ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ในห้วงแห่งความทรงจำ ตอน ถนนพระอาทิตย์...๑
ในห้วงแห่งความทรงจำ ตอน ถนนพระอาทิตย์...๑
ร่างสูงเดินช้าๆ มาตามบาทวิถีจากโรงละครแห่งชาติ ผ่านวิทยาลัยนาฏศิลป์กรุงเทพ สำนักงานการท่องเที่ยวกรุงเทพ สะพานพระปิ่นเกล้า เรื่อยมายังถนนสายเก่าแก่อีกสายหนึ่งของกรุงเทพ ถนนพระอาทิตย์
การจราจรค่อนข้างเบาบางจะเพราะวันนี้เป็นวันหยุด ทำให้สามารถเดินชมถนนสายเก่าแก่อีกสายหนึ่งของกรุงเทพได้อย่างสบายใจ แสงแดดยังจัดจ้าเพราะยังอยู่ในช่วงบ่ายแก่ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด เพราะปกติเขาก็ต้องตากแดดอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว
เสียงดนตรีเพลงโปรดของเขาดังขึ้น จึงล้วงมือหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรดที่เขาใส่เป็นประจำ
“เออ... อยู่ไหนวะ” เสียงห้าวๆ จากปลายสายดังมา
มุมปากของชายหนุ่มขยับยิ้มนิดๆ
“อยู่แถวนี้แหละ...”
“อ้าว... เอ็งนี่กวน...นี่หว่า แถวนี้ของเอ็งน่ะมันที่ไหนวะ”
“ก็... ถนนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา... มีตึกเก่าๆ สวยๆ เยอะแยะไปหมด...ฮึฮึ”
“ไอ้...” ปลายสายสบถออกมากับคำตอบยียวนของอีกฝ่าย
“ตกลงเอ็งอยู่ส่วนไหนของโลก...”
“อยู่ส่วนเดียวกับเอ็งนั่นแหละ...นี่เอ็งไปถึงร้านแล้วเรอะ มีใครมาถึงแล้วบ้าง”
“เออ... มีข้ากับไอ้ปรัชญ์ไอ้ปราชญ์ แล้วเมื่อไหร่คุณจะเสด็จมาถึง นี่อย่าบอกนะว่าแกมัวแต่เดินชมเมืองอยู่”
“อีกไม่เกินสิบนาทีน่า...”
“เออ...พวกข้าจะรอ”
กานท์ กันยธีรนันท์ กดปุ่มวางสายเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม นัยน์ตาสีเหล็กฉายแววยิ้มนิดๆ เขาบอกเพื่อนไปว่าสิบนาทีแต่ก็ไม่ได้เร่งฝีก้าวขึ้น ยังใช้ระดับความเร็วเท่าเดิม นัยน์ตาทั้งคู่มองทิวทัศน์รอบข้างอย่างรื่นรมย์
วันนี้เขานัดกับเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จนระดับมหาวิทยาลัยก็เรียนที่เดียวกันแม้จะแยกย้ายกันเรียนตามคณะที่ชอบแต่ก็ยังสนิทกัน มีเพียงช่วงหลังจากเรียนจบที่ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรเพราะต่างคนต่างก็ยุ่งไปกับการทำงาน โดยเฉพาะตัวเขานี่แหละที่ไม่ค่อยได้พบเพื่อนเท่าไหร่เพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่อยู่ต่างจังหวัด ส่วนเพื่อนอีกสามคนคือ ธีธัช ปรัชญและปราชญ์ ต่างก็เป็นคนกรุงเทพ จึงเจอกันค่อยข้างบ่อย
ดังนั้นเมื่อเขามากรุงเทพคราวใดจึงนัดกันมาให้พร้อมหน้า
และครั้งนี้ธีธัชหรือตอนนี้คงต้องเรียกว่านายแพทย์ธีธัช หรือจะให้ถูกต้องเรียกว่าพันตรีนายแพทย์ธีธัช วิทยศาวัตรา เป็นคนนัดให้มาเจอกันที่ร้านกาแฟหนึ่งในร้านโปรดของธีธัช แล้วค่อยหารือกันว่าจะไปที่ใดต่อ
เขาเองก็พอใจที่ธีธัชนัดที่นี่ เพราะถนนสายเก่าแก่มีหลายๆ อย่างที่เขาชอบ โดยเฉพาะตึกเก่าแก่ที่มีอายุหลายสิบปี บางหลังอาจถึงร้อยปีด้วยซ้ำตั้งเรียงรายตามถนนแห่งนี้ เขาทราบมาว่าตึกบางหลังเคยเป็นวังที่ประทับของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ บางหลังเคยเป็นบ้านของข้าราชบริพารในอดีต ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานที่ราชการบ้าง หน่วยงานเอกชนบ้าง
กานท์มองผ่านรั้วเหล็กโปรงสีดำเข้าไปยังตัวตึกสีส้มอ่อน ที่คงจะมาจากการบูรณะใหม่เพราะสีสันยังสดใส ตัวตึกเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่แพร่หลายเข้ามาเมื่อกว่าร้อยปีก่อน วังมะลิวัลย์  ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งองค์การยูนิเซฟ
บ้านเลขที่ ๑๙ ที่เคยเป็นบ้านพักของฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์
ชายหนุ่มเดินเรื่อยมาจนถึงกำแพงสีนวลซึ่งเป็นจุดนัดหมายของเขาและเพื่อน
บ้านพระอาทิตย์...
กานท์ถอนใจเล็กน้อย ตั้งแต่เด็กมาแล้วเขาชื่นชอบบ้านหรือวังเก่าในช่วงร้อยปีที่ผ่านมามาก... จนเหมือนเป็นความผูกพัน ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาจะแลหา
เพื่อนสนิทจะรู้ดีว่ายามว่างจากการเรียนของเขาคือการเที่ยวชมบ้าน... หรือวัง ที่เปิดให้เข้าชม หรือแม้จะไม่ให้เข้าขอเพียงแค่ได้เห็นจากภายนอกเขาก็รู้สึกดีแล้ว
แต่ก่อนเข้ากรุงเทพคราวนี้มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับเขา
ความฝัน... ที่เขาไม่ใส่ใจ หากทว่า...
