ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในห้วงแห่งความทรงจำ

    ลำดับตอนที่ #1 : ในห้วงแห่งความทรงจำ… ตอน วังหลวง ๑

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ค. 48


    ในห้วงแห่งความทรงจำ… ตอน วังหลวง ๑







    เสียงเพลงที่ดังอย่างต่อเนื่องใกล้ๆ หู ทำให้คนที่นอนอย่างแสนสุขบนเตียงควานมือหาต้นกำเนิดตัวรบกวนความสุข นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มปรือขึ้นนิดๆ



    “ใครโทรมาวะ...” พึมพำอย่างขัดอารมณ์ พลางกดรับโทรศัพท์เครื่องเล็กรับสายโดยไม่ดูชื่อที่ขึ้นหน้าจอ



    “ฮา...โหล”



    “ไอ้เลว...ยังไม่ตื่นอีกเหรอวะ” เสียงใสๆ หวานๆ จากปลายสายดังมาอย่างรื่นเริง



    “ไอ้ชั่ว...โทรมาทำไมแต่เช้า” ตอบไปทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่



    มีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละที่เรียกหล่อนแบบนี้ และหล่อนก็จะตอบไปแบบนี้เช่นกัน เป็นมุขที่ใครได้ยินคงสะดุ้ง



    “แกลืมตาดูนาฬิกาบ้างซิ... นี่มันกี่โมงแล้ว”



    ลีลาลืมตาข้างเดียวดูนาฬิกา ที่วางอยู่หัวเตียง



    “ห้าโมง... มันยังเช้าอยู่นะโว๊ย!”



    “เช้าของแกอ่ะดิ... กินบ้านกินเมืองจนอิ่มแล้วมั้งนั่นนะ...ลุกได้แล้วพระอาทิตย์ไม่ส่องห้องแกหรือไงวะ”



    ลีลาลืมตาอย่างเสียไม่ได้ ห้องของหล่อนยังอยู่ในความสลัว แน่ล่ะสิก็ก่อนนอนหล่อนปิดประตู แล้วก็รูดม่านหน้าต่างเรียบร้อยเพื่อสุนทรีในการนอน แล้วไอ้เพื่อนรักที่ชักไม่อยากรักมันเท่าไหร่ในตอนนี้ก็โทรมาปลุกจนได้



    “วันนี้มันวันหยุดนะโว๊ย...ขอนอนให้เต็มตาบ้างสิวะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนตั้งตีสาม”



    “มัวแต่อ่านนิยายอยู่ล่ะสิแก” อีกฝ่ายเอ่ยอย่างรู้ทัน



    “เออ... ก็วันนี้วันหยุด”



    “ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย ฉันก็เห็นแกอ่านอยู่ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ”



    “เออๆ... ตกลงแกมีอะไรก็ว่ามา” ลีลาลืมตาเต็มที่ตามความตั้งใจของคนที่โทรมาปลุก



    “พรุ่งนี้แกว่างเปล่า...”



    “ทำไม...”



    “ไปวัดพระแก้วกัน”



    “อือ...กี่โมง”



    “เดี๋ยววันนี้ฉันไปค้างห้องแก แล้วออกพร้อมกันตอนเช้า”



    “อือ...อย่าเช้านักนะ”



    “เออน่า...”



    “เดี๋ยวศะมะ...แกจะมาหาฉันกี่โมง”



    “ตอนบ่ายๆ เจอกัน” ศมาตอบเพื่อนสาว ก่อนจะเอ่ยต่อ



    “แกเลี้ยงข้าวฉันด้วย เดือนนี้ตังค์ช็อตว่ะ”



    “เฮ้ย... เดี๋ยว” ลีลาส่ายหน้าเมื่อเพื่อนตัวดีวางโทรศัพท์ไปแล้ว หญิงสาวนอนกลิ้งอยู่บนเตียงอีกสักพักก่อนจะลุกจากเตียงด้วยความขี้เกียจ



    “ไอ้ศะมะ... โทรมาปลุกกันแต่เช้า ว่าจะตื่นสายๆ สักหน่อย”



    ลีลาพาตัวเองเข้าห้องน้ำ ในกระจกเหนืออ่างล้างหน้าสะท้อนภาพของหญิงสาวหน้าหวาน ผมยาวสีดำสนิทยุ่งๆ เล็กน้อยจากการนอน ลีลาย่นจมูกใส่ตัวเอง ก็ใบหน้าหวานๆ ของหล่อนมันดูอิ่มเอิบเกินมาตรฐานหญิงไทยยุคนี้นะสิ



    โชคดีนะที่หล่อนตัวสูงไม่อย่างนั้นคงได้กลมไปทั้งตัว



    หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ลีลาก็นั่งดูโทรทัศน์รอแม่เพื่อนตัวดีที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมจนเรียนจบปริญญากันคนละใบและปัจจุบันก็ยังทำอาชีพ ‘รับจ้างเรียน’ กันอยู่ทั้งสองคนแต่ก็ยังคบกันอยู่ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ความจริงห้องพักของหล่อนเป็นห้องในอพาทเมนท์แห่งหนึ่งในย่านศูยน์กลางกรุงเทพแต่ศมาเพื่อนของหล่อนอาศัยความคุ้นเคยกันดีกับยามขึ้นมาถึงห้องพัก



    “หวัดดี...” ร่างกะทัดรัดของหญิงสาวเจ้าของใบหน้าใสๆ แบบเด็กๆ ยืนอยู่หน้าห้อง



    “เข้ามาซิ...”



