตามเพราะเมื่อไม่มีร่างโปร่งบางทับอยู่ก็ไม่รู้จะนอนเล่นอีกทำไม
“ถ้าอย่างผมเรียกว่าหน้าปลาจวด...สงสัยโลกนี้คงจะหาคนหล่อยากเหมือนกันนะคุณ”
มนตราอ้าปากค้างกับคำพูดของเขา
โห...นายคนนี้หลงตัวเองเป็นบ้า
แต่จะว่าไป...มนตราเงยหน้าขึ้นมองคนหลงตัวเองที่ดูเหมือนจะสูงกว่าหล่อนเยอะทีเดียว ใบหน้าคมคายด้วยเครื่องหน้าเข้มทั้งคิ้วหนา ดวงตาคมกล้าสีดำจัดที่ล้อมด้วยแพขนตางอนยาว จมูกโด่ง คางบึกบึน เรียวปากบางเฉียบสีชมพูระเรื่อราวกับผู้หญิง และผิวออกขาวนวลอย่างชาวเหนือซึ่งทำให้ลดความคมเข้มลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้น่าดูน้อยลง
เหอะ...ก็หล่อดีอยู่หรอก
ภูหมอกกลั้นยิ้มกับสายตาสำรวจของแม่สาวร่างบางตรงหน้า เขายืนให้หล่อนมองสบายๆ ขณะที่ลอบสำรวจหล่อนเช่นกัน หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้แม้จะไม่สวยเลิศเลอ โครงหน้าออกกลม พวงแก้มและริมฝีปากบางสีชมพูจัด กับนัยน์ตาโตสีน้ำตาลเข้มที่เปล่งประกายนั้นทำให้ดวงหน้าหวานนั้นน่ามองทีเดียว ทั้งๆ ที่มีเหงื่อชื้นบนหน้าผากกับจมูกมันๆ
“พอใจไหมคุณ” เขาถามอีกด้วยประโยคเดียวกัน
มนตราหน้าเรื่อ สะบัดหน้าไปจากนัยน์ตาพราวระยับที่ดูคุ้นตาชอบกล
ภูหมอกหัวเราะในลำคอกับริมฝีปากบางที่เม้มแน่น ท่าทางเจ้าหล่อนจะเป็นพวกอารมณ์ร้อนน่าดู แต่หน้าระเรื่อนั่นทำให้เขาสนใจได้อย่างประหลาด
“โอเค...ผมว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า คุณมีธุระอะไรกับไร่เพียงหมอก” ภูหมอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
มนตราหันกลับมาทางชายหนุ่ม หล่อนคลายริมฝีปากที่เม้มลงกับน้ำเสียงนุ่มๆ ปราศจากการล้อเลียน จึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเช่นกัน
“ฉันมาตามคำชวนของนุชนารถ” กำลังจะพูดต่อว่ารุ่นน้องชวนมาพักที่บ้าน แต่มนตรายังไม่ทันพูดเพราะกำลังงงกับท่าทางที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเขา
คิ้วหนาเลิกขึ้นกับคำตอบของหญิงสาว ก่อนที่เรียวปากบางแบบผู้หญิงจะยิ้มกว้าง ส่งให้ใบหน้านวลยิ่งสว่างไสวอย่างน่าดู
“เยี่ยม... โอ๊ย...คุณมาได้ทันเวลาพอดีเลย”
มนตรามองท่าทางกับคำพูดของผู้ชายตรงหน้าอย่างแปลกใจ ขณะกำลังจะเอ่ยถามก็ถูกมือใหญ่ของเขาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ หล่อนต้องเดินตามแรงกึ่งลากกึ่งจูงของชายร่างสูงใหญ่เข้าไปข้างในอาคารหลังเล็กอย่างงงๆ
ภูหมอกกดไหล่บอบบางให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะตัวใหญ่ในห้องด้านในซึ่งกั้นด้วยกำแพงกระจก มีกองเอกสารหลายกองตั้งอยู่ ส่วนตัวเองเดินอ้อมไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะ
“อะ...อะไรกันคะ” มนตราเพิ่งได้เอ่ย
“อ้าว...ก็ยายนุชชวนคุณมาที่นี่ใช่ไหม”
มนตราพยักหน้า ยังงงไม่หาย
“อืม...นั่นไง คุณมาทันเวลาพอดี ยายนุชลงไปคุมบริษัทที่กรุงเทพฯ ที่นี่ก็เลยขาดคนดูแลเรื่องระบบบัญชี” ภูหมอกเม้มปากนิดๆ เมื่อนึกถึงเรื่องยุ่งๆ ของช่วงที่ผ่านมา “ยายนุชบอกว่าจะหาคนมาช่วยดูแลแทนแก”
มนตรากำลังจะอ้าปากแย้งก็หุบลงกับประกายตาของความคาดหวังจากผู้ชายตรงหน้า นุชนารถคือรุ่นน้องคณะของหล่อนซึ่งค่อนข้างสนิทสนมกัน เมื่อไม่นานนี้หล่อนพบกับนุชนารถที่กรุงเทพฯ หล่อนบ่นเรื่องอยากออกไปพักผ่อนต่างจังหวัด และนุชนารถก็เสนอว่าให้ไปพักที่บ้านของหล่อน และตอนนี้หล่อนก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าขึ้นเหนือมา
กะว่าจะมาตระเวนเที่ยวให้ทั่วภาคเหนือ ไม่ใช่มาทำงานอย่างที่ผู้ชายตรงหน้าเข้าใจ
แต่นัยน์ตาคมทำให้หล่อนอึกอัก ไม่กล้าปฏิเสธ
ภูหมอกแปลกใจกับท่าทางประหลาดๆ ของหญิงสาว แต่เขาไม่ทันคิดว่าเกิดจากอะไร เพราะกำลังโล่งใจกับภาระงานใหญ่หลวงที่ทับเขาไว้
เขาเกลียดเรื่องระบบบัญชีที่สุดในโลก
“ตกลงคุณเริ่มงานที่นี่ได้เลย” เขาเอ่ยอย่างรวดเร็ว ลองว่าเป็นคนที่น้องสาวเขาส่งมาก็เห็นจะไม่ต้องสัมภาษณ์อะไรกันอีก
“หา...อะไรนะคะ”
ภูหมอกนิ่วหน้ากับใบหน้าเหลอหลาของหล่อน
“ก็เริ่มงานไง คุณคงไม่ได้ถ่อสังขารมานี่แล้วกลับออกไปหรอกนะ เรื่องที่พักไม่ต้องเป็นห่วง ยายนุชน่าจะเคยเล่าให้คุณฟังแล้วว่าเรามีบ้านพักให้ แต่ตอนนี้เรือนเล็กกำลังซ่อมอยู่ ช่วงนี้ฝนตกหนักทำเอาหลังคารั่วไปหลายจุด ผมจะให้คุณอยู่ที่เรือนใหญ่แล้วกัน”
มนตราอ้าปากฟังเขาพูดแทบไม่ทัน
ตกลงคือหล่อนต้องมาทำงานที่นี่ใช่ไหม
“เอ่อ...แล้ว...คุณ...”
ภูหมอกหัวเราะเบาๆ
“จริงสิ...คุยกันตั้งนาน เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผมภูหมอกพี่ชายของยายนุช”
หา...ตาเนี่ยนะ
มนตรากลืนน้ำลาย เคยได้ยินนุชนารถเล่าให้ฟังบ่อยๆ ถึงพี่ชายที่อายุมากกว่าห้าปี แต่ไม่นึกว่านุชนารถที่รูปร่างบอบบางราวตุ๊กตาจะมีพี่ชายสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นอย่างนี้ ถึงจะเป็นยักษ์หน้านวลที่รูปหล่อเอาการทีเดียว
“มนตร์...มนตราค่ะ”
ภูหมอกยื่นมือมาตรงหน้า
“ยินดีที่ได้รู้จัก...แล้วก็หวังว่าเราจะร่วมงานกันอย่างราบรื่นนะ”
มนตราชั่งใจมองมือใหญ่ตรงหน้าอยู่ครู่ก่อนจะยื่นมือไป
ก็หวังว่า...มันจะราบรื่นอย่างที่เขาว่าอย่างนั้นแหละ
ความคิดเห็น