ร่างเล็กๆ ที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายนั้นสะดุดตาเขาอย่างมาก...
“เป็นไง...วัดพระแก้ว” ธีธัชเอ่ยทักยิ้มๆ กับเพื่อนสนิทที่เดินช้าๆ เข้ามา
กานท์พยักหน้าทักเพื่อนสนิททั้งสามแล้วทรุดร่างสูงลงที่เก้าอี้ที่ว่าง บนโต๊ะมีแก้วกาแฟของทั้งสามอยู่แล้ว พร้อมกับเค้กเลื่องชื่อของร้าน เขาจึงสั่งกาแฟและขนมเค้กของร้านเช่นกัน
ไม่ว่ามาร้านนี้ครั้งใดนอกจากเครื่องดื่มและขนมนานาชนิดที่อร่อยเลื่องชื่อแล้ว การตกแต่งด้วยไม้ในโทนสีเข้ม ประดับด้วยไฟสีนวลที่สร้างบรรยายกาศนุ่มนวล อบอุ่นและอ่อนหวานอยู่ในที ทำให้มีลูกค้าไม่ขาด โดยเฉพาะตัวบ้านพระอาทิตย์นี้ซึ่งมีบริเวณถึง ๒ ไร่  เดิมเป็นที่ตั้งวังของเจ้าเสนาบดีฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลในสมัยรัชกาลที่ ๑ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ตกเป็นของเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (มรว.เย็น อิศรเสนา) ซึ่งเป็นเสนาบดี กระทรวงการคลังในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้สร้างบ้านขึ้นใหม่เพราะวังเดิมชำรุดทรุดโทรมไปแล้ว ลักษณะอาคารเป็นตึก ๒ ชั้นยกพื้นสูงหลังคามุงกระเบื้องว่าว ลักษณะเด่นอยู่ที่ยอดโดมของอาคารหลังใหม่และอาคาร ๒ หลังที่เชื่อมโยงกันด้วยระเบียงประดับชายคา และช่องลมด้วยลวดลายไม้ฉลุ
“เอ็งนี่ก็ยังเหมือนเดิม...ไปจนวัดพระแก้วกับวังหลวงปรุหมดแล้วมั้ง” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นอย่างขำๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่าแทนที่จะไปศูนย์การค้า หรือโรงภาพยนตร์แต่เพื่อนสนิทของเขาคนนี้กลับไปเดินท่อมๆ เที่ยวตามวัดวังหรือบ้านโบราณแทน
“นั่นสิ... ข้าว่าเอ็งเลิกทำไร่แล้วมาเป็นยามเฝ้าประตูวังดีกว่าว่ะ” ปราชญ์เสริมฝาแฝดของเขา
ธีธัชหัวเราะเสียงดังผิดกับเมื่อตอนทำงานลิบลับ เรียกความสนใจจากโต๊ะข้างเคียงเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่แล้ว
“โห... แกดูโต๊ะนั้นสิ หล่อกันทั้งสี่คนเลยอ่ะ” เสียงแว่วๆ ดังมาให้สี่หนุ่มได้ยินก็อมยิ้มกัน
กานท์ยิ้มนิดๆ เวลาที่พวกเขารวมตัวกันทีไรมักจะเป็นจุดสนใจเสมอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนใจอะไรมากมายกับหน้าตาตัวเองก็เถอะ
“นั่นดิ... แหม...ทำไมแฟนฉันไม่หล่ออย่างนี้บ้าง” อีกสาวตอบโต้เพื่อน
สี่หนุ่มสบตากันยิ้มๆ
“เออ...แล้วเที่ยวนี้เอ็งจะอยู่นานไหมวะ” ธีธัชหันไปถามกานท์
“คงอยู่อีกสี่ห้าวัน ต้องเจรจาเรื่องผักตัวใหม่ของไร่” กานท์บอก เขามากรุงเทพเที่ยวนี้เพื่อเจรจากับห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่รับผลผลิตหลายอย่างจากไร่ของเขามาจำหน่าย ตอนนี้ที่ไร่ของเขากำลังจะส่งผลผลิตใหม่ออกมาสู่ตลาด เป็นผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดิน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ เพียงแต่เป็นการเจรจาขึ้นสุดท้ายเท่านั้น
ธีธัชพยักหน้า
“ดี...นานๆ จะได้เจอหน้ากันพร้อมหน้าหลายๆ วันหน่อย”
“เฮอะ... ข้าว่าเอ็งนั่นแหละ จะมีเวลามาหาไอ้กานท์มันรึ... ไหนจะเข้าเวร เดี๋ยวก็มีสอน” ปราชญ์ย้อน เพราะรู้ดีว่าธีธัชงานรัดตัวแค่ไหน นอกจากจะงานประจำของโรงพยาบาลแล้วยังมีงานสอนนักเรียนแพทย์ นักเรียนพยาบาลด้วย ส่วนเขากับปรัชญ์ก็ช่วยดูแลกิจการของครอบครัววรรณวิจักษ์
“เออน่า... ข้าก็หาเวลาว่างจนได้แหละ ไม่งั้นวันนี้จะมานั่งฉุยฉายกับพวกเอ็งที่นี่ได้ไง”
“เออๆ... ไม่ต้องกัดกัน ข้าไม่ได้มากรุงเทพเป็นเที่ยวสุดท้ายหรอก...” กานท์ยกแก้วกาแฟหอมกรุ่นขึ้นจิบ
ชายหนุ่มหลับตาเหมือนกับกำลังลิ้มรสอันนุ่มนวลของกาแฟพันธุ์ดีอยู่... หากความคิดของเขากลับล่องลอยไปถึงเมื่อสายของวันนี้ ตลอดเวลากว่า ๒๘ ปีที่ผ่านมาของชีวิตเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยมีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิต ตรงกันข้ามมีหญิงสาวมากมายผ่านเข้ามาแต่ก็ยังไม่เคยมีใครเข้ามากล้ำกลายถึงหัวใจของเขา...
แต่แค่เพียง...
ดวงหน้าใสๆ น่ารักเหมือนเด็กสาวๆ
ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อโดยไม่ได้พึ่งเครื่องสำอางใดๆ กับเสียงใสๆ เวลาเจรจากับเพื่อนของหล่อนยังติดตา ติดหู และติดอยู่ในใจของเขา...