    ศมายิ้มให้เพื่อนสาว หล่อนสำรวจดูห้องที่ยังเต็มไปด้วยกองหนังสือไม่ว่าจะเป็นที่โต๊ะเตี้ยมุมรับแขก หรือหัวเตียงของเพื่อนสาว แล้วหาที่วางกระเป๋าเป้ใส่สัมภาระของหล่อนอย่างคุ้นเคย



    “หิวข้าว...” ลีลาเอ่ยพร้อมกับเพื่อนสาว



    ทำไมซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้นะ



    เออ... แล้วหล่อนเคยซื้อด้วยเหรอ









    ศมาตามเพื่อนสาวที่เป็นเจ้าถิ่นมายังป้ายรถเมล์ขนาดใหญ่ที่มีรถเมล์สารพัดสายเข้ามาจอดจนน่าเวียนหัว นี่ขนาดวันหยุดนะถ้าเป็นวันธรรมดาจะขนาดไหน



    “โห...แก นี่แกทนอยู่ได้ไงวะลี”



    “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”



    ศมามองรถแล้วเหนื่อยแทน หล่อนกับเพื่อนเป็นคนต่างจังหวัดแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ ความจริงจะว่ามาเรียนกรุงเทพก็ไม่ใช่เพราะมหาวิทยาลัยที่หล่อนเรียนอยู่เขามีวิทยาเขตอยู่นอกเมือง หล่อนก็ต้องไปเรียนที่นั่นแทบไม่ได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพเลย ส่วนลีลาเพื่อนรักที่สัญญากันว่าจะตามหล่อนซึ่งสอบได้ก่อนจากระบบโควต้าพิเศษ (เด็กต่างจังหวัดก็ดีอย่างนี้แหละ มีโควต้าเข้ามหาวิทยาลัยเยอะแยะ ไม่ต้องพึ่งเอนทรานซ์อย่างเดียว) เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่แม่เพื่อนตัวดีก็กลายเป็นเพื่อนทรยศเพราะไม่เลือกมหาวิทยาลัยของหล่อนสักอันดับ แต่กลับไปเลือกมหาวิทยาลัยคู่รักคู่แค้นที่อยู่ใจกลางเมือง



    “เออ...ลืมถาม แกคิดไงถึงชวนไปวังหลวง” ลีลาเอ่ยถาม หล่อนเรียกพระบรมหาราชวังว่า วังหลวง แบบคนรุ่นเก่า



    ศมานิ่งไป ไม่ตอบโดยทันที



    “ก็...ไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว”



    “เฮอะ...” ลีลาทำเสียงในลำคอ หรี่ตามองดวงหน้าใสๆ ที่มีพิรุธของเพื่อนสาว



    ศมาเมินไม่สบสายตา



    วันก่อน... ในขณะที่หลับอยู่ที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เอ่อ...ตอนบ่ายไม่มีเรียนก็เลยแวบเข้าห้องสมุด แต่เพราะความเพลียที่ต้องตลุยอ่านหนังสือเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้ฟุบหลับไปอย่างไม่รู้ตัว และหล่อนก็เห็น...



    แสงแดดสาดต้องพระเจดีย์สีทองอร่าม และยอดมหาปราสาทอันระยิบระยับ



    หญิงสาวในนุ่งโจงห่มสไบสีสดใสเดินกันขวักไขว่



    และ...



    สายตา... คู่หนึ่ง



    สายตาคู่นั้นที่ทอดมองหล่อน...ช่าง...



    ศมาสะบัดศีรษะ



    จากนั้นหล่อนก็รู้สึกตัว... หากความฝันยังค้างคาในใจ



    บนโต๊ะที่หล่อนฟุบหลับอยู่นั้นมีหนังสือพิมพ์สีสวยงามวางอยู่



    หนังสือพระบรมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม



    แต่...หล่อนไม่ได้หยิบมาอ่านนี่







    นั่นก็เป็นที่มาที่หล่อนโทรหาลีลา...