กานท์ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น... คอยแอบตามหล่อนตลอดเวลาไม่ว่าร่างเล็กๆ กับเพื่อนของหล่อนจะเดินไปที่ไหนโดยไม่ให้หล่อนรู้ตัว... หรือว่าหล่อนจะรู้ เพราะเขาเห็นหล่อนหันมามองทางด้านหลังเป็นบางครั้ง
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น
แล้วเขาจะมีโอกาสพบหล่อนอีกไหม นอกจากใน...
“เออ...ว่าแต่เย็นนี้จะไปร้านไหนกันดี...” ปรัชญ์ถามเพราะนี่ก็นั่งคุยกันมานาน จนเค้กที่รองท้องไปชักจะหมดฤทธิ์
“นั่นสิ... นายว่าไงกานท์ นานๆ เข้ากรุงทีนายเลือกดีกว่า” ปราชญ์หันไปหาเพื่อนที่วันนี้ท่าทางค่อนข้างแปลกเพราะดูเหม่อๆ ลอยๆ ชอบกลเวลาคุย เขายิ้มนิดๆ เมื่อหางตาเขาเห็นหญิงสาวสองคนที่นั่งโต๊ะถัดไปส่งยิ้มให้กานท์
ไม่แปลกเลยที่จะเห็นสายตาและรอยยิ้มอย่างนี้ เพราะแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของกานท์หรือธีธัชและแม้กระทั่งเขากับปรัชญ์ก็เป็นที่สะดุดตาของผู้คนแล้ว กานท์ได้มรดกความคมคายและสูงใหญ่จากมาจากบิดาและรอยยิ้มน้อยๆ กับผิวสีนวลจากมารดา แม้จะตากแดดอยู่เป็นประจำก็ไม่ได้ทำให้คล้ำลงมากนัก ไม่เหมือนกับธีธัชซึ่งมีผิวออกคล้ำดวงหน้าเข้มราวกับนักรบสมัยอยุธยาตามบรรพบุรุษ ออกจะผิดกับภาพลักษณ์ของหมอทั่วไปอยู่มาก
“กินแถวนี้เถอะ... ขี้เกียจนั่งรถถึงวันนี้จะเป็นวันหยุดก็เถอะ รถมันก็ไม่ได้น้อยลงเท่าไหร่หรอก แถวๆ นี้ก็มีร้านดีๆ อยู่หลายร้านนี่”
“เอางั้นก็ได้... ดีเหมือนกัน”
ลำแสงจางๆ จากแสงสุดท้ายของวันทาทาบแผ่นน้ำที่พริ้วเป็นละลอกคลื่นยามเรือแล่นผ่าน สะท้อนประกายระยิบราวกับอัญมณีบนผิวลำน้ำกว้าง สายลมโชยแผ่วหอบความเย็นฉ่ำเข้ามา ใบไม้กิ่งไม้ไหวเอนน้อยๆ ยามต้องลม เป็นบรรยากาศอันสุขสงบที่หาได้ยากในเมืองหลวงอันใหญ่โต
ศมามองธรรมชาติเบื้องหน้าอย่างชื่นชม ข้างๆ หล่อนคือเพื่อนสนิทที่อยู่ในภวังค์ส่วนตัวเช่นกัน ทั้งสองนั่งเงียบๆ กันมาพักใหญ่จนแสงธรรมชาติใกล้จะหมดไป แต่แสงจากไฟฟ้าก็เริ่มส่องสว่างทดแทน
ผู้คนหลากหลายอายุ ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ และคนสูงอายุต่างก็มาพักผ่อนกันที่สวนสาธารณะแห่งนี้ แม้จะมีบริเวณไม่กว้างขวางเช่นสวนสาธารณะอื่นๆ แต่ก็มีผู้คนมาพักผ่อนกันมาก
“กรุงเทพนี่มองไม่เห็นดาวเลยนะลี” ศมาเอ่ยขึ้น
ลีลาเงยหน้าขึ้นตามเพื่อนสาว
“นั่นสิ... คงเพราะดาวบนดินมันมากเกินไปมั้ง ดาวบนฟ้าเลยไม่ค่อยโผล่ออกมาให้เห็น” ลีลาชี้ไปยังแสงจากหลอดไฟมากมายที่ส่องสว่างขึ้นเมื่อแสงตะวันลับไปจากท้องฟ้า
“เวลาแห่งราตรีอันสว่างไสวของคนกรุง... เฮ้อ...คิดถึงบ้านเหมือนกันนะ”
ศมาถอนใจ... ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ที่นักเรียนจากต่างจังหวัดต้องเผชิญ แม้หล่อนจะชินเพราะเวลาอันยาวนานที่ต้องเข้ามาเรียนที่นี่และต้องใช้เวลาอีกหลายปีต่อไป แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะอ้างว้าง
“เออน่า... เดี๋ยวก็หาเวลากลับก็ได้...” ลีลาบอกยิ้มๆ หล่อนเองก็รู้สึกเหมือนศมานั่นแหละ แต่ก็ไม่อยากให้บรรยากาศดีๆ อย่างนี้ลดลงเพราะความคิดถึงบ้าน หล่อนชี้ไปที่สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน
“ติดไฟตอนกลางคืนอย่างนี้ก็สวยไปอีกแบบนะ”
ศมามองไปที่สะพานพระรามแปด แสงไฟระยิบส่งความงามสง่าของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของสะพานให้ดูโดดเด่นงดงามในยามค่ำคืน ทำให้เป็นจุดชมวิวที่นิยมของผู้คน
“เป็นการรวมกันของความมั่นคงทางวิศวกรรมและความงามของสถาปัตยกรรม เวลาสร้างสะพานน่าจะสร้างแบบนี้อีก ไม่ใช่ดีแต่สร้างให้ข้ามๆ กันได้ไม่มีความงามอะไรเลย”
ลีลาหัวเราะกับคำพูดของเพื่อนสาวแม้ออกจะเห็นด้วยก็เถอะ
“จะเอางามแกก็ดูนี่สิ”
พระที่นั่งสันติชัยปราการ... สะท้อนแสงไฟที่จัดเพื่อส่งความงดงามของพระที่นั่งทรงไทยขนาดย่อมที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ให้งดงามยิ่งในยามค่ำคืน ถัดไปที่หัวมุมถนนติดคือป้อมโบราณสีขาวสะอาด หนึ่งในสองป้อมกำแพงพระนครที่ยังหลงเหลืออยู่... ป้อมพระสุเมรุ
“แต่ก่อนเราเคยมีป้อมแบบนี้เยอะหรือเปล่าวะลี...ตอนนี้เห็นเหลืออยู่แค่ป้อมมหากาฬที่ถนนราชดำเนินกับป้อมพระสุเมรุนี่...”
“ก็มีอยู่สิบสี่ป้อม...”
ลีลาอมยิ้มกับสีหน้าเพื่อนที่ฉายชัดว่า ทำไมแกรู้
“แน่จริงแกบอกชื่อมาดิ...” ศมาท้าเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้กับสีหน้ายิ้ม
“ฮึฮึ...ก็มี ป้อมพระสุเมรุ ป้อมยุคลธร ป้อมมหาปราบ ป้อมมหากาฬ ป้อมหมูทะลวง ป้อมเสือทะยาน ป้อมมหาไชย ป้อมจักรเพชร ป้อมผีเสื้อ ป้อมมหาฤกษ์ ป้อมมหายักษ์ ป้อมพระจันทร์ ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมอิสินธร”
ศมามองหน้าเพื่อนสาวอย่างไม่อยากเชื่อ
“แกมั่วหรือเปล่าวะ...”
“อย่างลีลานี่ไม่มีมั่วโว๊ย...ไม่เชื่อแกไปหาหนังสืออ่านเอาได้”
“เออ... แล้วป้อมที่เหลือหายไปไหนหมด”
“ก็หายไปเป็นถนนนี่ไง... สมัยรัชกาลที่ ๕ มีการตัดถนนใหม่หลายสายก็เลยรื้อป้อมแล้วก็กำแพงพระนครออกไปเยอะทีเดียว ก็เหลืออยู่ ๒ ป้อม ก็ ป้อมพระสุเมรุที่บางลำพู และป้อมมหากาฬริมถนนราชดำเนิน”
“อือ... แถวนี่เข้าเรียกบางลำพูใช่ไหม... แต่ก่อนน่าจะมีต้นลำพูเยอะแน่”
“ตั้งแต่โกโบริเข้ามาก็โดนตัดซะเรียบ”
“เฮ๊ย... ไอ้ลี แกอย่ามามั่วแถวนี้ โกโบริที่ไหนสั่งตัดต้นลำพูวะ”
ลีลายิ้มอย่างที่เพื่อนสาวนึกอยากทำอะไรให้หายคันอวัยวะบางอย่าง...
“ฉันพูดที่ไหนว่าโกโบริเขาสั่งตัด เขาจะเป็นหิงห้อยรอที่ต้นลำพูขืนตัดจะเจออังศุมาลินเหรอวะ ฉันหมายถึงว่าตอนสงครามโลกครั้งที่สองต้นลำพูแถวนี้โดนสั่งตัดเพราะว่าเจ้าหิงห้อยพวกนี้มาเปล่งแสงระยิบระยับ ทีนี้ไอ้เครื่องบินก็ทิ้งระเบิดลงมาอ่ะดิ นึกว่าเป็นที่ชุมนุม ต้นลำพูก็เลยเกือบสิ้นชื่อไปจากบางลำพู นั่น...เหลืออยู่ต้นหนึ่งนั่นน่ะ” หญิงสาวชี้ไปยังต้นไม้ริมตลิ่งใกล้ๆ กับพระที่นั่งสันติชัยปราการ
ศมามองไปตามที่เพื่อนสาวบอก
ไม่รู้ว่าอุปทานหรือเปล่าที่เห็นแสงวิบๆ ของหิงห้อยอยู่ที่ต้นไม้นั่น
ว่าแต่ไอ้ลีนี่มันแสนรู้จริงๆ ไม่รู้มันเอาเรื่องจริงหรือเรื่องเล่นมาเล่า แต่ก็น่าจะเรื่องจริงนะ...เพราะตั้งแต่คบกันมาหล่อนรู้ดีว่าลีลาชอบเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์อะไรอย่างนี้มาก พอๆ กับที่ชอบอ่านนิยายนั่นแหละ หรือบางทีลีลาก็บอกหน้าตาเฉยว่าเอามาจากในนิยายเหมือนกัน แต่นิยายบางเรื่องผู้เขียนก็ค้นคว้าข้อมูลจริงมาเขียนเช่นกัน ทำให้ได้ทั้งความสนุกและสาระด้วย
“ลุกยืดแข้งยืดขากันหน่อยดีกว่า...” ศมาลุกขึ้นแล้วยื่นมือฉุดเพื่อนสาวที่ตัวใหญ่กว่าหล่อนให้ลุกขึ้นตาม พลางเดินแก้เมื่อยที่นั่งกันมานาน
“คนเยอะดีนี่...” ศมาพึมพำ แต่ลมที่โชยมาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก จึงพยายามปลงเพราะไม่ว่าจะหันไปมุมไหนของกรุงเทพก็จะเห็นแต่ผู้คนเต็มไปหมด
“อะไรวะไอ้ลี...” ศมาขมวดคิ้วเมื่อถูกเพื่อนสาวสะกิดยิกๆ
“ดูเด็กสี่คนนั่นดิศะมะ...น่ารักดีว่ะ”
หญิงสาวมองตามสายตาของเพื่อนสาว
เด็กหนุ่มร่างสูงสี่คนนั่งคุยกันอยู่บนสนามหญ้า หล่อนเห็นสาวๆ หลายคนมองไปทางเด็กทั้งสี่คนนี่เช่นกันเพราะต่างก็หน้าตาดีๆ กันทั้งนั้น หล่อนสบตากับหนึ่งในสี่อย่างบังเอิญก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นหันไปซุบซิบอะไรกับเพื่อนแล้วลุกขึ้นจากพื้นสนามเดินตรงมาทางหล่อนกับลีลา
ร่างสูงเดินช้าๆ มาตามบาทวิถีจากโรงละครแห่งชาติ ผ่านวิทยาลัยนาฏศิลป์กรุงเทพ สำนักงานการท่องเที่ยวกรุงเทพ สะพานพระปิ่นเกล้า เรื่อยมายังถนนสายเก่าแก่อีกสายหนึ่งของกรุงเทพ ถนนพระอาทิตย์
การจราจรค่อนข้างเบาบางจะเพราะวันนี้เป็นวันหยุด ทำให้สามารถเดินชมถนนสายเก่าแก่อีกสายหนึ่งของกรุงเทพได้อย่างสบายใจ แสงแดดยังจัดจ้าเพราะยังอยู่ในช่วงบ่ายแก่ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด เพราะปกติเขาก็ต้องตากแดดอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว
เสียงดนตรีเพลงโปรดของเขาดังขึ้น จึงล้วงมือหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรดที่เขาใส่เป็นประจำ
“เออ... อยู่ไหนวะ” เสียงห้าวๆ จากปลายสายดังมา
มุมปากของชายหนุ่มขยับยิ้มนิดๆ
“อยู่แถวนี้แหละ...”