    ศมารู้จักกับลีลาเมื่อตอนเรียนมัธยม ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่แต่พอรู้จักกันก็เริ่มชอบเพื่อนขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะมีความชอบบางอย่างเหมือนกัน



    ความชอบในศิลปะ...บ้าน วัด วัง... โดยเฉพาะที่เป็นศิลปะในยุครัชกาลที่ ๕-๗ อันเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก



    ในขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นชอบไปชอบปิ้ง เที่ยวดูแสงสี แต่หล่อนกับลีลากลับตะเวนไปชมวังเก่าๆ บ้านเก่าๆ



    วัดพระแก้วเองก็ไม่ใช่ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรก...



    แต่... เพราะความฝันที่ยังค้างคาใจ



    “รถเมล์มาแล้ว”



    ศมารีบก้าวตามเพื่อนสาวไปที่รถเมล์สายที่ผ่านวัดพระแก้ว



    “เฮ้อ...ดีหน่อย คนไม่ค่อยเยอะ” ลีลาเอ่ยเมื่อทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ติดหน้าต่างและศมาก็นั่งลงข้างๆ



    “ดีเหมือนกัน... ไหว้พระแก้วมรกตจะได้มีศิริมงคล วันสอบจะได้ไม่โดนอาจารย์ถล่ม”



    “แกจะสอบเมื่อไร” ศมาถามเพื่อนสาวที่บ่นไม่หยุดถึงเรื่องที่จะต้องสอบ เพื่อนหล่อนคนนี้กำลังเรียนปริญญาโท ก็มหาวิทยาลัยเดิมของมันนั่นแหละไม่รู้จะรักอะไรนักหนา อือ...เราก็เรียนที่เดิมของเราเหมือนกันนี่ แฮะๆ แต่เรียนเอาปริญญาตรีอีกใบ



    “อาทิตย์หน้า...ว่าแต่แก สอบบล็อกที่แล้วเป็นไงมั่ง”



    ศมายักไหล่



    “เกือบไม่รอดว่ะ คิดถูกหรือเปล่าวะที่มาเรียนต่อไอ้เนี่ย”



    “เออ...หลวมตัวไปแล้ว ช่วยไม่ได้” ลีลาหัวเราะ หล่อนกับเพื่อนคนอื่นๆ งงกันแทบตายที่ศมาบอกว่าจะเรียนปริญญาตรีอีกสักใบ แล้วคณะที่ศมาเรียนก็ต้องเรียนถึง ๖ ปี แต่ศมาใช้วุฒิปริญญาตรีสอบจึงต้องเรียนเพียง ๕ ปี



    อือ...เอาเหอะ รอให้ศมาเรียนจบ จะได้ทำฟันฟรีตลอดชีวิต...แต่ จะเชื่อใจได้ไหมนี่



    ลีลาหันหน้าออกไปทางผนังกระจกใสของรถเมล์ก็เห็นแนวรั้วโปร่งสีครีมที่มีคูน้ำกั้นระหว่างถนนกับแนวรั้ว



    “สวนจิตรใช่ไหมแก...”



    ลีลาพยักหน้า



    พระตำหนักสวนจิตรลดาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ



    ต้นไม้ครึ้มบังสายตาอยากรู้อยากเห็นของสองสาวไว้



    “อิจฉาแกว่ะ เคยได้ไปฝึกงานในนั้นด้วย” ศมาพยายามยื่นหน้ามองเข้าไป



    ลีลาอมยิ้ม นึกถึงเมื่อตอนเรียนป.ตรีที่มีโอกาสได้เข้าไปฝึกงานในบริเวณสวนจิตร แม้จะอยู่แค่นอกเขตพระราชฐานชั้นในก็ตาม หล่อนก็ปลื้มแล้วปลื้มอีก



    รถเมล์แล่นไปตามถนนศรีอยุธยา ผ่านวัดเบญจมบพิตรที่มีโบสถ์หินอ่อนอันงดงามเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก



    “แกเคยเห็นต้นสาละไหม...”



    ศมาขมวดคิ้วกับคำถามของเพื่อนสาวที่ช่างหาอะไรแปลกๆ มาเล่าเสมอ



    แต่ชื่อมันก็คุ้นๆ นะ...



    “อ๋อ... ต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าปรินิพาน”



    “อือ... อยู่ในวัดนี้ก็มีนะ ดอกมันสวยแปลกๆ ดี”



    “เหรอ...วันหลังพาเรามาดูบ้างสิ”



    “ฮื่อ... แนะถึงถนนราชดำเนินแล้ว”



    ศมามองถนนกว้างที่พระพุทธเจ้าหลวงโปรดให้สร้าง เป็นพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ถนนอันกว้างใหญ่และงดงามที่ทอดยาวสู่พระบรมหาราชวัง



    ไม่ว่าจะผ่านมาที่ถนนนี้กี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อที่จะชมความงดงามของตัวถนนและบริเวณรอบข้างเลย หญิงสาวมองไปทางขวามือ



    พระราชานุสาวรีย์แห่งกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของประชาชน



    พระบรมรูปทรงม้า



    และเบื้องหลัง...