“อ้าว... เอ็งนี่กวน...นี่หว่า แถวนี้ของเอ็งน่ะมันที่ไหนวะ”
“ก็... ถนนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา... มีตึกเก่าๆ สวยๆ เยอะแยะไปหมด...ฮึฮึ”
“ไอ้...” ปลายสายสบถออกมากับคำตอบยียวนของอีกฝ่าย
“ตกลงเอ็งอยู่ส่วนไหนของโลก...”
“อยู่ส่วนเดียวกับเอ็งนั่นแหละ...นี่เอ็งไปถึงร้านแล้วเรอะ มีใครมาถึงแล้วบ้าง”
“เออ... มีข้ากับไอ้ปรัชญ์ไอ้ปราชญ์ แล้วเมื่อไหร่คุณจะเสด็จมาถึง นี่อย่าบอกนะว่าแกมัวแต่เดินชมเมืองอยู่”
“อีกไม่เกินสิบนาทีน่า...”
“เออ...พวกข้าจะรอ”
กานท์ กันยธีรนันท์ กดปุ่มวางสายเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม นัยน์ตาสีเหล็กฉายแววยิ้มนิดๆ เขาบอกเพื่อนไปว่าสิบนาทีแต่ก็ไม่ได้เร่งฝีก้าวขึ้น ยังใช้ระดับความเร็วเท่าเดิม นัยน์ตาทั้งคู่มองทิวทัศน์รอบข้างอย่างรื่นรมย์
วันนี้เขานัดกับเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จนระดับมหาวิทยาลัยก็เรียนที่เดียวกันแม้จะแยกย้ายกันเรียนตามคณะที่ชอบแต่ก็ยังสนิทกัน มีเพียงช่วงหลังจากเรียนจบที่ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไรเพราะต่างคนต่างก็ยุ่งไปกับการทำงาน โดยเฉพาะตัวเขานี่แหละที่ไม่ค่อยได้พบเพื่อนเท่าไหร่เพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่อยู่ต่างจังหวัด ส่วนเพื่อนอีกสามคนคือ ธีธัช ปรัชญและปราชญ์ ต่างก็เป็นคนกรุงเทพ จึงเจอกันค่อยข้างบ่อย
ดังนั้นเมื่อเขามากรุงเทพคราวใดจึงนัดกันมาให้พร้อมหน้า
และครั้งนี้ธีธัชหรือตอนนี้คงต้องเรียกว่านายแพทย์ธีธัช หรือจะให้ถูกต้องเรียกว่าพันตรีนายแพทย์ธีธัช วิทยศาวัตรา เป็นคนนัดให้มาเจอกันที่ร้านกาแฟหนึ่งในร้านโปรดของธีธัช แล้วค่อยหารือกันว่าจะไปที่ใดต่อ
เขาเองก็พอใจที่ธีธัชนัดที่นี่ เพราะถนนสายเก่าแก่มีหลายๆ อย่างที่เขาชอบ โดยเฉพาะตึกเก่าแก่ที่มีอายุหลายสิบปี บางหลังอาจถึงร้อยปีด้วยซ้ำตั้งเรียงรายตามถนนแห่งนี้ เขาทราบมาว่าตึกบางหลังเคยเป็นวังที่ประทับของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ บางหลังเคยเป็นบ้านของข้าราชบริพารในอดีต ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานที่ราชการบ้าง หน่วยงานเอกชนบ้าง
กานท์มองผ่านรั้วเหล็กโปรงสีดำเข้าไปยังตัวตึกสีส้มอ่อน ที่คงจะมาจากการบูรณะใหม่เพราะสีสันยังสดใส ตัวตึกเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่แพร่หลายเข้ามาเมื่อกว่าร้อยปีก่อน วังมะลิวัลย์  ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งองค์การยูนิเซฟ
บ้านเลขที่ ๑๙ ที่เคยเป็นบ้านพักของฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์
ชายหนุ่มเดินเรื่อยมาจนถึงกำแพงสีนวลซึ่งเป็นจุดนัดหมายของเขาและเพื่อน
บ้านพระอาทิตย์...
กานท์ถอนใจเล็กน้อย ตั้งแต่เด็กมาแล้วเขาชื่นชอบบ้านหรือวังเก่าในช่วงร้อยปีที่ผ่านมามาก... จนเหมือนเป็นความผูกพัน ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาจะแลหา
เพื่อนสนิทจะรู้ดีว่ายามว่างจากการเรียนของเขาคือการเที่ยวชมบ้าน... หรือวัง ที่เปิดให้เข้าชม หรือแม้จะไม่ให้เข้าขอเพียงแค่ได้เห็นจากภายนอกเขาก็รู้สึกดีแล้ว
แต่ก่อนเข้ากรุงเทพคราวนี้มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับเขา
ความฝัน... ที่เขาไม่ใส่ใจ หากทว่า...
ร่างเล็กๆ ที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายนั้นสะดุดตาเขาอย่างมาก...
“เป็นไง...วัดพระแก้ว” ธีธัชเอ่ยทักยิ้มๆ กับเพื่อนสนิทที่เดินช้าๆ เข้ามา
กานท์พยักหน้าทักเพื่อนสนิททั้งสามแล้วทรุดร่างสูงลงที่เก้าอี้ที่ว่าง บนโต๊ะมีแก้วกาแฟของทั้งสามอยู่แล้ว พร้อมกับเค้กเลื่องชื่อของร้าน เขาจึงสั่งกาแฟและขนมเค้กของร้านเช่นกัน
ไม่ว่ามาร้านนี้ครั้งใดนอกจากเครื่องดื่มและขนมนานาชนิดที่อร่อยเลื่องชื่อแล้ว การตกแต่งด้วยไม้ในโทนสีเข้ม ประดับด้วยไฟสีนวลที่สร้างบรรยายกาศนุ่มนวล อบอุ่นและอ่อนหวานอยู่ในที ทำให้มีลูกค้าไม่ขาด โดยเฉพาะตัวบ้านพระอาทิตย์นี้ซึ่งมีบริเวณถึง ๒ ไร่  เดิมเป็นที่ตั้งวังของเจ้าเสนาบดีฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลในสมัยรัชกาลที่ ๑ จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ตกเป็นของเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (มรว.เย็น อิศรเสนา) ซึ่งเป็นเสนาบดี กระทรวงการคลังในสมัยรัชกาลที่ ๖ ได้สร้างบ้านขึ้นใหม่เพราะวังเดิมชำรุดทรุดโทรมไปแล้ว ลักษณะอาคารเป็นตึก ๒ ชั้นยกพื้นสูงหลังคามุงกระเบื้องว่าว ลักษณะเด่นอยู่ที่ยอดโดมของอาคารหลังใหม่และอาคาร ๒ หลังที่เชื่อมโยงกันด้วยระเบียงประดับชายคา และช่องลมด้วยลวดลายไม้ฉลุ
“เอ็งนี่ก็ยังเหมือนเดิม...ไปจนวัดพระแก้วกับวังหลวงปรุหมดแล้วมั้ง” ปรัชญ์เอ่ยขึ้นอย่างขำๆ เพราะเป็นที่รู้กันว่าแทนที่จะไปศูนย์การค้า หรือโรงภาพยนตร์แต่เพื่อนสนิทของเขาคนนี้กลับไปเดินท่อมๆ เที่ยวตามวัดวังหรือบ้านโบราณแทน
“นั่นสิ... ข้าว่าเอ็งเลิกทำไร่แล้วมาเป็นยามเฝ้าประตูวังดีกว่าว่ะ” ปราชญ์เสริมฝาแฝดของเขา
ธีธัชหัวเราะเสียงดังผิดกับเมื่อตอนทำงานลิบลับ เรียกความสนใจจากโต๊ะข้างเคียงเพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่แล้ว
“โห... แกดูโต๊ะนั้นสิ หล่อกันทั้งสี่คนเลยอ่ะ” เสียงแว่วๆ ดังมาให้สี่หนุ่มได้ยินก็อมยิ้มกัน
กานท์ยิ้มนิดๆ เวลาที่พวกเขารวมตัวกันทีไรมักจะเป็นจุดสนใจเสมอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนใจอะไรมากมายกับหน้าตาตัวเองก็เถอะ
“นั่นดิ... แหม...ทำไมแฟนฉันไม่หล่ออย่างนี้บ้าง” อีกสาวตอบโต้เพื่อน
สี่หนุ่มสบตากันยิ้มๆ
“เออ...แล้วเที่ยวนี้เอ็งจะอยู่นานไหมวะ” ธีธัชหันไปถามกานท์
“คงอยู่อีกสี่ห้าวัน ต้องเจรจาเรื่องผักตัวใหม่ของไร่” กานท์บอก เขามากรุงเทพเที่ยวนี้เพื่อเจรจากับห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่รับผลผลิตหลายอย่างจากไร่ของเขามาจำหน่าย ตอนนี้ที่ไร่ของเขากำลังจะส่งผลผลิตใหม่ออกมาสู่ตลาด เป็นผักที่ปลูกโดยไม่ใช้ดิน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ เพียงแต่เป็นการเจรจาขึ้นสุดท้ายเท่านั้น
ธีธัชพยักหน้า
“ดี...นานๆ จะได้เจอหน้ากันพร้อมหน้าหลายๆ วันหน่อย”
“เฮอะ... ข้าว่าเอ็งนั่นแหละ จะมีเวลามาหาไอ้กานท์มันรึ... ไหนจะเข้าเวร เดี๋ยวก็มีสอน” ปราชญ์ย้อน เพราะรู้ดีว่าธีธัชงานรัดตัวแค่ไหน นอกจากจะงานประจำของโรงพยาบาลแล้วยังมีงานสอนนักเรียนแพทย์ นักเรียนพยาบาลด้วย ส่วนเขากับปรัชญ์ก็ช่วยดูแลกิจการของครอบครัววรรณวิจักษ์
“เออน่า... ข้าก็หาเวลาว่างจนได้แหละ ไม่งั้นวันนี้จะมานั่งฉุยฉายกับพวกเอ็งที่นี่ได้ไง”
“เออๆ... ไม่ต้องกัดกัน ข้าไม่ได้มากรุงเทพเป็นเที่ยวสุดท้ายหรอก...” กานท์ยกแก้วกาแฟหอมกรุ่นขึ้นจิบ
ชายหนุ่มหลับตาเหมือนกับกำลังลิ้มรสอันนุ่มนวลของกาแฟพันธุ์ดีอยู่... หากความคิดของเขากลับล่องลอยไปถึงเมื่อสายของวันนี้ ตลอดเวลากว่า ๒๘ ปีที่ผ่านมาของชีวิตเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยมีผู้หญิงผ่านเข้ามาในชีวิต ตรงกันข้ามมีหญิงสาวมากมายผ่านเข้ามาแต่ก็ยังไม่เคยมีใครเข้ามากล้ำกลายถึงหัวใจของเขา...
แต่แค่เพียง...
ดวงหน้าใสๆ น่ารักเหมือนเด็กสาวๆ
ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อโดยไม่ได้พึ่งเครื่องสำอางใดๆ กับเสียงใสๆ เวลาเจรจากับเพื่อนของหล่อนยังติดตา ติดหู และติดอยู่ในใจของเขา...