    ตึกหินอ่อนสีขาว...สถาปัตยกรรมฝีมือสถาปนิกชาวอิตาลีที่ใช้เวลาสร้างถึงสองรัชกาล หล่อนจำได้ว่าโรงเรียนเคยพามาทัศนศึกษา ภายนอกว่างดงามแล้วหากภายในกลับอลังการยิ่ง จนไม่อาจพรรณนาได้ด้วยถ้อยคำธรรมดา



    พระที่นั่งอนันตสมาคม...



    รถเมล์แล่นไปเรื่อยๆ ตามถนนราชดำเนิน สองข้างถนนเป็นอาคารทั้งแบบเก่าและใหม่ปะปนกัน



    หล่อนเคยได้ยินใครพูดนะว่า...



    ถนนราชดำเนินคือ ฌองเอลิเซ่ เมืองไทย



    “เสียดายเนอะ... วังเก่าๆ สวยๆ หายไปตั้งเยอะ” ลีลาหันมาปรารภ



    ศมายิ้ม หล่อนรู้ว่าเวลาลีลาไปไหนสองตาก็จะแลหาอาคารหรือบ้านแบบเก่าๆ หล่อนเคยเย้าว่า มองหาบ้านเมื่อชาติก่อนอยู่หรือไง



    รถเมล์แล่นเอื่อยๆ ผ่านสะพานที่มีสถาปัตยกรรมงดงามที่เหนือจากการใช้สอยธรรมดา



    “สะพานมัฆวานรังสรรค์...” ศมาเอ่ยออกมา



    “สวยเหมือนพระอินทร์เนรมิตเหมือนชื่อเลยใช่ไหมแก”



    ศมาพยักหน้า... ตัวสะพานสีขาวสะอาดประดับด้วยลวดลายปูนปั้นและเหล็กสีดำตัดกันแล้วยังน้ำพุที่เชิงสะพาน โดยเฉพาะเมื่อต้องแสงไฟยามกลางคืนจะงดงามเป็นพิเศษ



    ที่เชิงสะพานมีอาคารทรงไทยประยุกต์หลังคาสีเขียวซ้อนกันเป็นชั้นๆ หน้าอาคารมีธงชาตินานาประเทศโบกสะบัดยามต้องลม



    “นั่นอาคารยูเอ็น...” ลีลาบอกเมือเห็นสายตาเพื่อน



    ศมาพยักหน้าหงึกหงัก...สำนักงานใหญ่ของสหประชาติประจำประเทศไทย



    “อือ...แสนรู้จริงนะแก”



    “นั่นมันหมานะไอ้ศะมะ...”



    “ฉันว่า...แกรู้ไปหมดไง” ศมาอมยิ้มกับสายตาอาฆาตของเพื่อนสาว



    ลีลาหันกลับไปยังทิวทัศน์ด้านนอกตามเดิม ถัดจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ก็จะมีสะพานสีขาวงดงามไม่แพ้กันคือสะพานพิภพลีลาที่อยู่ใกล้ๆ ป้อมมหากาฬ หนึ่งในป้อมที่ยังมีสภาพสมบูรณ์เหลืออยู่ในปัจจุบัน หล่อนพนมมือเมื่อผ่านลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ซึ่งมีพระราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ถัดไปเบื้องหลังคือโลหะปราสาทแห่งที่สามของโลกและยังเหลือเพียงแห่งเดียวที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์



    “ใกล้จะถึงแล้วล่ะแก” ลีลาหันมาบอกเพื่อนสาวเมื่อผ่านสะพานสีขาวสะอาดและงดงามด้วยปูนปั้นประดับ



    สะพานผ่านฟ้าลีลาศ...



    เห็นท้องสนามหลวงและกำแพงสีขาวสูงใหญ่ สีทองที่เปล่งประกายระยิบระยับเหนือกำแพงมองดูงดงาม จนไม่อาจบรรยายได้



    ศมาเหม่อมองไปยังความมลังเมลืองเบื้องหน้า...



    “วังหลวง...ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังสวยไม่เปลี่ยน...”



    “เสียดาย...ไม่มีเจ้านายประทับอยู่สักองค์ ไม่อย่างนั้นคงมีชีวิตชีวามากกว่านี้” ศมาพึมพำ ภาพข้าหลวงทั้งสาวและไม่สาว มหาดเล็กเด็กชา ข้าราชบริพารเดินขวักไขว่แวบเข้ามา



    หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตก็ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดประทับที่พระบรมหาราชวังอีกเลย



    วังหลวงที่เคยคึกคักก็เงียบเหงาลงเรื่อยๆ









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×