กานท์ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น... คอยแอบตามหล่อนตลอดเวลาไม่ว่าร่างเล็กๆ กับเพื่อนของหล่อนจะเดินไปที่ไหนโดยไม่ให้หล่อนรู้ตัว... หรือว่าหล่อนจะรู้ เพราะเขาเห็นหล่อนหันมามองทางด้านหลังเป็นบางครั้ง
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น
แล้วเขาจะมีโอกาสพบหล่อนอีกไหม นอกจากใน...
“เออ...ว่าแต่เย็นนี้จะไปร้านไหนกันดี...” ปรัชญ์ถามเพราะนี่ก็นั่งคุยกันมานาน จนเค้กที่รองท้องไปชักจะหมดฤทธิ์
“นั่นสิ... นายว่าไงกานท์ นานๆ เข้ากรุงทีนายเลือกดีกว่า” ปราชญ์หันไปหาเพื่อนที่วันนี้ท่าทางค่อนข้างแปลกเพราะดูเหม่อๆ ลอยๆ ชอบกลเวลาคุย เขายิ้มนิดๆ เมื่อหางตาเขาเห็นหญิงสาวสองคนที่นั่งโต๊ะถัดไปส่งยิ้มให้กานท์
ไม่แปลกเลยที่จะเห็นสายตาและรอยยิ้มอย่างนี้ เพราะแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของกานท์หรือธีธัชและแม้กระทั่งเขากับปรัชญ์ก็เป็นที่สะดุดตาของผู้คนแล้ว กานท์ได้มรดกความคมคายและสูงใหญ่จากมาจากบิดาและรอยยิ้มน้อยๆ กับผิวสีนวลจากมารดา แม้จะตากแดดอยู่เป็นประจำก็ไม่ได้ทำให้คล้ำลงมากนัก ไม่เหมือนกับธีธัชซึ่งมีผิวออกคล้ำดวงหน้าเข้มราวกับนักรบสมัยอยุธยาตามบรรพบุรุษ ออกจะผิดกับภาพลักษณ์ของหมอทั่วไปอยู่มาก
“กินแถวนี้เถอะ... ขี้เกียจนั่งรถถึงวันนี้จะเป็นวันหยุดก็เถอะ รถมันก็ไม่ได้น้อยลงเท่าไหร่หรอก แถวๆ นี้ก็มีร้านดีๆ อยู่หลายร้านนี่”
“เอางั้นก็ได้... ดีเหมือนกัน”
ลำแสงจางๆ จากแสงสุดท้ายของวันทาทาบแผ่นน้ำที่พริ้วเป็นละลอกคลื่นยามเรือแล่นผ่าน สะท้อนประกายระยิบราวกับอัญมณีบนผิวลำน้ำกว้าง สายลมโชยแผ่วหอบความเย็นฉ่ำเข้ามา ใบไม้กิ่งไม้ไหวเอนน้อยๆ ยามต้องลม เป็นบรรยากาศอันสุขสงบที่หาได้ยากในเมืองหลวงอันใหญ่โต
ศมามองธรรมชาติเบื้องหน้าอย่างชื่นชม ข้างๆ หล่อนคือเพื่อนสนิทที่อยู่ในภวังค์ส่วนตัวเช่นกัน ทั้งสองนั่งเงียบๆ กันมาพักใหญ่จนแสงธรรมชาติใกล้จะหมดไป แต่แสงจากไฟฟ้าก็เริ่มส่องสว่างทดแทน
ผู้คนหลากหลายอายุ ทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ และคนสูงอายุต่างก็มาพักผ่อนกันที่สวนสาธารณะแห่งนี้ แม้จะมีบริเวณไม่กว้างขวางเช่นสวนสาธารณะอื่นๆ แต่ก็มีผู้คนมาพักผ่อนกันมาก
“กรุงเทพนี่มองไม่เห็นดาวเลยนะลี” ศมาเอ่ยขึ้น
ลีลาเงยหน้าขึ้นตามเพื่อนสาว
“นั่นสิ... คงเพราะดาวบนดินมันมากเกินไปมั้ง ดาวบนฟ้าเลยไม่ค่อยโผล่ออกมาให้เห็น” ลีลาชี้ไปยังแสงจากหลอดไฟมากมายที่ส่องสว่างขึ้นเมื่อแสงตะวันลับไปจากท้องฟ้า
“เวลาแห่งราตรีอันสว่างไสวของคนกรุง... เฮ้อ...คิดถึงบ้านเหมือนกันนะ”
ศมาถอนใจ... ความโดดเดี่ยวในเมืองใหญ่ที่นักเรียนจากต่างจังหวัดต้องเผชิญ แม้หล่อนจะชินเพราะเวลาอันยาวนานที่ต้องเข้ามาเรียนที่นี่และต้องใช้เวลาอีกหลายปีต่อไป แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะอ้างว้าง
“เออน่า... เดี๋ยวก็หาเวลากลับก็ได้...” ลีลาบอกยิ้มๆ หล่อนเองก็รู้สึกเหมือนศมานั่นแหละ แต่ก็ไม่อยากให้บรรยากาศดีๆ อย่างนี้ลดลงเพราะความคิดถึงบ้าน หล่อนชี้ไปที่สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่งเปิดใช้ได้ไม่นาน
“ติดไฟตอนกลางคืนอย่างนี้ก็สวยไปอีกแบบนะ”
ศมามองไปที่สะพานพระรามแปด แสงไฟระยิบส่งความงามสง่าของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของสะพานให้ดูโดดเด่นงดงามในยามค่ำคืน ทำให้เป็นจุดชมวิวที่นิยมของผู้คน
“เป็นการรวมกันของความมั่นคงทางวิศวกรรมและความงามของสถาปัตยกรรม เวลาสร้างสะพานน่าจะสร้างแบบนี้อีก ไม่ใช่ดีแต่สร้างให้ข้ามๆ กันได้ไม่มีความงามอะไรเลย”
ลีลาหัวเราะกับคำพูดของเพื่อนสาวแม้ออกจะเห็นด้วยก็เถอะ
“จะเอางามแกก็ดูนี่สิ”
พระที่นั่งสันติชัยปราการ... สะท้อนแสงไฟที่จัดเพื่อส่งความงดงามของพระที่นั่งทรงไทยขนาดย่อมที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งนี้ให้งดงามยิ่งในยามค่ำคืน ถัดไปที่หัวมุมถนนติดคือป้อมโบราณสีขาวสะอาด หนึ่งในสองป้อมกำแพงพระนครที่ยังหลงเหลืออยู่... ป้อมพระสุเมรุ
“แต่ก่อนเราเคยมีป้อมแบบนี้เยอะหรือเปล่าวะลี...ตอนนี้เห็นเหลืออยู่แค่ป้อมมหากาฬที่ถนนราชดำเนินกับป้อมพระสุเมรุนี่...”
“ก็มีอยู่สิบสี่ป้อม...”
ลีลาอมยิ้มกับสีหน้าเพื่อนที่ฉายชัดว่า ทำไมแกรู้
“แน่จริงแกบอกชื่อมาดิ...” ศมาท้าเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้กับสีหน้ายิ้ม
“ฮึฮึ...ก็มี ป้อมพระสุเมรุ ป้อมยุคลธร ป้อมมหาปราบ ป้อมมหากาฬ ป้อมหมูทะลวง ป้อมเสือทะยาน ป้อมมหาไชย ป้อมจักรเพชร ป้อมผีเสื้อ ป้อมมหาฤกษ์ ป้อมมหายักษ์ ป้อมพระจันทร์ ป้อมพระอาทิตย์ ป้อมอิสินธร”
ศมามองหน้าเพื่อนสาวอย่างไม่อยากเชื่อ
“แกมั่วหรือเปล่าวะ...”
“อย่างลีลานี่ไม่มีมั่วโว๊ย...ไม่เชื่อแกไปหาหนังสืออ่านเอาได้”
“เออ... แล้วป้อมที่เหลือหายไปไหนหมด”
“ก็หายไปเป็นถนนนี่ไง... สมัยรัชกาลที่ ๕ มีการตัดถนนใหม่หลายสายก็เลยรื้อป้อมแล้วก็กำแพงพระนครออกไปเยอะทีเดียว ก็เหลืออยู่ ๒ ป้อม ก็ ป้อมพระสุเมรุที่บางลำพู และป้อมมหากาฬริมถนนราชดำเนิน”
“อือ... แถวนี่เข้าเรียกบางลำพูใช่ไหม... แต่ก่อนน่าจะมีต้นลำพูเยอะแน่”
“ตั้งแต่โกโบริเข้ามาก็โดนตัดซะเรียบ”
“เฮ๊ย... ไอ้ลี แกอย่ามามั่วแถวนี้ โกโบริที่ไหนสั่งตัดต้นลำพูวะ”
ลีลายิ้มอย่างที่เพื่อนสาวนึกอยากทำอะไรให้หายคันอวัยวะบางอย่าง...
“ฉันพูดที่ไหนว่าโกโบริเขาสั่งตัด เขาจะเป็นหิงห้อยรอที่ต้นลำพูขืนตัดจะเจออังศุมาลินเหรอวะ ฉันหมายถึงว่าตอนสงครามโลกครั้งที่สองต้นลำพูแถวนี้โดนสั่งตัดเพราะว่าเจ้าหิงห้อยพวกนี้มาเปล่งแสงระยิบระยับ ทีนี้ไอ้เครื่องบินก็ทิ้งระเบิดลงมาอ่ะดิ นึกว่าเป็นที่ชุมนุม ต้นลำพูก็เลยเกือบสิ้นชื่อไปจากบางลำพู นั่น...เหลืออยู่ต้นหนึ่งนั่นน่ะ” หญิงสาวชี้ไปยังต้นไม้ริมตลิ่งใกล้ๆ กับพระที่นั่งสันติชัยปราการ
ศมามองไปตามที่เพื่อนสาวบอก
ไม่รู้ว่าอุปทานหรือเปล่าที่เห็นแสงวิบๆ ของหิงห้อยอยู่ที่ต้นไม้นั่น
ว่าแต่ไอ้ลีนี่มันแสนรู้จริงๆ ไม่รู้มันเอาเรื่องจริงหรือเรื่องเล่นมาเล่า แต่ก็น่าจะเรื่องจริงนะ...เพราะตั้งแต่คบกันมาหล่อนรู้ดีว่าลีลาชอบเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์อะไรอย่างนี้มาก พอๆ กับที่ชอบอ่านนิยายนั่นแหละ หรือบางทีลีลาก็บอกหน้าตาเฉยว่าเอามาจากในนิยายเหมือนกัน แต่นิยายบางเรื่องผู้เขียนก็ค้นคว้าข้อมูลจริงมาเขียนเช่นกัน ทำให้ได้ทั้งความสนุกและสาระด้วย
“ลุกยืดแข้งยืดขากันหน่อยดีกว่า...” ศมาลุกขึ้นแล้วยื่นมือฉุดเพื่อนสาวที่ตัวใหญ่กว่าหล่อนให้ลุกขึ้นตาม พลางเดินแก้เมื่อยที่นั่งกันมานาน
“คนเยอะดีนี่...” ศมาพึมพำ แต่ลมที่โชยมาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก จึงพยายามปลงเพราะไม่ว่าจะหันไปมุมไหนของกรุงเทพก็จะเห็นแต่ผู้คนเต็มไปหมด
“อะไรวะไอ้ลี...” ศมาขมวดคิ้วเมื่อถูกเพื่อนสาวสะกิดยิกๆ
“ดูเด็กสี่คนนั่นดิศะมะ...น่ารักดีว่ะ”
หญิงสาวมองตามสายตาของเพื่อนสาว
เด็กหนุ่มร่างสูงสี่คนนั่งคุยกันอยู่บนสนามหญ้า หล่อนเห็นสาวๆ หลายคนมองไปทางเด็กทั้งสี่คนนี่เช่นกันเพราะต่างก็หน้าตาดีๆ กันทั้งนั้น หล่อนสบตากับหนึ่งในสี่อย่างบังเอิญก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นหันไปซุบซิบอะไรกับเพื่อนแล้วลุกขึ้นจากพื้นสนามเดินตรงมาทางหล่อนกับลีลา
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น